อลวนคนธรรพ์ บทที่ 2 : แมวขโมย

อลวนคนธรรพ์ บทที่ 2 : แมวขโมย

โดย : ตรี อภิรุม

Loading

อลวนคนธรรพ์  จินตนิยายสุดสนุกเรื่องล่าสุดของ ตรี อภิรุม นวนิยายที่จะทำให้คุณตระหนักถึงบาปบุญคุณโทษ และสนุกสนานไปกับจินตนาการอันสุดแสนตระการตา ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่คุณตาตรีใจดี มอบไว้คุณผู้อ่านได้อ่านกัน 5 บท ซึ่งหากใครติดใจและอยากซื้อเก็บเป็นเล่ม สั่งซื้อกันง่ายๆ เพียงแจ้งชื่อหนังสือที่ต้องการทางกล่องข้อความของแฟนเพจ > m.me/read.groove.publishing  และหากต้องการซื้อเป็น e-book ก็ คลิก ที่นี่ ได้เลย

*************************

– 2 –

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

“ช่างน่าขบขัน คนสวยนั่งหลังตรง หลับตาปี๋”

เสียงล้อเลียนห้าวทุ้มกลั้วหัวเราะดังขึ้นใกล้ตัว ทำไมตบะแตก มณทินีลืมตาขึ้น

นั่นปะไร!

หนุ่มใหญ่สุดหล่อคุกเข่าอยู่ในระยะแค่มือเอื้อมถึง ระบายยิ้มกว้าง ไรฟันขาว นัยน์ตาเชื่อมยิบหยี ไม่ใช่บุคลิกของผู้ชายหื่นจ้องจะล่วงเกินทางเพศ

“คุณเข้ามาได้ยังไงเนี่ย ขอบเขตส่วนตัวของดิฉัน”

สตรีสาวร่างระหงเขยิบถอยหลัง เผลอมือควานไขว่คว้าหาอาวุธ ทั้งที่ไม่เคยจะตระเตรียม

“ผมเลื่อมใสปฏิปทาของคุณนุ้ย แค่แวะทักทายหวังมิตรภาพครับผม”

“เสียมารยาท นี่ยามวิกาล รู้จักกาลเทศะเสียบ้างสิคะ”

“ประตูมุ้งลวดปิดไว้เฉยๆ ไม่ได้ใส่กลอน ผมก็เลยคิดเอาเองว่า คุณนุ้ยต้องการมิตรแก้เหงา ถ้าควานหา  สวิตช์เรียกคนใช้ล่ะก็ อยู่โน่นครับ”

มณทินีเหลียวมอง ไฟโคมตัดแสงสว่างสลัว ตำแหน่งดังกล่าวอยู่ใกล้ต่ำเกือบติดพื้น  ทำไมเมื่อตะกี้คลำไม่พบ หล่อนกดทันที

ชั่วพริบตา อาคันตุกะนอกระบบเผ่นแผล็วออกทางประตูลวดสกรีน  วิ่งทะลุประตูนอกที่กั้นระเบียง

สาวสวยกวดติดตาม คาดว่าเขาจะหนีออกทางประตูด้านหน้าคฤหาสน์

แน่นอน จะถูกรปภ.สกัดจับลากคอส่งตำรวจ

ไม่ยักเป็นไปตามการคาดคะเน บุรุษลึกลับวิ่งกระโจนไปทางกำแพงด้านหลัง ปีนต้นปีบกิ่งใหญ่ไหวยวบ ต่อจากนั้นก็เงียบ ทายได้เลยว่าเขากระโดดหนีข้ามกำแพงรั้ว

“ฮึ เจ้าแมวขโมยหนีรอด”

เคว้งคว้างชั่วประเดี๋ยว หล่อนก็กลับขึ้นห้องกรรมฐานตรวจสภาพ

ประตูทั้งชั้นนอกชั้นในไม่ใส่กลอน ยังไม่ทันแก่เฒ่า หล่อนหลงลืมขนาดนี้เชียวหรือ?

สาวใช้คนสนิทเดินลิ่วมาแต่ไกล มณทินีตระหนักว่า หากเปิดเผยความจริง ข่าวรู้ถึงหูคุณหญิงยุพาพร ท่านจะหวั่นวิตกอาจสั่งห้ามหล่อนทำสมาธิในศาลากลางสวน

“คุณนุ้ยเรียกดาวเรืองหรือคะ?”

“ใช่จ้ะ จิ้งจกหลายตัวอยู่ในห้องมุ้งลวด คอยไต่ตามหลังต้นคอ น่าขยะแขยง”

“เอ…ตอนเช้าดาวเรืองทำความสะอาดไม่ยักเจอ”

“มันคงจะเล็ดลอดเข้ามาเวลาอื่น”

ลูกจ้างตรวจพื้นที่ ใช้เวลาห้านาทีก็ทั่วถึงหมดทุกจุด

“ไม่มีเลยค่ะ”

“ก็ตอนฉันวิ่งพรวดพราดออกมาน่ะแหละ” ชักละอายแก่ใจที่โกหกเป็นคุ้งเป็นแคว “ฝูงจิ้งจกหนีไปหมด ช่างเถอะเรื่องเล็ก ฉันแค่ตกใจเท่านั้นเอง”

คืนนั้น ก่อนนอน มณทินีอ่านคู่มือวิปัสสนาทบทวน ค้นหาจุดบกพร่องพบแล้ว

นั่นคือโผฏฐัพพะหรือสิ่งสัมผัสทางกายใจ เช่น เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ไพเราะ เป็นอาทิ หล่อนยังตัดมันไม่ขาด แต่สะกดให้สงบเงียบชั่วครั้งชั่วคราว

เสียงดนตรีทิพย์ระบำจินตลีลา ยั่วให้หลงใหลติดยึด เป็นกิเลสละเอียดอ่อน สกัดกั้นมรรคผล นิพพาน อันเป็นความปรารถนาสูงสุด

“ฉันจะเอาชนะมันให้ได้”

มณทินีตั้งจิตปฏิญาณยึดสรณะพระไตรสรณคมน์

หลับสนิท ฝันหลายเรื่องสับสนเลอะเลือน ดูเหมือนจะแว่วเสียงผู้ชายกระซิบแฝงความขบขัน

“ผมไม่ยอมนะ ต้องปรับคุณนุ้ยเห็นผมเป็นจิ้งจก”

จิตสู่ภวังค์อันลุ่มลึก สุบินนิมิตค่อยๆ กระจ่างชัดเจน

หล่อนหลงทางในวนอุทยานแห่งใดแห่งหนึ่ง พืชพรรณไม้ส่วนใหญ่เขียวชอุ่ม งดงามตามธรรมชาติ

แว่วเสียงดนตรีทิพย์ไพเราะเสนาะโสตยิ่ง ไม่อาจจำแนกได้ว่าเกิดจากเครื่องดนตรีชนิดใด

“เราจะต้องรู้ว่าใครเล่น?”

สาวสวยสะกดรอยตามเสียงที่ดึงดูดอารมณ์ สร้างความสดชื่นเบิกบาน ลืมความวิตกกังวลต่างๆโดยสิ้นเชิง

กว่าจะรู้สึกตัว หล่อนก็พลัดเข้าไปในอุทยานไม้ดอกส่งกลิ่นหอมรวยริน โขดหินเรียงรายได้ตำแหน่งเหมาะสมดุจใครรังสรรค์

ครั้นแล้ว มณทินีก็ชะงักกึก รีบแอบบังแท่นหินพุ่มไม้ดอก

นายแมวขโมยรูปงามนั่นเอง นั่งบนแท่นหินดีดพิณโบราณที่สลักเสลาวิจิตรครวญเพลงประกอบเสียงพิณ

“สาวเอยจะบอกให้ ความในใจฉันรักเธอ”

หล่อนไหวกายตื่นจากความฝันอันหวานแหวว ยังแว่วเสียงดนตรีเสนาะหลายวินาทีก่อนจะเงียบสงบ

O         O         O         O

บรรยากาศที่ฟู้ดเวิร์ลไม่เงียบเหงา กลุ่มคนยากจนทยอยมาเรื่อยๆ แทบจะไม่ขาดระยะ อาศัยการบอกกล่าวจากปากต่อปาก

ช่างน่าแปลกทั้งที่ชุลมุนอยู่กับการตักราดก๋วยเตี๋ยวหลอด แต่มณทินีก็ไม่วายวอกแวก นึกถึงนายแมวขโมยสุดหล่อ

ครั้งแรกทะลึ่งแอบดูหล่อนสมถกรรมฐาน และครั้งที่สอง อุตส่าห์ฝันถึงเขาเล่นพิณโบราณลายกนกดอกจิกในอุทยานไม้ดอก

“เราไม่ชอบคนขาดกาลเทศะ ทะลึ่ง” นึกปลอบตนเอง “ขอให้ผ่านแล้วก็ผ่านไปเหมือนลมพัด”

ใกล้เที่ยง เด็กอนาถาปรากฏตัวพร้อมกับกลิ่นสาบเหงื่อไคลฉุน ใครต่อใครเบือนหน้าหนี

มณทินีคีบเส้นก๋วยเตี๋ยว ถั่วงอกต้ม มากพิเศษราดเครื่องปรุง เด็กขโมยยกจานไปนั่งกินโต๊ะในสุดห่างจากคนอื่น

รถตู้ติดฟิล์มกรองแสงจอดเทียบบาทวิถี ครูหนุ่ยก้าวลงจากรถ เขาเป็นนักสังคมสงเคราะห์ชื่อดัง ประธานมูลนิธิเด็กผู้ด้อยโอกาสและกรรมการมูลนิธิอีกหลายแห่ง วันวานหล่อนโทร.นัดหมายให้เขามารับตัวเด็กจรจัด

แม่ค้ากิตติมศักดิ์พนมมือทำความเคารพครูหนุ่ย ไม่ถือตนว่าเป็นทายาทมหาเศรษฐีสกุลไฮโซ

“สวัสดีครับ คุณนุ้ย”

“สวัสดีค่ะ” เอ่ยเสียงกระซิบ “อยู่โต๊ะในโน่นค่ะ ดิฉันหวังว่าคุณคงเกลี้ยกล่อมสำเร็จ”

ฝ่ายตรงข้ามยิ้มแห้งๆ ตามวิสัย เดาไม่ออกว่ามีความตั้งใจจริงมากหรือน้อย นั่งร่วมโต๊ะเด็กแก่น ไม่รังเกียจกลิ่นสาบสกปรก

เจรจาความนานโข ต่อมาเขาก็ลุกขึ้นพร้อมด้วยเด็กจากครอบครัวแตกแยก อำลามณทินีทั้งสองขึ้นรถตู้ ขับเลี้ยวออกจากถนนซอย

“โล่งอก” หล่อนปลาบปลื้ม “เราสงเคราะห์ผู้ตกทุกข์ได้ยากรายหนึ่ง  สร้างอนาคตกับเขา”

วัตถุดิบสำหรับปรุงอาหารเหลือไม่มาก คาดว่าจะหมดตอนเย็นเจ้าแรกก่อนเจ้าอื่น

“จานนึงครับ”

เสียงห้าวทุ้มชวนฟังคุ้นหู

มณทินีเหลือบชำเลือง แทบว่าจะสะดุ้งแปดตลบ

นายแมวขโมยสุดหล่อนั่นเอง คาดไม่ถึงว่าเขาจะปรากฏกายภาคกลางวัน ช่างชะล่าใจเหลือเกิน

ก๋วยเตี๋ยวหลอดปรุงรสยื่นมาดขรึม รับเหรียญ ชายหางตามองเขา เพียงชั่วกะพริบตา ร่างนั้นก็กลับกลายเป็นลุงวัยหกสิบเศษ

เป็นไปได้เชียวหรือ อุปาทาน ภาพหลอน เกิดจากกิเลสที่ตกตะกอนในส่วนลึกฟุ้งกำเริบ

“ดาวเรืองเฝ้าแผงแทนฉันประเดี๋ยว”

หล่อนสั่งสาวใช้ประจำตัวแล้วลุกไปที่โต๊ะบุรุษวัยทอง

“คุณลุงแลเห็นผู้ชายวัยสามสิบเศษนั่งโต๊ะนี้ไหมคะ?”

“ไม่เห็นครับ”

แกตอบเสียงเหน่อ เห็นฟันหลอกะพล่องกะแพล่ง

ขืนซักถามต่อจะกลายเป็นจุดเพ่งเล็ง สาวสวยกลับแผง ขณะที่ดาวเรืองเลี่ยงไปประจำซิงค์ล้างจานช้อนส้อม

วันนั้นแม้เราจะไม่พยายามคิด หากกรณีภาพหลอนก็คอยสะกิดเตือนใจเสมอ

ตอนค่ำลมเย็นพัดโชย อากาศบริสุทธิ์ก่อนฝึกสมาธิ มณทินีตรวจดูประตู ทั้งชั้นนอกชั้นในใส่กลอนพับแน่น

“เราหวังว่าคงจะไม่เจอนายแมวขโมยจอมทะเล้นรอบสอง”

นั่งขัดสมาธิ สันหลังตรงแหนว หงายฝ่ามือวางซ้อนบนตัก หลับตานิ่งกำหนดอานาปานสติ

จิตเริ่มสงบ สงบยิ่งขึ้น ดับนิวรณ์ สบายตัว เบาหวิว ประหนึ่งอยู่บนก้อนเมฆที่ลอยฟ่องอิ่มเอิบปีติสุข แตกต่างกับประสบความสำเร็จทางโลก

แมลงสาบโผล่ หนวดสองเส้นชูกระดิก คลานเข้าหาหล่อน

จำได้แม่นยำ แมลงสาบตัวที่เคยเผลอเหยียบตายนั่นเอง

“ไม่จริง ภาพลวงตา”

สาวทรงงามเตือนสติ ปรับอารมณ์มิให้หวั่นไหวคล้อยตาม

เพียงชั่วครู่ สัตว์นำเชื้อโรคก็เลือนสลายแวบ

มณทินีปีติสุขล้นเหลือ จิตจับกสิณ ลืมกาลเวลาไม่รู้ว่าผ่านไปนานสักเท่าใด

โสตแว่วเสียงดนตรีทิพย์ คาดว่าคงเป็นพิณโบราณไพเราะชัดเจน

ใช่แต่เท่านั้น ทางมโนทวารยังแลเห็นฝูงเด็กสาว เปรียบได้ว่าพวกหางเครื่องสวมชุดแพรพลิ้วสารพัดสี เริงระบำจินตลีลาอ่อนช้อย เข้าจังหวะเสียงเพลงไหวๆ ไกลลิบ

พยายามปลง ขจัด แต่ทำไม่สำเร็จ

“อีหรอบเดิม เราจะต้องรู้ชัดว่าใครกลั่นแกล้ง”

กำหนดจิตติดตาม รู้สึกเหมือนว่าตนไปปรากฏกายที่สถานที่ดังกล่าว คือ อุทยานไม้ดอก

ปราศจากฝูงนางระบำองค์ประกอบ มีแต่นายแมวขโมยรูปงามนั่งดีดพิณโบราณลายกนกดอกจิกบนแท่นหิน แบบเดียวกับในสุบินนิมิตไม่ผิดเพี้ยน

อารมณ์เย็น ไม่โมโห ถามเสียงราบเรียบ

“ถือดียังไงคะ คุณกลั่นแกล้งรบกวนดิฉัน”

ทันทีที่เปล่งสำเนียงดวงจิตก็คืนวูบสู่กายหยาบ มณทินีลืมตาขึ้นเปลี่ยนอิริยาบถ

ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง เสียงพิณทิพย์ยังคงดังใกล้ๆ ระยะไม่เกินสิบเมตร ไม่ใช่ตัณหาอุปาทานแน่นอน

สาวโสภาเปิดประตูห้องกรรมฐานทั้งชั้นในและชั้นนอกตามลำดับ

นั่นปะไร!

นายแมวขโมยรูปงามนั่งดีดพิณโบราณที่บันไดขั้นพัก

“เสียมารยาทมาก คุณบังอาจเข้ามาในขอบเขตส่วนตัวครั้งที่สอง”

บุรุษลึกลับยืนขึ้นทั้งพิณในมือ ร่างสูงสง่าโดดเด่นจุดยิ้มที่มุมปาก ค้อมศีรษะหรู

“คุณนุ้ยศึกษาธรรมะ ย่อมทราบว่าทุกสรรพสิ่งจะไม่เกิดขึ้นลอยๆ หากมีเหตุปัจจัยรองรับ”

“ดิฉันเกี่ยวข้องกับคุณหลายมิติ ถามจริงๆเถอะ คุณเป็นใครกันแน่คะ?”

“จะให้ผมเป็นอะไรล่ะครับ”

ชายหนุ่มเอียงคอล้อเลียน ปลดสายผ้าที่คาดเอวเกี่ยวด้านหลังพิณสองตำแหน่ง สะพายเฉวียงบ่า

“อะไรก็ได้ที่คุณเป็น และความจริง”

“แมวขโมย ทะลึ่งทะเล้น แต่ไม่ใช่ชายโฉดที่มุ่งจะหากำไรทางเพศ”

ผู้ฟังสะดุดความรู้สึกวูบ นั่นความคิดของหล่อนเอง ไม่เคยบอกใครด้วย เขาทราบได้อย่างไรเล่า หล่อนพลั้งปาก

“ผี!”

“ผีก็คือ ซากศพที่นอนอยู่ในโลง” หัวเราะนุ่มทุ้มร่าเริง “เน่าเฟะหรือเหี่ยวแห้งตามสภาพ”

“ปิศาจ!”

“เคยเห็นหรือครับ?”

มณทินีนิ่งไตร่ตรอง ตั้งแต่ฝึกเจริญสมถกรรมฐานกลางคืน ไม่เคยอธิษฐานจิตอยากพบผีสางวิญญาณเฮี้ยน

“จะก่อกวนดิฉันไปนานสักเท่าไหร่คะ?”

“ไม่ได้ก่อกวนครับผม อย่างที่ผมบอกเมื่อตะกี้นี้น่ะแหละ ทุกสรรพสิ่งจะไม่เกิดขึ้นลอยๆ แต่มีเหตุปัจจัยของอดีตสนับสนุน คุณนุ้ยเคยสร้างเหตุนาน” ลากเสียงยาวเหยียด “นานมาก คุณลืมแล้ว แน่ล่ะ ใครจะจำได้ครับ”

“เมื่อตอนกลางวัน คุณไปที่ฟู้ดเวิร์ลใช่ไหมคะ?”

“ผมเพียงแต่ส่งความคิด แต่จิตของคุณนุ้ยทรงอานุภาพสามารถสัมผัสกระแส”

“อธิบายเข้าใจยากชะมัด”

“เปรียบเหมือนคุณนุ้ยคิดถึงเพื่อนที่อยู่ห่างไกลทำนองนั้นแหละ รู้ตัวหรือเปล่าความสามารถพิเศษของคุณนุ้ยถึงขั้นอุปจารสมาธิ หวุดหวิดจะบรรลุถึงอัปปนาสมาธิ ยากที่ใครจะทำได้สำเร็จ”

“ดิฉันเพิ่งฝึกได้ไม่นานเท่าไหร่ค่ะ”

สาวสวยปรารภ ทึ่ง และไม่ค่อยจะเชื่อเขา

“อาจจะเป็นเพราะคุณนุ้ยเคยฝึกหลายชาติหลายภพแล้ว บารมีแต่ปางก่อนเกื้อหนุน”

“จะให้ดิฉันเข้าใจว่าคุณเป็นอะไรคะ?”

“มนุษย์ เพื่อความสบายใจทั้งสองฝ่าย หากไม่เชื่อลองจับแขนผมพิสูจน์ คุณนุ้ยจะสัมผัสเนื้อหนังอุ่นๆ แสดงภาพมนุษย์เต็มร้อย”

ชายหนุ่มยื่นแขนล่ำ ผิวสีแทน แต่คู่สนทนาไม่ยอมแตะต้องจึงต้องหุบแขนลง

“หมายความว่า  ดิฉันเคยสัมพันธ์กับคุณเมื่อชาติก่อน”

“ตรงนี้คุณนุ้ยจะทราบด้วยตนเอง เมื่อถึงเวลาอันสมควร”

“ขากลับ คุณ…”

ชะงักไว้ให้เขาต่อความ

“แมวขโมยเถอะ ผมชอบชื่อที่คุณนุ้ยตั้งให้”

“คุณแมวขโมยจะกลับยังไงคะ หรือว่าปีนต้นปีบ โหนกิ่ง ดีดตัวกระโจนข้ามกำแพง”

“ผมคงจะไม่ทำแบบนั้นหรอก ขณะนี้บุคคลที่สามกำลังจะโผล่ครับ”

มณทินีกวาดสายตาสำรวจ พลันเหลือบพบคุณหญิงยุพาพรเดินทอดน่องเอื่อยๆ มาตามทางซีเมนต์บล็อกรูปตัวหนอนระหว่างพุ่มพฤกษ์

ลูกสาวออกไปต้อนรับ พบกันกึ่งกลางทางได้กลิ่นหอมของไม้ดอกนานาชนิด

ไม่ทราบว่านายแมวขโมย หายไปตั้งแต่เมื่อใด

“แหม, คืนนี้นุ้ยทำสมาธินานมาก ล่วงสองยามแล้วนะจ๊ะ”

“นุ้ยเพลินไปหน่อยค่ะ กำลังจะกลับพอดี”

“อากาศร้อนจัด แม่เกรงว่านุ้ยจะเจ็บไข้ได้ป่วย”

“กลางสวนเย็นสบาย อากาศบริสุทธิ์เหนือกว่าห้องแอร์ค่ะ”

ต่างฝ่ายต่างเงียบ สักประเดี๋ยวคุณหญิงยุพาพรก็เปลี่ยนเรื่อง

“ลูกทราบหรือยัง ยายอิงจะแต่งงานแล้ว”

ยายอิง คือ อิงบังอรเพื่อนหล่อน ฐานะสกุลไฮโซทัดเทียมกัน ท่านแจกแจงรายละเอียด

“อีกสักสอง-สามวัน  บัตรเชิญก็คงจะถูกส่งมาถึงเรา ถึงอย่างไรนุ้ยก็ต้องไปงานสมรส ห้ามหลีกเลี่ยง”

มณทินีรับปาก

 



Don`t copy text!