เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 11 : ล้างศีล
โดย : ประดับยศ
เล่ห์พันธาภรณ์ นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย ประดับยศ กับเรื่องราวของ ‘มิรามาลินทร์’ หญิงสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาโดยนักบวชในวิหารเทพ แต่แล้ววันหนึ่งเธอต้องหนีเอาชีวิตรอดเพื่อตามหาบุคคลในคำทำนายที่จะมาช่วยปกป้องวิหาร คนผู้นั้นคือใคร ชีวิตเธอจะเป็นอย่างไร อ่านได้ในเว็บไซต์ anowl.co และเพจ anowldotco
ขบวนรถยนต์พระที่นั่งของจอมพลสมเด็จเจ้าฟ้าตุลธรธิบดีแล่นเข้าไปจอดกลางหมู่บ้านชายแดนเมืองอัมพุ ก่อนที่หัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นบิดาของปาราวตี และปรมะ พร้อมกับชาวบ้านเมืองอัมพุทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็มารอรับเสด็จกันอย่างคับคั่ง เพราะนอกจากจะเสด็จเยี่ยมเยียนแล้ว กุมารีจะทำพิธีลอยผ้าล้างศีลในธารน้ำอมรคงคาที่หมู่บ้านแห่งนี้ด้วย
“ปะรำพิธีพร้อมแล้วครับกุมารี”
ปรมะเอ่ยหลังจากที่ถวายคำนับเจ้าชายในชุดผ้าไหมสีกรมกางเกงขาวและกุมารีที่ห่มส่าหรีสีขาวบริสุทธิ์ตามธรรมเนียมเป็นครั้งสุดท้าย พลางเดินนำขบวนเชิญเครื่องหอม ดอกไม้ และผ้าประดับเข็มกลัดตราพันธาภรณ์ ไปยังทางเดินปูลาดด้วยพรมสีขาวอยู่ริมธารน้ำใสบริสุทธิ์ที่มีเสาผ้าขาวกั้นเป็นแนวเพื่อให้ประชาชนยืนร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีล้างศีลครั้งนี้
กุมารีคุกเข่าลงบนผืนพรม บรรจงคลี่ผ้าคลุมปักมุกจากศีรษะออกพับ วางใส่ถาดข้างกาย ก่อนจะหันไปรับผ้าที่ประดับเข็มกลัดเพชรสีชมพูตราพันธาภรณ์แห่งราชวงศ์ศิขราชจากเจ้าชายตุลธรที่ประทานให้ห่มทับบนส่าหรี บรรดาผู้พิทักษ์ที่รายล้อมอยู่รอบข้างยกสังข์ขึ้นมาเป่าเป็นสัญญะการเปลี่ยนผ่านการครองผ้าในพิธีนี้ ก่อนที่จอมพลตุลธรฯ จะทรงหันไปหยิบถาดโถเครื่องหอมที่ถูกบดจนเป็นผงผสมสีชาดด้วยปลายพระดัชนี แล้วแตะโรยตรงไรผมเหนือหน้าผากให้มิรามาลินทร์ พลางประกาศปฏิญญา
“เราจะถือ สัจจะ ทมะ จาคะ ขันติตบะ เป็นจารีตแห่งปติ” รับสั่งเสียงกังวาน หากแววพระเนตรอ่อนหวาน และรอคอยให้หญิงสาวเอ่ยปฏิญญาเดียวกัน
“เราจะถือ สัจจะ ทมะ จาคะ ขันติตบะ เป็นจารีตแห่งปัตนี”
“ปติสุขร่วมยินดี ปัตนีทุกข์มิทอดทิ้ง ตราบลมหายใจมิพรากจากกาย มิคลายสัจจะวาจา”
สุรเสียงทุ้มทรงตอบรับคำปฏิญาณอ่อนหวาน มิมีคำใดมิศักดิ์สิทธิ์ ด้วยทรงปฏิญาณสัจจะจากหทัย พระเนตรคมกริบที่เคยปรายมองดุดันกับผู้อื่น บัดนี้ทอดประกายละมุนหวานโอบล้อมไปถึงหัวใจ
มิรามาลินทร์มือสั่นจนต้องกุมประสานกันเอาไว้ ใจทั้งประหม่าและหวั่นไหวจนเธอต้องเก็บซ่อนหลบสายตา ก่อนจะทูลตอบเสียงแผ่ว หากหนักแน่นและมั่นคงทุกถ้อยคำ
“ตราบชีวาหาไม่ มิคลายภักดีเพคะ”
“ขอบใจ พระชายาปติ”
เจ้าชายตุลธรธิบดีทรงแย้มพระสรวลกว้างจนชาวสินธุรัฐได้เห็นรูปทองที่เคยมีแต่คนเล่าขาน แต่วันนี้ได้เห็นเต็มสองตา…งามสมดั่งเทวาและเทพีแห่งหิมาลัย!
เมื่อแลกสัตย์สาบานต่อกันแล้ว ทั้งคู่ต่างก้มเศียรคำนับต่อกัน ก่อนที่กุมารีจะถวายดอกบัวอันเป็นดอกไม้แทนตัวเธอให้กับเจ้าชายตุลธรธิบดีเด็ดกลีบและโปรยลงในสายน้ำ จากนั้นมิรามาลินทร์จึงค่อยหันไปหยิบผ้าคลุมผมปักมุกที่พับไว้ในถาดตอนแรกมาคลี่แผ่บนสายธารจับตรึงให้สยายแผ่พลิ้ว ให้สายน้ำเป็นตัวแทนลบล้างสิ่งที่ผ่านมาและเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ พร้อมกับที่มิรามาลินทร์เอ่ยอธิษฐานต่อสายธารา
“ขอให้ความดีงามติดตัวผู้ครองศีล แม้นมิอาจถือวัตรปฏิบัติอันศักดิ์สิทธิ์ได้เพื่อครองเรือน แต่ศีลและจารีตอันดีงามที่ยึดถือทุกขณะจิต จงเป็นดั่งพรอันศักดิ์สิทธิ์ ดั่งน้ำทิพย์ชุบชีวิตให้ยั่งยืนตลอดไป…โอม นมาห์”
หญิงสาวเอ่ยถ้อยสุดท้ายก่อนจะปล่อยชายผ้าให้ไหลไปกับลำธารที่มิอาจหวนย้อนกลับมาได้อีก ก่อนที่เหล่าชาวบ้านที่เตรียมเครื่องหอมดอกไม้จะโปรยลงลำธารระหว่างที่ผ้าไหลไปเพื่อเป็นการอวยพรต่ออดีตเทวกุมารีที่ตนเคารพนับถือ ให้มีแต่ความสุขสวยงามดั่งดอกไม้เต็มแผ่นน้ำที่จะไม่มีวันเหือดแห้งสิ้นสุดตลอดไป
เจ้าชายตุลธรประทานหัตถ์ให้พระคู่หมั้นยึดพยุงลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินเคียงกันไปยังกลุ่มชาวบ้านที่คอยแสดงความยินดีอย่างมากมาย หากยังมิทันได้ทักทายใครสักมากน้อย เสียงฮือฮาที่ดังมาจากท้ายน้ำก็ทำให้ความสนใจเบี่ยงเบนไป
“เกิดอะไรขึ้น” มิรามาลินทร์หันไปถามเมื่อเริ่มมีการกระซิบถามกันด้วยสีหน้าท่าทางที่แตกตื่นมากขึ้นเรื่อยๆ
“ผ้าล้างศีลของกุมารี ถูกน้ำพัดตกไปที่หลุมอะไรก็ไม่รู้ครับ” ชายชาวบ้านตอบก่อนจะหันไปถกเถียงกันเอง
“หลุมบ่อน้ำหรือเปล่า”
“ไม่รู้ มันอยู่หลังแนวกั้นทหาร”
“พวกทหารขุดหลุมทำอะไรกัน”
ข้อสงสัยที่ต่างคนต่างถามกันมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งทำให้หลายคนเกิดความระแวง เพราะในหมู่บ้านล้วนใช้ระบบประปาจากแม่น้ำสายหลักอย่างแม่น้ำอัมพุที่ไหลผ่านกลางเมืองไปจนจรดชายแดน แทบจะไม่มีใครใช้น้ำจากบ่อบาดาลแล้ว และเมื่อมีคนหนึ่งเริ่มต้นพิสูจน์คนอื่นๆ จึงตามไป จากธารน้ำเล็กๆ ที่ไหลจากวิหารเทพพาไปสู่ก้นบึ้งแห่งความลับที่ซุกซ่อนไว้
“ฝีมืออารัญหรือเพคะ”
มิรามาลินทร์กระซิบถามระหว่างที่เดินตามฝูงชนไปพิสูจน์ความจริง โดยมีอารัญและคามินคอยคุ้มกัน เพราะปกติแล้วธารน้ำนี้จะไหลไปบรรจบแม่น้ำอัมพุ แต่ที่ผ้าล้างศีลของเธอสามารถแวะตามร่องน้ำไปยังบ่อน้ำระหว่างทางได้ ช่างไม่ใช่เส้นทางธรรมชาติเอาเสียเลย
“อารัญจะรู้ทางน้ำของสินธุรัฐได้อย่างไร”
“รู้ถึงทางเดินมดละไม่ว่า”
“รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” รับสั่งพลางสะกิดชวนให้คนข้างๆ ดูร่องรอยที่อยู่เบื้องหลังแนวกั้นที่ทหารยืนเฝ้าอย่างเข้มงวด ธารน้ำที่หลากไหลไปตามร่องน้ำที่ถูกขุดเพื่อสำรวจแหล่งแร่ใต้ชั้นดิน ทำให้ชาวบ้านบางคนถึงกับตาโต เพราะไม่คาดคิดว่าพื้นที่ที่ถูกเวนคืนไปจะถูกขุดเจาะจนกลายเป็นหลุมลึกเช่นนี้
“น่าจะตามหลักฐานได้ไม่ยาก”
จอมพลตุลธรฯ รับสั่งขึ้นลอยๆ ซึ่งพระคู่หมั้นก็พยักหน้ารับ พลางทูลตอบลอยๆ เช่นกัน
“ต้องล่อเหยื่อให้ออกมาเสียหน่อยเพคะ เผื่อจะได้หลักฐานเพิ่ม”
หญิงสาวว่าพลางตัดสินใจเดินฝ่าฝูงชนออกไปพลางเอ่ยกับทหารที่ยืนเวรยามหน้าเคร่งเครียด
“เราอยากได้ผ้าของเราคืน ขอเข้าไปเก็บได้หรือไม่”
“ไม่ได้ครับ ที่นี่คือเขตหวงห้ามของทางการ ห้ามเข้าเด็ดขาด”
“เช่นนั้น รบกวนท่านไปเก็บผ้ามาคืนเราหน่อยได้หรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นจะผิดธรรมเนียมพิธี”
นายทหารสองคนเริ่มมองหน้ากันอย่างลังเล หากคำสั่งที่เคร่งครัดของนายพลชาตรีก็ทำให้คำตอบยังคงปฏิเสธ
“ไม่ได้ครับ หากไม่ได้รับอนุญาตจากนายพลชาตรี ไม่ว่าพวกผมหรือใคร ก็ไม่สามารถเข้าไปได้ครับ”
“แต่เราต้องได้ผ้าในวันนี้ ให้ใครไปบอกเจ้านายของเธอ ว่าเราต้องการผ้าล้างศีลไปทำพิธีต่อตามธรรมเนียม”
“แต่ว่า…”
“หรือจะให้เราไปพบนายพลชาตรีด้วยตัวเอง”
แม้คำถามจะมาจากปากของกุมารี ทว่าวรองค์สูงองอาจที่เสด็จตามมาสมทบกับหญิงสาวที่ด้านหน้า ก่อนจะปรายพระเนตรคมกริบราวกับทรงถามย้ำนายทหารเวรผู้นั้นที่แทบจะยืนด้วยอาการขาสั่น ก่อนที่จะสะกิดให้คู่เวรเร่งไปทำตามพระประสงค์
“อารัญ! คามิน!” สุรเสียงห้าวเข้มตะโกนเรียกราชองครักษ์จนทุกคนสะดุ้ง ขนาดที่ว่าทหารค่ายจตุรทิศที่คุ้นเคยแล้วก็ยังแอบตกใจ ขณะที่รีบมารับพระกระแสรับสั่ง
“เตรียมรถ!”
“จะเสด็จไหนกระหม่อม”
“เราจะไปตามคนมาเก็บผ้าให้พระคู่หมั้นของเราเดี๋ยวนี้!”
สิ้นพระกระแสรับสั่งบรรดาทหารทั้งสองประเทศก็พากันยืนตรงถวายคำนับพร้อมกัน ก่อนที่ทหารของสินธุรัฐจะยอมก้าวออกมากราบทูล
“กระหม่อมจะไปแจ้งท่านนายพลเองพระเจ้าค่ะ”
“เดี๋ยวนี้?”
“พระเจ้าค่ะ”
นายทหารผู้นั้นถวายคำนับอีกครั้งก่อนจะรีบแยกตัวออกไปแจ้งข่าวต่อนายของตน องค์เจ้าฟ้าแห่งศิขราชจึงค่อยลดสุรเสียงที่ดังปานฟ้าผ่าลง
“อารัญ คามิน ให้คนไปกางกระโจม! เราจะรออยู่ที่นี่ ตรงนี้ จนกว่าพระคู่หมั้นของเราจะได้ผ้าคืน”
“รับด้วยเกล้าพระเจ้าค่ะ”
เมื่อเจ้านายทรงปักหลักแล้ว ชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นความเป็นไปทั้งหมดก็พลอยมองหาที่นั่งของตนเช่นกัน กลายเป็นว่าทั่วบริเวณจึงมีผู้คนแน่นขนัด พร้อมกับคำถามที่ถูกยกมาถามกันอยู่เนืองๆ
ในเขตหวงห้ามนั้นคืออะไร เหตุใดแค่ผ้าผืนเดียวจึงไม่อาจเข้าไปหยิบคืนมาได้ เรื่องที่ไม่ควรมีคำถามก็เกิดเป็นคำถามขึ้นจนกลายเป็นสิ่งที่ต้องหาคำตอบให้ได้ และมิรามาลินทร์ก็อยากจะรู้เหลือเกินว่า คนผู้นั้นจะตอบคำถามที่ตนตั้งใจซุกซ่อนเอาไว้ว่าอย่างไร…
ภายในกำแพงรั้วป้อมปราการหินทรายอันเก่าแก่ แต่ตึกบัญชาการด้านในกลับมีความทันสมัยทั้งอุปกรณ์สื่อสาร สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทั้งด้านเทคโนโลยีและข้าวของเครื่องใช้ รวมไปถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ไม่น้อยหน้าประเทศใด ทำให้ผู้นำสูงสุดด้านการทหารแห่งสินธุรัฐจึงรู้สึกหยิ่งผยองในอำนาจของตนเสมอ ดังนั้นเมื่อกำลังถูกคนหนุ่มที่จองหองอวดดีคนหนึ่งมากระตุกหนวดเสือ และหลังจากได้ยินเรื่องที่เมืองอัมพุก็ยิ่งโมโห เหตุใดช่วงนี้จึงมีแต่เรื่องน่าหงุดหงิดจากพวกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมกันนัก
บุรุษสูงวัยจ้องทหารใต้บังคับบัญชาด้วยสีหน้าที่ขุ่นมัว ราวกับต้องการให้ความกรุ่นโกรธนั้นส่งไปถึงบุคคลต้นเรื่องที่ทำให้เกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โตเพียงนี้ ก่อนจะสั่งการเสียงเข้ม
“สอบสวนหาตัวคนผิดมาให้ได้ว่าใครที่ปล่อยให้ผ้าผืนนั้นไปอยู่ในบ่อแร่”
“แล้วพวกชาวบ้านล่ะครับ จะให้จัดการอย่างไร”
“ส่งกองกำลังไปเสริม คอยคุมสถานการณ์ไว้ อย่าให้ก่อเรื่องวุ่นวาย ถ้าใครขัดขืนให้จับให้หมด”
“รับทราบครับ”
“สั่งการลงไปให้พวกทหารเร่งเวนคืนที่ดิน รวมทั้งที่วิหารเทพด้วย วันนี้จะเป็นการเตือนครั้งสุดท้าย”
นายพลชาตรีเอ่ยเสียงเด็ดขาด ก่อนจะหันไปสั่งคนของตัวเอง
“ถ้ายังพูดไม่รู้เรื่อง ก็เตรียมลงมือได้เลย”
“รับทราบครับท่านผอบอ”
นายพลชาตรีนั่งอยู่ในห้องบัญชาการอีกพักใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ปรึกษากับบุคคลที่น่าจะรู้ข่าวที่อัมพุแล้วเช่นกัน และเห็นทีว่าแผนที่จะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปอาจจะใช้ไม่ได้แล้ว
“ชโลธร…”
“อย่าเรียกเราแบบนี้อีก”
คราวนี้นายพลชาตรีถอนใจเสียงดังให้ปลายสายได้ยิน ความหงุดหงิดที่ยังคุกรุ่นถูกใส่ลงในน้ำเสียงไปด้วย
“พี่เป็นพี่ชาย ทำไมถึงจะเรียกชื่อน้องสาวเฉยๆ ไม่ได้”
“ก็ควรให้เกียรติน้องสาวที่เป็นราชินีผู้ปกครองประเทศบ้าง”
“เพราะพี่ให้เกียรติเธอ เธอถึงยังได้นั่งอยู่บนบัลลังก์!”
อีกฝ่ายตอกกลับราวกับต้องการย้ำว่าใครกันแน่คือผู้กุมอำนาจตัวจริง
“ถ้าเลิกนั่งชูคอเสวยสุขแล้วเบิกตาดูบ้างว่า ตอนนี้ศิขราชแทบจะเอาปืนมาจ่อหัวแล้ว”
“มันมาแล้วก็จะไป”
“แต่ตอนนี้มันยังอยู่ และกำลังถลกหนังหัวเราให้พวกชาวบ้านมันระแคะระคายเรื่องเหมืองเพชรที่เมืองอัมพุ”
“ถ้ายุ่งยากนักก็จัดการพวกมันซะ”
“คิดว่ามันเป็นจอมพลเพราะจับฉลากได้หรือไง”
“แล้วพี่ล่ะ เป็นผอบอเพราะจับฉลากได้หรือเปล่า”
“ชโลธร!”
“ไปจัดการพวกมันให้เรียบร้อย นักลงทุนจากทั่วโลกจะบินมายื่นประมูลสัมปทานเหมืองเพชรกันเดือนหน้านี้แล้ว จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดเด็ดขาด”
เสียงพระราชเสาวนีย์ยังไม่ดังบาดหูเท่าเสียงตัดสัญญาณวางสายที่ราวกับว่าราชินีชโลธรจะตัดความวุ่นวายทุกอย่างด้วยการโยนให้เขาเป็นผู้จัดการเพียงผู้เดียว นายพลชาตรีค่อยๆ วางโทรศัพท์ลงพร้อมกับคลี่รอยยิ้มที่คล้ายกับสังเวชตัวเอง พยัคฆ์ที่เคยห้าวหาญมีอำนาจเหนือทหารนับพันนับหมื่น ตอนนี้กลับกลายเป็นหมารับใช้ได้อย่างไร เพราะอำนาจหรือเพราะเขายึดติดกับคำว่าเลือดย่อมข้นกว่าน้ำมากเกินไป
แป้งปั้นขนาดพอดีคำห่อไส้หมูที่นึ่งมาร้อนๆ ถูกเสิร์ฟใส่จานพร้อมกับเครื่องจิ้มโดยฝีมือการปรุงของปาราวตีที่อาสานำมาให้กุมารีและเจ้าชายแห่งศิขราชถึงกระโจมที่ประทับ อากาศที่เริ่มร้อนจัดเพราะเป็นเวลาบ่ายมากแล้วทำให้ชาวบ้านเริ่มกระจายตัวกันตามร่มไม้ต่างๆ และบางคนก็เริ่มกลับบ้านตัวเองเพื่อไปพักผ่อน และทำมาหากินกันตามปกติแล้ว ทำให้หญิงสาวที่ตั้งใจว่าจะเปิดโปงความลับในหลุมเริ่มจะร้อนใจตามอุณหภูมิรอบตัวที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน
“นายพลชาตรีจะให้เรารอถึงเมื่อไหร่กันเพคะ”
“จนกว่าความอดทนของเธอจะหมดละมั้ง…อันนี้อร่อยมาก” จอมพลตุลธรฯ รับสั่งพลางทรงจิ้มแป้งปั้นเสวย ก่อนจะออกปากชมรสชาติให้คนทำถวายได้ชื่นใจ ในยามที่เสิร์ฟเครื่องเคียงเพิ่มและถอยออกไปด้วยรอยยิ้ม
“หากทรงจิ้มกับชีสและพริกผัดจะอร่อยกว่านี้เพคะ” มิรามาลินทร์ทูลแนะนำพลางขยับถ้วยถวาย
“กินให้ดูก่อนสิ”
ทรงเอ่ยราวกับไม่เชื่อคำแนะนำ มิรามาลินทร์จึงค่อยเลือกชิ้นที่เป็นไส้ผักมาหนึ่งชิ้นและกินให้ดูเป็นตัวอย่าง จึงได้เห็นแววขำขันจากพระเนตรคมที่คล้ายกับจะเย้าเธออยู่ในที
“อร่อยไหม”
“ทรงหลอกให้หม่อมฉันกินหรือเพคะ”
“กลัวเธอหิว”
รับสั่งพลางหยิบประทานให้อีกชิ้นหนึ่ง ทว่าหญิงสาวปฏิเสธเสียงอ่อย
“หม่อมฉันไม่กินเนื้อสัตว์เพคะ”
“ไม่กินเพราะ?”
“หม่อมฉันถือศีลจารีต”
“ผ้าล้างศีลลอยไปติดอยู่ที่บ่อตรงโน้นแล้วไง”
ถ้อยรับสั่งย้ำเตือนให้เธอรู้ถึงสถานะใหม่ของตัวเอง ทว่าพระหัตถ์ที่หยิบแป้งปั้นประทานให้ชิ้นใหม่ก็เลือกที่เป็นไส้ผักส่งให้แทน
“ขอโทษด้วย เราแค่อยากให้เธอทำตามสบายใจ”
“หม่อมฉันอาจต้องใช้เวลาปรับตัวเพคะ”
“เราก็เช่นกัน”
รับสั่งพลางทรงตักพริกผัดชีสมาเสวยอีกคำ คราวนี้พระพักตร์แดงขึ้นทันควัน มิรามาลินทร์จึงรีบรินนมสดถวายพลางอดยิ้มกว้างไม่ได้ในยามที่ได้โอกาสโต้กลับด้วยคำพูดเดียวกัน
“ทำตามสบายพระทัยเถิดเพคะ”
“ทำอยู่”
“ก็เห็นอยู่ว่าทรงเสวยเผ็ดไม่ได้นี่เพคะ”
“เราอาจต้องการเวลาปรับตัว”
“บางเรื่องไม่ต้องปรับก็ได้เพคะ”
“แล้วเรื่องไหนที่ต้องปรับ”
รับสั่งถามและทรงจ้องคาดคั้นอย่างรอคอยคำตอบ มิรามาลินทร์ชั่งใจอยู่นาน ก่อนจะตอบไปอย่างเกรงพระทัย
“ทรงเสียงดัง หม่อมฉันหัวใจจะวาย”
“ยากละ ปกติต้องตะโกนสั่งทหารทุกวัน”
“หม่อมฉันไม่ใช่ทหาร”
“ขอโทษ…จะไม่ลืมอีก”
ทรงรับปากด้วยท่าทีจริงจังแต่รอยยิ้มฉีกกว้างที่ฉาบบนพระพักตร์เปี่ยมเสน่ห์ล่อลวงหัวใจเสียจนมิรามาลินทร์ไม่รู้ว่าควรจะควบคุมความอ่อนหวานในใจเช่นไรมิให้หวั่นไหวไปโดยง่าย คงได้แต่ต้องใช้เวลาในการปรับตัวจริงๆ นั่นแหละ หัวใจถึงจะอยู่กับเนื้อกับตัวมากกว่านี้
“ขอประทานอภัยเพคะ”
“ไม่เห็นต้องขอโทษ เราทั้งสองคน…ต้องค่อยๆ ปรับตัวไปด้วยกัน”
“ต้องใช้เวลาด้วยเพคะ”
“เวลา? เท่าไหร่ดี”
“ตอนนี้…เอ่อ รถท่านนายพลขับเข้าเขตหมู่บ้านมาแล้วพระเจ้าค่ะ”
อารัญเข้ามาถวายรายงานขัดจังหวะแบบเสียวสันหลังวาบๆ เพราะพระเนตรคมที่ตวัดอาฆาตมาให้เขาเต็มๆ ในขณะที่คามินให้คนเข้ามาเก็บข้าวของช่วย จะได้แบ่งๆ พระอารมณ์กริ้วกันไป ทำให้
มิรามาลินทร์จึงยังไม่ต้องรีบให้คำตอบ หรือบางที…เวลานั่นแหละที่จะเป็นคำตอบของทั้งหมดเอง
เสียงรถยนต์ที่ดังใกล้เข้ามาทำให้หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ มือเรียวบางเย็นเฉียบเพราะใจที่ไม่อาจสงบได้ เมื่อถึงเวลาก็ต้องเผชิญหน้ากันดูสักครั้ง หมดเวลาแล้วที่จะหนีดังคนขลาดกลัว และวันนี้เธอพร้อมที่เปิดหน้าสู้แล้ว
เจ้าชายตุลธรเหลียวมองคนข้างกายที่จู่ๆ ก็เงียบขรึมลงไป ก่อนจะทรงหันไปพยักพระพักตร์กับราชองครักษ์ที่ค่อยๆ หลบฉากไปอย่างรู้หน้าที่ โอกาสอาจมีได้แค่ครั้งเดียวและจะพลาดไม่ได้เด็ดขาด!
บุรุษสูงวัยแต่งกายเต็มยศนายพลที่ก้าวลงมาจากรถยนต์กันกระสุนเหลียวมองบรรดาชาวบ้านเมืองอัมพุที่ยังอยู่ในพื้นที่อย่างหนาตา จึงหันไปสั่งให้ทหารของตนเตรียมพร้อมเพื่อเคลียร์พื้นที่ก่อนจะตรงมายังกระโจมที่ประทับของพระราชอาคันตุกะ
“ถวายบังคมฝ่าบาท กระหม่อมนายพลชาตรี ผู้บังคับบัญชาการทหารแห่งสินธุรัฐพระเจ้าค่ะ ขอประทานอภัยที่สินธุรัฐต้อนรับอย่างฉุกละหุกไปบ้าง หวังว่าคงจะไม่ทรงถือสา”
“ไม่เป็นไร เข้าใจดีว่าธรรมเนียมของสินธุรัฐคงต่างจากศิขราช เราเองก็ไม่อยากให้เอิกเกริกมาก
ไม่อยากรบกวนชาวบ้านและนักบวชที่วิหารเทพ เพราะเรากับกุมารีตั้งใจที่จะทำพิธีล้างศีลอย่างเรียบง่าย แต่ก็บังเอิญเกิดเรื่องจนต้องรบกวนนายพลชาตรีเข้าจนได้”
เจ้าชายตุลธรธิบดีเอ่ยพลางปรายพระเนตรไปยังเขตหวงห้ามที่ทหารยืนเฝ้ากันอย่างแข็งขัน นายพลชาตรีจึงเดินนำไปพลางสั่งให้ทหารเปิดทาง ที่อนุญาตเพียงองค์เจ้าฟ้าชายและกุมารีให้ผ่านเข้าไปเท่านั้น คามินและชาวบ้านที่เดินตามมาจึงทำได้เพียงชะเง้อมองตามคนทั้งสามไป
หลุมที่ถูกขุดบ่อลึกหลายเมตรจนทหารต้องใช้บันไดปีนลงไป และเก็บผ้าผืนสำคัญที่บัดนี้เปรอะเปื้อนเศษดินโคลนไม่น้อยเพื่อมาคืนให้เจ้าของ
“หลุมนี้คือหลุมอะไรหรือท่านนายพล ทำไมผ้าของเราถึงเปื้อนขนาดนี้”
มิรามาลินทร์เอ่ยเมื่อรับผ้าที่ชุ่มน้ำสีน้ำตาลขุ่นกลับมาพินิจดูอย่างละเอียด เม็ดไข่มุกที่ปักประดับบนผ้าบางส่วนเปลี่ยนสีไปและบางส่วนถูกกัดกร่อนจนเสียหาย หญิงสาวเงยหน้าขึ้นจ้องบุรุษสูงวัยที่มีรอยยิ้มประดับในหน้าหากดวงตาแข็งกร้าวยิ่งในยามที่เอ่ยตอบ
“บ่อน้ำธรรมดาครับกุมารี”
“แต่สิ่งที่อยู่ในบ่อนั้นคงไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นแล้วไข่มุกคงไม่เสียหายมากถึงขนาดนี้”
“น้ำในบ่อคงจะสกปรกมากกว่าครับ และก็ไม่คิดว่าจู่ๆ จะมีผ้าประดับไข่มุกของกุมารีบังเอิญตกไปในนั้น ผมต้องขออภัยด้วย ผมยินดีเจรจาค่าเสียหายทั้งหมด หากกุมารีต้องการ”
“เราคิดว่าเราเจรจามามากพอแล้วท่านนายพล หรือหากจะมีการเจรจาอื่นใดอีกก็ควรจะเป็นการเจรจาต่อหน้าทุกคนให้ได้รับรู้โดยทั่วกัน”
“หมายความว่ายังไง”
“ความจริงที่อยู่ใต้พื้นบ้านของชาวอัมพุอย่างไรเล่าท่านนายพล ท่านกล้าพูดต่อหน้าทุกคนหรือเปล่า”
“นี่! จะเป็นโอกาสสุดท้าย อย่าหาว่าเราไม่เตือนไม่ได้นะกุมารี!”
“ขอน้อมรับคำเตือน แต่เราจะไม่หนีอีกแล้ว”
มิรามาลินทร์เอ่ยพลางเหยียดยิ้ม ก่อนจะก้าวกลับออกมายังฝูงชนที่ยืนรอดูอย่างอยากรู้อยากเห็น และท่ามกลางสายตาที่ไม่พอใจของบรรดาทหารและนายพลชาตรี หญิงสาวก็ยิ่งเอ่ยกับทุกคนด้วยเสียงที่ดังแจ่มชัด
“เราได้ผ้าล้างศีลของเราคืนแล้ว ต้องขอบคุณท่านนายพลชาตรีที่ช่วยเหลือ เพียงแต่ผ้าผืนสำคัญของเราเสียหายมากอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่ตกลงไปในบ่อน้ำธรรมดาๆ ของท่านนายพล แต่ก็เป็นโชคดีของเราอีกที่ท่านนายพลยินดีที่จะชดเชยให้เรา เพียงแต่…ท่านนายพลจะชดเชยไหวหรือ ถ้าหากน้ำในบ่อหลุมนั้นแปดเปื้อนจนเป็นอันตรายเพียงแค่แตะต้อง”
มิรามาลินทร์ถามจบก็ปล่อยผ้าในมือลง เผยให้เห็นฝ่ามือขาวเนียนเห่อบวมแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจนทุกคนตกใจ เจ้าชายตุลธรฯ เองก็ถึงกับตะลึงอย่างคาดไม่ถึงว่าสารปนเปื้อนในน้ำจะมีฤทธิ์รุนแรงถึงเพียงนี้
“คามิน เอาน้ำเปล่ามา!”
เจ้าชายสั่งพลางพามิรามาลินทร์ออกให้ห่างจากหลุมที่ขุดไว้มากที่สุด ส่วนคามินและผู้พิทักษ์คนอื่นๆ ต่างพยายามกันฝูงชนไม่ให้กลุ้มรุมเข้ามา ในระหว่างที่เจ้าชายทรงเอาน้ำสะอาดล้างสารพิษออกอย่างระมัดระวัง หากผิวบอบบางของหญิงสาวกลับยิ่งบวมแดงมากขึ้นอย่างน่ากลัว
“น่าจะแพ้รุนแรง ต้องไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด” เจ้าชายรับสั่งอย่างกังวล หากคามินที่ปราดเข้ามาพร้อมกับน้ำสะอาดเพิ่มและผ้าผืนใหม่รีบกระซิบทูลเร่งร้อน
“กลับวิหารเทพดีกว่ากระหม่อม การรักษาท่านหญิงต้องใช้น้ำพุศักดิ์สิทธิ์เสมอ ท่านอาจารย์เทวนารี ท่านคือหมอที่เก่งที่สุดแล้วพระเจ้าค่ะ”
จอมพลตุลธรฯ ได้ยินดังนั้นจึงรีบพาพระคู่หมั้นกลับออกไปทันที หากยังไม่วายทรงหันมาคาดโทษกับนายพลชาตรีที่ยังยืนหน้าเครียดจัดอยู่ไม่ห่าง
“บาดแผลของมิรามาลินทร์ต้องมีคนรับผิดชอบ! ท่านทำอะไรที่ใต้ดินนั่น ก็เตรียมรับผลของการกระทำเอาไว้ด้วย”
บุรุษชาตินักรบทั้งสองคนต่างจ้องกันอย่างไม่มีใครยอมใคร หากด้วยสถานการณ์ตอนนี้ทำให้นายพลชาตรีจำต้องหลบฉากไปเช่นกัน
รถยนต์พระที่นั่งแล่นออกไปนานแล้ว แต่ทว่ากลุ่มชาวบ้านยังคงปักหลักเพื่อรอฟังคำตอบจากนายพลชาตรีอย่างกังขาและเป็นห่วงสวัสดิภาพของตัวเอง เพราะแหล่งน้ำใต้ดินทั้งหมดล้วนเชื่อมต่อกับแม่น้ำอัมพุ อันเป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้ของชาวสินธุรัฐแถบชายแดนมาเนิ่นนาน
เมื่อก่อนแหล่งน้ำจากเมืองอัมพุแห่งนี้ล้วนแต่สะอาดบริสุทธิ์ แต่ตอนนี้แหล่งน้ำกลับกลายเป็นพิษร้ายแรง ชาวบ้านจึงแทบจะไม่กล้าไปตักน้ำจากแม่น้ำมาใช้
“พวกนายพลชาตรีทำอะไร”
“หลุมนั่นคืออะไร ทำไมมีสารพิษ”
“แค่โดนผิวยังร้ายแรงขนาดนี้ แล้วถ้าเรากินเข้าไปไม่ตายเลยเหรอ”
“ถึงเราจะถูกเวนคืนที่ แต่พวกเราก็ยังต้องใช้ต้องกินน้ำจากแม่น้ำอัมพุ แต่ถ้ามันมีพิษอย่างนี้แล้วเราจะอยู่ยังไง พวกแกทำอะไรอยู่กันแน่”
เสียงชาวบ้านตะโกนถามอย่างโกรธแค้น ในขณะที่นายพลชาตรีเดินหลบไปขึ้นรถและรีบกลับออกไปเช่นกัน เพียงแต่ว่าความรู้สึกโกรธแค้นนั้นอาจจะมากกว่าเหล่าชาวบ้านหลายเท่า เพราะตัวเองต้องมาเสียท่าและถูกหยามต่อหน้าคนมากมายด้วยลูกไม้ตื้นๆ แบบนี้ ประมาทเกินไปจริงๆ
“สั่งคนของเราให้ลงมือได้เลย อย่าให้พลาด!”
นายพลชาตรีกดโทรศัพท์ส่งรหัสปฏิบัติการลับ ก่อนจะรีบให้พลขับเร่งเครื่องให้พ้นจากความวุ่นวาย พลางเก็บความอาฆาตไว้ในใจ พวกเทวนารีทั้งหลายจะต้องถูกสั่งสอนให้หลาบจำ!
มิรามาลินทร์กลับมาที่วิหารให้อาจารย์รักษามือให้ โดยกันให้ทุกคนออกไปจากห้องพยาบาล เนื่องจากหากถ้ามีใครได้เข้าไป คนที่จะโวยวายขอเข้ามาดูด้วยก็คงไม่พ้นเจ้าชายที่ทรงวิตกมาตลอดทาง ดังนั้นในห้องจึงเหลือเพียงหมอและคนไข้เท่านั้น
“ทำไมถึงทำอะไรไม่ระวังตัวเองแบบนี้” องค์อมราวดีตกใจไม่น้อยกับแผลที่มือของลูกศิษย์ จนอดบ่นไม่ได้ในยามที่จัดเตรียมยาเพื่อมารักษา
“เจ็บตัวแค่นี้เล็กน้อยค่ะอาจารย์ เมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกมันจะต้องสูญเสีย ก็นับว่าคุ้มค่าค่ะ”
“ไม่มีอะไรที่คุ้มค่าทั้งนั้น ไม่มีใครสมควรต้องเอาชีวิตไปเสี่ยง เพื่อแลกกับบางสิ่งให้ได้มา จำไว้ว่าชีวิตของเธอมีค่า และหากจำเป็นต้องเลือกจริงๆ ครูจะไม่แลกชีวิตของใครทั้งนั้น ชีวิตของคนมีค่ามากเกินกว่า เอาไปแลกกับสิ่งที่ตีค่าเป็นเงินได้”
“ขอโทษค่ะอาจารย์ ครั้งหน้าหญิงจะไม่ทำอีก”
“มิรา ถึงแม้จะล้างศีลแล้ว แต่ถึงอย่างไรต้องรักษาสัจจะ อย่าพูดแล้วไม่เป็นคำพูด”
“ค่ะอาจารย์ หญิงจะไม่ทำอีก”
มิรามาลินทร์ให้คำสัญญากับอาจารย์ แต่พอรักษาแผลเสร็จและองค์เทวนารีคล้อยหลังไปไม่นานหญิงสาวก็รีบกลับออกมาจากห้องพลางเหลียวหาองค์จอมพล พอสบตากันกุมารีก็รีบดึงพระกรให้เสด็จตามเธอไปพลางกระซิบทูล
“ฝ่าบาทต้องรีบลงมือคืนนี้เลยเพคะ นายพลชาตรีจะให้ทหารมุ่งมาที่วิหารในคืนนี้ ฝ่าบาทจะมีโอกาสที่จะปฏิบัติภารกิจชิงตัวสำเร็จสูงเพคะ”
“เธอรู้ได้ยังไง หรือว่าญาณ”
“เอาไว้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วหม่อมฉันจะเล่าถวายให้ฟัง”
“แต่เธอยังบาดเจ็บ จะให้ฉันไปปฏิบัติภารกิจ ทั้งๆ ที่เธอเป็นแบบนี้เหรอ”
“หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ เดี๋ยวพันแผลให้แน่นอีกหน่อย หม่อมฉันก็พร้อมไปด้วยเพคะ”
“เดี๋ยว…ใครจะไปไหน”
มิรามาลินทร์เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์คู่หมั้น ต่างคนต่างงงว่าทำไมถึงพูดกันไม่เข้าใจ
“ฝ่าบาทรู้เส้นทางเข้าออกคุกลับหรือเพคะ”
“ก็พอรู้…” รับสั่งกล้อมแกล้ม หากมิรามาลินทร์ย้ำให้ชัดเจน
“ในที่นี้ไม่มีใครรู้ทางในคุกลับดีเท่ากับหม่อมฉัน หม่อมฉันจะนำเสด็จเอง”
“แต่เธอบาดเจ็บจะไปได้ไง”
“นายพลชาตรีก็คิดอย่างนี้แหละเพคะ เพราะหม่อมฉันบาดเจ็บ ทุกคนจึงต้องอยู่ที่วิหารนี้กันหมด และนั่นจะทำให้เรามีหลักฐานที่อยู่ทั้งๆ ที่เราไม่อยู่”
“แต่ว่า…”
“รีบเสด็จเถอะเพคะ เราต้องรีบชิงลงมือก่อนที่นายพลจะไหวตัวทัน และเปลี่ยนใจยกเลิกแผน”
มิรามาลินทร์เอ่ยพลางลุกขึ้นหลังจากที่พันแผลให้แน่นเรียบร้อยอีกรอบ หากเจ้าชายพระคู่หมั้นกลับจ้องหญิงสาวอย่างพินิจ เธอเอ่ยราวกับรู้แผนของนายพลชาตรีทั้งหมด เพียงแต่…เขายังไม่มั่นใจเท่านั้นว่ามิรามาลินทร์ทำได้อย่างไร
กุมารีหายไปเปลี่ยนเป็นชุดดำพรางรัดกุมแบบเดียวกับทีมปฏิบัติภารกิจของเจ้าชายตุลธร แลดูคล้ายหนุ่มน้อยที่ยังไม่โต ทำให้องค์จอมพลทรงนึกถึงวันแรกที่เจอกันที่ป่ากุหลาบพันปี ใครจะเชื่อว่าหนุ่มน้อยผู้นั้นบัดนี้ได้กลายมาเป็นพระคู่หมั้นของพระองค์ไปเสียแล้ว
“น่าจะเป็นทีมภารกิจที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ค่ายจตุรทิศ” รับสั่งพลางทรงนำผ้ามาโพกพันศีรษะให้
“ขอบพระทัยเพคะ”
“เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ”
“ไม่เพคะ ที่ท่านเตโชต้องอยู่ในนั้น ก็เพราะช่วยหม่อมฉัน”
“เข้าใจผิดแล้ว เธอไม่ได้ติดค้างอะไรต่อท่านลุงหรอกนะมิรามาลินทร์”
จอมพลตุลธรฯ ทอดพระเนตรดวงหน้างามละมุนที่เงยมองพระองค์ด้วยสายตาคัดค้านเต็มที่อย่างเอ็นดู ก่อนจะรับสั่งด้วยสุรเสียงทุ้มกังวาน
“ท่านลุงทำเพื่อปกป้องคนสำคัญ นั่นเป็นสิ่งที่เราภูมิใจในตัวท่านลุงเสมอ และมาถึงวันนี้เรายิ่งขอบคุณท่านลุง และเป็นเราต่างหากที่ติดค้างท่าน”
“เช่นนั้น หม่อมฉันก็ยิ่งติดค้างเป็นสองเท่าเพคะ”
“งั้นเราอนุญาตให้ไป แต่ไม่ให้ติดค้างกันแล้วนะ”
“ขอบพระทัยเพคะ”
มิรามาลินทร์ยิ้มกว้างเป็นรางวัล ทำเอาคนที่พยายามจะห้ามปรามได้แต่หันไปสั่งคนของตนให้คอยอยู่เสริมทัพอีกแรง
“อลินาอยู่กับคามินที่นี่ก็แล้วกัน”
“อ้าว…ทำไมกระหม่อมไม่ได้ไปด้วยพระเจ้าค่ะ”
ผู้ที่มีชื่อเกี่ยวข้องด้วยรีบหันประท้วง หากมิรามาลินทร์กลับกำชับคนของตนอย่างเข้มงวดกว่า
“ถ้าไปกันหมดแล้วใครจะคอยดูแลที่นี่ ถึงอย่างไรคืนนี้นายพลชาตรีต้องลงมือแน่ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอต้องคอยดูแลอาจารย์ให้ดี ห้ามให้อาจารย์ออกจากห้องปลอดภัยชั้นใต้ดินเด็ดขาด”
“แล้วท่านหญิงล่ะครับ”
“เราจะกลับมาที่นี่หลังจากที่ปฏิบัติภารกิจที่คุกลับเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมแผนตัวหลอกล่อ เธอต้องจับคนร้ายให้ได้”
“แต่ท่านหญิงสัญญากับท่านอาจารย์แล้ว ว่าจะไม่เอาตัวเองไปเสี่ยงอีก”
“เรารับรองว่าแผนที่จะทำนี้ไม่เสี่ยง ถ้าหากเธอทำในสิ่งที่เราสั่ง”
มิรามาลินทร์ว่าพลางหันมาสะกดสายตาคามินเพียงชั่ววินาที แต่ก็ทำให้คามินถึงกับมือไม้อ่อนทรุดลงไปนั่งคุกเข่า ครั้นพอคามินกะพริบตา ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงกำชับอีกครั้ง
“จำได้ทั้งหมดหรือยัง”
คามินพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนจะเตือนหญิงสาวอย่างเป็นห่วง
“ท่านหญิงโปรดระวังด้วย อย่าเผลอทำเกินกำลังเด็ดขาด”
“เราจะระวัง เธอเองก็ต้องระวังให้มาก พวกมันมุ่งที่ตัวคนอย่างแน่นอน อย่าประมาทเด็ดขาด”
มิรามาลินทร์สั่งเสียงจริงจัง ในขณะที่นั่งหลับตาทบทวนทุกอย่างอีกครั้งเพื่อไม่ให้ผิดพลาด อย่างไรเสียคืนนี้เธอก็จะไม่ยอมให้แผนของนายพลชาตรี ทำร้ายใครได้สักคนอย่างแน่นอน
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 17 : ความเป็นจริง
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 16 : ข้อแม้
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 15 : ล่ารายชื่อ
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 14 : แถลงการณ์
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 13 : หลบซ่อน
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 12 : ปฏิบัติการ
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 11 : ล้างศีล
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 10 : ล่อเสือ
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 9 : ความหวัง
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 8 : ตราพันธาภรณ์
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 7 : เจรจา
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 6 : มหาวิหารกลาง
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 5 : จุดนัดพบ
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 4 : เสี่ยงทาย เสี่ยงตาย
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 3 : คำตอบ หรือ ความจริง
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 2 : นักโทษ
- READ เล่ห์พันธาภรณ์ บทที่ 1 : ภารกิจลับ