พรางพัสตรา บทที่ 4 : ลูกไล่
โดย : พงศกร
พรางพัสตรา นวนิยายออนไลน์เรื่องล่าสุดโดย พงศกร ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เมื่อผ้าคลุมผมเจ้าสาวไม่ได้เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งในชุดเจ้าสาว แต่คือสิ่งที่นำ ‘ลดานิดา’ ไปเห็นบางสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิม ความรักของเขาคือความจริงหรือความลวง ผ้าคลุมผมเจ้าสาวนี้มีคำตอบ
***************************
“ไม่ได้” หญิงชราผู้นั้นเอ่ยเสียงเครียด “ถ้าจะซื้อก็ซื้อเสียตอนนี้ เพราะถ้าลังเล…ฉันอาจจะเสียดาย แล้วเปลี่ยนใจไม่ขายให้แม่หนู”
“แต่…” ลดานิดาลังเล
“กลัวหรือจ๊ะ” หญิงเจ้าของร้านหัวเราะเบาๆ
“ค่ะ” ลดานิดาสารภาพ “ฟังเรื่องที่คุณเล่าแล้ว ก็อดจะกลัวไม่ได้”
“กลัวที่จะไม่ได้แต่งงาน หรือกลัวที่จะได้รู้ความจริง” หญิงชราถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หนู…” ลดานิดาส่ายหน้า ในใจเต็มไปด้วยความสับสน “ไม่รู้สิคะ”
“ความจริงไม่เคยทำร้ายใคร” หญิงชราเอ่ยเสียงชัดถ้อยชัดคำ “ความลวงต่างหากที่ทำให้คนต้องตกนรกทั้งเป็น…”
ชั่วขณะนั้นแม้ผ่านไปเพียงไม่กี่นาที หากทว่าเป็นไม่กี่นาทีที่ยาวนานนักในความรู้สึกของหญิงสาว ปกติแล้วลดานิดาเป็นคนตัดสินใจทุกอย่างง่ายดาย รวดเร็ว ไม่เคยต้องลังเลเหมือนอย่างครั้งนี้
ก็แค่เรื่องง่ายๆ กับการควักกระเป๋าเงินขึ้นมาจ่าย แล้วรับเอาผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวโบราณผืนนั้นกลับไปด้วย หากลดานิดาก็ยังตัดสินใจไม่ได้
สัญชาตญาณส่วนลึกของเธอกำลังบอกกับหญิงสาวว่า…อย่า…
หากอีกใจหนึ่งกลับบอกว่า…ถ้าอยากได้ ก็ซื้อเลย…ของเก่าแบบนี้ รอไม่ได้ ย้อนกลับมาอีกครั้งของอาจไม่อยู่แล้ว
แสงสลัวรางจากโคมไฟบนเพดานที่ตกต้องผ้าลูกไม้ถักมือ ทำให้ผ้าที่คลุมอยู่บนศีรษะของหุ่นดูยิ่งมีเสน่ห์เชิญชวน
ลดานิดากำลังลังเล…ใจหนึ่งก็อยากได้ หากอีกใจหนึ่งก็เริ่มประหวั่น…
ไม่เกี่ยงเรื่องราคา แพงเท่าไรหล่อนก็มีเงินซื้อ
จะกังวลก็ตรงเรื่องที่หญิงเจ้าของร้านเล่านั่นละ
แต่เรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า ลดานิดามั่นใจว่าเรื่องที่เกิดกับธีโอโดเซียหรือเจ้าสาวคนอื่นๆ ไม่มีวันเกิดขึ้นกับเธอแน่นอน
“ว่าอย่างไรจ๊ะแม่หนู…ตกลงจะซื้อหรือเปล่า” หญิงชราถามด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย รอยยิ้มบนดวงหน้าเหี่ยวย่นยังดูใจดีเช่นเดิม
“ขอหนูกลับไปตัดสินใจได้ไหมคะ” ลดานิดาต่อรองอีกครั้ง
“บอกแล้วยังไงว่าไม่ได้” หญิงชราเจ้าของร้านเสียงเข้มขึ้น “โอกาสมีหนเดียวเท่านั้น ถ้าแม่หนูลังเลก็หมายความว่าผ้าผืนนี้ไม่ใช่ของแม่หนู…กลับไปเสียเถิด ฉันจะปิดร้านละ”
“ซื้อค่ะ” ลดานิดาตัดสินใจในนาทีนั้น
“ฉันจะปิดร้านแล้ว” หญิงชรายืนยัน
“ซื้อค่ะ” ลดานิดาตอบอย่างมั่นใจ “หนูอยากได้ Veil ผืนนี้”
“ไม่กลัวแล้วหรือ” หญิงชราย้อนถาม เสี้ยวหน้าครึ่งที่มองไม่เห็นเต็มไปด้วยความมืดดำ
“ไม่กลัวค่ะ” ลดานิดาเม้มริมฝีปากแน่น “ขายให้ฉันนะคะ”
“ได้จ้ะ…ถ้าหนูมั่นใจที่จะซื้อ…ฉันก็จะขาย” หญิงชรายิ้มอ่อนโยน
“ใช้บัตรเครดิตได้ไหมคะ ฉันมีเงินสดไม่พอ” ลดานิดาถาม
“ได้สิ หรือแม่หนูจะจ่ายด้วยอย่างอื่นก็ได้นะ” หญิงชราส่งยิ้มให้ ดวงตาบนเสี้ยวหน้าข้างที่อยู่นอกผ้า จ้องมองลดานิดาไม่กะพริบ
“จ่ายด้วยอย่างอื่น” ลดานิดาชะงักไปนิดหนึ่ง รู้สึกยะเยือกเย็นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก “จ่ายด้วยอะไรหรือคะ”
“นั่นสินะ…จ่ายด้วยอะไรดีล่ะ” สายตาของหญิงสูงวัยจ้องมองลดานิดาแน่วนิ่ง “ด้วยความสวยดีไหม…หนูเป็นคนสวยมากนะ”
“จ่ายด้วยความสวยเนี่ยนะคะ” ลดานิดาทำตาโต ไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย “ความสวยตีราคาเป็นเงินได้ด้วยหรือคะ”
“นั่นสิ” หญิงสูงวัยหัวเราะ และลดานิดารู้สึกไม่ชอบเสียงหัวเราะแหลมเล็กแบบแม่มดนั้นเอาเสียเลย “ของบางอย่างก็ตีค่าเป็นเงินไม่ได้หรอก…และของบางอย่าง จ่ายแค่เงินก็ไม่พอ เจ้าของอาจจะต้องจ่ายด้วยบางสิ่งบางอย่างที่คุ้มค่ากัน…นั่นอาจจะมีมูลค่ามากกว่าเงินทองหลายเท่า”
ยิ่งฟังยิ่งน่าขนลุก ลดานิดารีบตัดบท ด้วยการหยิบกระเป๋าถือขึ้นมา หยิบบัตรเครดิตส่งให้หญิงเจ้าของร้าน
“ฉันว่าฉันจ่ายเงินเลยดีกว่าค่ะ”
ลดานิดาพึมพำและหญิงสูงวัยก็รับบัตรไปรูดกับเครื่องคล่องแคล่ว จากนั้นเดินไปหยิบผ้าคลุมหน้าโบราณจากหุ่นมาพับอย่างประณีตบรรจง
ขณะที่ห่อผ้าคลุมผมด้วยผ้าผืนใหญ่ หญิงสูงวัยก็พึมพำอะไรบางอย่างไปด้วย เป็นภาษาแปลกๆ ที่ลดานิดาฟังไม่ออก
“เรียบร้อย” หญิงชราส่งถุงใบใหญ่ให้ “ขอให้หนูโชคดี”
“ขอบคุณนะคะ” ลดานิดายิ้มกว้าง เธอเหลือบตามองดูนาฬิกาเป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี
หญิงสาวเอ่ยปากถามทางกลับโรงแรม และหญิงชราก็อธิบายให้ฟัง ลดานิดาถึงกับอ้าปากค้างเพราะดูเหมือนว่าโรงแรมเธอจะอยู่ไม่ไกลนัก แค่ข้ามสะพานโค้งตรงหน้าร้านแล้วเลี้ยวไปทางด้านขวามือราวสามถึงสี่ร้อยเมตรก็ถึงแล้ว
ลดานิดาอ้าปากหาวพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ จากนั้นก็โบกมืออำลาหญิงชรา เดินมุ่งหน้ากลับที่พักไปด้วยหัวใจพองโต…
ลืมตาตื่นตอนเช้า มิใช่เพราะเสียงนาฬิกาปลุก หากทว่าเป็นเพราะเสียงใครบางคนกำลังเคาะประตูห้องเป็นจังหวะ
…ก็อกก็อก ก็อก ก็อก ก็อกก็อกก็อก…
ลดานิดาบิดตัวด้วยความเมื่อยขบ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงหนานุ่ม เดินไปส่องที่ประตู พร้อมกับปลดล็อคให้ชายหนุ่มร่างสูงเดินเข้ามา
ที่จริงไม่ต้องส่องดู ลดานิดาก็บอกได้ทันทีว่าเป็นใคร เพราะจังหวะเคาะประตูแบบนี้มีแต่เขาเท่านั้น
“มาแต่เช้าเลยนะเบน นิดายังไม่ตื่นเลย” หล่อนพึมพำ
“งั้นผมลงไปรอลดาที่ลอบบีดีไหม” เขาหัวเราะเห็นฟันขาวที่เรียงเป็นระเบียบ ตัดกับดวงหน้าที่คล้ำแดดจนเป็นสีน้ำตาล “ลดาตื่นแล้วผมค่อยขึ้นมาหาใหม่”
“ก็ดี” ลดานิดาอ้าปากหาว
“ไม่น่ารีบมาเลย” เขาพึมพำ “อุตส่าห์รีบตื่นแต่เช้า จับรถไฟเที่ยวแรก น่าจะจำได้ว่านิดาชอบนอนตื่นสาย”
“นิดาเหนื่อยอะ เลยตื่นสาย” ลดานิดาถอนใจ
“ไม่จริง” เขาส่ายหน้า “ไม่เหนื่อย นิดาก็ชอบนอนดึกๆ ตื่นสายๆ”
“แต่คราวนี้นิดาเหนื่อยจริงๆ นะเบน” ลดานิดาว่า “เมื่อคืนเกิดเรื่องนิดหน่อย”
“เกิดอะไรขึ้น” ดวงตาคู่คมเบิกกว้าง เขาวางเป้ที่สะพายหลังลงบนเก้าอี้ตัวที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะทรุดกายลงนั่ง ตั้งใจฟังลดานิดาเล่าเหตุการณ์ผจญภัยเมื่อคืนที่ผ่านมา
“อันตรายมาก” คิ้วหนาที่พาดเฉียงเหนือดวงตาขมวดมุ่น “ทีหลังต้องระวังตัวดีๆ เลยนะนิดา ห้ามส่งยิ้ม ห้ามพูดคุยด้วยเด็ดขาด พวกผู้ชายฝรั่งนี่น่ากลัวกันทุกคน”
“ผู้ชายเชื้อชาติไหนๆ ก็น่ากลัวกันทั้งนั้นละ”
หญิงสาวยกมือขึ้นรวบผมด้วยที่มัดผมวงเล็กๆ ที่วางอยู่ข้างหัวเตียง ส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างประจบประแจง
“มีแต่เบนนี่ล่ะ ที่นิดาไว้ใจ”
“อย่าเลย” เขาส่ายหน้า “แล้วว่าที่เจ้าบ่าวของคุณล่ะ”
“แล้วก็มีพีทอีกคน” ลดานิดาหัวเราะชอบใจ ครั้นพอเห็นชายหนุ่มอีกคนนิ่งไป ลดานิดาก็ทำเสียงอ้อน “เบน…นิดาหิวแล้ว”
“อยากกินอะไรล่ะ” คราวนี้เขายิ้มออกมาได้
“อะไรก็ได้” ลดานิดาว่า “เบนทำอะไรก็อร่อยหมดละ”
“ไข่ต้ม” เขาแกล้งว่า
“ไข่ต้มของเบนก็อร่อย” ลดานิดายิ้มแป้น “นิดาต้มกินเอง ไม่เห็นอร่อยเหมือนเวลาที่เบนทำให้กินเลย”
“ไม่ต้องมาปากหวานเลย” ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจ “จะหลอกใช้งานผมทีไร นิดาต้องพูดแบบนี้ทุกที”
“นิดาพูดจริงนะ” เวลาจะอ้อนบทจร ลดานิดาจะเรียกแทนตัวเองว่า ‘นิดา’ อย่างนั้น ‘นิดา’ อย่างนี้…
เป็นเช่นนี้มานานนักหนา ตั้งแต่สมัยที่ลดานิดายังเป็นเด็กหญิงไว้ผมเปีย พักอยู่ในค่ายทหารกับบิดามารดา และบทจรเป็นลูกชายของสิบเอกขจร…ทหารพลขับที่มีหน้าที่ขับรถรับส่งพันเอกนิพัทธ์ผู้เป็นเจ้านาย
หากที่ลดานิดาพูดเป็นเรื่องจริง
เรื่องทำอาหารเป็นเรื่องที่บทจรถนัดที่สุด ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้เป็นเชฟชื่อดังที่ร้านอาหารในยุโรปต่างต้องการตัว บทจรมีพรสวรรค์เรื่องทำอาหารอย่างหาตัวจับยาก เจอวัตถุดิบอะไรในก้นครัว เขาเป็นได้หยิบเอามาผสมกัน ทำออกมาเป็นอาหารที่หน้าตาน่ากิน รสชาติอร่อยได้อย่างน่าทึ่งเสมอ
ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นไปเปิดตู้เย็นเพื่อสำรวจ
“ไหนดูสิ…ในตู้เย็นมีอะไรบ้าง…โห”
เห็นของที่ลดานิดาซื้อมาตุนไว้แล้วได้แต่ส่ายหน้า
“มีแต่อะไรก็ไม่รู้…เละเทะ…” ดวงหน้าคร้ามคมส่ายไปมา “มะเขือเทศ อะโวคาโด ผัก ทาโก้…ยังดีอยู่หน่อยที่มีมะนาว”
มือแข็งแรงของชายหนุ่มหยิบบรรดาผักสลัดทั้งหลายที่เหลืออยู่ในกล่องพลาสติกขึ้นมาพิศดู ลดานิดาซื้อสลัดกล่องนี้มาจากร้านสะดวกซื้อเมื่อวาน แล้วก็กินไม่หมด ครั้นจะโยนทิ้งก็นึกเสียดาย เลยยัดใส่ตู้เย็นเอาไว้
ดวงตาสีเข้มของเขายังเหลือบไปมองถุง Taco ขนมกรุบกรอบที่ทำจากแป้งเป็นแผ่นแบนๆ แบบเม็กซิโก อึดใจต่อมาชายหนุ่มก็ดีดนิ้วเบาๆ พร้อมกับหอบเอาวัตถุดิบทั้งหมดเดินไปยังมุมประกอบอาหารเล็กๆ ที่อยู่ด้านหน้าห้อง
“เมื่อคืนนิดาผ่านไปเจอต้นมะนาวด้วย…ยังนึกถึงทาร์ตมะนาวฝีมือเบนอยู่เลย” หญิงสาวส่งเสียงเจื้อยแจ้ว “แหม เสียดายที่ไม่ได้เด็ดมาด้วย”
“ไปอาบน้ำได้แล้ว” บทจรทำเสียงเข้ม
“ตกลงเป็นเพื่อนหรือเป็นพ่อ” ลดานิดาว่า
“จะกินไหม ถ้าจะกินก็รีบไปอาบน้ำ…ไหนว่าหิว” เขาหันมานิ่วหน้าให้หญิงสาว
ลดานิดาแลบลิ้นให้เขา ก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟัน ขณะที่บทจรง่วนอยู่ในครัว เมื่อหญิงสาวกลับออกมาอีกที ดวงตากลมโตของเธอก็ต้องเบิกกว้างเมื่อเห็นอาหารเช้าที่ชายหนุ่มดัดแปลงจากวัตถุดิบที่เหลือในตู้เย็น
บนจานกระเบื้องสีขาวลวดลายสีน้ำเงินเข้ม มีทาโก้วางเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบ ทาโก้มีมะเขือเทศหั่นเป็นลูกเต๋าชิ้นเล็กๆ อะโวคาโด หัวหอม แครอทและสับปะรดคลุกกันด้วยน้ำมะนาว
“อื้อมมมม” ลดานิดาหยิบทาโก้แปลงเข้าปาก ดวงตาของเธอเบิกกว้าง ห่อปากอุทาน น้ำเสียงตื่นเต้น “อร่อยที่สุด…เรียกว่าอะไรอะเบน”
“ไม่รู้สิ” บทจรส่ายหน้า ลดานิดาเพิ่งเห็นไรหนวดสีเขียวอ่อนจากที่ขึ้นอยู่เหนือริมฝีปากและสองข้างแก้มของเขา
“อ้าว” หญิงสาวเลิกคิ้ว “เป็นเชฟนะคะ ไม่รู้ชื่ออาหารได้ไง”
“ก็ผมเพิ่งคิดทำขึ้นเดี๋ยวนี้นะสิ” ชายหนุ่มว่า “โกยๆ ของที่เหลือจากตู้เย็น สับๆ รวมกัน เอามาวางบนทาโก้ บีบน้ำมะนาวลงไปนิด โรยเกลือและพริกไทยลงไปหน่อย เท่านี้ก็ได้อาหารสุขภาพแล้ว”
“ถ้ายังไม่มีชื่อ เดี๋ยวนิดาตั้งให้” หล่อนหยิบทาโก้ชิ้นที่สอง และสาม และสี่ขึ้นรับประทานด้วยความเอร็ดอร่อย “ให้ชื่อว่า Ben’s Taco ดีไหม”
“ก็แล้วแต่คุณจะเรียก” เขาพลอยหัวเราะไปด้วยอีกคน “บอกเลยว่าให้ผมทำใหม่อีกครั้ง อาจไม่เหมือนเดิม”
“ไม่ได้ ไม่ได้” ลดานิดาส่ายหน้า เธอเอื้อมไปหยิบเอาปากกาและกระดาษแผ่นเล็กๆของโรงแรมมาถือไว้ในมือ “อร่อยแบบนี้ต้องจดสูตรไว้ เผื่อนิดาได้ทำให้พีทกินบ้าง”
“อ้อ อย่างงั้นหรือ” ดวงหน้าคมสันสงบนิ่ง มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่แปรเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง…อย่างรวดเร็ว…ก่อนจะเปลี่ยนกลับมาเป็นปกติเช่นเดิม โดยที่ลดานิดาไม่ทันสังเกตเห็น “มา…ผมจดให้”
เขาคว้ากระดาษและปากกามาจากมือของลดานิดา จดสูตร Ben’s Taco ที่หญิงสาวตั้งชื่อให้อย่างตั้งอกตั้งใจ
“จริงสิ” ลดานิดาเพิ่งนึกได้ “เบนกินไหม…ดูนิดาสิ ตะกละจนลืมคุณไปเลย”
“นิดากินเถอะ” เขาส่งยิ้มให้ “ผมไม่หิว ดื่มกาแฟบนรถไฟมาแล้ว”
“ไหน เล่าเรื่องของเบนให้นิดาฟังหน่อย ไม่ได้เจอกันนานเหมือนกันนะ” ลดานิดาลุกขึ้นไปชงกาแฟสำหรับตัวเอง
“ไม่มีอะไรนี่ครับ…ชีวิตผมก็เหมือนเดิมล่ะ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” บทจรว่า “เป็นเชฟที่โรงแรมในฟลอเรนซ์ บางวันก็ต้องวิ่งไปช่วยที่สาขามิลาน…ไปๆ มาๆ แบบนี้ละ”
“แหม ก็นิดาอยากรู้นี่ ว่าคุณสบายดีหรือเปล่า” หญิงสาวแกล้งทำเสียงน้อยใจ
“ผมมีอีเมล์ นิดาอยากรู้อะไรก็เขียนมาถามผมได้นี่” คราวนี้บทจรหัวเราะออกมาเบาๆ
“พูดยังกับคุณเปิดอีเมล์อ่านอย่างนั้นละ” หญิงสาวยักไหล่ “เบนตอบอีเมล์นิดาครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่นะ…ปีที่แล้ว ตอนกลับไปทำพาสปอร์ตละมัง”
“มันไม่ได้มีความจำเป็นสำหรับผมนี่ครับ” บทจรอธิบาย “อีกอย่าง ผมเป็นเชฟทำงานอยู่แต่ในครัว มามัวเล่นคอมพิวเตอร์ก็โดนไล่ออกสิ”
“ไล่ออกก็กลับมาอยู่บ้านเรา” ลดานิดาพูดเสียงหนักแน่น “คนเก่งอย่างเบนหางานไม่ยากหรอก ไม่รู้จะไปทำที่ไหน มาทำกับนิดาก็ได้ คลินิกกำลังขยาย นิดาอยากทำร้านอาหารสุขภาพควบคู่กันไปด้วย ถ้าได้เบนมาช่วยก็คงจะดี”
“อย่าดีกว่าครับ” บทจรส่ายหน้า “ผมเป็นคนชอบอิสระ อยู่ที่ไหนได้ไม่นาน”
“ก็จริง” ลดานิดาถอนใจเบาๆ
พอเรียนจบมัธยมปลาย บทจรก็ไม่ได้สอบเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย แต่เบนเข็มไปเรียนทำอาหารอย่างจริงจัง เขาเคยเข้าประกวดในรายการแข่งทำอาหารและเกือบจะได้เป็นแชมป์อยู่แล้ว ถ้าหากไม่แพ้คะแนนโหวตจากผู้ชมทางบ้านไปเสียก่อน
แต่รายการแข่งขันนั้นก็เปิดประตูบานแรกให้กับชายหนุ่ม เพราะหลังจากนั้นบทจรก็มีโอกาสได้ไปทำงานเป็นเชฟในร้านอาหารหลายแห่ง ครั้นพอเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจเดินทางไปอังกฤษ สมัครเข้าเรียนทำอาหารในโรงเรียนชื่อดัง พร้อมกับทำงานไปด้วยในช่วงกลางคืน
จนกระทั่งวันหนึ่งมีนักวิจารณ์อาหารชื่อดัง ผ่านมาที่ร้านอาหารซึ่งชายหนุ่มทำงานอยู่ วันนั้นหัวหน้าเชฟเกิดป่วย ไม่มาทำงานและไม่ได้แจ้งล่วงหน้า บทจรจึงต้องลงมือแทน ท่ามกลางความหวั่นวิตกของทุกคนโดยเฉพาะเจ้าของร้าน เพราะอีธานเป็นนักวิจารณ์อาหารที่ทรงอิทธิพลมาก ถ้ากินแล้วเกิดไม่พอใจ ด่าขึ้นมา ร้านก็ดับได้ง่ายๆ
หากวันนั้นเป็นวันที่ดวงดาวแห่งโชคชะตาจรัสแสง นักวิจารณ์อาหารผู้ได้ฉายาว่าจู้จี้ขี้บ่นคนนั้น เกิดถูกใจฝีมือของชายหนุ่ม อีธานกลับไปเขียนชื่นชมฝีมือของเชฟหนุ่มชาวไทยลงในบล็อกของตัวเอง ส่งผลให้บทจรโด่งดังขึ้นมาภายในชั่วข้ามคืน หลังจากนั้นประตูวงการเชฟระดับห้าดาวก็เปิดกว้างสำหรับเขา จากที่เคยเป็นตัวเลือก ตอนนี้บทจรสามารถเลือกได้แล้วว่าเขาอยากจะไปทำงานที่ไหนในโลกใบนี้
“ว่าแต่เบนไปดูแลอาหารในงานแต่งงานของนิดาได้แน่นะคะ” ลดานิดาถามด้วยอาการลังเล
“ได้สิครับ” เขาตอบเสียงหนักแน่น “ผมรับปากคำไหนคำนั้น ไม่เคยผิดสัญญา นิดาน่าจะรู้ดี”
“ค่า” ลดานิดาลากเสียง “นิดาก็แค่อยากจะถามให้แน่ใจเท่านั้นละ เพราะว่า…”
“เพราะว่างานแต่งของนิดา คือวิวาห์แห่งปี” บทจรรีบต่อด้วยประโยคที่หญิงสาวบอกกับเขาอยู่บ่อยๆ “ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ และผู้คนทั้งประเทศต้องจดจำงานวิวาห์ครั้งนี้ไปอีกนานแสนนาน…”