อลวนคนธรรพ์ บทที่ 5 : เจ้ากรรมนายเวร

อลวนคนธรรพ์ บทที่ 5 : เจ้ากรรมนายเวร

โดย : ตรี อภิรุม

Loading

อลวนคนธรรพ์  จินตนิยายสุดสนุกเรื่องล่าสุดของ ตรี อภิรุม นวนิยายที่จะทำให้คุณตระหนักถึงบาปบุญคุณโทษ และสนุกสนานไปกับจินตนาการอันสุดแสนตระการตา ได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่คุณตาตรีใจดี มอบไว้คุณผู้อ่านได้อ่านกัน 5 บท ซึ่งหากใครติดใจและอยากซื้อเก็บเป็นเล่ม สั่งซื้อกันง่ายๆ เพียงแจ้งชื่อหนังสือที่ต้องการทางกล่องข้อความของแฟนเพจ > m.me/read.groove.publishing  และหากต้องการซื้อเป็น e-book ก็ คลิก ที่นี่ ได้เลย

*************************

– 5 –

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

คนทั้งสองเคลื่อนร่างรอบบริเวณสนาม สัมผัสเงาร่มของแมกไม้สลับกับแสงแดด  ลมพัดเย็นสบายตามธรรมชาติ

เริงธวัชขุมขนกรูเกรียวไม่หยุด ม่านตาขยายกว้าง

ช่างน่าอัศจรรย์นัก!

ไม่ทราบว่ามณทินีพาเขาพ้นจากบ้านตึกเมื่อใด สู่อุทยานไม้ดอก สภาพคล้ายสวนหลวงร.9 ทิวทัศน์สวยงามให้ความเพลิดเพลิน

ชัยภูมิเปลี่ยนไปรวดเร็ว

ทั้งมณทินีกับเริงธวัชกำลังชมปราสาทหินยุคขอมเรืองอำนาจ หินแต่ละแท่งสะท้อนถึงสถาปัตยกรรมและภูมิปัญญาของคนสมัยโบราณ

ชายหนุ่มหมุนไปรอบๆ ตื่นตาตื่นใจกับความอ้างว้างวังเวง

บัดดล ฝูงนกบินพึ่บพั่บออกจากทวารปราสาท นกกระจอกเป็นพื้น

จำได้แม่นยำฝูงสัตว์ปีกที่เคยยิงตายสมัยที่เขายังเป็นวัยรุ่น

วิหคมหากาฬบินกระจายล้อม รุมจิกตีเขา

“อย่า!”

ยกมือปัดป้องอุตลุด ซวนเซล้มตุ้บ

“คุณเริง ไม่สบายหรือคะ”

เจ้าของนามตกตะลึงพรึงเพริด เขาหกล้มที่สนามของบ้านตึก ยันร่างสปริงกายยืนขึ้นรวดเร็ว

ไม่มีฝูงวิหคอาฆาต และประสาทมลังเมลือง

“พาผมไปทัศนาจรใช่ไหมครับ?”

มณทินีคลี่ยิ้มหวานละมุน ดวงตาดำขลับซ่อนแววขบขัน

“ทัศนาจรที่ไหนคะ เราก็เดินวนเวียนอยู่รอบๆ สนาม นุ้ยเห็นคุณแหงนมองเหม่อ ปล่อยใจสบายอารมณ์ก็เลยไม่อยากรบกวน”

“ถามจริงๆ เถอะ คุณนุ้ยเห็นนกมากกว่าร้อยตัวรุมจิกตีผมหรือเปล่า?”

“ไม่เห็นค่ะ”

“ประหลาด ยังงั้นผมก็คงจะฝันกลางวันแสกๆ”

“เรื่องเป็นยังไงคะ?”

เริงธวัชลังเล  ขบกรามนิ่งไตร่ตรองเผลอเหลือบมองมอเตอร์ไซค์ที่จอด ตัดสินใจเล่าเหตุการณ์โดยละเอียด แถมพกว่า

“เชื่อแล้ว ผมไม่ใช่คนเข้มแข็ง ที่แท้จิตอ่อนประสาทหลอนค่อนไปทางจิตเภท”

สาวสวยขบริมฝีปากครุ่นคิด ขณะที่หล่อนตระเวนตามหาคนธรรพ์ในโลกโอปปาติกะ เขากลับย้อนรอยมาติดต่อในโลกมนุษย์เล่นเอาเถิด

“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ คุณเริงปรกติเพียงแต่ว่าผ่านทะลุอีกมิติหนึ่ง ช่วงเวลาสิบนาทีโดยประมาณ”

“ผมไม่เข้าใจอยู่ดีน่ะแหละ”

“ลองทำบุญกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้นกที่คุณยิงตาย เผื่อว่าจะลบล้างภาพบาปที่แฝงอยู่ในจิตใต้สำนึก”

ผู้ฟังหัวเราะแหะ กระตุกไหล่แบมือผายออก

“ไม่งี่เง่าไปหน่อยหรือครับ”

“ก็สุดแล้วแต่จะคิด ตัวของคุณเองมีสิทธิ์จะทำสิ่งที่ดีที่สุด โดยที่ผู้อื่นไม่เดือดร้อน”

“ผมขอกลับไปก่อนก็แล้วกัน ตอนนี้ยังปรับอารมณ์ปรับใจไม่ลงตัว”

มณทินีไม่ทักท้วง เริงธวัชอำลาญาติผู้ใหญ่บางคน ออกไปขึ้นรถเก๋งคันหรูที่จอดนอกกำแพงรั้ว

หล่อนเตร่รอจำเลยรายสำคัญ ตั้งใจจะซักฟอกจนกระทั่งคนธรรพ์จนมุม กระทู้เด็ดๆ เต้นยิบอยู่ในลำคอ เตรียมจะระเบิดพรั่งพรู

นานพอสมควร….

บัดนี้…ร่างสูงโย่งองอาจของคนธรรพ์ก้าวยาวๆ ลงจากตึก ผ่านมาตามทางเดินซีเมนต์บล็อกรูปตัวหนอน

ลูกสาวคุณหญิงยุพาพรขวางสกัด

“สวัสดีค่ะ ดิฉันขอคุยด้วยสักประเดี๋ยว หวังว่าคงจะไม่เสียประโยชน์คุณ”

“เชิญครับ”

คนธรรพ์ค้อมศีรษะโก้กึ่งล้อเลียน ประกายแฝงยิ้ม

“วันก่อนเล่นบทเมสเซนเจอร์ วันนี้เล่นบทหมอหัตถศาสตร์ ขอถามหน่อยคุณจะเล่นสักกี่มิติกี่ภาคคะ”

ฝ่ายตรงข้ามแกล้งสะดุ้งเบิกตาโต อ้าปากรูปตัวโอแคบๆ

“ใช่ ผมเป็นเมสเซนเจอร์ แต่เมื่อมีเวลาว่างผมรับงานจ๊อบหมอนวดยุคไอเอ็มเอฟ.คนเราต้องขวนขวายหาเงินมันผิดนักเชียวหรือครับ?”

เอากับพ่อซิ กลมหมุนได้รอบตัวปานลูกบิลเลียด จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน มณทินีกระแทกเสียงค่อยๆ

“พอตกกลางคืน ค่อยก่อกวนสมาธิสร้างภาพมายาสารพัด แม้แต่ในความฝันก็ไม่ละเว้น ถามจริงๆเถอะ คุณเป็นอะไรกันแน่ เทวดา วิญญาณเร่ร่อน หรือว่าเปรตอสุรกายที่ดุร้ายที่สุด”

ชายหนุ่มหัวร่อก๊าก ใบหน้าคมสันอ่อนเยาว์ราวกับวัยรุ่น

“ผมก็เป็นผมน่ะสิครับ ชื่อคนธรรพ์คล้องจองกับคุณพ่อคเชนทร์ ดูเหมือนผมเคยเรียนให้คุณนุ้ยทราบครั้งหนึ่งแล้ว”

“ไหนๆ คุณก็เก่ง อานุภาพเหนือมนุษย์ลองเหาะให้ดิฉันชมหน่อยซิ”

“โอ…สบายมาก ถ้าผมมีเงินแยะจะขึ้นเครื่องบินไปทัวร์ต่างประเทศ”

“แปลก” สาวโสภาเคร่งขรึม แววตาระยับ

“คนที่ไม่ใช่คนบางทีก็กะล่อนยิ่งกว่าคน มะรืนนี้ดิฉันจะไปงานแต่งงานเพื่อนรัก หวังว่าจะเจอคุณเข้าไปแจม”

“ทราบหรือเปล่า ผู้หญิงที่เครียดเสมอแก่เร็ว ลาก่อนครับผม”

บุรุษลึกลับจูงมอเตอร์ไซค์แดดร่มตลอดเส้นทางผ่านประตูรั้ว สตาร์ทเครื่องเร่งบรื้นชั่วอึดใจก็เหลือแต่ความเงียบ

มณทินีขึ้นตึกใหญ่ รวมกลุ่มญาติพี่น้อง นั่งเก้าอี้นวมเคียงข้างม.ร.ว.แสงโสม

สีหน้าชราของท่านแช่มชื่น สบายตัวสบายอารมณ์ สุภาพสตรีสูงวัยปรารภ

“หมอนวดฝีมือเยี่ยมที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบ หายปวดเมื่อยเป็นปลิดทิ้ง เห็นท่าจะติดต่อเป็นขาประจำ ถ้าไม่ฝืนตัวเองไว้บ้างคงจะหลับผล็อย”

ถึงขนาดนั้นเชียวหรือครับ คุณยาย

ธนัชชัยถามเรียบๆ ทั้งที่อยากจะหัวเราะ

“จ้ะ ยายเผลอเคลิบเคลิ้ม รู้สึกเหมือนตัวลอยเคว้งคว้างอยู่บนปุยเมฆ แสงสีระยิบระยับพร่างพรายสวยงาม แว่วเสียงพิณไพเราะแต่ไม่เห็นคนเล่น ฝูงนางระบำแต่งชุดแพรพลิ้วสีรุ้ง ร้องรำทำเพลงไกลลิบ ”

“ คุณยายฝันค่ะ”

ศรีประภัทรลูกสาวคนกลางของคุณหญิงยุพาพรทักขึ้น

“คงจะทำนองนั้นจ้ะเท่ากับเราขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น หรืออยู่ในดินแดนเนรมิตอยากจะฝันอีกซ้ำซากไม่จำกัด”

“เริงธวัชแนะนำหมอนวดอันดับพิเศษ นุ้ยน่าจะขอบใจเขา”

คุณหญิงยุพาพรพูดกับธิดาคนโต มณทินีรับปากเต็มไปด้วยความรู้สึกหลายอย่างสับสนอลเวง

แต่ที่แน่ๆ ก็คือ คนธรรพ์เล่นเกมอลวนกับหล่อน ทั้งภาคสวรรค์ ภาคพื้นดินและทุกมิติ

เล่าให้ใครฟังใครจะเชื่อ นอกจากขำกลิ้ง หาว่าหล่อนประสาท อาการใกล้เคียงจิตเภท

งานวิวาห์อิงบังอรจัดขึ้นที่เอเดนนิค รูม โรงแรมระดับห้าดาว ไม่ต้องสงสัยว่าจะไม่ใช่งานช้าง

บุคคลชั้นสูง ตั้งแต่เชื้อพระวงศ์ รัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. นายพล เศรษฐี มหาเศรษฐี ชนชั้นผู้ดีไฮโซมากันเพียบ แขกเหรื่อล้นหลามออกมาจนถึงโถงทางเดินด้านนอก

มณทินีกับครอบครัวมาถึงบริเวณงานตอนเย็น ที่โต๊ะปฏิคมแขกรับเชิญค่อนข้างจะแออัด จนถึงกับเข้าคิวต่อแถวตามวัฒนธรรมอันดีงาม

สตรีผู้เลอลักษณ์หัวใจเต้นแรง ดุจกลองประโคม

“นั่นไง ให้มันได้ยังงี้สิ คนธรรพ์ทำหน้าที่ปฏิคมต้อนรับแขก ยอดซุปเปอร์แจม”

ต่อคิวเคลื่อนเข้าไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ถึงโต๊ะปฏิคม

นั่งสามคนชายหนึ่งหญิงสอง  คนธรรพ์แต่งสูทสีนกพิราบอยู่กลางระหว่างสองสาว

“นึกแล้วว่าจะเจอคุณที่นี่อีก” มณทินีเอ่ยเสียงนิ่มๆ ปนหัวเราะแผ่วลึก

“ถ้าเป็นลอตเตอรี่แทงถูกยังงี้คงจะรวยอื้อ”

ฝ่ายตรงข้ามยิ้มทะเล้น ตอบเสียงกระซิบยั่ว

“คุณนุ้ยรวยล้นฟ้า ยังจะหวังลาภลอตเตอรี่อีกหรือครับ”

ไม่อาจต่อความยาวสาวความยืด เพราะแขกผู้มีเกียรติต่อแถวรอเบื้องหลัง มณทินีมอบซองเช็คของขวัญ เขียนคำอวยพรคู่สมรส รับของชำร่วยตามออกไปสมทบกับกลุ่มสมาชิกครอบครัว

คุณธณพพาคุณหญิงยุพาพรออกไปรดน้ำอวยพรคู่บ่าวสาว เมื่อสบโอกาสเหมาะสาวสวยลองเลียบเคียง

“นายหมอนวดคนโปรดของคุณยายปฏิบัติงานอยู่ที่โต๊ะปฏิคม คุณแม่เห็นหรือเปล่าคะ?”

“งั้นหรือจ๊ะนุ้ย แม่ไม่ทันสังเกต”

“เขาเป็นเมสเซนเจอร์ หมอนวด แถมยังช่วยงานด้านปฏิคมให้ยายอิง แบ่งภาคได้มากมายเหมือนนารายณ์สี่กร”

“ความสามารถเฉพาะตัวน่าชื่นชม” ท่านชำเลืองไปทางชาวไฮโซที่เคลื่อนไหวสับสน

“เอ, พ่อแม่คงจะกลับก่อนจ้ะ ส่วนนุ้ยกลับพร้อมกับเพียร”

ธนัชชัยสนองรับคำสั่งมารดา เสร็จจากการทักทายเพื่อนฝูงเก่า คุณธณพก็ชวนภรรยาอาวุโสออกจากเอเดนนิค รูม ที่โต๊ะจึงเหลือแต่สองพี่น้อง

คนทั้งสองทักทายเพื่อนกลุ่มโน้นบ้าง กลุ่มนี้บ้างแทบจะไม่อยู่นิ่งสงบตามประสาคนที่กว้างขวางในวงสังคม เริงธวัชเพิ่งจะมาถึงแทรกนั่งร่วมสมทบ

“แวะโต๊ะเช็คของขวัญหรือยังคะ”

มณทินีถามเสียงราบเรียบ

“เรียบร้อยแล้วครับ นี่ไงถุงบุหงาชำร่วย”

“คุณเริงสังเกตฝ่ายปฏิคมหรือเปล่าคะ?”

“อ๋อ…ชายหนึ่ง หญิงสอง”

“หมอนวดที่คุณตามมานวดคุณยายนั่งกลาง เขาเก่งนะ รับงานจ๊อบสารพัด”

เริงธวัชย่นหัวคิ้ว ประหลาดใจยิ่ง

“ผมเกรงว่าคุณนุ้ยเข้าใจผิด คนอื่นนะครับ ไม่เคยรู้จัก”

“เชิญพิสูจน์ค่ะ”

สาวโสภาลุกขึ้นจากเก้าอี้อันดับแรก ชอบนักได้เคียงคู่หล่อน เขาไม่ยอมพลาดโอกาส

ณ โต๊ะยาวด้านนอกห้องจัดเลี้ยง มณทินีตื่นเต้นเล็กๆ ผสมขุ่นเคือง

ไม่มีคนธรรพ์ หากหนุ่มอื่นนั่งแทนตำแหน่ง หล่อนไม่เชื่อว่าตนตาฝาด เขาเล่นเกม ใช้อานุภาพเหนือมนุษย์สร้างความสับสนอลหม่าน

“ช่างเถอะค่ะ นุ้ยตาฝาดเองน่ะแหละ”

คืนนั้น บรรยากาศชื่นมื่น พบปะสังสรรค์ระหว่างมิตรสหายบางรายไม่ได้พบกันนานแรมเดือน พิธีกรพูดไมโครโฟนเชิญแขกผู้ใหญ่ขึ้นเวทีอวยพรคู่บ่าวสาว ขณะที่อิงบังอรกับเจ้าบ่าวตระเวนพบแขกเหรื่อแต่ละโต๊ะกล่าวขอบคุณถ่ายรูปหมู่

ทั้งสองถูกเพื่อนช่างเล่น ขอร้องให้จูบกัน เรียกเสียงปรบมือกราว สนุกสนานเฮฮา

ในที่สุดคู่สมรสก็ผ่านมาถึงทักทายมณทินี ธนัชชัย และเริงธวัช หัวเราะแจ่มใสสดชื่น

“อิงจะไปฮันนีมูนประเทศไหนจ๊ะ?”

“ไทยแลนด์จ้ะนุ้ย ภูเก็ตนี่เอง”

“เผื่อตอนกลางวัน ฉันมีธุระด่วนจะโทร.ถึงอิง ขัดความสุขส่วนตัวหรือเปล่า?”

ถึงคราวที่อิงบังอรจะขวยเขิน ใบหน้าที่แต่งสวยแดงระเรื่อ

“ไม่จ้ะ เชิญนุ้ยตามสะดวก”

มณทินีเอื้อมจับมือเพื่อนบีบ ก่อนที่เจ้าบ่าวจะคล้องแขนพาไปที่โต๊ะอื่น

เวลาผ่านไป…เลี้ยงอาหารบุฟเฟ่ต์  คอนเสิร์ตจากนักร้องชื่อดังบรรเลงกล่อม สร้างความสำราญแก่ญาติมิตร

บัดนี้ ธนัชชัยขับรถเก๋งคันหรูเลี้ยวออกจากโรงแรม พี่สาวคนสวยนั่งข้าง

การจราจรไม่สะดวกนัก พาหนะยังเลื่อนไหลไปได้เรื่อยๆ ครู่เดียวก็ติดสัญญาณไฟที่สี่แยก

เด็กผู้ใหญ่ขายพวงมาลัยเดินเตร่ ต่างชูไม้ชูมือใช้ภาษาใบ้ให้คนขับอุดหนุนสินค้า

มณทินีตาไวเหลือบพบคนธรรพ์ เขาก้มตัวลงใกล้ช่องกระจกพยักพเยิดให้ซื้อ

“นัช อุดหนุนเจ้านั้นเขาหน่อยเถอะจ้ะ”

“พวงมาลัยค้าง ไม่หอมนะพี่นุ้ย”

“เอาน่า ช่วยซื้อเขาสักพวงนึง”

น้องชายเลื่อนกระจกไฟฟ้าลงต่ำ หล่อนยื่นธนบัตรยี่สิบบาทรับพวงมาลัยอุบะจำปาจากพ่อค้าหนุ่มกำลังจะเหน็บแนมอะไรสักประโยค

โอ…โน่นอะไรกันเล่า?

คู่กรณีเกือบจะสะดุ้ง พ่อค้าวัยกลางคนร่างผอม แก้มตอบศีรษะเถิกง่ามถ่อ หาใช่คนธรรพ์ไม่ หล่อนไม่เชื่อว่าตนตาฝาด หากเกิดจากอิทธิวิธีของอมนุษย์รูปงาม

“เห็นไหม ผมบอกแล้วไงไม่หอม”

“นึกเสียว่าเราสนับสนุนอาชีพสุจริต ดีกว่าเขาขายอย่างอื่นที่เป็นพิษเป็นภัยแก่สังคม”

ครู่ใหญ่ ยานพาหนะคันโปรดก็เลี้ยวเข้าคฤหาสน์และจอดในโรงรถ

ธนัชชัยขึ้นตึก คุณหญิงยุพาพรที่เดินเตร่รับลมเย็นทักทายลูกสาว ไต่ถามบรรยากาศของงานสมรส มณทินีเล่าความตลอด ยกเว้นกรณีที่เกี่ยวกับคนธรรพ์

วินาทีนั้น สาวสวยเย็นวาบจากไขสันหลังขนลุกซู่ หูแว่วเสียงพิณไพเราะ เสมือนจากดินแดนทิพย์ไกลโพ้น

“คุณแม่ได้ยินเสียงพิณไหมคะ?”

มารดาเหลียวขวับ มองทายาทเต็มตาแสดงความห่วงใยลึกซึ้ง

“เท่าที่แม่สังเกต ตั้งแต่นุ้ยฝึกสมาธิที่ศาลากลางสวนชักจะมีพฤติกรรมแปลกๆ น่าเป็นห่วง นี่ก็หูแว่วอีกแล้ว แม่คิดว่าลูกควรจะเลิกเข้ากรรมฐาน ก่อนที่มันจะถลำลึกไปมากกว่านี้จ้ะ”

มณทินีเกือบสะดุ้งใจหายวาบ คนธรรพ์ทำเจ็บปวดมาก พฤติกรรมของเขาไม่ใช่ทะเล้นหยอกล้อเล่นเอาเถิด แต่ขัดขวางการฝึกสมาธิปฏิบัติธรรม

มารแห่งมรรคผลนิพพานศัตรูตัวร้ายกาจ

“คอยดู เจอหน้าเมื่อไหร่ฉันจะจวกแหลก”

วินาทีนั้น คุณหญิงยุพาพรเหลียวลอกแลกกะพริบตายิบๆ ครั้นแล้วก็คลี่ยิ้มอ่อนโยน

“โอ…แม่ก็ได้ยินจ้ะ ลมส่งมาไกลลิบคาดว่าคนสมัยเก่าดีดพิณ”

ผู้ฟังโล่งอกแสดงว่าคนธรรพ์ควบคุมสถานการณ์ตลอด เมื่อตระหนักว่าหล่อนตกเป็นจำเลยจิตเภทของคุณแม่จึงช่วยแก้ไขผ่อนปรน

ลูกสาวก้าวขึ้นเฉลียงหินขัด ท่านถามไล่หลังตบท้าย

“คืนนี้นุ้ยจะนั่งสมาธิในศาลาหรือเปล่าจ๊ะ?”

“กลับจากงานเลี้ยงเหนื่อยค่ะ นุ้ยคิดว่าจะว่างเว้นเสียบ้าง”

“ดีจ้ะให้จิตสมองของคนเรามีโอกาสพักผ่อน ถ้าลูกหมกมุ่นทางนี้มากเกินไปอาจจะป้ำๆ เป๋อๆ สติสตังบกพร่อง”

มณทินีไม่โต้แย้งเสียเวลาเปล่า คุณหญิงยุพาพรเข้าใจคลาดเคลื่อน การเข้ากรรมฐานหมายถึงการละวางลดกิเลสไม่ใช่เสริมกิเลสจนเป็นบ้าเป็นหลัง

หล่อนอาบน้ำ ชโลมโอดิโคโลญจน์หอมกรุ่นสวมชุดลำลองแพรเนื้อนุ่ม แว่วเสียงพิณทิพย์เบาๆ เสนาะโสต ประหนึ่งเรียกร้องให้หล่อนลงไปที่ศาลากรุมุ้งลวดกลางสวน

“เช้อ… เมินเสียเถอะ ทำไมฉันจะต้องร้องรำทำเพลงไปตามเสียงปี่เสียงกลองที่คุณกำหนด”

สวดมนต์สามจบกราบหมอน เอนกายระนาบบนเตียงเพียงไม่กี่นาที มณทินีก็หลับปุ๋ย

 



Don`t copy text!