พระเอกพยับแสง บทที่ 2 : โยคีนันทปุโร

พระเอกพยับแสง บทที่ 2 : โยคีนันทปุโร

โดย : ตรี อภิรุม

Loading

พระเอกพยับแสง นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ โดย ตรี อภิรุม เมื่อการปรากฏตัวของเขาในวันสุริยุปราคราเต็มดวงสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ให้กับชุมชนที่เคยสงบ ทั้งหมดเกิดจากฝีมือของเขา ผู้ที่มากับลัทธิประหลาดที่นำพาผู้คนมากมายให้ศรัทธาใช่ไหม เขาคือใคร ‘เทวา’…’ซาตาน’ หรือปีศาจในคราบนักบุญ

ตลาดสดลานสกาผู้คนค่อนข้างจะคึกคัก ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวที่เลิกจากการชมตะวันดับ แวะซื้อสินค้าพื้นเมืองติดไม้ติดมือ หลายกลุ่มรับประทานอาหารมื้อเที่ยง จนร้านรวงภัตตาคารหาโต๊ะว่างยาก

แน่นอน…เสียงโจษจันเกี่ยวกับสุริยุปราคาเต็มดวงยังไม่สิ้นสุด เช่น

“แปลกชะมัด! นกยักษ์บินตอนท้องฟ้ามืดสนิท ผมยืนอยู่ใต้ต้นแค รู้สึกว่ายอดแคสั่นไหวได้รับกระแสลมปีก”

“สงสัยว่าคงจะเป็นพญาครุฑ แหม เสียดายค่ะ ถ้าเรามีสปอตไลต์แรงสูงส่อง จะเห็นตัวนกประหลาดแน่ๆ”

“มันมากับความมืด มหัศจรรย์น่าพิศวง ฉันเชื่อว่าพรุ่งนี้แหละ หนังสือพิมพ์บางฉบับจะพาดหัวข่าวครึกโครม”

ทรงกลดกับสินีนุชลงจากรถสามล้อ เขาชำระค่าโดยสาร พาเด็กสาวเข้าตลาด ตระเวนหาอาหารที่บริเวณตึกแถวด้านหลัง

“โอ! คนเยอะแยะ คุณนุชจะทานอะไรฮะ”

ลูกเลี้ยงคุณอรุณเทศกวาดสายตาสำรวจ

“ก๋วยเตี๋ยวร้านเจ๊เฮียงเป็นไงคะ พี่กลด”

ใบหน้าคมสันจมูกโด่งยิ้มพราย กลุ่มผู้หญิงที่แอบเหล่ซุบซิบ ทำนองว่าเขาคล้ายพระเอกยอดนิยมหมายเลขหนึ่ง

“ตกลง อย่าไปเรียกเจ๊เฮียงให้เจ้าตัวได้ยินเชียวนะ เธอจะโกรธค้อนควัก เปลี่ยนชื่อตั้งนานแล้วว่าเฉิดโฉม”

ร้านนั้นลูกค้าแน่นขนัด รายที่รอคิวแย่งโต๊ะเกือบจะเรียกว่าเล่นเก้าอี้ดนตรี เฉิดโฉมม่ายสาวลูกติดวัยสามสิบสอง ร่างอวบท้วม สวยแบบกุมารีจีน สามีประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตเมื่อสามปีก่อน หล่อนตกพุ่มม่ายเสน่ห์แรง บรรดาหนุ่มและไม่หนุ่มต่างจีบแทะเล็ม แต่เฉิดโฉมยังไม่ตกล่องปล่องชิ้นกับใคร

โต๊ะที่ตั้งบนฟุตพาทว่าง คนทั้งสองรีบแทรกตัวนั่งทันที ทรงกลดสั่งกับลูกจ้างร้านก๋วยเตี๋ยว

“บะหมี่แห้ง เส้นเล็กต้มยำ เกี๊ยวน้ำ น้ำขวด”

“ตามคิว คอยสักครู่ค่ะ”

สองหนุ่มสาวทอดตามองแม่ม่ายเจ้าเสน่ห์ที่ปรุงก๋วยเตี๋ยวมือเป็นระวิง ใครคนหนึ่งทรุดกายลงบนม้าสี่เหลี่ยม

“ว่างหรือเปล่า ฉันขอนั่งด้วยคน”

สินีนุชคลี่ยิ้มอ่อนโยน

“อ๋อ คุณลุงน่ะเอง เชิญค่ะ”

นายติยะสบตาทรงกลด

“ฉันหาตัวนาย เพิ่งพบนี่แหละ มีธุระอยากคุยด้วย เอายังงี้เถอะ มื้อนี้ฉันขอเลี้ยงสองคน” พลางหันไปทางแม่ม่ายลูกจีน “หมวยเฮียง…เอ้ย…โฉม เส้นใหญ่น้ำ”

เฉิดโฉมชำเลืองค้อนตาวาว บ่นอุบอิบในใจว่าปากไม่ระมัดระวัง หนุ่มหล่อระบายยิ้ม

“ผมโชคดีเจอเจ้ามือ ลุงจะคุยเรื่องอะไรฮะ”

ฝ่ายตรงข้ามถอนใจเฮือก เหลียวมองล่อกแล่กราวกับเกรงว่าคนอื่นจะได้ยิน ขณะนี้นักทัศนาจรสามโต๊ะลุกไปขึ้นรถทัวร์ ความจอแจแออัดคลายลงระดับหนึ่ง ลูกจ้างยกอาหารที่สั่งมาบริการ

“ตอนดวงอาทิตย์ดับ กลดเห็นสิ่งประหลาดนอกเหนือจากคนอื่น ใช่มั้ย”

จี้ใจดำชะงัด!

ผู้ฟังตีหน้าปุเลี่ยน จะยิ้มก็ไม่ใช่ จะแหยก็ไม่เชิง

ใช่แล้ว…เขาแลเห็นพญาวิหคดวงตาแดงก่ำ บินร่อนหายไปแถวทุ่งแสลงดง ยังไม่กล้าแม้แต่จะเล่าสู่สินีนุช เพราะตระหนักว่าทุกคนไม่เห็นเช่นเขา

“ดาวสอง-สามดวงส่องแสงกลางวันแสกๆ ประหลาดฮะ ในชั่วชีวิตผม คงจะไม่มีโอกาสอย่างนี้อีกแล้ว”

“นายพยายามบ่ายเบี่ยง ไม่ตรงประเด็น มหาชนที่ชมสุริยคราส ได้ยินนกยักษ์บินพึ่บพั่บ พร้อมทั้งพายุพัด ฉันอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับนกยักษ์”

ทรงกลดแกล้งหัวเราะเชิงตลก

“ผมไม่ได้ตาทิพย์นะฮะ ลุง”

นัยน์ตาวาวขุ่นภายใต้คิ้วหงอกจ้องเขม็ง นักโหราศาสตร์รุ่นลายครามเน้นเสียง

“ใช่…ตาทิพย์ ฉันรู้ประวัติของนายดี เกิดขณะที่สุริยะทรงกลด แผ่นดินไหวต่ำๆ พ่อนายเอาดวงไปให้หลวงตาตั้งชื่อ ท่านจึงตั้งว่าทรงกลด นายไม่ใช่คนธรรมดา ในตัวมีอาถรรพ์ อาจทำลายสิ่งชั่วร้ายทุกประเภท”

“จุ๊-จุ๊! เบาๆ หน่อย ลุง คุยดังผมอายคนอื่นเขา”

“ก็แล้วมันไม่จริงเรอะ”

“เราทานกันก่อนเถอะ เดี๋ยวก๋วยเตี๋ยวจะเย็นเสียหมด วันหลังค่อยสังสรรค์กันต่อ”

นายติยะพยักหน้าเนิบ

“เอายังงั้นก็ได้ ฉันหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้รายละเอียดจากกลด”

 

คุณอรุณเทศมองท้องถนนที่ผู้คนและยวดยานบางตาลง เกือบจะเท่าปกติ สนทนากับภรรยาสาว ไม่พ้นเรื่องพญาวิหคลึกลับ ซึ่งจำเพาะเจาะจงสำแดงช่วงสุริยคราสเต็มดวง

“ตอนนั้นผมปิดร้าน อยู่หลังตึก ฟังไม่ถนัด สงสัยว่าเฮลิคอปเตอร์เสียมากกว่า นิสัยพวกเราบางกลุ่มก็รู้กันอยู่แล้ว ชอบคิดอะไรในแง่อิทธิปาฏิหาริย์เหนือความจริง”

“นกยักษ์แน่นอนค่ะ” พิมพ์ใจแย้ง “ใครๆ ก็ยืนยันแบบนี้แหละ”

สุภาพบุรุษสูงวัยยิ้มประหลาด แม้แก้มจะไม่เหี่ยวย่นเช่นนายติยะ แต่บริเวณลำคอและเส้นผมแซมหงอกก็เน้นความอาวุโส

“เลื่องลือกันสักชั่วระยะหนึ่ง ต่อมาทุกสิ่งทุกอย่างก็เงียบหายเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง คนไทยเราลืมง่าย เชื่อผมเถอะ”

“พิมพ์ว่าอาจจะไม่เงียบ ถ้ามีเหตุการณ์มาเสริมต่อ”

“แล้วอะไรล่ะที่จะเสริมต่อ”

สาวใหญ่ที่ยังไม่ทิ้งเค้าสวยตอบไม่ถูก

ช็อปเปอร์สีน้ำเงินคันหรูแล่นมาจอดริมทางเท้า สินีนุชลงจากเบาะซ้อนท้าย กล่าวขอบใจทรงกลดที่นั่งตำแหน่งนักบิด เขาขับเคลื่อนผ่านไปตามถนนยางมะตอย

ดรุณีร่างงามระหงเข้ามินิสโตร์คุ้มเกล้า แขวนร่มที่ผนังตึก คุณอรุณเทศถามราบเรียบ แสดงเสมือนเอื้ออาทรลึกซึ้ง

“แม่กับพัทธ์กลับมาตั้งนานแล้ว นุชไปไหนเนี่ย”

“พี่กลดชวนทานก๋วยเตี๋ยวร้านเจ๊เฮียงในตลาดค่ะ”

คำนั้นสะดุดหูนัก บุรุษชราผู้หุ่นสำอางมีลีลาชั้นเชิงสูง วาจามักจะนุ่มนวลเสมอ เก็บความรู้สึก ยกเว้นตอนโกรธจัดจึงจะกระโชกโฮกฮาก สำแดงธาตุแท้แห่งตน

“โอ! เรียกพี่กลดเชียวเหรอ สนิทสนมกันมากสินะ”

“ค่ะ เขาอายุมากกว่านุชห้าปี อัธยาศัยใจคอน่าคบ”

“นุชไม่ทานข้าวกับครอบครัว ใครเขาไม่รู้จะคิดว่าลุงหวง”

“บ้านเราไม่มีลูกจ้าง นุชไม่อยากให้ตัวเองเป็นปัญหาแก่คุณแม่คุณลุง ปากเดียวท้องเดียว ทานที่ไหนก็สะดวก พี่กลดก็เข้าใจนุช”

“ด้วยใจจริง ลุงอยากจะให้เธอกินข้าวกับเราทุกมื้อ”

เด็กสาวคลี่ยิ้มหวานละมุน ซ่อนความขบขันไว้ในส่วนลึก อยู่กันมานานพอสมควรจนทราบว่า คุณอรุณเทศตระหนี่ถี่เหนียว บาทเดียวไม่ยอมให้หายหกตกหล่น ขณะเดียวกันก็ชอบแสดงความใจป้ำปลอมๆ ภาพลักษณ์สำหรับบุคคลภายนอกก็คือ บุรุษแห่งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เมตตาธรรม

“ขอบคุณค่ะ เอาไว้วันไหนฝนตกหนัก หนูจะทานข้าวที่นี่”

สินีนุชเลี่ยงขึ้นชั้นบน บิดาเลี้ยงทอดถอนใจเฮือก ปรารภกับภรรยาสาว

“ไอ้เราจะตักเตือนก็ใช่ที่ สมัยที่ผมอยู่กรุงเทพเห็นตัวอย่างเยอะแยะ ไว้ใจซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์แฟน พ่อเจ้าประคุณเลี้ยวแวบเข้าโมเต็ล บ๋อยรูดม่านฉับบังป้ายทะเบียนรถ เสร็จเรียบร้อย”

“โธ่! พิมพ์เลี้ยงลูกมากับมือ รู้นิสัยใจคอ มีปัญหาอะไรเราปรึกษากันเหมือนเพื่อน” พิมพ์ใจหัวเราะไรฟันขาว “พี่อรุณตัดความกังวลได้เลย นุชจะไม่ทำสิ่งที่เสื่อมเสียค่ะ”

 

แว่วเสียงโทรศัพท์ชั้นล่างกังวานก้อง คุณอรุณเทศบ่นพึมพำไม่สบอารมณ์

“ใครนะ ตั้งสองทุ่มแล้วยังโทรอีก ช่างไม่เกรงอกเกรงใจชาวบ้าน”

“คงจะเป็นญาติหรือเพื่อนสนิทกระมังคะ”

สาวใหญ่ทรงงามลงบันไดลิ่ว สามีอาวุโสหัวเสีย แทบจะไม่อยากชมรายการโทรทัศน์ ผุดลุกผุดนั่ง บ่นติดต่อกันยาวเหยียด ราวกับเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เขาตั้งกฎเกณฑ์ตีกรอบชีวิต ไม่ชอบให้ใครล่วงละเมิด

อะไรที่ผิดรูปแบบนิดเดียว คุณอรุณเทศจะหัวเสียตั้งหลายชั่วโมง กว่าจะปรับอารมณ์ปกติ

พิมพ์ใจกลับขึ้นห้องนอน เจ้าของร้านคุ้มเกล้าถามทันที

“เพื่อนคุณเหรอ”

“ไม่ใช่ค่ะ คุณแม่พัทธ์ โทรทางไกลจากกรุงเทพ พิมพ์ตามพัทธ์ให้มารับสาย”

ใบหน้าที่มีเค้าหล่อเจือจางพยักเนิบรับทราบ คุณอรุณเทศเกลียดภรรยาเก่ามาก อยากจะให้ลูกสาวพลอยเกลียดด้วย แต่กระทำไม่สำเร็จ เขาไม่อาจตัดความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับลูก

ครู่หนึ่ง บิดาก็ปรากฏตัวที่ห้องทายาท ถามอ่อนโยนเหมือนไม่สำหลักสำคัญ ทั้งที่อยากรู้เต็มที่

“อาจารย์โทรมาเรื่องอะไรพัทธ์”

อาภันพัทธ์อมยิ้ม วัยของหล่อนยี่สิบแปดสวยพริ้ง ถอดแบบพิมพ์ออกมาจากอาจารย์สมฤดีมารดา ใบหน้าอ่อนเยาว์ดุจอายุสักยี่สิบสาม

“คุณแม่ถามเรื่องนกยักษ์ หนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวว่าบินลงแถวบ้านเรา แต่ยังหาตัวมันไม่พบ”

“เหลวไหลไร้หลักฐาน อีกสักสอง-สามวันก็เจอข่าวที่ดังกว่ากลบมิด” บุรุษสูงอายุพยายามทำตนเป็นหนุ่มใหญ่หัวเราะหึๆ “อาจารย์ชวนพัทธ์ให้ไปค้างที่กรุงเทพใช่ไหมล่ะ”

นัยน์ตาคู่งามวาววับคมกริบ อาภันพัทธ์ทำท่าคล้ายจะชำเลืองค้อน

“ก็แล้วมันแปลกหรือคะ หากว่าแม่ชวนลูก”

ฝ่ายตรงข้ามหน้าเจื่อน กลืนน้ำลายเอื๊อก

“แต่ว่าอาจารย์อยู่กับสามีอันดับสอง พ่อเลี้ยงพัทธ์”

“มันก็ไม่แตกต่างกับที่นี่หรอกค่ะ พัทธ์เองก็มีแม่เลี้ยง”

คำยอกย้อนจี้ใจดำ เล่นเอาคุณอรุณเทศหุบปากเงียบ ธิดาคนโปรดวาจาฉะฉานเช่นเดียวกับสมฤดีเมียเก่า หล่อนไม่เคยยอมลดราวาศอก เถียงตะพึด และมีเหตุผลที่เขาต้องยอมจำนน วงการใกล้ชิดนินทาว่า อาภันพัทธ์เป็นแม่บังเกิดเกล้ามากกว่าลูก

เมื่อบิดากลับห้องนอนชั้นสาม สาวสวยก็เคาะประตูลวดสกรีนด้านตรงข้ามมุมเยื้อง

แกรก!

ประตูเปิดแง้ม สินีนุชเยี่ยมมอง ยิ้มหวานแฉล้ม

“อ้อ พี่พัทธ์เอง”

“ขอคุยด้วยสักครู่ค่ะ”

“เชิญ”

เด็กสาวขยับเลื่อนเก้าอี้ต้อนรับลูกติดพ่อเลี้ยง ปิดวิทยุเทปที่เปิดเพลงป๊อปร็อก นั่งห้อยเท้าบนขอบเตียง สำรวมตั้งใจฟัง

“นุชเป็นแฟนคุณกลดหรือคะ”

ทายาทแม่เลี้ยงป้องปากหัวเราะใส

“เปล่าค่ะ เพื่อนต่างเพศที่สนิทสนมมากคนหนึ่ง พี่กลดเทกแคร์ดีมาก ก็แค่นั้นเอง”

“แล้วอนาคต?”

อาภันพัทธ์ เลิกคิ้วโก่ง

“ขอให้เป็นเรื่องอนาคตเถอะ ความสัมพันธ์จะสืบสานเป็นอย่างอื่นหรือไม่ ตอบไม่ถูกค่ะ พี่พัทธ์ล่ะคะ ไม่คุยเรื่องแฟนให้นุชฟังบ้าง”

สาวสำอางโฉมถอนใจน้อยๆ ทอดตามองม่านหน้าต่างสีฟ้าที่ปลิวสะบัดเล่นลม

“ในชีวิต ผู้ชายหลายคนมาติดพัน เราไม่ค่อยจะสนเขา ผ่านแล้วก็ผ่านไป จนกระทั่งถึงรายหนึ่ง หน่วยก้านเข้าท่าค่อนข้างจะถูกสเป็ก เป็นนายทหารยศพันตรี วัยสามสิบเศษต้นๆ”

“แต่งงานแล้วใช่ไหมคะ”

“น้องชายคนเล็กของพ่อเลี้ยง” หล่อนแค่นหัวเราะ “สมมุติว่าฉันยอมเป็นเจ้าสาว มิลำดับญาติโยมยุ่งเหยิงเรอะ ระหว่างสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้เล็กเป็นแม่ลูก จะเรียกกันว่ายังไง แขกเหรื่อที่ไปงานสมรสคงจะหัวร่อครืน เมาท์ปากต่อปากไม่รู้จบ”

“คุณแม่พี่พัทธ์ทราบเรื่องหรือเปล่าคะ”

“คิดว่าคงจะไม่ทราบ”

สินีนุชหักข้อนิ้วเผาะๆ ยอมรับว่าปัญหาของพี่สาว โดยอนุมานนักหนายิ่ง

“นายทหารแสดงออกว่าชอบพี่พัทธ์”

“ทำนองนั้นแหละค่ะ ด้วยสายตาด้วยความรู้สึกเรารู้ แต่เขายังไม่แสดงเจตจำนงชัดเจน”

“รอให้ชัดเจนเสียก่อน ค่อยเรียนปรึกษาคุณแม่”

หล่อนขอบใจคำแนะนำของน้องสาวอุปโลกน์

 

หลายวันผ่านไป เกิดข่าวลือแพร่สะพัด ว่าโยคีหนุ่มใหญ่จากอินเดียเดินทางมาจำศีลที่ทุ่งแสลงดง ปฏิบัติธรรมเคร่งครัด ฉันอาหารมังสวิรัติวันละสองมื้อ ไม่ถูกเนื้อตัวเพศตรงข้าม

ใช่แต่เท่านั้น พระคุณเจ้าหยั่งรู้จิตใจมนุษย์มีอิทธิปาฏิหาริย์น่าทึ่ง

“โยคีนันทปุโรสังวรศีล เหนือกว่าพระบางรูปของเราแยะ”

พิมพ์ใจแจ้งข้อมูลเพิ่มเติม คุณอรุณเทศกะพริบตา นิ่งตรึกตรอง เขานับถือศาสนาพุทธ แต่ไม่ชอบฟังพระเทศน์ นานๆ จะทำบุญตักบาตรสักครั้ง จะอธิษฐานขอให้มั่งมีศรีสุขเป็นเจ้าคนนายคน สุขภาพแข็งแรง คิดสิ่งใดจงสมความปรารถนา อย่าพบกับความยากลำบาก

“นั่นสิ ท่านเดินทางข้ามประเทศตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ไม่ทราบค่ะ” ภรรยาสาวส่ายหน้าเนิบ “พิมพ์คิดว่าท่านอาจจะพักนานแรมเดือน แต่บังเอิญชาวบ้านเพิ่งพบ”

“งั้นก็คงจะมีใบพาสปอร์ต-วีซ่า พร้อม”

“เชื่อว่าพร้อมค่ะ แต่ตำรวจที่ไหนจะไปกล้าขอตรวจค้นนักพรต เสียภาพลักษณ์”

“ผมอยากจะไปนมัสการโยคีนันทปุโร” สุภาพบุรุษอาวุโสเปิดเผยความรู้สึก “แต่ระยะทางไปทุ่งแสลงดงห้ากิโลเมตร ผ่านป่าชุมชน เส้นทางวิบากที่สุด จ้างรถสองแถวไปกลับห้าร้อย ไม่รู้ว่าเขาจะรับหรือเปล่า”

ปี๊บ-ปี๊บ!

คุณอรุณเทศยกกระบอกหูโทรศัพท์ แนบข้างแก้มเนื้อเหลว

“ฮัลโหล!”

“สวัสดี คุณอรุณ” แว่วเสียงแหบเครือตามวัยดึก “นี่ผมเอง…ติยะ”

“ครับ มีอะไรให้ผมรับใช้บ้าง”

“ปากหวานจัง ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกครับ คุณได้ยินข่าวลือโยคีศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า”

“กำลังคุยกับคุณพิมพ์เดี๋ยวนี้เอง”

“ผมจะไปนมัสการท่าน ทัศนศึกษาในตัว ให้หลานชายเขาขับรถมินิแวน เดินทางคนเดียวเหงาขาดเพื่อน คุณอรุณจะไปกับผมไหมล่ะ”

“ดีเหมือนกัน เปลี่ยนบรรยากาศ”

“โปรดแต่งตัว สักครู่เราจะไปรับคุณที่ร้านคุ้มเกล้า”

ผู้ฟังวางหู หากเขาเป็นวัยรุ่นคงหัวเราะจนนอนดิ้น คุยโอ้อวดพิมพ์ใจว่า คบเศรษฐีได้ประโยชน์ ตลอดชีวิตคุณอรุณเทศเลือกคบคน เพื่อนรายไหนซอมซ่อตกต่ำย่ำแย่ เขาจะปลีกตัวออกห่างไกลลิบ

แม้จะเสียเงินบ้างเล็กน้อย ก็ถือว่าเป็นการลงทุน แบบใช้เหยื่อกุ้งฝอย ล่อปลากะพง ได้สิ่งตอบแทนมากเกินคุ้ม

บัดนี้ รถมินิแวนปรับอากาศแล่นไปตามทางลูกรังขรุขระ ระหว่างป่าละเมาะพื้นที่เหลืองแซมเขียว ถนนคดเคี้ยวเป็นคลื่นสภาพคล้ายตาขนมครก คนขับต้องใช้เกียร์ต่ำตลอดและชิดขอบทาง เมื่อสวนกับรถปิกอัปหรือรถจักรยานยนต์ ฝุ่นสีแดงฟุ้งตลบ

“ถึงแล้ว…โน่นไง”

นายติยะพึมพำ ชะเง้อคอ คุณอรุณเทศพลอยตื่นเต้นด้วย

“โอ้โห! ผู้คนแออัดหลายร้อย สงสัยว่าเราจะเข้าถึงตัวท่าน คงจะเหงื่อตก”

บุรุษชราสั่งหลานชายจอดยานประจำตัวรอบนอก ตำแหน่งนั้นห่างประมาณร้อยห้าสิบเมตร นายติยะยืนแอบหลังพุ่มพฤกษ์ใบหนาทึบ หยิบกล้องส่องทางไกลขนาดจิ๋วส่องปรับเลนส์ ภาพโยคีถูกซูมเข้ามาใกล้ระยะห้าฟุต

นักพรตเกล้าผมมวยหนุ่มใหญ่ หน้าเข้มหล่อเหมือนแขก นุ่งจีวรสีกรัก เสื้อคอกลมแขนกระบอกสีเดียวกัน นั่งอาสนะใต้ต้นกร่าง

วินาทีนั้น แว่วเสียงกระซิบกรอกหู

“ถึงกับส่องกล้องอาตมาเชียวรึ โยม”

อดีตผู้ใหญ่บ้านสะดุ้งโหยง มองคุณอรุณเทศเลิ่กลั่ก

 



Don`t copy text!