พระเอกพยับแสง บทที่ 4 : ความมืดที่ไม่เงียบ

พระเอกพยับแสง บทที่ 4 : ความมืดที่ไม่เงียบ

โดย : ตรี อภิรุม

Loading

พระเอกพยับแสง นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ โดย ตรี อภิรุม เมื่อการปรากฏตัวของเขาในวันสุริยุปราคราเต็มดวงสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับชุมชนที่เคยสงบ ทั้งหมดเกิดจากฝีมือของเขา ผู้ที่มากับลัทธิประหลาดที่นำพาผู้คนมากมายให้ศรัทธาใช่ไหม เขาคือใคร ‘เทวา’…’ซาตาน’ หรือปีศาจในคราบนักบุญ

ห้องชั้นสี่ของตึกแถวในตลาด แสงเทียนสว่างวับๆแวมๆ เฉิดโฉมเดินวนเวียนหงุดหงิด บ่นอุบอิบกับตนเอง

“ลานสกาตอนดึกไฟดับบ๊อย-บ่อย แตกต่างกับกรุงเทพ เขาว่าไฟสว่างทั้งปี”

เหลือบมองไปทางโต๊ะเล็กพลันเกือบสะดุ้ง หินเหลี่ยมทรงเม็ดจิ๋วเฉดประกายแสงสีรุ้งงามระยับ จำได้ว่าสิ่งที่เหมือนพลอยไม่ได้เจียระไนเม็ดนี้ หล่อนเก็บมาจากสำนักโยคีนันทปุโร

“อุ๊ยตาย! พลอยวิเศษ ไม่อยากเชื่อ”

จดๆ จ้องๆ จะหยิบไม่หยิบ ครั้นแล้วสาวลูกจีนก็ได้ยินเสียงบินพึ่บพั่บเบื้องสูงภายนอก เพียงชั่วเสี้ยวนาทีก็เงียบ

โอ…โน่นอะไรกันเล่า

เงาดำของมนุษย์เพศชายยืนที่ระเบียงดาดฟ้าแคบ ด้วยสัญชาตญาณเฉิดโฉมรู้ว่าไม่ใช่ขโมย

นั่นปะไร!

“โปรดเปิดประตูรับผมด้วยครับ คุณโฉม”

น้ำเสียงกังวานทุ้มโรแมนติก ฟังไพเราะปานดนตรียุคเดอะบิทเติลส์ครองเมือง

เร้าใจทรงอิทธิพลนัก เสมือนสะกดจิต ม่ายสาวพราวเสน่ห์เดินไปถอดกลอนประตูแกรก

หนุ่มนิรนามผ่านเข้าห้อง ร่างสูงเฉียดหกฟุต ผิวสีแทน วัยเบญจเพส หล่อเฟี้ยว จุดเด่นคือจมูกโด่ง นัยน์ตาโตเชื่อมวะวับภายใต้คิ้วดก บุรุษผู้นี้คล้ายคลึงโยคีนันทปุโรราวกับอาหลาน

กลิ่นสาบนกพิราบกรุ่นกระจาย แต่ยามนี้ใครเล่าจะเพ่งเล็งเรื่องกลิ่น

“คุณ…”

เฉิดโฉมขยับปากเงอะงะขวยเขิน ผิวแก้มแดงซ่าน รู้สึกประหนึ่งว่ามือไม้ยาวเก้งก้าง วางไม่ถูกที่

“ผมชื่อนันทนิมิตครับ”

พึ่บ!

ไฟสว่างภายนอกทั่วถึง ยกเว้นแห่งเดียวในห้อง หินจิ๋วสีมุกหยุดเฉดประกายแสง กลายเป็นหินธรรมดาเฉกเช่นที่หล่อนได้มาครั้งแรก

“นันทนิมิต” แม่ม่ายสไตล์หมวยพึมพำดุจเสียงละเมอ “คุณขึ้นมาได้ยังไงคะ ระเบียงดาดฟ้าชั้นสี่สูงออก”

“ความรักไงเล่า ไม่ว่าคุณโฉมจะอยู่ไกลแค่ไหน ผมก็จะดั้นด้นไปถึง”

“รักโฉมจริงเหรอ เรารู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”

“ในฝันละมั้ง”

หนุ่มหล่อแบบเจ้าชายอาหรับพูด ริมฝีปากรูปธนูน้าวยิ้มหรู ดวงตามหาเสน่ห์นั้นเหมือนจะส่งกระแสเจาะทะลุหัวใจฝ่ายตรงข้าม

มือใหญ่นิ้วยาวได้รูปสวยยกประคองใบหน้าเฉิดโฉม สาววัยกระดังงาลนไฟขนลุกเกรียว หน้าแหงนหน่อยๆ โดยอัตโนมัติ ริมฝีปากสีชมพูแย้มเผยอ

อาคันตุกะยามวิกาล ก้มลงจูบบดขยี้อย่างนุ่มนวล หล่อนสะดุ้งน้อยๆ เสียวซ่านรัญจวนสยิว อ่อนระทวย ลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เขาลากคู่สมยอมไปที่เตียง มือโบกมือเทียนขี้ผึ้งดับวูบ

ห้องนอนแล้วมืดสนิท แต่เป็นความมืดที่ไม่เงียบ

 

“เจ๊โฉม ตั้งหกโมงครึ่งแล้วยังไม่ตื่นอีกเรอะ”

น้องสาวเคาะประตูเรียกก๊อกๆ จินตนาวัยยี่สิบแปดปี โสด หน้าตาคล้ายเฉิดโฉมแบบขี้เหร่ เด็กหญิงโสภาธิดาวัยหกขวบของพี่สาว ติดหล่อนมากกว่าแม่

“เอ แปลก ตามปกติตีห้าเจ๊โฉมก็จะตื่นเตรียมทำก๋วยเตี๋ยวขาย ทำไมป่านนี้ยังหลับอุตุ หรือว่าล้มป่วย”

จินตนาทั้งเคาะทั้งเรียกอีกหลายครั้ง ปราศจากปฏิกิริยาใดๆ ตอบรับ ชักจะหวั่นระแวงตามประสาคนคิดมาก

“ชอบกลแฮะ วันวานเจ๊โฉมไปหาโยคีที่ทุ่งแสลงดง ตากแดดตากลม สงสัยจะเป็นไข้หวัด”

หมวยลั้งหรือจินตนาใช้กุญแจอะไหล่ไขประตูกริ๊ก ผลักเปิดสุดบาน สิ่งแรกที่สัมผัสก็คือกลิ่นสาบนกพิราบตลบ อ้าว! ประตูระเบียงดาดฟ้าก็แง้มอยู่ คงจะใส่กลอนไม่สนิทลมพัดเผยอ

เฉิดโฉมนอนตะแคงกอดหมอนข้าง หรี่ตาพริ้ม ยิ้มแป้น ผมดัดฟูสยายเต็มหมอน ผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ ผ้าผวยหล่นลงไปกองที่พื้น

“ตื่นเถอะ เจ๊โฉม”

ผู้ร่วมอุทรเขย่าเรียก ม่ายสาวร่างอวบอัดขยับตัวละเมอ

“พี่นันขา…”

น้องสาวหัวร่อคิก ทราบว่าพี่สาวติดละครโทรทัศน์งอมแงม พระเอกเรื่องนั้นชื่อนันหล่อเฟี้ยว หล่อนหลงใหลใฝ่ฝันขนาดนี้เชียวหรือ

“สายแล้วนะ ช่วยกันบ้างสิ ฉันทำงานสารพัด ไหนจะต้องพายายภาไปโรงเรียน”

เมื่อจินตนายื้อยุดฉุดแขน เฉิดโฉมก็ตีเผียะ เอ็ดตะโร

“อย่ายุ่ง!”

“ดีแล้ว…ก๋วยต๋ง-ก๋วยเตี๋ยวเลิกขาย หมู ลูกชิ้นปล่อยให้เน่า”

“พี่นัน…อย่าทิ้งโฉมนะคะ โฉมรักคุณ”

หล่อนถอยออกห่างคนเพ้อเจ้อนิดหนึ่ง เพ่งพินิจนิ่งเขม็ง ม่ายสาวใหญ่กางมือก่ายกอดลมๆแล้งๆ จูบหมอนเกลือกกลิ้งยิ้มระรื่น กิริยาอาการไม่ผิดอะไรกับผีสิง จินตนาแกล้งเรียกชื่อจีนเพื่อยั่วโมโห

“เจ๊เฮียง!”

“บ้า! แกไปให้พ้นนะนังลั้ง”

ตวาดแว้ด พร้อมทั้งจับหนอนข้างเหวี่ยงผึง ไม่ถูกน้องสาว หมอนข้างกลิ้งไปสิ้นสุดที่ตู้

“ใจคอจะนอนยังงี้ทั้งวันเหรอ”

“ยังเช้ามืด”

“แหกเนตรดูซิว่ากี่โมงแล้ว”

“ช่างข้า”

“ฉันจะฟ้องเตี่ย”

“ได้หน้ากี่ศอกก็เชิญ”

ผู้ปะทะคารมหมุนรีหมุนขวาง บังเอิญเหลือบพบหินเท่าปลายนิ้วก้อยหลายเหลี่ยมสีมุก ปราดเข้าไปหยิบ

ทันทีทันควัน เฉิดโฉมก็แปร๋นขึ้น ขณะลุกพรวด

“หินของข้าเก็บมาจากอาศรมโยคี ใครอย่าแตะ”

ผ้าถุงที่นุ่งไว้หลวมๆ ลุ่ยลงไปกองแทบเท้า ท่อนล่างขาวโว่ง

“ว้าย! ทุเรศ” น้องสาวร้องเบือนหน้าหนีอายแทน “เอาละ ฉันไม่แตะต้อง”

ม่ายสาวคนสวยตะครุบผ้าถุงนุ่ง ขมวดเอวแน่น ทรุดนั่งขอบเตียง วางเท้าเหยียบพื้น หน้างอคว่ำ ผมยุ่งกระเซิง

“ตื่นแล้วก็อาบน้ำอาบท่าซะ พ่อยายภาตายตั้งสามปีแล้ว เจ๊ยังไม่หายเศร้าโศกอีกเหรอ พระเอกละครโทรทัศน์น่ะเป็นแค่เงาในจอแก้ว ไม่ว่าเจ๊จะเพ้อฝันคร่ำครวญสักแค่ไหน มันก็ไม่มีวันจะกลายเป็นความจริง”

“หมวยลั้ง แกไม่รู้อะไรหรอก”

“แน่ละสิ ใครจะรู้จักเจ๊โฉม เท่าตัวของเจ๊เอง”

จินตนาลงจากชั้นสี่ตึกแถว ควบคุมสั่งงานลูกจ้าง เจอทรงกลดเดินผ่านทางเท้า จึงทักทายตามประสาคนคุ้นเคย

“คุณกลดไม่ไปทำงานหรือคะ”

“สักครู่ นี่ผมมาซื้อปาท่องโก๋ให้พ่อ”

พลันนึกออกบางอย่าง หล่อนเรียกเขาไว้

“เดี๋ยวค่ะ คุณกลด จะถามอะไรหน่อย ตอนเช้ามืดฉันได้ยินเขาลือกันแซ่ด ว่าตอนสองยามไฟดับ มีเสียงนกยักษ์บินเวียนวนแถวตลาด ตอนค่อนรุ่งก็บินอีก ฉันมัวแต่หลับเพลิน ไม่ได้ยินค่ะ คุณอยู่ด้านหลังตลาด รู้ข่าวบ้างไหม”

หนุ่มสุดหล่อกะพริบตาปริบๆ นึกทบทวนความทรงจำ ยิ่งกว่าทราบข่าวเสียอีก เขาแลเห็นมนุษย์วิหค จะงอยปากแหลมงุ้ม นัยน์ตาแดงเรืองแสง เรื่องเช่นนี้หากเปิดเผยใครจะเชื่อ ทรงกลดรักษาภาพลักษณ์ของตนเอง ไม่อยากให้ผู้อื่นคิดว่าเขาเสียสติหรือโกหกสะเด็ดยาด

“ผมได้ยิน มันอาจจะเป็นค้างคาวยักษ์ เพราะลานสกาไม่ไกลจากป่าทุ่งแสลงดง”

“พูดถึงทุ่งแสลงดง วันวานเจ๊โฉมไปเฝ้าโยคีนันทปุโร เก็บหินเล็กๆ สีขาวขุ่นได้ก้อนหนึ่ง หวงแหนหลือเกิน”

ชายหนุ่มยิ้มหรูที่มุมปาก ไม่ยอมวิพากษ์วิจารณ์

 

ยามเช้า แสงแดดทอดเงายาวเหยียด บนต้นกร่างใหญ่มีฝูงนกเกาะร้องจิ๊บเจี๊ยบตะเบ็งเซ็งแซ่

ณ ลานดินที่ปรับเรียบ โยคีนันทปุโรยืนเด่น ร่างของท่านสง่างาม จมูกโด่ง นัยน์ตาโตซึ้ง รักกับคิ้วโก่งเข้มยาวจรดหางตา หากแต่งแบบเจ้าชายอาหรับ ใครที่พบเห็นจะเชื่อสนิท

ศิษย์ห้าคนวัยตั้งแต่สี่สิบถึงหกสิบรายล้อม รายอาวุโสที่สุดพนมมือถามเชิงปรารภ

“วันนี้อาจารย์ดูเปล่งปลั่ง กระชุ่มกระชวย สีหน้ามีเลือดฝาด ดูเหมือนจะหนุ่มกว่าวันก่อนสักห้า-หกปี”

ศีรษะเกล้าผมมวยของนักพรตผงกเนิบ ระบายยิ้มอ่อนโยน ริมฝีปากได้รูปสวยราวกับภาพจิตรกรรม

“งั้นเชียวหรือโยม อาตมากำลังจะบอกเคล็ดลับเดี๋ยวนี้แหละ บริหารท่าโยคะทุกวันไงเล่า ทำให้คนเราร่างกายแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าเสมอ แม้ว่าจะอายุเกินร้อย หรือมากมายจนนับไม่ถ้วน”

“สอนกระผมบ้างสิครับ”

บุรุษวัยสี่สิบกะลิ้มกะเหลี่ย โยคีนันทปุโรสบตาศิษย์ สุ้มเสียงทุ้มเนิบทั้งไพเราะและแฝงเมตตาธรรม

“ได้เลย เช้านี้อาตมาจะสอนสานุศิษย์ให้ฝึกโยคะ ท่าสุริยะนมัสการ หรือท่าไหว้พระอาทิตย์ส่งเสริมพลังแห่งความนอบน้อมนิยม เอาละ ทุกคนทำตามอาตมา”

นักบวชศาสนาฮินดูหันหน้าไปทางทิศตะวันออก พนมมือปลายนิ้วจรดคาง เสมือนไหว้สุริยเทพ อธิบายเพิ่มเติม

“สุริยะนมัสการมีทั้งหมดสิบสองกระบวนยุทธ์ ที่เราปฏิบัติขณะนี้จัดว่าเป็นกระบวนแรก ประสกที่อยู่หลังสุดยืนตรงทะมัดทะแมง เราปฏิบัติจริงจัง มิใช่ฝึกเล่นหลอกๆ มิฉะนั้น การบริหารจะไร้ผล”

ผู้ฟังขนลุกเกรียว โยคีนันทปุโรหันหน้าคารวะดวงตะวัน ท่านเห็นข้างหลังได้อย่างไรเล่า มีทิพยจักษุเช่นนั้นหรือ

“หายใจเข้าและหายใจออกเต็มเหยียด ชูสองแขนตรงไปข้างหน้าระดับไหล่คว่ำฝ่ามือ จบกระบวนยุทธ์หนึ่ง ต่อท่าสอง ยกแขนชูขึ้นโน้มไปทางด้านหลัง ท่อนบนเอนตาม”

สานุศิษย์ทั้งห้าทำตามเข้มแข็ง ท่านบรรยายต่อเนื่อง

“กระบวนสามยากหน่อย ค่อยๆ โน้มลง เข่าตรง จนกระทั่งฝ่ามือแตะพื้น เริ่มฝึกแผนสี่ ย่อตัวลงเข่าซ้ายตั้งฉากกับแผ่นดิน เหวี่ยงเท้าไปเบื้องหลัง แผนฝึกอันดับห้า เหวี่ยงเท้าซ้ายตามไป สองมือสองเท้ายังยันพื้น ลักษณะอาการคล้ายสะพานโค้ง เอ อาตมารู้สึกว่า โยมอาวุโสคนนั้นน่ะ เคยบริหารท่าสุริยะนมัสการมาก่อน จริงไหม”

“จริงครับ พระคุณเจ้า”

แกตอบ ทั้งที่อยู่ในลักษณะเดิม รู้สึกว่าโลหิตไหลลงศีรษะ หน้าร้อนผ่าว

“ดีแล้ว ช่วยฝึกคนอื่นๆ ต่อแทนอาตมา จนครบสิบสองรอบ กระบวนยุทธ์ที่สิบสอง จะยืนพนมมือตรงกับกระบวนยุทธ์แรก จงจำไว้ว่า ต้องคู่ควบไปกับการกำหนดอานาปานสติ เพื่อให้ได้ผลสมบูรณ์ตามสูตร”

นักพรตหนุ่มใหญ่เปลี่ยนอิริยาบถ เคลื่อนกายออกไปห่างเหล่าสาวกร้อยเมตร สองมือไพล่หลัง ไหล่ผึ่ง เดินจงกรมเยี่ยงพระภิกษุที่เจริญกรรมฐาน

รถเก๋งมือสองฝุ่นจับเขรอะแล่นมาจอดใต้ต้นตะแบก สุภาพสตรีวัยเจ็ดสิบเศษผมสีเทาก้าวจากที่นั่งตอนหลังเดินเข้าไปหาโยคีนันทปุโร

แน่นอน ภาพที่ประจักษ์สร้างศรัทธาปสาทะท่วมท้น นางซวนเซทรุดฮวบลงกราบ กิริยาอาการเป็นหนึ่งว่าจะโผกอดซบหน้าที่เท้า

ท่านถอยออกห่างพอควร ยกมือขวางอศอกตั้งขึ้น ฝ่ามือนิ้วยาวสวย เฉกเช่นพระพุทธรูปปางห้ามญาติ

“ดูกร โยม อาตมาถือเพศพรหมจรรย์ไม่อาจถูกเนื้อต้องตัวอิตถีเพศ แม้อยู่ในห้องหับมิดชิดเฉพาะสองคน ก็เข้าข่ายอาบัติปาราชิก”

สตรีวัยดึกนั่งพนมมือแต้ น้ำตาแห่งความเลื่อมใสเอ่อท้น นึกสรุปเอาเองว่า โยคีปฏิบัติธรรมเคร่งครัดยิ่งกว่าพระสงฆ์ที่ไม่สังวรศีล ท่านคงเป็นอริยบุคคลชั้นใดชั้นหนึ่ง ตั้งแต่โสดาบัน สกทาคามี อนาคามี หรือไม่ก็อรหันต์ ไม่เสียทีที่ดั้นด้นมาพบยอดนักพรต

“ดิฉันมาปรึกษาพระคุณเจ้า เรื่องหลานสาวหนีตามผู้ชายค่ะ ใจมันกลุ้ม กินไม่ได้ นอนไม่หลับ”

“อาตมาขอฉันจังหันเสียก่อนนะโยม”

“นิมนต์ตามสบายค่ะ เพียงเท่านี้ก็ถือว่า ดิฉันรบกวนท่านอาจารย์มากเกินควรแล้ว”

“ไม่เป็นไรหรอกโยม” นักบวชเกล้าผมมวยกล่าวเสียงอ่อนโยนยิ่ง “คำแนะนำของอาตมาธรรมะล้วนๆ เป็นสัมมาทิฐิ จะไม่แนะนำให้โยมอาฆาตแค้น จองเวร เพิ่มพูนกิเลส”

เช้านั้น โยคีนันทปุโรนั่งบนอาสนะใต้ต้นกร่างร่มรื่น ศิษย์ประเคนภัตตาหารมังสวิรัติ ของหวานผลไม้ น้ำเต้าหู้ ท่านฉันสำรวม มารยาทงามพร้อม ฉันเสร็จสวดอนุโมทนาให้ศีลให้พร

ประชาชนที่เคารพนับถือนักพรตต่างทยอยกันมาเรื่อยๆ พร้อมด้วยซองปัจจัยและผลไม้นานาชนิด เตรียมถวายผู้ทรงศีล สุภาพสตรีวัยไม้ใกล้ฝั่งเข้าพบรายแรก รายที่สองคือนายติยะ ก้มลงกราบ ไม่สู้ศรัทธาเท่าใดนัก จนกว่าจะได้พิสูจน์ชัดเจนว่าโยคีถือเพศพรหมจรรย์เคร่งครัด

“อ้าว! โยมอีกคนหนึ่งล่ะ”

เศรษฐีที่ดินสูงอายุทราบทันทีว่า พระคุณเจ้าหมายถึงคุณอรุณเทศ

“เขาเปิดมินิมาร์ต ต้องเฝ้าดูแลกิจการของตน ผมเกรงใจไม่กล้าชวนพร่ำเพรื่อครับ”

“น่าจะจ้างคนใช้”

“ผมไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับคุณอรุณมากนัก เท่าที่สังเกต เขาระวังตัวเจ้าระเบียบ ไม่ชอบคบใครใกล้ชิด ตามปกติคุณอรุณกับภรรยาจะผลัดกันเฝ้าร้านหรือซื้อของ ลูกสาวสองคนไม่ยุ่งด้วย”

“สงสัยโยมอรุณจะหวงลูกสาว”

“ก็ไม่เชิงครับ จนป่านนี้ผมยังอ่านใจคุณอรุณไม่ออก ทั้งอาภันพัทธ์และสินีนุชสวยเฉียบ ดาราดวงเด่นของลานสกาทีเดียว”

ใบหน้าหล่อแบบเจ้าชายแขกของโยคีนันทปุโรนิ่งสงบ จมูกแรเงาเป็นสันโด่งแสงชนิดหนึ่งฉายวาบขึ้นที่ดวงตาโตคมวาว

 

สองทุ่มเศษ ช็อปเปอร์สีน้ำเงินชะลอจอดเทียบริมทาง สินีนุชเคลื่อนกายลงถอดหมวกนิรภัยคืนทรงกลด เขาเคลื่อนจักรยานยนต์ครืด วิ่งตะบึง ชั่วพริบตาเดียวก็หายลับไปในความยาวของท้องถนน

ดรุณีผู้งามพริ้งถือแม็กกาซีนรายเดือนเข้าร้านคุ้มเกล้า แม้ว่าเจตนาจะเบี่ยงซ่อน แต่ก็ไม่พ้นสายตาอันว่องไวเกินอายุของพ่อเลี้ยง

“ไหนขอดูซิ”

สินีนุชยื่นนิตยสารเล่มหนาปึก คุณอรุณเทศรับไปเปิดดูคร่าวๆ พลางวิพากษ์

“ทุกเล่มเหมือนกันหมด แสดงแบบแฟชั่นชุดต่างๆ บางชุดที่นางแบบสวมแสนจะล่อแหลมน่าเกลียด เนื้อหาสาระก็ซ้ำๆ มีแต่โฆษณาสินค้าฟุ่มเฟือยราคาแพง ราคาเล่มนึงตั้งเจ็ดสิบบาท อย่างฉัน…ยี่สิบก็ยังไม่ซื้อ”

“คนเรามีมุมมองแตกต่างกันค่ะ คุณลุง พี่กลดออกเงินซื้อให้นุช”

“คนที่สุรุ่ยสุร่าย ไม่รู้จักประหยัด ชาตินี้ทั้งชาติจนต๊อกต๋อย”

เด็กสาวรับแม็กกาซีนคืน ขึ้นบันไดตึกแถว คุณอรุณเทศกระเบียดกระเสียร ถือมติไม่ควรเสียเบี้ยเดียวต้องเหนี่ยวหน่วง แต่ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นเศรษฐี มินิสโตร์ ‘คุ้มเกล้า’ หากไม่ได้มารดาหล่อนคอยประทะประทัง ป่านนี้ล้มครืนแล้ว

คุณอรุณเทศไม่เข้าใจคำว่าเพิ่มสีสันงดงามแก่ชีวิต

ที่ระเบียงดาดฟ้าชั้นสาม สินีนุชเปิดไฟโคมอ่านนิตยสารฉบับล่าสุด ภายนอกลมพัดเย็น เสี้ยวพระจันทร์ข้างขึ้นส่องแสงสว่างนวล ท้องฟ้าสีครามสวย

ทันทีทันใด แว่วเสียงนกยักษ์บินพึ่บๆ เบื้องบน ร่อนเวียนวนคล้ายเหยี่ยวที่จับจ้องเหยื่อ เด็กสาวสัมผัสแรงลมจากปีกที่กระพือ แหงนมองสำรวจ

ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง ทั้งที่ท้องฟ้าสว่าง แต่ไม่เห็นวิหคประหลาด!

 



Don`t copy text!