ปลายฟ้า สาวสวยสามวิญญาณ บทที่ 1 : แฝดสามคน
โดย : จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท
ปลายฟ้า สาวสวยสามวิญญาณ โดย จิดานันท์ เหลืองเพียรสมุท หนึ่งในผลงานจากโครงการช่องวันอ่านเอา กับเรื่องของ ปลายฟ้า หญิงสาวที่เกิดมาพร้อมกับวิญญาณสามดวงในร่างเดียว เธอและพี่น้องผลัดกันใช้ร่างกายเดียว แล้วทุกสิ่งก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป เมื่อดวงวิญญาณดวงหนึ่งเกิดหายสาบสูญ นิยายออนไลน์ที่อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์
“หมอบอกว่าลูกจะเป็นลูกสาว แถมเป็นแฝดสามคนด้วย” พิชิตกล่าวพลางลูบท้องกลมโตของภรรยาอย่างเบามือ “คุณอยากให้ลูกชื่อว่าอะไรดี”
“ตอนแรกตั้งใจไว้ว่าถ้าเป็นลูกสาวจะให้ชื่อว่าปลายฟ้า แต่นี่มีตั้งสามคน อีกสองคนควรชื่ออะไรถึงจะเข้ากัน”
ดาวิกาพูดพลางยิ้มอย่างอิ่มอกอิ่มใจ แน่นอนเธอกังวลที่มีท้องเด็กแฝดสาม หมอบอกว่ากรณีแบบนี้การตั้งครรภ์อาจเสี่ยงยุติลงได้หากมีเรื่องกระทบกระเทือนแม้เพียงเล็กน้อย คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญทำให้เธอวิตก แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกดีใจที่จะมีลูกสาวน่ารักถึงสามคนพร้อมกัน
“เอาเป็นชื่อเกี่ยวกับท้องฟ้าเหมือนกันหมดดีไหม” สามีเสนอ
“ดีค่ะ ฉันอยากให้มีคำเกี่ยวกับพระจันทร์หรือสายรุ้งน่าจะดี เพราะพระอาทิตย์น่าจะเหมาะกับลูกชายมากกว่า”
“หรือจะให้ชื่อเป็นดาว ก็เดี๋ยวซ้ำกับแม่” พิชิตยิ้ม “ผมว่าให้คนหนึ่งชื่อเปลวรุ้งน่าจะดี ดูสว่างสดใส”
“อีกคนชื่อพระจันทร์ จันทร์อะไรดีนะ ความจริงประกายดาวก็เพราะดี เอาเป็น…ประกายจันทร์แล้วกันค่ะ ฟังอ่อนโยน น่าจะดีนะคะ”
“เพราะดี” พิชิตยิ้ม ลูบท้องของภรรยาอีกหนแล้วเรียกชื่อของลูกสาวทั้งสาม “ปลายฟ้า เปลวรุ้ง ประกายจันทร์ รีบๆ ออกมาหาพ่อเร็วๆ นะ พ่ออยากเจอพวกหนูแทบแย่แล้ว”
เด็กทารกในท้องดิ้นน้อยๆ คล้ายรับรู้ได้ถึงคำพูดของผู้เป็นพ่อ สองสามีภรรยายิ้มให้กันอย่างมีความสุข พวกเขาไม่รู้เลยว่าความสูญเสียครั้งใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นกับพวกเขาและสมาชิกใหม่น้อยๆ ทั้งสามนี้
รถฉุกเฉินเปิดไฟสว่างวาบและกรีดเสียงไซเรนวิ่งฝ่าฝนไปในยามราตรี เมื่อไปถึงตึกสีขาวของโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่ต่างก็วิ่งกันวุ่นวาย เปลเคลื่อนย้ายร่างของดาวิกาเข้าไปในห้องรักษา ทิ้งพิชิตให้รอคอยอยู่ภายนอกห้องตรวจแต่เพียงลำพังด้วยความกังวลอันหาที่สุดไม่ได้ ข้างนอกตึกนั่น สายฝนยังตกกระหน่ำ ทั้งความมืดและฝนที่ตกแรงในเวลานี้ราวกับต้องการย้ำความรู้สึกของคนเป็นพ่อให้ยิ่งหวาดหวั่นมากขึ้นไปอีก
หลังการรอคอยยาวนานตลอดทั้งคืน ชายหนุ่มก็ได้รับข่าวจากนายแพทย์ในชุดสีเขียวท่าทางเหนื่อยล้า
“ภรรยาของคุณปลอดภัยดี แต่หมอขอแสดงความเสียใจด้วยนะครับ ลูกสาวของคุณเสียชีวิตสองคน รอดเพียงคนเดียวเท่านั้นครับ”
สิ้นเสียงของนายแพทย์ พิชิตถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ฟ้าแลบแปลบที่หน้าต่างแล้วพลันคำรามลั่นดังครืน ลูกสาวแฝดสามคนของเขารอดชีวิตเพียงคนเดียว ชื่อสามชื่อที่คิดไว้คงเหลือได้ใช้เพียงชื่อเดียวเท่านั้น
น้ำตาของผู้เป็นพ่อเอ่อคลอในแววตา เขานึกปลอบใจตัวเองว่าตนยังเหลือดาวิกาและปลายฟ้าตัวน้อยๆ ที่เพิ่งกำเนิดมาสู่โลก ชีวิตยังไม่ได้ลิดรอนทุกสิ่งไปจากเขาเสียในทีเดียว
ยี่สิบห้าปีต่อมา
ตึกออฟฟิศใหญ่ใจกลางกรุงที่เต็มไปด้วยพนักงานออฟฟิศเดินไปมาขวักไขว่ หญิงสาวร่างสูงผอมในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีดำ และกระเป๋าถือใบสวยเดินก้าวเท้าฉับๆ ไปตามทางอย่างมั่นใจ ในกระเป๋าถือของเธอมีโทรศัพท์มือถือถึงสามเครื่อง หญิงสาวคว้าออกมาเครื่องหนึ่ง เป็นเครื่องที่ใส่เคสสีทองแวววาว เธอเปิดกล้องหน้าเพื่อเช็คสภาพเครื่องสำอางของตัวเอง ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นจุดบกพร่องที่ไม่น่าพอใจ นิ้วเรียวยาวของหญิงสาวกดไอคอนแอพลิเคชั่นไลน์แล้วพิมพ์ลงไปว่า
‘จันทร์เป็นคนเลือกชุดกับเขียนคิ้วเช้านี้ใช่มั้ย ทำไมเขียนคิ้วไม่เป๊ะเลย ไม่เท่ากันอยู่สองมิล รู้มั้ย’
เธอกำลังสนทนาอยู่ในกลุ่มที่มีสมาชิกสามคนคือ ปลายฟ้า เปลวรุ้ง และประกายจันทร์ เมื่อหญิงสาวกดส่งข้อความ โทรศัพท์อีกสองเครื่องในกระเป๋าก็ส่งเสียงเตือนว่ามีข้อความเข้าทันที
เธอเดินเข้าไปในห้องน้ำ แล้วควานไปมาภายในกระเป๋าถืออยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบเอาตุ้มหูขนาดใหญ่เด่นสะดุดตาออกมาสวมที่หูตัวเอง ปากก็พึมพำว่า
“ดินสอเขียนคิ้วไม่ได้เอามา เฮ้อ ยัยจันทร์แต่งตัวจืดน่าเบื่อทุกที ดีนะพกตุ้มหูมาด้วย”
จากนั้นเธอก็หยิบเอาลิปสติกสีแดงสดมาทาทับริมฝีปากซึ่งเดิมทาสีนู้ดซีดๆ ลิปสติกผสมสีเข้าหากัน ทำให้สีแดงสดอ่อนลง ไม่เข้มอย่างใจหวัง หญิงสาวทำเสียงเดาะลิ้นอย่างไม่พอใจ
“ไม่จี๊ดจ๊าดเลย”
พูดจบเธอก็โยนลิปสติกลงในกระเป๋า เดินสาวเท้ารวดเร็วเพื่อออกไปรอขึ้นลิฟต์
ที่หน้าลิฟต์มีพนักงานออฟฟิศยืนรอกันอยู่หลายคน เนื่องจากตึกสูงแห่งนี้เป็นศูนย์รวมของบริษัทต่างๆ หลากหลาย ในช่วงเก้าโมงเช้าเวลาเข้างานจึงมีพนักงานบริษัทยืนออกันอยู่คับคั่ง ผู้คนส่วนใหญ่กำลังมองไปยังหน้าจอบอกเลขชั้นของลิฟต์เพื่อรอให้มันลงมาชั้นล่าง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็กำลังกดโทรศัพท์มือถืออยู่ตามประสาคนยุคปัจจุบัน
“สวัสดีครับคุณฟ้า”
เสียงทักทายดังขึ้นทำให้หญิงสาวหันไปมอง เจ้าของเสียงที่ทักเธอคือชายหนุ่มร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตกับกางเกงขายาวรีดเรียบกริบ เขามีหน้าตาหล่อเหลาสะดุดตา ท่าทางสะอาดสะอ้าน หวีผมอย่างดี นี่คือ เด่นภูมิ พนักงานบริษัทเดียวกับปลายฟ้า ชายหนุ่มอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการของแผนก จึงนับได้ว่าเป็นทั้งเจ้านายและรุ่นพี่ของเธอ
“สวัสดีค่ะ คุณภูมิ” หญิงสาวตอบเสียงแผ่วเบาแต่แฝงจริต เธอยิ้มหวานให้เด่นภูมิ “เช้านี้มีอะไรรองท้องมาหรือยังคะ”
“ยังเลยครับ มีกาแฟแก้วเดียว” ชายหนุ่มขยับแก้วกระดาษใส่กาแฟร้อนในมือ มันเป็นแก้วกาแฟจากร้านเงือกเขียวที่ขายอยู่บริเวณชั้นหนึ่งของตึกออฟฟิศ
“ฟ้าก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยค่ะ” เธอวางมือบนท้องอันแบนราบของตัวเอง มีเจตนาจะให้ชายหนุ่มมองดูหุ่นสวย แต่ลิฟต์เปิดเสียก่อน ทั้งสองเลยต้องหยุดคุยกันแล้วสาวเท้าเข้าไปด้านในพร้อมกับคนอื่นๆ ที่รอลิฟต์อยู่
ระหว่างทางที่ลิฟต์เคลื่อนขึ้น ปลายฟ้ารู้สึกว่าเด่นภูมิขยับเข้ามาใกล้เธอเล็กน้อย อาจเป็นเพราะมีคนในลิฟต์มากทำให้เขาต้องเบียด หรือบางทีอาจเป็นเพราะกลิ่นน้ำหอมขวดใหม่ที่เธออุตส่าห์ซื้อมาเมื่อสามวันก่อนก็ได้
เย้ายวน มั่นใจ ดุจดั่งนางพญา คือสโลแกนที่ใช้โฆษณาน้ำหอมขวดนั้น แต่ไม่สิ ปลายฟ้าแอบขยับไปมาเพื่อดมตัวเอง นี่เธอไม่ได้กำลังฉีดน้ำหอมขวดใหม่เสียหน่อย ร่างกายของเธอส่งกลิ่นหอมดอกไม้อ่อนๆ ผสมกับกลิ่นสดใสของผลไม้ป่า ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับคำว่ามั่นใจหรือนางพญาเลยสักกะนิด
ยัยจันทร์ฉีดน้ำหอมกลิ่นหวานๆ อีกแล้ว ปลายฟ้านึกในใจอย่างขัดเคืองพลางหยุดตัวเองไม่ให้ถอนหายใจยาว
ลิฟต์เปิดเมื่อถึงชั้นที่เธอต้องออก หญิงสาวกับเด่นภูมิแทรกตัวผ่านผู้คนแออัดไปทางประตู พอออกมาจากลิฟต์ได้ พวกเขาก็ตรงไปที่แผงกั้นหน้าประตูออฟฟิศ พลางใช้บัตรพนักงานแสกนที่แผงกั้นเพื่อบันทึกเวลาเข้างาน
หนึ่งหนุ่มหนึ่งสาวเดินเข้าออฟฟิศด้วยกัน เรียกสายตาของทุกคนที่นั่งอยู่ให้หันมามองทันที สุดา เพื่อนสนิทในที่ทำงานของปลายฟ้าหันมาหรี่ตาให้อย่างรู้กัน ส่วนน้องมุนิน รุ่นน้องที่เพิ่งเข้างานได้ไม่กี่เดือนก็หันมายิ้มพร้อมยกมือไหว้เธออย่างสุภาพอ่อนน้อม
ปลายฟ้าสนิทสนมกับสุดา แต่ไม่ได้สนิทกับมุนินเลยสักนิด คนที่สนิทกับมุนินคือประกายจันทร์ ผู้หญิงที่เป็นคนแต่งตัว เขียนคิ้ว (เบี้ยวสองมิลฯ) และเลือกสีปากกับกลิ่นน้ำหอมให้เธอในวันนี้นั่นแหละ
เด่นภูมิเดินแยกเข้าไปในห้องทำงานส่วนตัวของเขา ส่วนปลายฟ้าเดินไปวางกระเป๋าที่โต๊ะทำงานซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างมุนินกับสุดา ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด
“แหม มาทำงานพร้อมกัน มีความลับอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” สุดารีบทักทายเธอด้วยเสียงสูงชนิดที่คงได้ยินกันทั้งออฟฟิศ
“แค่ขึ้นลิฟต์มาพร้อมกันเท่านั้นแหละ” หญิงสาวตอบ ก่อนหันไปยิ้มให้มุนินที่นั่งอยู่อีกฝั่งด้วย อย่างไรซะประกายจันทร์ก็สนิทกับมุนิน เธอจึงต้องทักทายรุ่นน้องเสียหน่อย
“เมื่อคืนได้อ่านข่าวดาราเตียงหักหรือเปล่า” สุดาขาเม้าท์รีบชวนคุย หน้าจอคอมพิวเตอร์ของสุดาแสดงว่ามีอีเมลมากมายที่ยังไม่ได้อ่าน แถมโต๊ะยังรกไปด้วยกองแฟ้มรอให้เธอจัดการ แต่สุดาอยากชวนเพื่อนคุยก่อน
“ไม่ได้อ่านนะ เมื่อวานเหนื่อยเลยนอนเร็ว” ปลายฟ้าตอบ
“นอนเร็วอะไร เมื่อวานมีคนบอกเห็นเธอที่ทองหล่อ บริกส์แอนด์บริกส์ เต้นยั่วซะจนผู้ชายน้ำลายไหล ทำเป็นไก๋ว่านอนไวงั้นเหรอจ๊ะ”
คำพูดจากสุดาทำเอาปลายฟ้าถอนหายใจยาวยืด เพราะคนที่ไปเต้นเมาอยู่ในผับน่ะไม่ใช่เธอเสียหน่อย แต่เป็นยัยเปลวรุ้ง น้องสาวตัวแสบที่ทำตัวเปรี้ยวเข็ดฟันไม่เห็นใจน้องพี่ต่างหาก พนันได้เลยว่าที่ปลายฟ้ารู้สึกผิวแห้งและกระหายน้ำอยู่ตลอดเช้านี้คงเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่เปลวรุ้งฟาดเข้าไปนั่นแหละ
หลังเหตุการณ์น่าเศร้าเมื่อตอนแรกเกิดของเด็กหญิงปลายฟ้า พ่อและแม่ก็ของเธอก็ได้ค้นพบความจริงที่ว่า ภายในร่างกายของปลายฟ้าไม่ได้มีวิญญาณเพียงดวงเดียว แต่มีดวงวิญญาณอาศัยอยู่ถึงสามดวง คือพี่สาวคนโต ปลายฟ้า น้องคนกลาง เปลวรุ้ง และน้องคนสุดท้าย ประกายจันทร์
วิญญาณทั้งสามสลับสับเปลี่ยนกันออกมาใช้ร่างของนางสาวปลายฟ้า โดยขณะที่คนหนึ่งกำลังใช้ร่างกาย อีกสองคนที่เหลือจะเหมือนอยู่ในสภาวะหลับใหล ไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นในโลกภายนอก จะออกมาควบคุมร่างได้ก็ต่อเมื่อคนที่คุมร่างอยู่ส่งไม้ต่อให้เท่านั้น
และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้วที่ปลายฟ้าจะส่งไม้ต่อให้ประกายจันทร์ออกมาคุมร่างนี้ เหตุผลน่ะเหรอ ก็เพราะว่าเธอขี้เกียจทำงานไงล่ะ
คนที่ขยันทำงาน หนักเอาเบาสู้ที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งสามคือน้องเล็กประกายจันทร์ ส่วนคนที่เที่ยวกินเหล้าเมาหยำเปที่สุดขอยกให้เปลวรุ้ง ส่วนปลายฟ้าน่ะเหรอ เธอคือพี่สาวคนโตที่มีอำนาจสั่งการน้องสาวทั้งสองได้ตามใจ เพราะอย่างไรเสียเธอก็เป็นเจ้าของร่าง ที่เธอออกมาปรากฏกายในตอนเช้านี้ก็เพราะว่าเธอต้องการขึ้นลิฟต์พร้อมกับเด่นภูมิเท่านั้นเอง
หญิงสาวจัดแจงเรียกประกายจันทร์ออกมารับผิดชอบงานต่อ ส่วนเธอจะของีบสักหน่อย หลังเปลวรุ้งเอาร่างกายไปใช้เที่ยวตลอดคืน ร่างกายนี้ก็รู้สึกเหนื่อย ปลายฟ้าไม่อยากจะอยู่คุมร่างที่อ่อนล้าอีกต่อไปแล้ว ขอแวบไปนอนพักสักเดี๋ยวดีกว่า
ประกายจันทร์ปรากฏตัวออกมา เธอเห็นสุดายิ้มค้างอยู่ แต่ไม่แน่ใจว่าพี่สาวกำลังคุยกับสุดาอยู่หรือไม่ ปลายฟ้าชอบทิ้งสุดาไว้กลางบทสนทนาอะไรสักอย่างแล้วหายไปเสียเฉยๆ ทิ้งให้เธอต้องต่อบทสนทนาซึ่งเธอไม่รู้ที่มาที่ไปอย่างยากลำบาก
“เดี๋ยวขอเริ่มทำงานก่อนแล้วกันนะ โอย เมลเข้ามาเยอะมากเลย” ประกายจันทร์รีบพูดตัดบทแล้วหันมองหน้าจอตัวเอง เพราะเธอกับพี่น้องชอบสลับตัวกันไปมา ร่างของนางสาวปลายฟ้าเลยดูมีนิสัยชอบพูดตัดบทใครๆ แล้วไปทำอย่างอื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน สุดากับมุนินชินเสียแล้ว พวกเพื่อนๆ นึกว่าเธอเป็นคนคิดไวทำไว จึงชอบเปลี่ยนไปทำนู่นทำนี่อย่างฉับพลันเช่นนี้
วันนี้ร่างกายรู้สึกอ่อนล้านิดหน่อย ประกายจันทร์หยิบโทรศัพท์ในเคสลายดอกไม้สีชมพูของเธอขึ้นมา เห็นข้อความบ่นเรื่องคิ้วจากพี่ปลายฟ้าค้างไว้ในไลน์ แต่เธอไม่ได้ตอบอะไร การโต้เถียงกับพี่สาวไม่เคยทำให้เธอได้ประโยชน์อะไรเลยสักครั้ง หญิงสาวกดเข้าไปดูอินสตาแกรมของ Plaifah_01 แต่ไม่เห็นภาพใหม่ใดๆ เธอจึงกดไปดูอินสตาแกรมของ Fire of Rainbow แทน
แอคเคานต์ Fire of Rainbow นั้นถูกล็อคไว้ มีเพียงเธอกับพี่สาวและเพื่อนบางคนของเปลวรุ้งเท่านั้นที่สามารถเข้าดูได้ ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนที่เปลวรุ้งเจอจากการไปเที่ยวกลางคืน
ประกายจันทร์เลื่อนหน้าจอดู เห็นภาพพี่สาวเช็คอินที่ผับดังย่านทองหล่อ ภาพถ่ายเซลฟี่พี่สาวแต่งตาเฉี่ยว สวมเสื้อสายเดี่ยวสีดำ พร้อมกับควงแก้วเบียร์ในมือ ทำให้ประกายจันทร์เข้าใจในทันทีว่าทำไมตอนนี้เธอถึงมีอาการเหมือนเมาค้าง ท่าทางว่าเมื่อคืนเปลวรุ้งจะออกไปเที่ยวมาอีกแล้ว
แม้จะต้องใช้ร่างกายร่วมกับปลายฟ้า แต่ทั้งเธอและเปลวรุ้งต่างก็มีโทรศัพท์มือถือเป็นของตัวเอง มีไอจีและโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ เป็นส่วนตัว โดยพวกเธอจะปกปิดตัวตนที่แท้จริงหรือใช้การตั้งค่าไม่ให้คนนอกเห็น เพื่อคนอื่นๆ จะได้ไม่สงสัยที่ปลายฟ้ามีแอคเคานต์ไอจีถึงสามแอคเคานต์
หลังเสร็จสิ้นภารกิจส่องโซเชียลของพี่ๆ ประกายจันทร์ก็เก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าพลางถอนหายใจ
“ถอนหายใจยาว คนอะไรมีโทรศัพท์ตั้งสามเครื่อง ไว้สับรางหนุ่มๆ หล่อๆ เหรอจ๊ะ” สุดาแกล้งแซวเหมือนที่แซวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน “แล้วกับบอสภูมิ มีอะไรคืบหน้าบ้างไหม”
“ก็เรื่อยๆ แหละ” ประกายจันทร์ตอบกลางๆ เธอไม่รู้เหมือนกันว่าระหว่างปลายฟ้ากับเด่นภูมิมีอะไรกุ๊กกิ๊กชวนระทึกใจเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า
“วันนี้พี่ฟ้าต้องไปอีกออฟฟิศใช่ไหมคะ” มุนินที่นั่งอยู่อีกฝั่งถามขึ้นมาเบาๆ “พี่ภัทรขับรถไปส่งใช่ไหม”
งานของประกายจันทร์นั้นต้องคอยติดต่อกับทีมที่ทำงานอยู่ออฟฟิศอีกตึกหนึ่งด้วย ตึกออฟฟิศที่ว่านั้นไกลจากตึกสำนักงานแห่งนี้พอสมควร การเดินทางในกรุงเทพฯ ก็แสนน่าเบื่อ แต่เป็นโชคดีของเธอที่พนักงานอีกคนซึ่งต้องติดต่อกับตึกโน้นเหมือนกันมีรถขับ เมื่อต้องออกไปติดต่องานพร้อมกัน เขาจึงสามารถพาเธอออกไปโดยใช้รถส่วนตัวของเขาได้ พนักงานคนนั้นชื่อตนุภัทร ทำงานอยู่อีกแผนกหนึ่ง หน้าที่การงานคล้ายกับประกายจันทร์ แต่อยู่ในตำแหน่งต่ำกว่าเล็กน้อย
“เดี๋ยวต้องถามพี่ภัทรดูก่อนว่าวันนี้เขาต้องไปสาทรไหม” ประกายจันทร์ตอบพร้อมกับเปิดโปรแกรมสำหรับสื่อสารภายในบริษัทขึ้นมากลางหน้าจอคอมพิวเตอร์
เกิดเสียงเตือนดังปิ๊งขึ้นทันทีที่เธอล็อคอิน ตนุภัทรส่งข้อความมานั่นเอง เขาเองก็กำลังอยากรู้เหมือนกันว่าเธอต้องไปสาทรหรือเปล่า
‘พี่ต้องออกไปนะครับวันนี้ ฟ้าไปด้วยกันไหม’
‘ไปค่ะ ขอรบกวนหน่อยนะคะ’
หญิงสาวพิมพ์ตอบพร้อมยิ้มออกมา เธออดดีใจไม่ได้ที่จะได้ออกไปทำงานพร้อมตนุภัทร
มุนินแอบชำเลืองดูหน้าจอของเธอแล้วพูดว่า “พี่ภัทรไปด้วยกันก็ดีค่ะ พี่ฟ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยต่อรถบีทีเอส”
“เป็นคนสวยมันดีจริง มีแต่หนุ่มๆ คอยรุมเอาใจ” สุดาพูดแซวพลางก็กดพิมพ์อะไรบนหน้าจอ
ประกายจันทร์แอบยิ้มกับตัวเองแต่ไม่ตอบบทสนทนาใคร แกล้งทำเป็นตั้งอกตั้งใจทำงานอย่างหน้าดำคร่ำเครียด
เวลาพักกลางวันมาถึง ประกายจันทร์ออกไปกินข้าวอย่างเร่งรีบ เพราะบ่ายนี้เธอต้องติดรถของตนุภัทรออกไปสาทร ระหว่างที่กำลังนั่งกินข้าวอยู่ในศูนย์อาหารใต้ออฟฟิศ เธอก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาสไลด์ดูข่าวสารบ้านเมืองไปพลางๆ หญิงสาวเพิ่งเหลือบเห็นข้อความที่เปลวรุ้งส่งมาในโทรศัพท์ตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อเช้าเธอไม่ได้เปิดดูเพราะเปลวรุ้งส่งมาในการสนทนาส่วนตัว ไม่ได้ส่งมาในกลุ่มที่พวกเธอคุยกันสามพี่น้อง
‘ถ้าได้ทำงานกับคุณภูมิ สลับให้ฉันออกไปเจอเขาหน่อยสิ’
ประกายจันทร์อ่านข้อความแล้วถอนหายใจ ดูเหมือนพี่สาวของเธอทั้งสองคนจะต้องการใกล้ชิดกับเด่นภูมิ เจ้านายหนุ่มสุดเนี้ยบมาดโก้ แต่เด่นภูมิเป็นผู้ชายที่ประกายจันทร์ไม่ค่อยจะปลื้มสักเท่าไหร่ หญิงสาวรู้สึกว่าเด่นภูมิคล้ายจะมาจากครอบครัวชนชั้นสูง ดูเอื้อมไม่ถึง แถมยังเป็นเจ้านาย เธอไม่กล้าทำตัวสนิทสนมด้วย
ถึงแม้ว่าฐานะทางบ้านของปลายฟ้าจะไม่ใช่คนยากจน แต่ก็อยู่ในระดับชนชั้นกลางที่ไม่ได้ร่ำรวยล้นฟ้า ยิ่งมีสามวิญญาณที่ใช้เงินเดือนของคนคนเดียว สามสาวเลยค่อนข้างใช้ชีวิตอย่างประหยัด
ประหยัดจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ปลายฟ้าชอบซื้อเสื้อผ้าเครื่องสำอางเป็นที่สุด ส่วนเปลวรุ้งก็ขยันเที่ยว ในบรรดาสามคนนี้ดูเหมือนมีเพียงประกายจันทร์เท่านั้นที่กังวลเรื่องบิลค่าบัตรเครดิตในแต่ละเดือนและพยายามทำบัญชีให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบร้อย
นึกพลางประกายจันทร์ก็ถอดตุ้มหูของพี่สาวคนโตใส่ลงในกระเป๋าถือ ตุ้มหูอันใหญ่แบบนี้ดูสะดุดตาเกินไป แถมยังหนัก คอยแต่จะแกว่งไปแกว่งมาให้เธอรำคาญอีกด้วย
“อ้าว ไม่ใส่แล้วเหรอครับนั่น สวยดีนะ”
เสียงทักดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มในชุดแบบพนักงานออฟฟิศ ที่คอแขวนป้ายพนักงานแบบเดียวกับที่อยู่บนคอของหญิงสาว ประกายจันทร์เงยหน้ามองใบหน้าเป็นมิตรของตนุภัทร พนักงานชายซึ่งเธอค่อนข้างสนิทด้วย ตนุภัทรวางจานข้าวราดแกงลงตรงข้ามจานของเธอแล้วนั่งลง อีกมือวางแก้วน้ำมะตูมลงข้างจาน
“น้ำมะตูมอีกแล้วเหรอพี่ภัทร” หญิงสาวทัก
“ของโปรดๆ” ชายหนุ่มยกแก้วน้ำดูดอึกใหญ่ก่อนจะยิ้มมองเธอ “บ่ายนี้ออกไปด้วยกันเนอะ”
“ค่ะ รบกวนหน่อยนะคะ”
“ไม่กวนหรอก ยังไงก็ต้องไปอยู่แล้วนี่นา” ตนุภัทรทำท่าเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ มือเขาตักข้าวเข้าปาก ท่าทีสบายๆ ของชายหนุ่มทำให้ประกายจันทร์รู้สึกว่าเขาเป็นคนเข้าถึงง่าย
“ช่วงนี้งานเป็นยังไงบ้างคะ” ประกายจันทร์ถาม ทั้งที่เธอก็รู้เนื้องานของตนุภัทรดีอยู่แล้ว และรู้แก่ใจว่าเขาจะบ่นอะไรออกมาบ้าง แต่การได้บ่นงานไปพลาง กินข้าวกลางวันไปด้วย ก็เป็นวิธีคลายเครียดที่บรรดามนุษย์ออฟฟิศพอจะทำได้ในแต่ละวันอันแสนหดหู่
ตนุภัทรหยุดกิน เงยหน้ามองเธอแล้วยิ้ม “ก็เหมือนทุกทีแหละครับ ฟ้าล่ะเป็นยังไง”
ประกายจันทร์ยิ้มตอบ แม้ในแววตาจะดูเหนื่อยหน่าย “ก็เหมือนทุกทีแหละค่ะ มันจะเป็นยังไงไปได้ล่ะ”
“ได้ข่าวว่าแผนกฟ้า บอสภูมิเฮี้ยบมากไม่ใช่เหรอ ได้ยินเสียงพี่สุดาบ่นทุกวันเลย งานหนักแย่เลยสิ”
ประกายจันทร์ส่ายหน้าไปมา ตอบตามจริง “บอสเขาไม่ค่อยจู้จี้อะไรกับฉันหรอกค่ะ ขอแค่อย่าทำงานผิดพลาด เขาก็ไม่ดุอะไรแล้ว แต่พี่ดาจะหลงๆ ลืมๆ บ่อย เลยโดนเอ็ดเข้าบางที”
“แล้วน้องนิน น้องใหม่ล่ะครับเป็นยังไง เริ่มคุ้นงานรึยัง”
“นินเป็นงานไวค่ะ น้องหัวดี คงชินงานในอีกไม่นาน”
การสนทนาบนโต๊ะกินข้าวเป็นไปตามแนวทางของมนุษย์ออฟฟิศทั่วไป พอทั้งสองคนกินหมดจานแล้ว ตนุภัทรก็ถามว่า
“เราขึ้นรถไปเลยดีไหมครับ หรือฟ้าต้องไปเอาอะไรบนออฟฟิศก่อน”
ประกายจันทร์หันมองไอแพดที่เธอพกมาด้วยแล้วส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้วค่ะ มีข้อมูลมาในนี้หมดแล้ว”
ทั้งสองคนจึงออกจากศูนย์อาหาร มุ่งหน้าไปยังชั้นจอดรถ แล้วก็ขึ้นรถของตนุภัทรไปยังที่หมายคือออฟฟิศย่านสาทรซึ่งทั้งคู่ต้องไปติดต่องานตามหน้าที่ของตน
กลับมาถึงออฟฟิศหลักก็เกือบสี่โมงเย็นแล้ว ประกายจันทร์ถอนหายใจด้วยความเหนื่อยล้า ตนุภัทรจอดรถหน้าอาคารแล้วบอกให้เธอขึ้นลิฟต์มาก่อน ส่วนตัวเขาจะวนรถไปจอดที่ชั้นจอดรถ หญิงสาวรับปากทำตามแล้วแบกร่างกลับไปที่โต๊ะทำงานด้วยความอ่อนแรง
บริษัทที่ปลายฟ้าทำงานอยู่นั้นเป็นบริษัทเครื่องหนัง ขายทั้งรองเท้าและกระเป๋าสตรี หน้าที่ทำงานของปลายฟ้าส่วนใหญ่เป็นการติดต่อประสานระหว่างดีไซน์เนอร์ที่ออกแบบสินค้าและฝ่ายบริหารว่าจะอนุมัติหรือไม่ พยายามปรับจูนความเข้าใจของดีไซน์เนอร์กับเหล่าบอสระดับสูง ทีมมาร์เก็ตติ้ง และบรรดาเซลส์ฝ่ายขาย ให้เข้ากันได้โดยไม่กลายเป็นทุ่งสงครามไปซะก่อน ส่วนหน้าที่ทำงานของตนุภัทรคือการนำแบบที่ได้รับการอนุมัติว่าจะวางจำหน่ายแล้วไปพูดคุยกับฝ่ายผลิต ตรวจสอบว่าผลิตออกมาตรงกับที่ออกแบบและมีคุณภาพหรือไม่ บางครั้งชายหนุ่มก็ถึงขั้นต้องเดินทางไปถึงโรงงานผลิตด้วยตัวเองเลยทีเดียว
เพราะบริษัทค่อนข้างเล็ก บางครั้งหน้าที่ส่วนการทำงานจึงซ้ำซ้อนและเหลื่อมกันอยู่บ้าง และบางทีก็มีการโยนงานไปๆ มาๆ ระหว่างทีมนู้นทีมนี้ โดยปลายฟ้าหรือประกายจันทร์นี่แหละที่มักจะได้รับเคราะห์โดนโยนนั่นโยนนี่ใส่หัวเอาทุกที เพราะความเป็นคนอ่อน ยอมใครไปหมดของเธอ
ปลายฟ้าเคยบ่นเอาไว้ว่า “เพราะจันทร์เป็นแบบนี้นั่นแหละ พวกเราถึงได้งานยุ่งท่วมหัว พี่ไม่ยอมทำหรอกนะ พวกบรรดางานที่จันทร์ไปรับผิดชอบเอามาทั้งที่มันเกินขอบเขตของเราน่ะ”
พี่สาวคนโตบ่นแบบนั้นไว้ในไลน์กรุ๊ป แล้วก็จัดการโยนประกายจันทร์ออกมาควบคุมร่าง ให้รับกรรมทำงานที่ดันไปตกปากรับมาเพราะปฏิเสธใครไม่เป็น ครั้นจะหันไปขอร้องเปลวรุ้งให้ช่วย พี่สาวคนกลางตัวแสบก็มักจะออกมาอู้ โผล่มาทีไรงานไม่เห็นเดิน มีแต่ตัวเปลวรุ้งที่เดินไปเดินมาเพื่อเอาหน้าสวยๆ ไปอยู่ในสายตาของเด่นภูมิเท่านั้นแหละ
ประกายจันทร์ถอนหายใจให้ชะตาอาภัพของตัวเองระหว่างวางไอแพดลงบนโต๊ะ ทันทีที่อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์สีขาวของเธอสัมผัสเนื้อไม้เทียม แก้วพลางติกอีกใบก็วางลงข้างๆ มันทันที มันเป็นแก้วหรูจากร้านกาแฟชื่อดัง ใส่น้ำสีน้ำตาลไว้ครึ่งล่าง มีน้ำสีส้มอยู่ครึ่งบน
ประกายจันทร์เงยหน้าขึ้น เธอสบตากับเด่นภูมิที่ส่งยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“เห็นคุณฟ้าออกไปทำงานมาคงเหนื่อย ผมเลยซื้ออเมริกาโน่ใส่น้ำส้มมาให้ ผมเห็นคุณฟ้าชอบถือแก้วอเมริกาโน่แบบนี้เดินเข้าออฟฟิศมาตอนเช้า เลยจำได้ว่าชอบน่ะครับ”
“ขะขอบคุณมากค่ะ” หญิงสาวตะกุกตะกัก เด่นภูมิพูดไม่ผิดหรอก คนที่ชอบดื่มกาแฟไม่ใส่นมแต่ผสมน้ำผลไม้คือพี่สาวคนโตของเธอ ปลายฟ้า นั่นเอง ส่วนประกายจันทร์นั้น…
“อ้าว” เสียงอุทานของตนุภัทรดังขึ้นจากทางด้านหลัง เมื่อหันไปมอง หญิงสาวก็ได้พบว่าเขากำลังถือชาเย็นสีส้มแก้วหนึ่งไว้ในมือ ท่าทางเขาจะแวะซื้อมาจากร้านน้ำใกล้ๆ ทางเข้าตึกหลังจากจอดรถเสร็จ
“เอ่อ…” ประกายจันทร์ไม่แน่ใจว่าตนุภัทรมีอะไรอยากพูดกับเธอหรือเปล่า สีหน้าของเขาบ่งบอกแบบนั้น ทว่าตนุภัทรดูทั้งงุนงงและไม่มั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมากขณะกล่าวออกมา
“พี่จำได้ว่า…พี่นึกว่าฟ้าเคยบอกว่าไม่ดื่มกาแฟ พี่เลยซื้อชาเย็นมาฝาก”
ถูกต้องแล้ว ประกายจันทร์ไม่ชอบดื่มกาแฟ และชอบดื่มชาชนิดต่างๆ เป็นอย่างยิ่ง
ตนุภัทรจำถูก เด่นภูมิจำถูก แต่ประกายจันทร์นี่สิ เธอจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ไปได้อย่างไร
หัวสมองของหญิงสาวคิดอย่างรวดเร็วก่อนจะตอบไปพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ ว่า
“ปกติฉันดื่มกาแฟตอนเช้าน่ะค่ะ ตอนบ่ายจะไม่ดื่มกาแฟ แต่ตอนนี้หิวน้ำม้ากมากค่ะ ขออนุญาตรับไว้ เอ่อ…ทั้งสองแก้วเลยแล้วกันนะคะ”
ประกายจันทร์ไม่อยากปฏิเสธชาเย็นจากตนุภัทร ในขณะเดียวกันก็ไม่กล้าตัดไมตรีของเด่นภูมิ เพราะเดี๋ยวทั้งปลายฟ้าและเปลวรุ้งจะมาว่าเอาได้ ตอนนี้เธอเลยรับบทหญิงสองใจอยากได้น้ำสองแก้ว คว้าชาเย็นมาจากมือตนุภัทรแล้วยิ้มแห้งๆ ก่อนจะหันไปหาบอสเด่นภูมิคนเนี้ยบแล้วยิ้มแหะๆ เหมือนไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี
เด่นภูมิเดินหมากก่อน “งั้นผมกลับห้องทำงานก่อนนะครับ”
ตามด้วยตนุภัทร “งั้นพี่กลับโต๊ะก่อนนะ”
สองหนุ่มหมุนตัวเดินหันหลังไปคนละทาง แต่ก่อนจากกันยังไม่วายส่งสายตาปะทะกันวิ้งเสียหนึ่งรอบ
ตนุภัทรเป็นคนหลบตาก่อน ยังไงเสียเขาก็มีตำแหน่งต่ำกว่า ส่วนประกายจันทร์ไม่กล้ามองหน้าใคร เลยได้แต่ยืนก้มหน้าจ้องแก้วชาเย็นและอเมริกาโน่อยู่ตรงนั้นเงียบๆโดยมีเหงื่อไหลท่วมแผ่นหลัง