อลวนคนธรรพ์ บทที่ 3 : ผมชื่อคนธรรพ์

อลวนคนธรรพ์ บทที่ 3 : ผมชื่อคนธรรพ์

โดย : ตรี อภิรุม

Loading

อลวนคนธรรพ์  จินตนิยายสุดสนุกเรื่องล่าสุดของ ตรี อภิรุม นวนิยายที่จะทำให้คุณตระหนักถึงบาปบุญคุณโทษ และสนุกสนานไปกับจินตนาการอันสุดแสนตระการตา ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่คุณตาตรีใจดี มอบไว้คุณผู้อ่านได้อ่านกัน 5 บท ซึ่งหากใครติดใจและอยากซื้อเก็บเป็นเล่ม สั่งซื้อกันง่ายๆ เพียงแจ้งชื่อหนังสือที่ต้องการทางกล่องข้อความของแฟนเพจ > m.me/read.groove.publishing  และหากต้องการซื้อเป็น e-book ก็ คลิก ที่นี่ ได้เลย

*************************

– 3 –

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

ก๋วยเตี๋ยวหลอดทรงเครื่องขายหมดตอนเย็น สาวสวยมีโอกาสเจริญกรรมฐานตั้งแต่หัวค่ำ

บรรยากาศปลอดโปร่งปราศจากสิ่งรบกวน ขจัดนิวรณ์อารมณ์ผ่องแผ้ว หลุดพ้นจากสิ่งพันธนาการทั้งปวง อิ่มเอิบ ปีติสุขล้นเหลือ

เพียงชั่วโมงเดียว มณทินีก็ออกจากห้องลวดสกรีนศาลาพักร้อน ความกังวลเล็กๆ เกาะกินในส่วนลึก

“เรารู้แล้ว…ขาดนายแมวขโมยนั่นเอง”

หวนระลึกถึงพฤติกรรมของเขา ซับซ้อนหลายมิติ ชวนให้ฉงนสนเท่ห์และติดตาม

ถึงอย่างไรหล่อนก็รู้แน่ชัดว่า มันมิใช่ประสาทจิตหลอน หากความจริงที่เกิดขึ้นเฉพาะตัว

สมมุติว่าเล่าสู่ผู้อื่นฟัง หล่อนอาจจะเจอข้อหาโรคจิต

“นายแมวขโมยเคยถามเราว่า เคยเห็นปิศาจบ้างไหม”

นักเจริญกรรมฐานย่อมหวังมรรคผลนิพพาน อันเป็นยอดปรารถนาสูงสุด

“แต่ทางเฉไฉ หรือทางอ้อมมีจุดสนใจอันน่าตื่นเต้นระทึกอะไรบางอย่างรออยู่ตรงนี้ด้วยเหนือกว่าทางสายตรงผ่านตลอด”

ตั้งปฏิญาณเมื่อทำความรู้จักปิศาจอันดับแรก อาจจะกลายเป็นสาเหตุโยงใยไปถึงตัวนายแมวขโมย

มณทินีกดปุ่มมือถือถึงเพื่อน ยกหูโทรศัพท์ขึ้นแนบข้างแก้ม

“สวัสดีจ้ะอิง ฉันนุ้ยพูด นี่เพิ่งสองทุ่มเศษ หวังว่าคงไม่เป็นการรบกวนนะจ๊ะ”

“ไม่เลย ฉันก็กำลังอยากคุยกับนุ้ย” อิงบังอรกดรีโมทลดเสียงโทรทัศน์ “รุ่นเราแต่งงานเกือบจะหมดแล้ว นุ้ยได้เพื่อนชายที่รู้ใจบ้างหรือยัง”

“ยังจ้ะ สุดแล้วแต่ดวง”

หล่อนหัวเราะเสียงแปร่ง

“ฉันไม่ใฝ่หา หากไม่เจอเพื่อนที่รู้ใจจริง เราก็พร้อมที่จะขึ้นคานทองนิเวศน์”

“นุ้ยเข้มแข็ง”

“อ่อนแอมากกว่าจ้ะ อ่านข่าวคนดังหย่าร้างแล้ว ปลงอนิจจังทุกที ยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน พอตอนหย่าร้างต่างแฉโพยความไม่เหมาะสม”

“โฮ้ย อะไรจะเกิดก็ย่อมเกิดจ้ะ มัวแต่วิตกกังวลแบบเธอก็คงจะไม่ได้แต่ง” คู่สนทนาเปลี่ยนเรื่องคุย “ยังไงก็ตาม ข่าวเธอออกไปขายก๋วยเตี๋ยวหลอดเพื่อคนยากจนลือกันกระฉ่อน อุดมการณ์ของนุ้ยน่าสรรเสริญ”

หล่อนชักจากกระดากเขิน รีบออกตัว

“อันที่จริงฉันทำเงียบๆ ไม่น่าจะตกเป็นข่าวดัง อีกไม่นานฉันก็จะถอยตัวออกมา ปล่อยให้พ่อค้าอื่นขายแทน ตัวเองดูแลเบื้องหลังลับๆ”

“นุ้ยเก่ง เวลาของเธอเหลือเฟือ”

“อย่าพูดยังงั้นสิจ๊ะ คนเราย่อมมีเวลาเท่ากันหมด เพียงแต่ว่าฉันชอบตรงนี้มาก ก็เลยจัดสรรเวลาเพื่อตรงนี้”

“พรุ่งนี้เมสเซนเจอร์ จะนำบัตรเชิญไปมอบให้ทั้งครอบครัวคุณพ่อคุณแม่ นุ้ย แล้วก็วัชรเพียร”

นามท้ายประโยคหมายถึงน้องชายวัยสามสิบของมณทินียังโสด

ต่อจากนี้ อิงบังอรถามไถ่เรื่องอื่นตามประสาคนช่างคุย ไม่วายเลียบเคียงถึงเริงธวัช มณทินีตอบว่า แค่เพื่อนชายธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ถูกสเปกถึงขั้นตกล่องปล่องชิ้นครองคู่

อิงบังอรยืนยันว่า เริงธวัชถูกเชิญไปในงานแต่งงานด้วย เขาคงจะตามก้อร่อก้อติกมณทินี ภายใต้การสนับสนุนของคุณหญิงยุพาพร

สาวโสภาเหน็บมือถือที่ขอบกางเกง ตาไวเหลือบพบบางอย่าง

ระยะสามสิบเมตร ร่างสูงสง่าริมทางซีเมนต์บล็อกรูปตัวหนอน ท่ามกลางแสงไฟสลัว หล่อนชั่งใจไตร่ตรอง

“ชะล่าใจมาก…นายแมวขโมย โผล่ใกล้ๆ คฤหาสน์ ช่างไม่กลัวคนอื่นจะแลเห็นเขา”

สืบเท้าเข้าไปหาบุรุษลึกลับ คนพิสูจน์ตะลึงตาปริบๆ

หาใช่นายแมวขโมยไม่ ต้นมะลิซ้อน หล่อนไม่น่าจะตาฝาดเห็นเป็นอย่างอื่น

O         O         O         O

ที่ฟู้ดเวิร์ล เวลาบ่ายโมงมณทินีตักปรุงก๋วยเตี๋ยวหลอด ว่องไวกระฉับกระเฉง ดุจแม่ค้าอาชีพ

เมื่อกลุ่มคนยากจนที่มะรุมมะตุ้มซาลง กลุ่มใหม่ก็ห้อมล้อมหนุนเนื่อง

“คุณมณทินีอยู่หรือเปล่าครับ?”

เจ้าของนามชะงัก เหลือบมอง พลันเกือบสะดุ้ง

ร่างชุดเครื่องแบบบ่าอินทรธนูยืนโดดเด่นเบื้องหน้าหล่อน ต่อให้มองร้อยครั้งก็ทั้งร้อยครั้ง

นายแมวขโมยนั่นเอง!

“ใช่ค่ะ ดิฉันนี่แหละ” ตอบเคร่งขรึม สำรวม และคอยจับผิด

เขามีหน้าที่เฉพาะกิจ ไม่สนใจปฏิกิริยาของฝ่ายตรงข้ามหยิบบัตรเชิญมงคลสมรสทั้งครอบครัวสามซองยื่นให้ พลางพูดนอบน้อม

“โปรดเซ็นรับด้วยครับ ตรงที่ผมกากบาท” สาวสวยเรียกดาวเรืองให้ช่วยดูแลแผงก๋วยเตี๋ยวเพื่อที่ตนจะได้ปฏิบัติงานส่วนตัวถนัด

เมื่อเซ็นชื่อรับซอง หล่อนก็เลียบเคียงนายแมวขโมย

“อ้อ,คุณเป็นเมสเซนเจอร์”

“ครับผม”

“ใครสั่งให้คุณส่งบัตรเชิญ?”

“ผู้จัดการส่วนต้นสายคำสั่งจากเบื้องสูงผมไม่ทราบ”

“ขอโทษ ดิฉันอยากทราบชื่อคุณ”

คราวนี้พนักงานส่งเอกสารเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาคมปลาบภายใต้คิ้วเข้มว่างเปล่า มิได้หลุกหลิกส่อพิรุธ

“มันจำเป็นมากหรือครับ”

“ดิฉันไม่เคยทราบมาก่อนว่า คุณเป็นเมสเซนเจอร์ แต่คุณจะไม่บอกก็ได้นะ สิทธิส่วนบุคคล”

“ผมชื่อ คนธรรพ์”

“คนธรรพ์” มณทินีทวนคำพลันขนลุกเกรียว ฉุกคิดเรื่องราวของสวรรค์ตามตำนานพระคัมภีร์ คนธรรพ์เป็นเทวดากลุ่มหนึ่งทำหน้าที่ขับ สี ตี เป่า ร้องรำทำเพลง เจอนายแมวขโมยหลายมิติ มักจะถือพิณเครื่องดนตรีประจำตัว

หมายความว่าหล่อนถูกเทวดาบางประเภททำลายสมาธิ ก่อกวนความสงบเช่นนั้นหรือ?

“คุณล้อดิฉันเล่นใช่ไหมคะ”

“ผมเป็นพนักงานระดับล่าง ไม่บังอาจครับ”

เขาก้มศีรษะเนิบ แสดงความคารวะยำเกรง

“นี่คุณรู้จักดิฉันนานหรือยัง?”

“เพิ่งเจอครั้งแรก เมื่อผมส่งเอกสารตามหน้าที่ครับ”

“ประหลาด บุคคลชื่อนี้ดิฉันเพิ่งได้ยินครั้งแรกในชีวิต”

“สุดแล้วแต่คุณจะคิด คุณพ่อผม..คเชนทร์ ตั้งชื่อลูกชายให้คล้องจองกับท่านก็เท่านั้นเอง ลาก่อนครับ”

ชายหนุ่มค้อมศีรษะหรู  ก้าวยาวๆ ตรงไปมอเตอร์ไซค์ที่จอด หยิบหมวกกันน็อกสวม ขับตะบึงลดเลี้ยวหายวับไปกับตา

สิ่งที่น่าสังเกตก็คือ แสงแดดเปรี้ยงเมื่อตะกี้กลายเป็นร่ม ถูกเมฆเคลื่อนกำบัง เสมือนป้องกันเขาสัมผัสกระแสความร้อนจัด

วันนั้น สตรีสาวโฉมสะคราญขายก๋วยเตี๋ยวหลอดใจลอย บางครั้งออกอาการคล้ายกะเปิ๊บกะป๊าบ คอยคิดถึงแต่คนธรรพ์ผู้มีพฤติกรรมแปลกเหลือเชื่อ

ตกเย็น อาหารรสเด็ดขายหมดเจ้าแรก มณทินีเลี่ยงออกมายืนที่ทางบาทวิถีถนนซอย ปล่อยให้ดาวเรืองขนสัมภาระบรรทุกท้ายรถแวน

โทรศัพท์มือถือถึงเพื่อนสนิท

“สวัสดีจ้ะ ฉันได้รับบัตรเชิญของอิงแล้ว เธอใช่ไหมจงใจให้เมสเซนเจอร์มาส่งที่ฟู้ดเวิร์ล”

“เปล่า ฉันไม่ได้ออกคำสั่งโดยตรง ผ่านทางผู้จัดการจ้ะ” สีหน้าของอิงบังอรฉายแววกังวล

“เมสเซนเจอร์ก่อความยุ่งยากให้นุ้ยเหรอ?”

“ไม่ถึงกับก่อความยุ่งยาก เพียงแต่ว่าที่ฟู้ดเวิร์ลไม่เหมาะสำหรับการติดต่อใดๆทั้งสิ้น เขาเป็นหนุ่มวัยสามสิบเศษ แนะนำตัวเองว่าชื่อคนธรรพ์ อิงรู้จักไหมจ๊ะ?”

“เคยเห็นหน้าค่าตาที่ออฟฟิศอยู่บ้าง แต่ไม่คุ้นเคย ดูเหมือนเขาจะร่วมงานกับเราไม่น้อยกว่าสองปี” หล่อนเว้นระยะหน่อย ดักคอเชิงล้อเลียน “อย่าบอกนะจ๊ะ ว่าคนธรรพ์ถูกสเปกนุ้ย”

“สงสัยแค่ชื่อประหลาดๆ นอกเหนือกว่านั้นไม่สน”

การสนทนาทางโทรศัพท์เคลื่อนที่สิ้นสุด

มณทินีขับยานโฟร์วีลออกจากฟู้ดเซ็นเตอร์โอเพ่นแอร์

ใช้เวลาบนท้องถนนกว่าครึ่งชั่วโมง ก็ถึงคฤหาสน์อันร่มรื่น จอดยานพาหนะในโรงรถ ปล่อยให้การเคลื่อนย้ายอุปกรณ์เป็นหน้าที่ของดาวเรือง

ที่สวนหย่อมด้านข้างคฤหาสน์ ธนัชชัยน้องชายสุดหล่อนั่งอยู่กับหญิงสาวหน้าตาหมดจดที่เก้าอี้ชุดหินขัด รอบๆ กาย แมกไม้เขียวชอุ่มสวยงาม

“นี่จ้ะ บัตรเชิญของนัช”

ชายหนุ่มรับซองกระดาษแข็งที่ผู้ร่วมสกุลยื่น พลางผายมือไปทางคนนั่งเคียง

“พี่นุ้ยครับ ขอแนะนำคุณรติญาเพื่อนผม”

รติญายอบกาย นบนิ้วทำความเคารพ ฝ่ายตรงข้ามรับไหว้หล่อน แม้ธนัชชัยยังไม่เปิดเผยรายละเอียด ก็พอจะอ่านออกว่าแฟนสาว

ทักทายปราศรัยโดยมารยาท ชั่วประเดี๋ยวมณทินีก็เลี่ยงขึ้นตึก

มอบบัตรเชิญงานมงคลสมรสให้คุณหญิงยุพาพร ท่านอ่านรายการเสร็จแล้ววางบนโต๊ะข้างตัว

“นุ้ยรู้สึกยังไงต่อรติญาจ้ะ?”

“สวย อ่อนหวานน่ารักค่ะ นี่เป็นภาพลักษณ์ภายนอก แต่อะไรที่ลึกซึ้งกว่านั้นเรายังไม่ทราบ” มารดาถือโอกาสเล่าประวัติ ความรักของธนัชชัยเชิงกระทบกระเทียบทายาทคนโต

“เมื่อห้าปีก่อน นัชชอบอยู่กับรายนึง ถึงขั้นเตรียมปลูกเรือนหอแต่แล้วก็เลิกร้างกันไป ทำนองต่างอุดมคติ เงียบลงนานโขเพิ่งจะรายนี้แหละ นัชพาแม่หนูญาเข้าบ้าน แนะนำให้รู้จักครอบครัว คิดว่าอีกไม่นานหรอกจ้ะ จับคู่แต่งงานให้พ่อแม่โล่งอก”

คุณหญิงยุพาพรสาธยายเรื่อยไปถึงศรีประภัทร ทายาทคนที่สอง แต่งงานแยกครอบครัวต่างหาก เดี๋ยวนี้ได้บุตรหนึ่งคน

“ดีค่ะ” ลูกสาวแสร้งสนับสนุนหน้าตาเฉย “เมื่อเพียรแต่งงาน คุณแม่ก็จะได้หลานย่า”

คราวนี้ท่านตีกระทบตรงๆ

“แม่ไม่เร่งรัดเธอ แต่อยากจะนอนตายตาหลับ ชาตินี้จะได้อุ้มหลานยายที่เกิดจากนุ้ยไหมจ๊ะ?”

อ่อนอกอ่อนใจนัก นี่มิใช่ครั้งเดียวที่มารดาตะล่อมหล่อน หากนับไม่ถ้วนทีเดียว ให้จบชีวิตโสด การครองคู่เป็นธรรมชาติของมนุษย์“”

“คุณแม่คะ” มณทินีอธิบายอ่อนหวานเยือกเย็น

“เป้าหมายสำคัญสูงสุดของมนุษย์เรา บางครั้งก็มิได้อยู่ที่การครองคู่ค่ะ ชีวิตของแต่ละคนย่อมมีวิบากกรรมควบคู่ ทำให้การดำเนินชีวิตแตกต่างกัน แบบใครแบบมันโดยเฉพาะ”

ถึงคราวที่คุณหญิงยุพาพรจะอัดอั้นตันทรวง ระงับการชี้นำชั่วคราว

อาบน้ำ ทาโอดิโคโลญจน์หอมกรุ่น สบายเนื้อตัว สตรีสาวโฉมสะคราญสืบเท้าเข้าไปด้านหลังคฤหาสน์ โคมไฟตามแต่ละดวงทอดแสงห่างกันมาก พื้นที่ส่วนใหญ่จึงมีมุมสลัวรางเลือน

“คืนนี้เราจะทำความรู้จักกับปิศาจ สอบถามพวกเขา อาจจะได้เรื่องราวของนายแมวขโมยแถมพก”

มณทินีปฏิญาณแก่ใจตนเอง

เข้าศาลาพักร้อนที่ดัดแปลงประยุกต์ ปิดประตูระเบียงนอกและห้องลวดสกรีนตามลำดับ เปิดโคมไฟตัดแสงด้านซ้ายมือ นั่งสมาธิบนเบาะสี่เหลี่ยม เจริญสมถกรรมฐาน

เพียงครู่เดียวจิตก็สงบนิ่ง แลเห็นไม้ยืนต้นเรียงราย กำแพงรั้ว ทะลุออกไปสู่โลกภายนอกเสมือนพลัดสู่อีกมิติหนึ่ง แตกต่างกับโลกมนุษย์

“เอ๊ะ!…ตัวตนเราอยู่ที่ไหนเนี่ย”

ทันทีที่สิ้นเสียงรำพึง มณทินีก็ไหวกายสะดุ้ง หล่อนยืนกลางทุ่งโล่งในดงวัชพืช ต้นหมากและมะพร้าวปลูกเป็นกระหย่อม

“คงเป็นชนบทแห่งใดแห่งหนึ่ง จิตเราเดินทางไกลระดับนี้เชียวรึ” หญิงสาวกวาดสายตารอบๆ สำรวจใกล้ชิด

นั่นปะไร!

แขนแมน ตัวตน ใบหน้าหน้าเรียวสวย แม้ว่าจะไม่ได้ส่องกระจก ไม่ทราบว่าเห็นได้อย่างไร ใช่แต่เท่านั้น ยังสามารถมองเห็นด้านหลัง ด้านข้าง ครบถ้วนทุกมุม

“นี่กระมัง เขาเรียกว่าอัตตาที่สำเร็จด้วยใจหรือกายทิพย์”

อยากรู้ตำแหน่งที่กายหยาบเจริญกรรมฐาน วินาทีนั้น ภาพหนึ่งไกลลิบถูกซูมเข้ามาใกล้ระยะยี่สิบฟุต

มณทินีร่างต้นแบบนั่งสมาธิหลับตาพริ้ม แลดูประหนึ่งหุ่นขี้ผึ้ง

“เอาเป็นว่าเราสามารถแยกดวงจิตจากกายได้สำเร็จ ปุถุชนทั่วไปก็ทำได้ในรูปแบบความฝันคือฝันเตลิดเปิดเปิง ไม่อาจควบคุมได้แบบเรา”

หล่อนสืบเท้าเข้าไปเรื่อยๆ ชมทิวทัศน์สองฟากทาง อากาศเหมือนตอนสนธยา กำลังสบายไร้แสงแดด ชักจะเบื่อท้องทุ่งอยากเปลี่ยนสถานที่

ชั่่วพริบตา มณทินีภาคสองกำลังเดินบนถนนยาวเหยียดค่อนข้างจะคดเคี้ยว เปลี่ยวเงียบเชียบดุจอยู่ตามลำพังคนเดียวในโลก

ไม่รู้สึกวังเวงเงียบเหงา หากตรงกันข้าม เปี่ยมไปด้วยความปีติสุข พ้นจากพันธนาการทั้งปวง

“สังเกตการณ์ผีสางวิญญาณเฮี้ยน คืนนี้ท่าจะผิดหวัง”

ทันทีทันควัน หล่อนเหลือบพบพ่อเฒ่าหลังโก่งผมหงอกขาวโพลนเดินดุ่มกลางถนน ไม่กลัวรถชนอุบัติเหตุ

ใช้เวลาสอง-สามวินาที สาวสวยก็เผชิญหน้าชายแก่หง่อม

เนื้อหนังตกกระเหี่ยวย่นจีบริ้ว ใบหน้าขาวซีดอมเขียว เบ้าตาโหลลึกแห้งแล้ง

สวมเสื้อผ้าเก่าสกปรกขาดกะรุ่งกะริ่ง กลิ่นตุๆ สาบสางคล้ายหนูตายค้างปีโชยตลบ

ใช่แล้ว สิ่งแปลกปลอมแห่งมนุสสภูมิหรือปิศาจ

มณทินีพยายามควบคุมสติอารมณ์มิให้หวาดกลัว ชายสูงอายุผู้สังขารโทรม

“ไปไหนคะ คุณตา?”

ภูตผมหงอกขาวฟูยุ่งชะงักกึก หลังที่งองุ้มเด้งยืดตรงโดยอัตโนมัติ ดวงตาที่แห้งแล้งลุกโพลงทะลึ่ง สยายยิ้มอวดฟันหลอกะพร่องกะแพร่ง ลิ้นสีเทาอยู่ในปากเหมือนตัวหนอน

ยืนไขว้ขา แกว่งแขนหนังหุ้มกระดูกเนิบ เอียงคอมาดวัยจ๊าบ

“เพ่เดินเล่นจ้ะ น้องสาว”

ผู้ฟังสะดุดความรู้สึกวูบอเนจอนาถใจเหลือเกิน เฒ่าชะแรรุ่นทวดยังไม่เจียมสังขาร กิเลสตัณหาอุปาทานข้นคลั่ก

สงสัยสมัยเมื่อเป็นมนุษย์ จะไม่เคยคิดเรื่องอื่น นอกจากรูป รส กลิ่น เสียง กิจกรรมทางเพศ

คนเผชิญปิศาจแสร้งหัวเราะขบขัน

“โถ คุณทวด อายุเกินร้อยแล้ว แถมกางเกงขาดปิดก้นไม่มิด อายคนรุ่นเหลนบ้างเถอะ”

อาการทะลึ่งเหิมเกริมหดวูบ ภูตรุ่นสังคโลกกรีดร้องโหยหวน อันตรธานแวบ

มณทินีกายทิพย์เคลื่อนร่างต่อ สังเกตสังการอบบริเวณ อยากจะติดต่อกับภูตอื่นๆ ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ และเลียบเคียงเรื่องคนธรรพ์

ชั่วประเดี๋ยว…หล่อนก็ชะงักกึก เพ่งมองริมถนน

โอ…โน่นอะไรกันเล่า?

จุดเรืองแสงเขียวสามจุดเท่าปลายเข็ม มันเคลื่อนไหวช้าๆ แสดงว่ามีชีวิต

“เจ้าเป็นอะไร?”

บัดดล…

พึ่บ!

ผู้ตั้งคำถามสะดุ้ง ถอยหลังสองก้าว ตกตะลึงกับปรากฏการณ์ใหม่ล่าสุด

 



Don`t copy text!