พระเอกพยับแสง บทที่ 1 : ตะวันดับ

พระเอกพยับแสง บทที่ 1 : ตะวันดับ

โดย : ตรี อภิรุม

Loading

พระเอกพยับแสง นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ โดย ตรี อภิรุม เมื่อการปรากฏตัวของเขาในวันสุริยุปราคราเต็มดวงสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับชุมชนที่เคยสงบ ทั้งหมดเกิดจากฝีมือของเขา ผู้ที่มากับลัทธิประหลาดที่นำพาผู้คนมากมายให้ศรัทธาใช่ไหม เขาคือใคร ‘เทวา’…’ซาตาน’ หรือปีศาจในคราบนักบุญ

 

สุริยคราสเต็มดวง!

ข่าวนี้กระพือฮือโหมจากสื่อสารมวลชนทุกแขนง ล่วงหน้าหลายสัปดาห์ต่อเนื่อง มันเป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ภายในรอบเจ็ดสิบห้าปี หมายความว่าชั่วชีวิตของคนเราจะมีโอกาสชมเพียงครั้งเดียว ยุคสื่อสารไร้พรมแดน เหตุเกิดทุกมุมโลกรู้ทั่วถึงกันหมด

ฉะนั้น ข่าวสุริยุปราคาเต็มดวงจึงได้รับความสนใจจากประชาชนทั้งไทยและเทศ ทุกระดับ ทุกอาชีพ ตั้งแต่วัยเด็กไปจนถึงเฒ่าชะแร นักท่องเที่ยวหลายประเทศเดินทางมาเมืองไทยเพื่อชมปรากฏการณ์ครั้งสำคัญยิ่ง ทำให้เศรษฐกิจของคนบางกลุ่มฟู่ฟ่าขึ้นชั่วระยะหนึ่ง

ลานสกาเป็นตำบลหนึ่งที่แนวคราสผ่าน กอปรกับอยู่ในเขตอำเภอเมือง ท้องถิ่นพัฒนา ชุมทางของรถเมล์หลายสายมีหลายโครงการของรัฐที่รอการสร้าง แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะยึดอาชีพเกษตรกรรม แต่ลานสกาก็ค่อนข้างเจริญเมื่อเทียบกับตำบลอื่นๆ

“ข้างนอกผู้คนเยอะแยะไหมนุช”

คุณอรุณเทศถามลูกเลี้ยง วัยของเขาหกสิบเศษ ผมดำแซมหงอกเล็กน้อย การรักษาสุขภาพดีเยี่ยม ทำให้ไม่ลงพุงและหน้าดูอ่อนกว่าอายุจริงหลายปี ใครที่มองเผินๆ คิดว่าเขาวัยสักห้าสิบเจ็ด

“มากมายหลามไหลนับหมื่นเชียวค่ะ ไม่รู้มาจากไหนต่อไหน” สินีนุชตอบนอบน้อม ร่างของหล่อนสวยสะคราญ จัดว่าเป็นดอกไม้งามประจำตำบล “ที่โรงเรียนใหญ่ พวกญี่ปุ่นขออนุญาตตั้งแคมป์ พร้อมด้วยกล้องส่องดูดาว”

“ข้าวของที่ร้านเราคงจะขายดี”

“ค่ะ คุณลุง ผู้คนจำนวนมหาศาล ความต้องการเครื่องอุปโภค-บริโภคก็ย่อมจะมากขึ้นเป็นเงาตามตัว”

สินีนุชยิ้มแย้ม แต่จิตใจไม่สู้จะคล้อยตามเท่าใดนัก

บิดาเลี้ยงเปิดร้านค้าคล้ายมินิสโตร์ในกรุงเทพฯ เป็นตึกแถวคูหาเดียว จัดหรู ตั้งชื่อว่า ‘คุ้มเกล้า’ มีสินค้าเกือบทุกชนิด สิ่งละอันพันละน้อย การตกแต่งหรู สะอาด ทันสมัยเฟี้ยว เลียนแบบมินิมาร์ตที่เปิดบริการตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แตกต่างกันตรงที่มิได้ติดแอร์ และสินค้ามักจะแพงกว่าร้านอื่น ตั้งแต่ชิ้นละบาทจนถึงห้า-หกบาท

ยุคประชาธิปไตยเฟื่องฟู ครั้งหนึ่งมีการจัดกีฬาสีประจำอำเภอ นักเรียนหลายโรงเรียนเดินพาเหรด ถือป้ายล้อเลียนประท้วงสังคม ป้ายหนึ่งจี้เส้นยิ่งนัก ใครที่รู้ตื้นลึกหนาบางพลอยหัวเราะ หรือไม่ก็อมยิ้ม

“ทุกอย่างแพงกว่า เชิญมาที่คุ้มเกล้า”

เมื่อทราบความ คุณอรุณเทศโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง แล่นไปฟ้องอาจารย์ใหญ่ให้ลงโทษเด็ก อาจารย์ตอบว่าไม่สามารถลงโทษ เพราะนักเรียนไม่ได้ระบุชื่อร้านในตำบลนี้ เป็นเสรีภาพ

นิสัยสุภาพบุรุษอาวุโสเรียบร้อย สุขุมรอบคอบ เจ้าระเบียบ วาจาอ่อนโยนเสมอ แต่บางคราวก็ยอกย้อนอย่างแสบสัน เช่น เคยมีลูกค้าปากจัดเหน็บแนม

‘แหม, คุณลุงคะ ข้าวของที่คุ้มเกล้าแพงยังกะตลาดหน้าคุกแน่ะ’

‘ครับ ก็เราขายเฉพาะคนคุก’

สินีนุชพักห้องเล็กชั้นสอง ตรงกันข้ามกับห้องอาภันพัทธ์ลูกสาวของอรุณเทศที่เกิดจากเมียเก่า อาภันพัทธ์วัยยี่สิบแปด แก่กว่าหล่อนถึงเจ็ดปี แต่สองสาวก็เข้ากันได้อย่างสนิทสนมไม่แตกต่างจากพี่น้อง

เด็กสาวทราบว่าพ่อเลี้ยงเหนียวแน่น มัธยัสถ์ หากไม่จำเป็นแล้วบาทเดียวไม่ยอมเสีย ละเอียดลออยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก สมัยที่เรียนอาชีวะ เขาเคยมองด้วยสายตาแปลกๆ ขณะที่หล่อนกินอาหารภายในครอบครัว ด้วยเหตุนี้เมื่อสินีนุชได้งานที่อำเภอเป็นข้าราชการระดับหนึ่ง จึงบอกแก่มารดาว่า

‘แม่คะ นุชขอซื้ออาหารทานต่างหาก’

พิมพ์ใจรู้บรรยากาศ ไม่ขัดข้อง

 

สาวใหญ่วัยสี่สิบเศษ หน้าตาประพิมพ์ประพายคล้ายสินีนุช ก้าวเข้ามินิสโตร์ คุณอรุณเทศที่รออยู่ถามทันที

“แว่นตาสุริยุปราคาที่ให้ไปซื้อจากโรงงานได้หรือเปล่า”

“ได้มาเพียงห้าสิบอันค่ะ” ภรรยาคนที่สองตอบ “ลูกค้าสั่งซื้อมากมายเหลือเกิน โรงงานผลิตจำหน่ายไม่ทัน วัสดุหมด”

ผู้ฟังย่นหัวคิ้ว บ่นอุบอิบ

“สั่งซื้อสามร้อย ได้แค่ห้าสิบ แย่ชะมัด”

“พี่อรุณก็…” พิมพ์ใจค่อนขอด “ครั้งแรกก่อนสุริยคราสครึ่งเดือน พิมพ์ขอให้ไปสั่งโรงงานสักแปดร้อยอัน พี่แย้งว่าขายไม่หมดหรอก แค่สามร้อยก็เหลือแหล่ ผลลัพธ์เป็นยังไงมั่ง ขายเกลี้ยงตั้งแต่เมื่อวานซืน แย่งไม่ได้แค่นี้นับว่าบุญ หลายรายฟาวล์”

มันเป็นเหตุผลข้อเท็จจริงที่เขาต้องยอมรับ แม้ว่าจะหงุดหงิดไม่สบอารมณ์

กลุ่มวัยรุ่นถามหาแว่นตาติดแผ่นกรองแสง เมื่อเห็นสิ่งนั้นวางในกล่องตู้โชว์ ต่างก็ชี้นิ้วขอให้พ่อค้าหยิบ

“เดี๋ยว…เดี๋ยวก่อนครับ เพิ่งได้ของมายังไม่รู้ว่าจะขายเท่าไหร่”

คุณอรุณเทศคว้าเครื่องคิดเลข กดปุ่มบวก-ลบ-คูณ-หาร ชั่วสอง-สามนาทีก็เงยหน้าขึ้น บอกราคาแว่น

“โอ้โฮ!” นักเรียนอาชีวะรายหนึ่งร้อง “ ของลุงแพงกว่าร้านอื่นตั้งห้าบาท”

“โฮ้ย! แว่นของเราคุณภาพพิเศษ ป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลตและอินฟราเรดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ คุณสวมแล้วไม่แสบตา ปลอดภัยหายห่วง”

นักเรียนคนเดิมหยิบแว่น ซึ่งกรอบก้านทำด้วยกระดาษแข็ง ทำท่าจะทดลองสวม สุภาพบุรุษสูงอายุรีบห้ามเสียงดัง

“อย่า-อย่า แค่ส่องดูก็พอแล้ว หักมุมตรงก้านแว่นจะเสียรูปทรง”

“ของเจ้าอื่นแบบเดียวกันเปี๊ยบ ราคาถูกกว่าด้วย”

“งั้นคุณก็ซื้อเจ้าอื่นสิ ผมจะบอกให้สมัยนี้ของปลอมเลียนแบบแยะ ถนอมดวงตาเรา แพงกว่าห้าบาทคุ้มเกินคุ้ม”

กลุ่มขาโจ๋ถอยห่างหน่อย ซุบซิบปรึกษาหารือ ในที่สุดหัวโจกก็งอนิ้วชี้กับนิ้วโป้งรูปวงกลมและดีดผึง แสดงรหัสว่าตกลง ทุกคนเฮโลซื้อ พวกมาทีหลังหนุนเนื่อง

เพียงสิบนาทีเศษ แว่นตาสุริยุปราคาขายเกลี้ยง คุณอรุณเทศซับเหงื่อที่ขมับ ยิ้มกับภรรยาสาวต่างรุ่น

“เห็นไหม อันที่จริงสินค้าเราก็ไม่แตกต่างกับร้านอื่น ยุคโลกาภิวัตน์ การประชาสัมพันธ์เราต้องรู้จักสร้างภาพ สร้างความรู้สึกที่ดีงาม สินค้าจึงจะไปโลด”

“ใช่ค่ะ”

พิมพ์ใจคล้อยตาม ทั้งที่ในส่วนลึกคัดค้านเงียบๆ แว่นตากรองแสงอาทิตย์ขายดี เพราะมันขาดตลาดต่างหาก หาใช่เกิดจากการโฆษณาชวนเชื่อไม่

หนุ่มวัยรุ่นหุ่นหนาบึกเดินย้อนกลับ ยื่นผลิตภัณฑ์ที่ใช้เฉพาะกิจ

“ลุง ก้านแว่นตาหัก ผมขอเปลี่ยน”

หากคุณอรุณเทศอายุน้อยกว่านี้สักสามสิบปีคงจะกระตุกไหล่พรืด เขายิ้มที่มุมปากแฝงเยาะ

“ก่อนซื้อคุณทำไมไม่ตรวจละเอียด”

“เขาแย่งกันคนละหนุบคนละหนับ ผมเกรงว่าพลาดโอกาส”

“ของหมดแล้ว”

“ว้า! ผมจะทำยังไงล่ะ” เด็กหนุ่มเกาท้ายทอยแกรก “ซื้อเสียเงินเปล่า ไม่ได้ใช้ประโยชน์”

“ซ่อมแซมสิ” พ่อค้าผู้เฉลียวฉลาดแนะนำ “คุณซื้อกาวน้ำ หรือกาวตราช้างติด”

“อ้าว! เสียเงินเพิ่ม ลุงน่าจะอำนวยความสะดวก ผมอุตส่าห์รอนแรมมาจากกรุงเทพ”

“นั่นเป็นปัญหาของคุณ ซื้อกาวหลอดเดียวติดอะไรได้ตั้งหลายชนิด เท่ากับยิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัว อยากประหยัดคุณใช้แขนงไม้ดามก้านแว่น เอาหนังยางรัด”

ความโกรธพลุ่ง นักเรียนอาชีวะสะบัดพรืด เดินไปที่ถนน โก่งคอข้างทางถ่มน้ำลายปริ๊ด

“ถุย! ห่วยแตก หน้าเลือดชิบเป๋ง”

สุภาพบุรุษอาวุโสที่มองตามเกือบสะดุ้ง กัดฟันปลอมกรอด

“ไอ้เราแนะนำถูกทางกลับโกรธ พวกนี้เหมือนอสรพิษ ชอบก้าวร้าว หาเรื่อง”

ภรรยาสาวใหญ่ได้แต่ยิ้มจืดชืด สายตามองดูยวดยานที่แล่นต่อเป็นขบวน บนรถกระบะพวกวัยรุ่นสวมหมวกจ๊อกกี้กลับกะบัง ไชโยโห่ร้องเตรียมต้อนรับสุริยคราสเต็มดวง

 

ใกล้เก้านาฬิกา ที่ถนนเต็มไปด้วยฝูงชนคึกคักราวกับมีงานมหกรรม หลายคนกางร่มบังแดด คุณอรุณเทศบ่นพึม

“เสียดายป่านนี้ยังถามหาแว่นไม่เสร็จ มีอีกสักห้าร้อยอันก็คงจะขายเกลี้ยง”

พิมพ์ใจตื่นเต้นกับคลื่นมหาชน แตกต่างจากวันก่อนๆ ที่ลานสกาค่อนข้างจะเงียบเหงา

“พี่อรุณพวกเขาไปไหนกันคะ”

“ตามสนามโรงเรียน ชายทุ่งป่าแสลงดง”

นักท่องเที่ยวแวะซื้อน้ำขวด น้ำอัดลมกระป๋องและของกระจุกกระจิก รายหนึ่งแอบนินทากับเพื่อน

“ว้า…ปากกาลูกลื่นขายห้าบาท ที่อื่นแค่สี่”

บุรุษเจ้าระเบียบได้ยิน หันมาตอบทันควัน

“ค่าขนส่งแพงครับ ถ้าค่าขนส่งถูกเราก็ยินดีที่จะขายถูก สินค้าเรารับประกันคุณภาพ เขียนหมึกลื่นตลอดแท่ง ประเภทหมึกเขียนฝืด เราโละทิ้งหมด”

ชายหนุ่มสูงเพรียวหล่อล่ำโผล่ที่ร้านคุ้มเกล้า ก่อนอื่นพนมมือทำความเคารพสองสามีภรรยา

“คุณนุชอยู่ไหมครับ”

“อยู่ค่ะ”

พิมพ์ใจตอบ พร้อมทั้งร้องเรียกลูกสาว ทรงกลดนิสัยโอบอ้อมอารี เป็นรายหนึ่งที่ติดพันสินีนุช ไม่เคยกีดกันทายาท ให้เสรีภาพในการคบหาเพื่อนต่างเพศ

“ผมมารับเธอไปดูสุริยุปราคาเต็มดวง”

“นัดกันไว้แล้วแล้วเรอะ”

คุณอรุณเทศถามขึ้น สีหน้าราบเรียบ ซ่อนความไม่พอใจไว้ในส่วนลึก ดูเหมือนเขาจะกีดกันผู้ชายทุกคนที่มาเกาะแกะแทะเล็มลูกเลี้ยงคนสวย เพียงแต่ว่าต่อต้านเงียบๆ ด้วยลีลาชั้นเชิงไม่โจ่งแจ้งเปิดเผย

คนที่รู้นิสัยหยุมหยิม หาว่าหวงลูกเลี้ยงยิ่งกว่าลูกสาว

“ครับ คุณลุง”

“จะไปที่ไหนกัน”

“คงจะแถวๆ สนามสภาตำบล หรือไม่ก็หลังตลาดฮะ”

“คนแน่น รถติดเหมือนตังเม” ปรารภเชิงขัดขวางกลายๆ “ขึ้นรถหรือเดินเหินไม่สะดวกทั้งนั้นแหละ ผมกะจะเปิดทีวีดู ไม่ต้องสวมแว่นด้วย”

“ทีวีก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง เราได้เห็นการถ่ายทอดจากหลายสถานที่พร้อมกัน แต่สำหรับผมคิดว่าการออกไปชมสัมผัสกับเหตุการณ์จริง ให้ความสดใหม่มีสีสัน เพิ่มความตื่นเต้น”

สินีนุชลงมาจากชั้นบน หล่อนนุ่งยีนส์ สวมเสื้อเชิ้ตแบบผู้หญิง ใบหน้าสวยพริ้งนวลเนียน มารดาเตือน

“เอาร่มไปด้วยสิจ๊ะ”

เด็กสาวรับปาก เพียงชั่วประเดี๋ยว ทั้งทรงกลดและสินีนุชก็หายไปในความหลามไหลของฝูงชน

“พิมพ์ไม่น่าจะปล่อยนุช พ่อของทรงกลดเป็นอดีตภารโรง พื้นเพระดับล่าง”

“อดีตไม่สำคัญเท่าปัจจุบันและอนาคตหรอกค่ะ” ภรรยาสาวแย้มเสียงหวานละมุน “ทรงกลดทำงานวิศวกรอนาคตรุ่งเรืองทีเดียว นุชเป็นเด็กรุ่นใหม่เราควรปล่อยตามใจเขาบ้าง ไม่ใช่คอยตีกรอบหมดทุกเรื่อง”

คุณอรุณเทศเงียบงัน ถึงอย่างไรเขาก็เกรงใจภรรยาแม่ม่ายพอสมควร เพราะพิมพ์ใจมิใช่ตัวเปล่ายากไร้ หากเป็นเจ้าของทรัพย์สินจำนวนหนึ่งจากการหย่าร้างสามีเก่า

มินิสโตร์ ‘คุ้มเกล้า’ ที่สำเร็จเป็นรูปธรรมขึ้น ได้เงินก้อนโตของหล่อนสนับสนุน ช่วยให้เขาไม่เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวในบั้นปลายชีวิต ซ้ำพิมพ์ใจกับเขายังจดทะเบียนสมรส ไม่ใช่อยู่กินกันเฉยๆ ไร้หลักประกัน

 

เก้านาฬิกาเศษ เงาดวงจันทร์จรดขอบดวงอาทิตย์ ต่อมาคราสก็เริ่มกิน ถนนทั้งสายกลายเป็นอัมพาต ยวดยานติดยาวเหยียด ประชาชนต่างพากันมองปรากฏการณ์ธรรมชาติ รายที่ไม่ได้สวมแว่นกรองแสง ใช้วิธีมองผ่านกระจกรมควันหนา

บุรุษวัยเจ็ดสิบเศษ รูปร่างสันทัดโผล่เข้าร้านคุ้มเกล้า คุณอรุณเทศที่ชมรายการโทรทัศน์เครื่องเล็กเหลียวมอง

“ผู้ใหญ่ ซื้ออะไรครับ”

ฝ่ายตรงข้ามระบายยิ้มกว้าง ซอกแก้มจีบริ้วรับกับลำคอที่เนื้อย่น ตอบเสียงเครือเล็กน้อย

“อย่าเรียกผมว่าผู้ใหญ่บ้านเลย ทุกอย่างมันเป็นอดีตตั้งนมนานแล้ว เดี๋ยวนี้ผมราษฎรเต็มขั้น ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงใดๆ ทั้งสิ้น แค่แวะมาคุยด้วย คุณอรุณอยู่ร้านคนเดียวหรือครับ”

“แฟนเพิ่งออกไปดูสุริยคราสกับลูกสาวเมื่อสักครู่นี้เอง เชิญคุณตินั่ง”

เจ้าของร้านชำไฮเทคเลื่อนเก้าอี้กุลีกุจอ รินน้ำเย็นให้เบ็ดเสร็จ เขาชอบคบค้านายติยะ ซึ่งอัธยาศัยใจคอถูกกัน อาจจะเรียกว่าเป็นเพื่อนบ้านที่สนิทที่สุดในลานสกาก็ว่าได้

อดีตผู้ใหญ่บ้านจัดว่าเป็นคหบดีคนหนึ่ง ประสบการณ์กว้างขวาง รอบรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับลานสกา ใช่แต่เท่านั้น แกยังธรรมะธัมโม เชี่ยวชาญโหราศาสตร์ ทำนายทายทักแม่นยำ แม้บางครั้งคุณอรุณเทศจะไม่ค่อยเชื่อ แต่ก็ยังฟังหูไว้หู

“ลูกสาวคนไหนครับ”

“อ๋อ อาภันพัทธ์” แล้วก็ถือโอกาสคุยเชิงโอ้อวด “ผมโชคดีอย่างหนึ่ง ลูกตัวเข้ากับแม่เลี้ยงได้สนิทสนม ไม่ก่อเรื่องทะเลาะวิวาทให้คนกลางปวดขมอง”

นายติยะพยักหน้าเหี่ยวตกกระเนิบเชิงคล้อยตาม

“จริง ครอบครัวสันติสุขแบบคุณอรุณหายาก คนเราไม่ว่าจะยากดีมีหรือจน หากครอบครัวสงบสบาย ต้องถือว่าเป็นกำไรชีวิตอันดับแรก”

“ปีนี้เขาว่าราหูแรง พวกดาราวัยรุ่นประสบอุบัติเหตุรายแล้วรายเล่า”

“ในสายตาผมว่าดาวยูเรนัส ดาวอังคาร ” อาคันตุกะวัยดึกมองจอโทรทัศน์ “แง่โหราศาสตร์สากล ถือว่าราหูเป็นเพียงจุดสกัด มีความหมายแค่เพื่อน การคบหาสมาคมเท่านั้นเอง ราหูไม่ได้ร้ายแรงอย่างที่สื่อมวลชนบางฉบับประโคมข่าว”

“สุริยุปราคาเต็มดวงหรือตะวันดับครั้งนี้ล่ะครับ จะเกิดอะไรขึ้นกับเมืองไทยบ้าง”

นักวิชาการนอกระบบเกาหลังใบหูริมผมแซมหงอก นัยน์ตาขุ่นมัวฉายแววครุ่นคิด

“ผมไม่อยากพูดเรื่องบ้านเมือง มันกว้างเกินไป เอาแค่บริเวณพื้นที่ที่เงาคราสเต็มดวงผ่าน สิ่งชั่วร้ายอาจจะอุบัติขึ้นในรูปของความดีงาม อธิบายยาก สมมุติว่าเทวดาเกิดขึ้น ก็อย่าเพิ่งแน่ใจนักจนกว่าเราจะพิสูจน์แน่ชัด ยังไงก็ตาม…” แกป้องปากหัวเราะ “สงสัยว่าลานสกาจะไม่เงียบเหงาเหมือนก่อน”

“ดีครับ ผมเองก็อยากจะให้เป็นแบบนั้น เพิ่มพูนด้านเศรษฐกิจ ขยายขอบเขตความเจริญมาสู่ภูมิภาค ไม่ใช่อะไรต่อมิอะไรไปชุมนุมอยู่ที่กรุงเทพทั้งหมด”

“มันคงจะไม่เป็นแบบที่คุณคาดคะเน สิ่งที่เราควรจะสังวรก็คือ ปีศาจคาบคัมภีร์ ซาตานจำแลง ”

คุณอรุณเทศยิ้มที่มุมปาก เชื่อว่านายติยะพล่ามเพ้อเจ้อเหมือนนักวิชาเกิน เขารู้สึกว่าบางครั้งบางคราวแกแสดงออกไม่เต็มบาท เหลือบมองฝูงชนยวดยานที่เคลื่อนตัวช้า แออัดเต็มถนน

“คราสกินแหว่งเกือบจะครึ่งแล้ว ใกล้จะเต็มดวง ผมต้องปิดร้าน กลัวถูกปล้น”

คำปรารภนั้น ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่า โดยมารยาทแกควรจะทำอย่างไรต่อไป พลางลุกขึ้นยืน ลูบคลำแว่นกรองแสงในกระเป๋าเสื้อ

“เอ ผมเห็นท่าจะออกไปดูของจริงข้างนอก”

 

บริเวณสนามสภาตำบล มหาชนชุมนุมแน่นขนัด ส่วนใหญ่นักทัศนาจร หน่วยราชการตั้งกล้องส่องดูดาว พร้อมตั้งแคมป์

สินีนุชกับทรงกลดรวมอยู่ในจำนวนนี้ด้วย ไม่อาจกางร่ม เพราะเกะกะกีดขวางสายตาผู้อื่น มันจึงกลายเป็นส่วนเกิน ชายหนุ่มใช้ห้อยคล้องแขน

ขณะนี้อากาศขมุกขมัวยิ่งขึ้นเรื่อยๆ นักท่องเที่ยวคุยซุบซิบ ล้วนแล้วแต่แง่ดาราศาสตร์ทั้งสิ้น

“เศรษฐีบางคนกลัวราหูอมพระอาทิตย์ บินหนีไปพักต่างประเทศ”

“งี่เง่า…มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ ไอ้เรื่องร้ายๆ ถ้ามันจะเกิดก็ย่อมเกิด”

เสี้ยวตะวันเรียวลงทุกขณะ มืดมัวเหมือนเวลาโพล้เพล้ ดวงอาทิตย์เป็นรูปลูกปัดเบลีย์ เพียงไม่กี่วินาทีก็แปรสภาพเป็นไดมอนด์ริง และเงาพระจันทร์ทับดวงอาทิตย์มืดมิด มองผ่านกล้องจะแลเห็นแสงโคโรนาแผ่รอบดวง ดาวหลายดวงกะพริบแสง ต้นไมยราบหุบใบ เสียงไชโยโห่ร้อง ตีเกราะเคาะไม้เกรียวกราว

บัดดล ลมพายุพัดอื้ออึง มีเสียงบินพึ่บพั่บบนอากาศ

พญาวิหคคล้ายนกอินทรีสองปีกกางกว้างประมาณยี่สิบเมตร ดวงตาคู่แดงก่ำเรืองแสง บินจากเบื้องสูงร่อนลงต่ำ ลับทิวไม้หนาทึบ

ทรงกลดเพียงคนเดียวที่เห็นภาพอัศจรรย์พันลึก!

 



Don`t copy text!