ร่างสลับอัปสรา บทที่ 1 : สาวบ้านทุ่งช่างฝันกับของขวัญวันเกิด

ร่างสลับอัปสรา บทที่ 1 : สาวบ้านทุ่งช่างฝันกับของขวัญวันเกิด

โดย : กุลวีร์

ร่างสลับอัปสรา นวนิยายโรแมนติกคอมเมดี้เรื่องเยี่ยม จากโครงการอ่านเอาก้าวแรกรุ่นที่ ๒ โดย กุลวีร์ ที่กำลังจะเป็นละครในช่องวันเร็วๆ นี้ กับเรื่องของสาวบ้านที่ต้องจับพลัดจับผลูไปเป็นหญิงสาวตัวเก็งเวทีประกวดนางงามระดับชาติ ความอลวนอลเวงพลันบังเกิด นวนิยายสนุกๆ เรื่องนี้ มีให้อ่านที่อ่านเอาที่เดียว

**************************

– 1 –

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

หมู่บ้านหนองนาหลายในชนบททางภาคตะวันตกของไทย ชาวบ้านเลี้ยงชีพด้วยการทำไร่ไถนา ยอดใบข้าวโอนเอนในแปลงนาหลายสิบไร่ ราวกับผ้าสีเขียวผืนใหญ่พลิ้วไสวไปตามแรงลม แมลงปอตัวน้อยบินว่อนกระจัดกระจายทั่วท้องนา ปูวิ่งเร็วจี๋ลงรูและปลาช่อนรีบมุดหัวเข้าไปในกอต้นข้าว เพราะเกรงจะมีภัยมาสู่ตัว ยามมีคนเดินเข้ามาใกล้

สองสาวเลือกใช้ที่ตรงนี้หยุดพักผ่อน ปูเสื่อใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่บนคันนา เพื่อนั่งรอกลับบ้านพร้อมกับคนที่กำลังเดินดูต้นข้าวในนาตัวเอง

หลังจากนั่งพักจนหายเหนื่อย สาวผิวคล้ำ ร่างอวบ สูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร เส้นผมสีดำยาวถึงไหล่ถูกมัดด้วยหนังยางเป็นแกละสองข้าง หน้ากลมแป้น แก้มป่อง ดวงตากลมโตมีเสน่ห์ตรงหางตาชี้ขึ้น จมูกสั้นเป็นสันตรง ลุกขึ้นยืนสูดกลิ่นของท้องทุ่งเข้าปอดอย่างเต็มที่ รับความสดชื่นจากธรรมชาติ ริมฝีปากอวบอิ่มถูกยกให้ห่างจากฟันหน้าที่ยื่นออกมา

“ดาหันหน้าดูแป้นหน่อยสิ” หล่อนบอกเพื่อนสาวซึ่งมีรูปร่างบอบบาง ตัวเล็กกะทัดรัด ตากลม ปากนิดจมูกหน่อยได้ส่วนกับใบหน้ารูปไข่อย่างพอเหมาะ มีผมดำปล่อยยาวแค่ติ่งหู สีผิวไม่ต่างจากหล่อน

สาวผมแกละหลับตา จินตนาการว่าตัวเองยืนรอลุ้นผลการประกวดสาวงาม

หล่อนดัดเสียงให้เหมือนพิธีกรบนเวทีที่เคยดูผ่านตา “รายชื่อที่จะประกาศต่อไปนี้ คือชื่อของคนที่ได้ครองมงกุฎสาวงามในปีนี้…”

หล่อนหยุดเว้นวรรค ทำท่าทีตื่นเต้น สองมือยกขึ้นมากุมไว้กลางอก แล้วกล่าวต่อ “ได้แก่ นางสาว ส้มแป้น เลิศลอย” เป็นชื่อของเจ้าตัวที่ดัดเสียงพูดนั่นเอง

สุดานั่งบนเสื่อดูการแสดงของหล่อนอย่างตั้งอกตั้งใจ จึงไม่มีเสียงสนับสนุนใดๆ ตอบกลับมา

หล่อนเลิกดัดเสียง หันหน้าพูดกับเพื่อนสาว “ตบมือให้กำลังใจ ยินดีกับแป้นหน่อยสิ ดา”

สุดาทำตามคำบอกของหล่อนอย่างว่าง่าย

ส้มแป้นแสดงอาการดีใจอย่างล้นพ้น เมื่อคิดว่าตนนั้นได้สวมมงกุฎสาวงาม สองมือยกขึ้นปิดปาก สีหน้าและแววตาตื้นตันที่ได้ตำแหน่งชนะเลิศ หล่อนเดินโบกมือด้วยท่วงท่าสง่างาม ราวกับคันนาเป็นเวที ต้นข้าวสีเขียวเสมือนผู้ชมช่วยกันปรบมืออย่างพร้อมเพรียงร่วมแสดงความยินดี

เสียงหัวเราะของชายหนุ่มดังขึ้นมาขัดจังหวะ ทำให้หล่อนหลุดออกมาจากภาพฝัน

“คนอย่างส้มแป้น จะได้เป็นสาวงาม หน้าอย่างกับแก้วหน้าม้า ตัวใหญ่เหมือนนางพันธุรัต แค่เดินเข้าไปขอประกวด เขาคงไล่กลับบ้านแน่ๆ” เสียงขำขันดังขึ้นอีกครั้งซึ่งมาจากชายหนุ่มหน้าตาคมสัน ตัวสูง รูปร่างกำยำ ดวงตาเล็กดูสดใส มีคิ้วหนาและขนตาดกยิ่งเพิ่มความเข้มของใบหน้ามากขึ้น ริมฝีปากค่อนข้างหนา ผิวคล้ำน้อยกว่าหล่อน

“พี่ก้าน ทำไมไปว่าส้มแป้นแบบนั้น” น้องสาวที่มาพร้อมกันต่อว่าพี่ชาย

“ไม่เป็นไรหรอกกิ่ง พี่ทองก้านพูดถูก แป้นรู้ตัวดี” หล่อนพูดกับเพื่อนสาวอีกคนที่มีโครงหน้าและทรงผมคล้ายสุดา ร่างสมส่วน ตาหูจมูกปากไม่ต่างจากพี่ชาย แต่คิ้วบางกว่า

“ลุงสิงห์อยู่ไหน พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” ทองก้านไม่สนใจหล่อน หันหน้าไปถามเพื่อนสาวที่ยังนั่งบนเสื่อ

“พ่ออยู่ในทุ่งจ้ะ”

ทองก้านเดินแยกออกไปทันที หลังจากได้รับคำตอบจากสุดา

“ส้มแป้นอย่าถือสาคำพูดพี่ชายของกิ่งเลยนะ” ทองกิ่งพูดพลางเดินเข้ามาใกล้

“แป้นไม่ได้คิดอะไรเลย ผู้ชายปากร้ายแบบนี้แป้นชอบมาก เหมือนพระเอกละครเรื่องนั้นที่จับนางเอกขังไว้บนเกาะ”

ทองกิ่งนั่งลงบนเสื่อพูดกับหล่อนต่อ “กิ่งพยายามทำตัวเป็นแม่สื่อให้ส้มแป้นกับพี่ก้านอยู่นะ”

“ไม่ต้องจับคู่ให้แป้นหรอก ขอแค่พี่ทองก้านยิ้มให้ตอนเจอกันก็พอแล้ว”

“กิ่งไม่เข้าใจพี่ชายของกิ่ง ทำไมไม่พูดดีๆ กับส้มแป้นบ้างเลย”

สุดาที่นิ่งฟังเพื่อนสองคนคุยกัน เอ่ยขึ้น “เพราะส้มแป้นทำตัวสนใจพี่ทองก้านจนเกินไป อย่าทำอย่างนั้นสิ”

อาจเป็นเหตุผลหนึ่งเท่านั้น แต่หญิงสาวรู้ว่ายังมีแรงยุยงจากบางคนซึ่งทำให้ทองก้านไม่ชอบหล่อน

“แป้นชอบพี่ทองก้าน ผู้ชายหน้าคมเข้ม ร่างบึกบึนแบบนั้น โอ้! แม่เจ้า เห็นแล้วอยากล้มเข้าไปซบอก” หล่อนยิ้มพราย เมื่อนึกถึงภาพหน้าตัวเองกำลังซุกอกกว้างของทองก้าน

“แต่ดาว่า พี่ทองก้านต้องผลักส้มแป้นให้ล้มไปอีกทางแน่นอน” เพื่อนสาวดับฝันหล่อน

สามสาวขบขัน เนื่องจากเห็นด้วยกับคำพูดของสุดาซึ่งน่าจะเป็นจริง

“การประกวดสาวงามสยามประเทศ กำลังจะเกิดขึ้นแล้วนะ เมื่อวานตอนดานั่งดูละคร เห็นโฆษณาเปิดรับสมัคร ปีนี้คนที่ได้ตำแหน่งจะสวยเท่าปีก่อนหรือเปล่า” สุดาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

หล่อนพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ “ปีนี้แป้นต้องได้ เพราะแป้นสวย”

“ฮะ!” เพื่อนทั้งสองอุทานพร้อมกัน แล้วจ้องหน้าคนที่คิดว่าตัวเองมีความสวยถึงขั้นไปอยู่บนเวทีการประกวดสาวงาม

ความเงียบปกคลุมช่วงแค่เวลากะพริบตา เสียงหัวเราะระเบิดออกมาจากปากของสามสาวพร้อมกัน ดังลั่นทั่วท้องนาสีเขียวขจี

ฉันอยากสวมมงกุฎสาวงาม นี่คือคำพูดในใจของส้มแป้น

 

บ้านไม้ใต้ถุนสูง หลังคาทรงจั่วมุงด้วยสังกะสี เป็นบ้านของสิงห์ซึ่งมีเมียชื่อแดง และมีลูกสาวชื่อสุดา ส่วนส้มแป้นนั้นเป็นหลานสาวแท้ๆ ของสิงห์ เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้ตั้งแต่อายุสองขวบ เพราะพ่อแม่ของหล่อนเสียชีวิตด้วยโรคร้ายจากการเข้าไปเก็บของป่า ส้มแป้นจึงเป็นเพื่อนกับสุดาที่มีอายุไล่เลี่ยกัน จนชาวบ้านคิดว่าบ้านหลังนี้มีลูกสาวสองคน

ดวงตะวันจวนจะลับขอบฟ้า หลังจากเดินกลับจากนาพร้อมกับผู้เป็นเจ้าของบ้าน สองสาวนั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ที่ตั้งอยู่ใต้ถุนบ้าน

“พวกเอ็งเป็นยังไงบ้าง” เป็นเสียงทักของนางแดง

“สบายมากจ้ะ แค่นี้ แป้นยังไหว” หล่อนนั่งเหยียดขาตรงกำลังใช้สองมือทุบเบาๆ ไปมาที่ต้นขาคลายความปวดเมื่อย

“แม่ทำกับข้าวเสร็จหรือยังจ๊ะ” สุดาลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ตุ่มน้ำ

“แม่ทำเสร็จแล้ว นี่พ่อเอ็งไม่ได้มาด้วยรึ”

“ลุงสิงห์ไปหลังบ้านจ้ะ” ส้มแป้นตอบคำถามแทนเพื่อนที่กำลังดื่มน้ำ เมื่อสุดาดับความกระหายเรียบร้อยแล้ว ยื่นขันเงินให้หล่อน

“แป้นคิดว่า แป้นเป็นคนสวย” คนพูดก้มหน้ามองดูเงาในน้ำใสแล้วจินตนาการว่าเป็นคนหน้าตางดงาม หล่อนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ให้กับภาพมัวที่สะท้อนน้ำในขันเงินแล้วพูดต่อ “ป้าแดง แป้นสวยพอไหมที่จะไปประกวดสาวงาม”

คนถูกเอ่ยชื่อหันหน้ามองส้มแป้น “เอ็งขึ้นไปส่องกระจกบนบ้านดีไหม”

“ไม่จ้ะ กระจกสะท้อนความจริงมากเกินไป แป้นไม่ชอบ”

“ป้าก็ว่าแล้ว ทำไมเอ็งคิดว่าตัวเองสวย รอตาสิงห์ก่อนนะ พวกเราค่อยขึ้นไปกินข้าวบนบ้านพร้อมกัน” นางแดงปล่อยให้หล่อนอยู่กับภาพที่ตัวเองสร้างขึ้นต่อไป

หล่อนวางขันเงินบนแคร่ไม้ไผ่แล้วลุกขึ้นยืน คิดว่าตนกำลังเดินอยู่บนเวทีประกวดสาวงาม ช่วงจังหวะการก้าวขาถูกฝึกเป็นอย่างดีเพราะจดจำมาจากภาพในโทรทัศน์

“เป็นอะไรของเอ็ง ส้มแป้น” เสียงทักของนายสิงห์เดินมาจากหลังบ้าน

“แป้นกำลังฝึกเดินประกวดสาวงาม ลุงสิงห์ไม่เห็นหรือจ๊ะ หลานสาวคนนี้สวย ดูดี มากเพียงใด”

“ถ้าเอ็งอยากเป็นสาวงามจริงๆ ลุงจะพาไปประกวดธิดาเมืองโอ่งดีไหม หุ่นได้เลยนะ” สิงห์เย้าแหย่คนที่กำลังก้าวเดินอย่างแช่มช้อย

ส้มแป้นหยุดเดินแบบสาวงาม ก้าวเท้าเร็วเข้ามาใกล้ “ลุงหาว่าแป้นอ้วน แป้นแค่ตัวใหญ่เท่านั้นเอง”

“ถ้าเอ็งตัวเล็กกว่านี้อีกสักหน่อย ลุงจะพาไปสมัครประกวดสาวงาม” สิงห์พูดเอาใจหลานสาว

“จุดดำเต็มแก้มกับฟันเหยิน เอ็งจะทำไง ถ้าไปประกวดแข่งกับเขา” นางแดงถาม

“แค่ทาแป้งให้หนาหน่อย ก็มองไม่เห็นแล้ว ส่วนฟันแป้นว่าปล่อยไว้แบบนี้ดีกว่า ให้เป็นภาพจำของนางสาวส้มแป้น”

“อีกสองวันเป็นวันเกิดส้มแป้น” สุดาเอ่ยแทรกขึ้นมา

“ปีนี้เอ็งอายุเท่าไร ส้มแป้น” นายสิงห์ถาม

“ยี่สิบปีจ้ะ”

“เป็นสาวแล้ว มีผู้ชายมาจีบบ้างหรือยัง”

“ยังจ้ะ มีแต่แป้นที่เข้าไปจีบเขา” หล่อนพูดอย่างหน้าตาเฉย อมยิ้มนิดๆ กับคำตอบตัวเอง

คนเป็นลุงมองหน้าหลานสาว “ผู้ชายบ้านไหนของเอ็ง”

“พี่ทองก้านจ้ะ” สุดาตอบออกมาก่อน หล่อนตีต้นแขนเพื่อนด้วยความเขินอาย

“หนุ่มรูปหล่อขนาดนั้น เขาจะสนใจเอ็งรึ ส้มแป้น”

“นั่นสิ ลุงสิงห์ แค่พูดจาดีๆ กับแป้น เขายังไม่เคยเลย”

“ตัดใจซะเถอะ ป้าว่ามองผู้ชายที่สนใจเอ็งดีกว่า”

“แป้นยังไม่ถอดใจ ถ้าพี่ก้านยังไม่แต่งงานกับใคร แล้ววันหนึ่งแป้นสวยกว่านี้ วันนั้นเขาอาจมาชอบหลานสาวของป้าก็ได้”

“พูดถึงคนบ้านนั้น วันนี้ไอ้ทองก้านมาขอเลื่อนวันจ่ายตังค์ค่าเช่านา”

“เราเอาเรื่องหนี้บังคับให้บ้านนั้นแต่งงานกับส้มแป้นดีไหม” นางแดงเสนอความคิด

“แป้นไม่เห็นด้วย” หล่อนโพล่งออกมาทันที “ถ้าพี่ทองก้านจะแต่งงานกับแป้น เขาต้องรักแป้น ไม่ใช่ถูกบังคับเพราะความจำเป็น”

“แล้วแต่เอ็งละกัน วันเกิดปีนี้อยากได้อะไรเป็นพิเศษไหม ส้มแป้น”

หล่อนตอบคำถามของนางแดงและบอกความปรารถนาที่คิดฝันไว้ “แป้นอยากได้ของขวัญจากพี่ทองก้าน และถ้ามีโอกาสก็อยากขึ้นเวทีประกวดสาวงามสักครั้ง”

นายสิงห์และนางแดงส่ายหัวให้กับคำตอบของหลานสาว “แต่ตอนนี้ลุงยังไม่พร้อมจะพาไป รออีกสักปีสองปีเผื่อเอ็งจะสวยขึ้นกว่านี้”

ส้มแป้นไม่สนใจกับคำกล่าวนั้น เพราะยังอยู่ในความคิดของตัวเองว่าวันเกิดปีนี้จะได้รับของขวัญจากใครบ้าง เมื่ออายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ หล่อนอาจสมหวังราวกับความฝัน แต่มันคือเรื่องจริง เนื่องจากอนาคตเป็นสิ่งที่ยากเกินคาดเดา

เขายังจำรอยยิ้มของสาวคนหนึ่งได้ดี แต่จะให้ยิ้มตอบกลับไปคงไม่มีทาง เพราะเขาไม่ชอบทั้งรูปร่างหน้าตาและท่าทางที่หญิงผู้นั้นแสดงออกมาทุกครั้งยามพบหน้า เมื่อเขาคุยธุระเรื่องหนี้เสร็จ จึงกลับบ้านทันที ทองก้านเดินนำออกมา ไม่รอน้องสาวกล่าวร่ำลาผองเพื่อน แล้วปล่อยให้ทองกิ่งวิ่งตามหลัง

ก่อนพี่น้องสองคนจะเดินถึงบ้านตัวเอง น้องสาวทักขึ้น “พี่ก้าน กิ่งมีเรื่องจะพูดด้วย”

“ว่ามาสิ” เขาหยุดเดินหันหน้ามองทองกิ่ง

“ทำไม พี่ก้านถึงไม่พูดจาดีๆ และไม่ยิ้มให้ส้มแป้นบ้างเลย”

“พี่ไม่ชอบเพื่อนของกิ่ง พี่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นชอบพี่ พี่ไม่อยากเข้าใกล้ ไม่อยากสนิทด้วย”

“เหตุผลมีแค่นี้ ถามจริงๆ เถอะพี่ก้าน ไม่ใช่เพราะกิ่งมาเป็นเพื่อนกับส้มแป้นหรอกรึ แต่กิ่งบอกได้เลยว่าส้มแป้นเป็นคนจิตใจดี กิ่งคิดไม่ผิดที่ตัดเพื่อนกับคนนั้นแล้วมาคบกับเพื่อนคนนี้”

เขานิ่งฟัง หากตอนแรกจะพูดออกไปว่าเรื่องที่น้องสาวเอ่ยขึ้นนั้นมีส่วนที่ทำให้ไม่ชอบส้มแป้น เขาได้ฟังความเพียงด้านเดียวจากปากหญิงสาวอีกคนซึ่งเป็นหญิงในดวงใจ

“คนมันไม่ชอบคือไม่ชอบ จะให้ทำไงล่ะ”

“พี่ไม่ต้องชอบเพื่อนของกิ่งก็ได้ แค่พูดดีด้วย แค่ยิ้มให้บ้างเท่านั้นก็พอ”

“แค่พี่เห็นหน้าและท่าทางเพื่อนของกิ่ง พี่ก็หงุดหงิดแล้ว แต่จะพยายามแล้วกัน” เขาตัดบทเพราะไม่อยากพูดถึงผู้หญิงคนนั้น ทองก้านหมุนตัวจะก้าวเท้าเข้าเขตบ้าน แต่ได้ยินเสียงของน้องสาวทักขึ้นมาอีกครั้ง

“พี่ก้าน ถ้ากิ่งขอให้พี่ทำอะไรสักอย่างจะได้ไหม”

“ถ้ามันไม่ฝืนใจพี่มาก พี่จะทำให้แล้วกัน”

“กิ่งขอให้พี่เขียนการ์ดอวยพรวันเกิดให้ส้มแป้นหน่อยได้ไหม อยากให้พี่ชายทำเพื่อน้องสาว”

“จะให้พี่เขียนการ์ดให้เพื่อนของกิ่ง”

“ใช่จ้ะ” น้องสาวตอบพร้อมยิ้มออกมา

“ไปหาการ์ดมาให้พี่ แล้วบอกเพื่อนด้วยว่าพี่ทำตามคำขอของกิ่ง” เขาต้องพูดแบบนั้นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายคิดหวังอะไรจากเขา

“ขอบคุณพี่ก้านมากๆ จ้ะ” ทองกิ่งเข้ามากอดพี่ชายตัวเอง เขาจับมือน้องสาวให้ก้าวเดินไปพร้อมกัน

บ้านไม้หลังเล็กถูกยกขึ้นจากพื้นสูงแค่หัวเข่าของผู้อาศัยเพื่อหลีกน้ำขังยามฝนตกหนัก บันไดเพียงสามขั้นพาดไว้หน้าบ้าน ถ้าปีไหนน้ำจากแม่น้ำเอ่อทะลักล้นออกมา บ้านหลังนี้คงไม่พ้นจมน้ำ เหมือนเมื่อสองปีก่อนที่น้ำท่วมสูง ทำให้ต้องหยิบยืมเงินจากคนรู้จักมาใช้จ่ายและเป็นต้นทุนในการทำนา

เขาอยากยกบ้านให้สูงขึ้นจากพื้นมากกว่านี้ แต่ด้วยเงินที่ต้องนำมาใช้ในการทำมาหากินและยังมีหนี้สินต้องทยอยจ่าย จึงระงับความคิดที่จะทำให้บ้านหลังนี้มีใต้ถุนสูงอย่างไม่มีกำหนด อีกทั้งนาข้าวของครอบครัวซึ่งมีอยู่เพียงหนึ่งไร่ จึงต้องเช่าที่นาผู้อื่นลงทุนปลูกข้าวเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น

แต่ค่าเช่านาเมื่อปีก่อนยังค้างจ่ายกับนายสิงห์ เขาต้องไปขอผ่อนผัน รอให้ข้าวปีนี้ขายออกไปได้ แล้วค่อยจ่ายทีเดียวโดยเจ้าหนี้ไม่คิดดอกเบี้ยเพิ่ม เขาเคยบอกพ่อว่าต้องไปหางานทำในเมืองกรุงเพื่อนำเงินมาช่วยเหลือรายจ่ายของครอบครัว

ทองก้านเห็นพ่อนั่งตรงชานหน้าบ้าน

เมื่อตักน้ำล้างเท้าแล้วก้าวขึ้นบันได พ่อถามทันทีที่เห็นหน้าเขา “ไปคุยกับลุงสิงห์เป็นไงบ้าง”

“ลุงสิงห์ให้จ่ายแค่ค่าเช่าที่ติดค้างไว้เท่านั้นพอจ้ะ ไม่คิดดอกเบี้ยเพิ่ม แล้วยังย้ำว่าบ้านเรามีเงินเมื่อไหร่ค่อยนำไปจ่ายคืนก็ได้”

แม่เดินยกถาดกับข้าวเข้ามาใกล้ สำรับอาหารเย็นวางอยู่ตรงหน้าของสมาชิกในบ้าน ก่อนเริ่มกินข้าวคนเป็นพ่อพูดขึ้นมา “ก้านจะเข้าไปทำงานในเมืองใหญ่ใช่ไหม แต่พ่ออยากให้ก้านลองมองลูกสาวบ้านตาสิงห์ไว้บ้าง”

“แม่มาคิดและได้นั่งคุยกับพ่อ ถ้าก้านแต่งงานกับลูกสาวบ้านนายสิงห์ เราจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่านา หนี้บ้านเราคงไม่มี”

“ใช่จ้ะ ส้มแป้นกับสุดาเป็นคนดี” ทองกิ่งกล่าวเสริม

“ก้านชอบพริ้ม ลูกสาวบ้านนั้นก้านไม่ชอบ สุดาพอคุยด้วยกันได้ แต่อีกคนเห็นแล้วขนลุก น่ากลัว” เขาบอกไปตรงๆ พลางลูบแขนสองข้างทำราวกับว่าขนลุกขึ้นมาจริงๆ เมื่อนึกถึงหญิงสาวผู้นั้น ท่าทางและแววตาทำให้เขาอยากอยู่ไกลๆ มากกว่าที่จะเข้าไปพูดคุยด้วย

“แต่พริ้มเป็นถึงลูกสาวผู้ใหญ่บ้านเชียวนะ ก้านคิดว่าผู้ใหญ่เรืองจะเอาลูกเป็นลูกเขยเหรอ ทรัพย์สมบัติเงินทองพวกเราไม่ค่อยมี ที่นาก็มีอยู่น้อยนิด”

“ต้องลองดูจ้ะแม่ ผู้ใหญ่เรืองรักลูกสาวคนเล็กมากคงยอมตามใจ แล้วถ้าก้านได้เป็นลูกเขยของผู้ใหญ่เรือง เราอาจมีเงินใช้หนี้นะจ๊ะ”

ชายหนุ่มยังยึดมั่นกับความคิดตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องหัวใจที่ไม่เคยรับใครเข้ามา ถึงแม้คนในครอบครัวจะไม่เห็นด้วยก็ตาม เพราะไม่มีวันที่ผู้ใหญ่เรืองจะรับลูกชายบ้านนี้เป็นเขยแน่นอน

เขาไม่มีเงินทองมากพออาจทำให้ความรักไม่ราบรื่น ทองก้านจึงต้องเข้าไปทำงานในเมืองใหญ่เพื่อสร้างฐานะให้ดีขึ้นกว่าเดิม

 

ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยม เด่นชัดตรงกรามสองข้าง ตัวสูงผอมแห้ง ผิวค่อนข้างดำ ศีรษะปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มสั้นและหยิกฟู ตาโต จมูกโด่งเป็นสันยาวตรงปลายโค้งมนได้รูปสวย ริมฝีปากบนหนากว่าริมฝีปากล่างเหมือนปากเจ่อ ใบหูกางออกมาเล็กน้อย กำลังเก็บรวบรวมดอกไม้ชื่อเดียวกับเขา ช่อดอกสีเหลืองห้อยย้อยลงมาจากต้น เขาใช้ไม้ซึ่งมีตะขอตรงปลายเกี่ยวลงมาเมื่อพบช่อสวยเข้าตา ต้นไม้ต้นนี้ตั้งอยู่หน้าวัดนาหลายและเป็นที่ที่ทำให้เขาต้องอาศัยอยู่ในวัดตั้งแต่แบเบาะ

หลวงตาเจอเขาตอนอายุยังไม่ถึงขวบดี เด็กน้อยตัวดำถูกวางอยู่ใต้ต้นไม้ รอบๆ ตัวมีกลีบดอกไม้สีเหลืองหล่นเต็มพื้น เขาจึงมีชื่อว่าคูน  ตั้งแต่วันนั้นชายหนุ่มได้รับการเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนจากหลวงตา

หน้าที่ของเด็กวัดซึ่งมีคูนเพียงคนเดียว คอยดูแลความสะอาดทั่วทั้งกุฏิ อุโบสถและบริเวณวัด ปกติเขาตื่นตั้งแต่ก่อนไก่โห่ ร่วมทำวัตรเช้ากับหลวงตา เมื่อเขาทำงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย คูนนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันพิเศษของเพื่อนสาว

เขาตั้งใจนำช่อดอกไม้สีเหลืองมาทำให้เป็นพวงด้วยมือตัวเอง แต่ผู้รับอาจไม่ดีใจที่ได้ของชิ้นนี้ เพราะคูนรู้ว่าส้มแป้นไม่อยากสนิทสนมกับเขามากเกินควร

หลายปีผ่านมา ชายหนุ่มยังจำได้ดีถึงวันแรกของการเริ่มต้นความเป็นเพื่อนระหว่างเขากับส้มแป้น

เด็กชายตัวดำผมหยิกฟูสะพายย่ามเหลืองไปโรงเรียน ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วที่เด็กวัดอย่างเขายังไม่มีใครชวนเล่นสนุกด้วยกันเลย จนคูนตัดสินใจเดินเข้าไปขอเตะบอลกับกลุ่มเด็กผู้ชายที่กำลังวิ่งไล่ลูกกลมๆอยู่ในสนาม แต่ถูกเพื่อนล้อว่าไอ้ดำและไม่ยอมให้เขาเล่นด้วย

กลุ่มเด็กพวกนั้นเข้ามาใช้มือใช้เท้าราวกับร่างกายเขาเป็นลูกบอล หากคูนไม่คิดสู้ใครจึงยอมเป็นผู้ถูกกระทำจนมีเสียงห้ามของเด็กผู้หญิงตัวใหญ่ดังขึ้น ‘หยุดนะ’

เด็กสามคนที่รุมแกล้งเขาหยุดชะงัก

‘ฉันจะฟ้องคุณครู ว่าพวกนายทำร้ายคนไม่มีทางสู้’ เด็กหญิงผมแกละมีท่าทีไม่เกรงกลัวใคร ยืนเท้าสะเอวจ้องหน้าเด็กเกเรแต่ละคน จนพวกนั้นวิ่งเตลิดไปไกล ไม่รู้ว่าเพราะกลัวหล่อนจะฟ้องครูหรือกลัวท่าทางของเด็กสาว

เขาลืมตา แม้รู้สึกเจ็บไปทั่วตัว แต่ยังพอมีแรงลุกขึ้นยืนเองได้ ‘ขอบใจนะ ที่มาช่วยเรา’

‘นายเป็นเด็กใหม่นี่’ คนพูดคงรู้เพราะอยู่ในชั้นเดียวกัน

‘เราเพิ่งย้ายเข้ามาในโรงเรียนนี้ อยากเล่นกับพวกเขา แต่โดนทำร้ายอย่างที่เห็น’

‘พวกเขาไม่เล่นกับนาย นายมาเล่นกับพวกฉันก็ได้ ถ้าไม่ถือว่าฉันเป็นผู้หญิง’

นี่คือคำชวนของหล่อน ในวันของการเริ่มต้นความเป็นเพื่อน

‘เราไม่ถือสาอะไรหรอก แค่อยากมีเพื่อน เธอชื่ออะไร’

‘ฉันชื่อส้มแป้น แล้วนี่สุดา’ หล่อนแนะนำตัวเองและเด็กผู้หญิงตัวเล็กที่ยืนอยู่ด้านหลัง

‘เราชื่อคูน’

ตั้งแต่วันนั้น ทั้งสามคนเป็นเพื่อนกันเรื่อยมา ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ เขาชื่นชอบในตัวส้มแป้นเพราะไม่รังเกียจที่เขาเป็นเพียงเด็กวัดและคบหาด้วยใจจริง เขาจึงมอบไมตรีและให้ความสนิทสนมกับหล่อนมากเป็นพิเศษ

จนวันหนึ่งสายตาของเพื่อนสาวที่มองเขาเริ่มเปลี่ยนไป เพราะคำล้อของเพื่อนในโรงเรียนว่าเขากับส้มแป้นเป็นแฟนกัน หล่อนจึงตีตัวออกห่าง ก่อนที่จะเรียนจบจากโรงเรียนแห่งนี้

แต่ความเป็นเพื่อนยังคงอยู่ เพราะทั้งเขาและหล่อนเป็นคนในหมู่บ้านหนองนาหลาย ซึ่งบ้านของส้มแป้นอยู่ไม่ไกลจากวัดนาหลายมากนัก นอกจากนั้นยังมีสุดาที่คอยช่วยให้เขาได้พูดคุยกับส้มแป้นบ้างในบางโอกาสที่เจอกัน

หลายปีผ่านมาแล้ว สายตาจากหญิงสาวมองมาที่เขานั้นดูว่างเปล่า เหมือนเป็นเพียงอากาศธาตุที่หล่อนมองไม่เห็น แต่เขายังหวังว่าสายตาของเพื่อนสาวจะมองเขาอย่างจริงใจ เหมือนกับช่วงสองปีแรกที่เริ่มต้นเป็นเพื่อนกัน

มือของเขายังประดิษฐ์ดอกไม้สีเหลืองให้เป็นพวงสวยงาม สามารถสวมใส่บนศีรษะได้ ระหว่างถักทอดอกคูนให้เป็นวง เขายังนึกถึงเรื่องราวดีๆ ของคำว่าเพื่อนที่เคยเกิดขึ้น

หลวงพ่อสอนเสมอว่าอย่าเก็บคำพูดจาหรือท่าทางของผู้อื่นที่ทำไม่ดีกับเรามานึกถึง ไม่แค้นเคือง ไม่ใส่ใจ เราจะไม่เดือดร้อนใจใดๆ และใช้ชีวิตอย่างปกติสุข คำพูดคนเหมือนมีด ถ้าเราไม่หยิบมาบาดเนื้อตัวเอง เราก็จะไม่เจ็บ เขาจึงพยายามทำดีด้วยเมื่อมีโอกาส ไม่คิดร้าย และไม่บังคับใคร วันเวลาเท่านั้นที่จะทำให้ผู้อื่นรู้ว่าเขาเป็นคนดีอย่างไร และเขาหวังว่าส้มแป้นอาจเห็นสิ่งดีๆ ที่มีให้

หลังจากทำของขวัญให้หล่อนเสร็จสิ้น เขานั่งรอเจ้าของวันเกิด หล่อนคงยินดีกับของขวัญที่เขาตั้งใจนำมามอบให้ คูนอยากให้เป็นอย่างนั้นเหลือเกิน

 

ส้มแป้นตื่นเช้ามาด้วยความสดชื่น วันนี้เป็นวันพิเศษของตนจึงนำกับข้าวคาวหวานมาถวายเพลพระที่วัด สาวร่างอวบรุนรถรุนทำด้วยไม้ มีวงล้อใหญ่สองล้อประกบอยู่ด้านข้าง บรรทุกหม้อข้าวหม้อแกง โดยมีคนตัวบอบบางช่วยออกแรงรุนร่วมด้วย

เมื่อถึงต้นไม้หน้าวัด สุดาเอ่ยถาม “ส้มแป้นคิดว่าจะเจอคูนที่วัดไหม”

หล่อนทำเป็นไม่ได้ยิน และรุนรถรุนเข้าไปในวัดอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้น้ำแกงส้มในหม้อกระฉอกออกมา คนที่หญิงสาวไม่คิดว่าจะได้เจอนั่งอยู่ตรงบันไดกุฏิวัด

คูนรีบวิ่งเข้าไปช่วยรุนรถเพื่อผ่อนแรงของเพื่อนสาว

“ดานึกว่าคูนออกไปทำงานช่วยชาวบ้าน” สุดายิ้มให้ชายหนุ่มที่เป็นเพื่อนกันหลายปี เขายิ้มตอบกลับไปและหันมายิ้มให้หล่อน แต่หล่อนหมางเมินทำเป็นไม่เห็นเขา

“เราขออยู่ช่วยทางนี้ คิดว่าส้มแป้นคงนำของมาทำบุญเลี้ยงพระเหมือนปีก่อนๆ”

เจ้าของวันเกิดยังนิ่งไม่พูดอะไร แล้วรุนรถเข้าไปใกล้ทางขึ้นกุฏิ ทั้งสามคนช่วยกันยกหม้อข้าวหม้อแกงและตักกับข้าวใส่ชามเพื่อรอเวลาถวายพระ

สุดากระซิบข้างหูหล่อน “ส้มแป้นจะไม่คุยหรือยิ้มให้คูนบ้างเลยเหรอ วันนี้วันเกิดนะร่าเริงหน่อยสิ”

หล่อนจึงหันไปหาชายหนุ่มแล้วเรียกชื่อเขาด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ “คูน”

ภายในวัดเงียบสงบ เขาคงได้ยินจึงหันหน้ามามอง “จะให้เราช่วยทำอะไรอีกหรือเปล่า”

“ไม่ใช่อย่างนั้น คือแป้นขอบคุณมากนะ ที่วันนี้อยู่ช่วยกัน” หล่อนพูดเสียงดังขึ้นและยิ้มนิดๆ ให้เขา

“เราสามคนเป็นเพื่อนกันต้องอยู่ช่วยกันแน่นอน” คูนยิ้มกว้างและเน้นย้ำคำว่าเพื่อนให้ได้ยิน

หล่อนอยากสนิทกับเขาเหมือนก่อน แต่คำพูดจาของชาวบ้านยังหลอกหลอนอยู่ไม่หาย ที่ว่านางแก้วหน้าม้ากับเจ้าเงาะเหมาะสมกันดี ส้มแป้นจึงทำตัวออกห่างจากเพื่อนชาย

เมื่อพระในวัดฉันอาหารเพลเสร็จเรียบร้อย เจ้าของวันเกิดรับศีลรับพรจากหลวงพ่อ ทั้งสามคนช่วยกันเก็บจานชามและหม้อข้าวหม้อแกงใส่รถรุน

ก่อนที่สองสาวจะรุนรถออกไปจากบันไดกุฏิวัด ชายหนุ่มเดินมาหาหล่อน

“ส้มแป้น เรามีของขวัญวันเกิดมอบให้” คูนยื่นของที่ซ่อนไว้ด้านหลังให้หล่อนได้เห็น พวงดอกไม้ถูกร้อยรัดเป็นวงกลมและมีดอกสีเหลืองอร่ามบานสะพรั่งอยู่รอบวง

“อะไรเหรอ” หล่อนถามด้วยความสงสัย

“มงกุฎดอกคูน เรารู้ว่าส้มแป้นอยากสวมมงกุฎ ฝีมือผู้ชายอย่างเราทำได้เท่านี้แหละ”

หล่อนจ้องมองมงกุฎดอกคูน อาจจะดูแปลกตาเพราะยังไม่เคยมีใครทำให้เห็น ถามว่าสวยไหม ยังตอบไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดถ้าจะเอามาประดับบนศีรษะ หล่อนรับมาถือไว้ในมือ

“ขอบใจมากนะคูนที่ทำให้แป้น”

“เราขอให้ส้มแป้นสมหวังในทุกสิ่งและมีความสุขมากๆ”

เขาเป็นเด็กวัดที่ชาวบ้านให้ความรักใคร่ ช่วยทำงานต่างๆ ที่ทุกคนไหว้วาน แต่หล่อนยังพยายามไม่เข้าใกล้เขามากไปกว่านี้เพราะไม่อยากให้ชาวบ้านเล่าลือให้ตัวเองต้องเสียหาย และไม่เคยคิดเป็นเมียของชายหนุ่มผู้นี้ตามความประสงค์ของชาวบ้านหรือลุงแท้ๆ ของหล่อน

“ส้มแป้นย่อตัวสิ ดาจะสวมมงกุฎดอกคูนให้”

หล่อนยื่นของขวัญวันเกิดที่ได้จากชายหนุ่มให้เพื่อนสาวแล้วย่อตัวลง มงกุฎดอกคูนถูกสวมอยู่บนศีรษะ คูนเห็นภาพนั้นจึงมีสีหน้าและแววตาดีใจอย่างยิ่งที่หญิงสาวยอมรับของขวัญจากเขาแต่โดยดี จึงขอตัวออกไปช่วยชาวบ้านทำงานเพราะล่วงเลยเวลานัดหมายมามากแล้ว

เมื่อหล่อนรุนรถออกมานอกเขตวัดจึงหยุดเดิน ทำให้สาวร่างเล็กต้องหยุดก้าวเท้า หล่อนยกมงกุฎดอกไม้สีเหลืองออกจากศีรษะยื่นส่งให้เพื่อน

“นี่เป็นของขวัญของส้มแป้นนะ คูนตั้งใจมอบให้” สุดาพูดย้ำกับหล่อน

“แค่แป้นยอมสวมมงกุฎนี้ต่อหน้าคูนก็มากพอแล้ว แป้นไม่ชอบคูน แป้นชอบพี่ทองก้าน แต่เมื่อกี้ทำไปเพราะคำว่าเพื่อนเท่านั้นเอง”

“ส้มแป้นไม่ชอบคูน เพราะคำพูดของชาวบ้านใช่ไหม”

“ใช่ แป้นไม่อยากเข้าใกล้คูนมากกว่านี้”

“คำพูดของคนอื่นจะเก็บเอามาใส่ใจทำไม เราไม่เป็นอย่างที่เขาพูดก็ปล่อยไปไม่ได้รึส้มแป้น ดาไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนต้องหมดลงเพราะปากคนหรอกนะ”

“แป้นกลัวพี่ทองก้านจะไม่มายุ่งเกี่ยวด้วย ถ้าคิดเหมือนกับชาวบ้านว่าแป้นกับคูนเป็นแฟนกัน”

สุดาถอนหายใจยาวให้กับความคิดของหล่อน จำใจยอมรับมงกุฎดอกคูนมาถือไว้ในมือ และช่วยกันรุนรถรุนกลับบ้าน

หากระหว่างทางที่เดินไป มีเพื่อนสาวอีกคนหนึ่งวิ่งตามหลังมา หล่อนหยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่ริมทางเพื่อพูดคุยกัน

“กิ่งขอโทษส้มแป้นด้วยนะ ที่มาช่วยเลี้ยงพระไม่ทัน” ทองกิ่งพูดขึ้นเมื่ออาการเหนื่อยคลายลง แต่ยังหายใจแรง แล้วชี้นิ้วไปที่ของในมือสุดา “นั่นอะไร”

“ของขวัญวันเกิดที่คูนทำให้ส้มแป้น แต่เจ้าตัวดันถือตัว ดาต้องถือให้แทน”

“ถ้าคูนรู้คงเสียใจมากนะ ที่ส้มแป้นทำอย่างนี้กับเขา กิ่งสงสารคูนเหมือนกัน ทั้งที่ตัวเองอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไรผิดยังถูกส้มแป้นเฉยชาใส่” ทองกิ่งคงรับรู้เรื่องราวของหล่อนกับชายหนุ่มจากสุดา

“แป้นไม่อยากให้เป็นขี้ปากของพวกชาวบ้าน ตอนนี้ดีขึ้นมาหน่อยที่ไม่ได้ยินเรื่องแป้นกับคูนจากปากคนอื่น รู้สึกสบายใจมากเลย”

เพื่อนทั้งสองของหล่อนพยายามช่วยให้ความสัมพันธ์ของเพื่อนกลับมาเป็นเหมือนเดิม แต่ป่วยการเมื่อฝ่ายหญิงตั้งกำแพงไว้หนา สองสาวได้แต่ปลง เมื่อหมดหนทางที่จะช่วย คงปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามทางของมัน

“ทำไมกิ่งเพิ่งมา”

“พี่ทองก้านน่ะสิ โยกโย้อยู่ได้ กว่าจะทำให้กิ่งตามที่ขอ แต่กิ่งได้นี่มาด้วย” คนพูดชูการ์ดสีฟ้าในมือ

หล่อนสงสัยว่ามันคือแผ่นกระดาษอะไร ไม่นานทองกิ่งเฉลยออกมา “กิ่งขอให้พี่ก้านเขียนอวยพรวันเกิดส้มแป้น นี่เป็นของขวัญวันเกิดจากกิ่ง พิเศษสุดๆ ไปเลย”

หล่อนยิ้มแก้มแทบฉีก เมื่อรู้ว่าคนที่แอบชอบนั้นเขียนข้อความอวยพรวันเกิดให้หล่อน

เพียงแค่เห็นของขวัญที่เพื่อนสาวมอบให้ ความสุขในวันเกิดปีนี้เปี่ยมล้นเต็มหัวใจ ทั้งที่ยังไม่รู้เนื้อความข้างใน แต่คงหนีไม่พ้นคำอวยพรซึ้งๆ ที่มีผลดีต่อหัวใจซึ่งจะเก็บเอาไว้อ่านทุกคืนก่อนนอน

ส้มแป้นเอื้อมหยิบแผ่นกระดาษด้วยความตื้นตันใจ ก่อนจะสัมผัสของขวัญสุดพิเศษ ผู้หญิงคนหนึ่งปั่นจักรยานเข้ามาดึงการ์ดไปโดยเร็ว มือของหล่อนคว้าได้เพียงอากาศจึงหันหน้ามองคนที่แย่งของสิ่งนั้นไปต่อหน้าต่อตา

“เอาของฉันคืนมานะ”

สาวร่างอ้อนแอ้นใบหน้าเรียวยาว ไว้ผมหน้าม้าปิดหน้าผากกว้าง ส่วนเส้นผมดำด้านข้างและด้านหลังยาวเสมอปลายคาง คิ้วโก่งสวย ตาคม จมูกและปากขนาดเหมาะเจาะรับกับโครงหน้าได้ดี ผิวสีน้ำผึ้ง จอดจักรยานแล้วเดินเข้ามาหาหล่อนพร้อมโบกแผ่นกระดาษสีฟ้าในมือ

“เป็นไงล่ะ การถูกคนอื่นแย่งของไป”

หล่อนรู้ดีว่าอีกฝ่ายหมายถึงเรื่องใด แต่ทำเฉยและพยายามทวงของของตน “เอาการ์ดคืนมา”

ศัตรูหัวใจของหล่อนยิ้มเยาะ อีกฝ่ายคือลูกสาวผู้ใหญ่บ้านซึ่งเป็นคนที่ทองก้านชอบพอ แต่ต้นเหตุที่ทำให้สองสาวไม่ชอบขี้หน้ากันคือเพื่อนสาวที่มอบของขวัญให้หล่อน

“พริ้ม คืนการ์ดให้ส้มแป้นไปเถอะนะ” ทองกิ่งพูดขึ้น

“ถ้าไม่อยากเป็นเพื่อนกับฉัน อย่ามาเกี่ยวข้องกันอีก” พริ้มพูดกับคนเคยเป็นเพื่อนกัน

“มันนานแล้วนะ พริ้มยังเก็บเอาเรื่องนี้มาคิดมากอีกเหรอ” ทองกิ่งยังพูดดีด้วย

“คนเรามันไม่เคยโทษตัวเอง โทษแต่คนอื่น โชคดีของเธอแล้วนะกิ่ง ที่มาคบฉันเป็นเพื่อน”

“ไม่ต้องพูดมากเลย นางส้มแป้น แกมันนางงูพิษแย่งเพื่อนของฉันไป”

“ฉันไม่ได้แย่งเพื่อนของเธอมา ถ้ากิ่งยังคบเธอเป็นเพื่อน คงเหนื่อยตาย เพื่อนไม่ใช่คนใช้ที่เธอจะสั่งให้ทำโน่นทำนี่ตลอดเวลา เป็นฉัน ฉันก็ไม่ทนเป็นเพื่อนเธอหรอก”

“แกมันนางงูพิษ งูเขียวตัวไหม้ เรื่องเก่าไม่ต้องพูดแล้ว ฉันไม่อยากฟัง” คนพูดเอาแต่ใจตัว ไม่สนใครทั้งนั้น

“เคยได้ยินแต่งูเขียวหางไหม้” สุดาเอ่ยลอยๆ

“ก็เพื่อนเธอ มันดำทั้งตัว ไม่ใช่แค่หาง”

“ฉันไม่มีหาง แล้วไม่ได้ดำ แค่ผิวคล้ำย่ะ” ส้มแป้นค้านขึ้นมา

ทองกิ่งเคยเป็นเพื่อนกับลูกสาวผู้ใหญ่บ้านมาก่อน แต่พริ้มใช้ทำงานทุกอย่าง จนวันหนึ่งทองกิ่งไม่ยอมทำตามคำสั่งของพริ้ม อีกฝ่ายเริ่มลงไม้ลงมือ ทองกิ่งมาปรับทุกข์กับส้มแป้น จากวันนั้นทองกิ่งไม่ยอมทำตามคำของพริ้ม จนลูกสาวผู้ใหญ่บ้านเลิกคบหา ทองกิ่งจึงมาสนิทสนมกับส้มแป้นและสุดา ทำให้พริ้มไม่ชอบขี้หน้าคนทั้งสาม โดยเฉพาะส้มแป้น

ยามเจอหน้ากันจะมีแต่คำพูดจาดูถูก เสียดสี จากปากสาวตาคม ยิ่งข่าวลือของหล่อนกับเพื่อนชายนั้น ก็น่าจะเป็นหญิงผู้นี้ที่เป็นตัวต้นเรื่องอีกด้วย

ส้มแป้นคิดว่าตนนั้นไม่ได้เป็นคนผิด จึงไม่เคยยอมก้มหัวให้กับลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งเรื่องของทองก้านยิ่งทำให้ความไม่ถูกโฉลกกันของหญิงสองคนมีมากขึ้น คำว่าญาติดีนั้นคงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ ทั้งที่เป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน

“เอาของของฉันคืนมาได้แล้ว” หล่อนยกมือขึ้นหยิบกระดาษสีฟ้าที่ถูกพริ้มโบกไปมา แต่อีกฝ่ายหลบได้ทัน ไม่ยอมคืนให้เจ้าของ

“การ์ดใบนี้มันมีอะไรดี ถึงหวงนักหวงหนา”

“พี่ทองก้านเขียนอวยพรวันเกิดให้ฉัน”

“ฉันไม่อยากจะเชื่อ พี่ทองก้านจะทำดีกับแก”

พริ้มเปิดการ์ด โดยไม่ขออนุญาตจากเจ้าของ แล้วอ่านข้อความบนกระดาษด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ “เนื่องในวันเกิดของเพื่อนน้องสาวที่อาจเป็นนางแก้วหน้าม้ากลับชาติมาเกิด ขอให้ฟันหน้าที่ยื่นออกมานอกปาก กลับเข้าไปข้างในเสียที แต่น่าจะยาก ถ้าไม่ล้มแล้วฟันหักก็คงต้องถอนให้หมดปากถึงจะไม่เหยินแบบนี้ ขอให้มีหุ่นผอมเพรียวดูดี เรื่องนี้ก็คงยาก ให้อดอาหารหลายมื้ออาจตายก่อนที่จะผอมก็ได้ ขอให้มีผิวขาวแต่ผิวสีดำขนาดนี้ก็ยากหน่อย ต่อให้ใช้ครีมผิวขาวเป็นร้อยกระปุกคงช่วยไม่ได้ และสุดท้ายขอให้เลิกคิดเลิกฝันว่าจะมาเป็นเมียของพี่ได้แล้ว เพราะพี่ไม่ได้ชอบผู้หญิงอย่างเธอ จากพี่ชายที่ถูกน้องสาวบังคับให้เขียน” ลูกสาวผู้ใหญ่บ้านหัวเราะออกมาเสียงดังทันทีหลังจากอ่านจบ

หล่อนฉุนการกระทำของคนไร้มารยาทและยังเสียใจกับข้อความที่พี่ทองก้านเจตนาเขียนถึงตน น้ำใสเริ่มคลอตา หล่อนรีบเดินเข้าไปคว้าการ์ดสีฟ้ามาถือไว้ในมือ

“ฉันก็ว่าแล้ว พี่ทองก้านจะมาญาติดีกับคนอย่างแก ไม่มีทางหรอก คนอ้วนตัวดำแบบนี้จะให้พี่ทองก้านมาชอบ ฝันไปเถอะ คนที่เขาชอบคือคนอย่างฉัน คนแบบเธอต้องเป็นเมียกับคูนถึงจะเหมาะสมกันดี”

“เธอคอยดูแล้วกัน เคยได้ยินไหม หัวเราะทีหลังดังกว่า”

“ฉันจะรอฟังว่าแกจะหัวเราะได้ดังกว่าฉันมากแค่ไหน” พริ้มไม่ยอมอ่อนข้อให้เช่นกัน

แขนข้างหนึ่งถูกเพื่อนดึงออกมาให้ห่างตัวลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน ก่อนที่จะรุนรถรุนออกไปจากตรงนั้น มีเสียงผู้ชายขี่จักรยานตรงเข้ามาหาผู้หญิงทั้งสี่คน

“สาวๆ คุยอะไรกันจ๊ะ ดูท่าทางน่าจะสนุก” คนทักพูดไปแบบนั้น ทั้งที่สีหน้าแต่ละคน รอยยิ้มแทบไม่ปรากฏให้เห็น

“อย่าไปสนใจนางงูพิษที่แย่งเพื่อนไปจากฉันเลย พี่พร้อม” พริ้มบอกพี่ชาย

หากคนหัวล้านร่างท้วม หน้าตาละม้ายน้องสาว ไม่สนใจคำพูดของพริ้ม แล้วหันหน้ามาพูดกับหล่อน “ส้มแป้น อยู่คุยกับพี่ก่อนสิจ๊ะ”

“ฉันรีบกลับบ้าน” หล่อนไม่มีอารมณ์จะโต้ตอบกับใครทั้งนั้น พูดจบก็รุนรถเดินออกมาโดยไว จนเพื่อนอีกสองคนต้องวิ่งตามหลังไป

ตั้งแต่ได้รับรู้ข้อความในการ์ดสีฟ้า หล่อนจุกเหมือนโดนชกใต้ท้องน้อย อาจไม่ทันได้ทำใจที่ต้องเจอกับข้อความว่าร้ายแบบนั้น แต่หล่อนต้องเข้มแข็งไว้เพื่อให้พริ้มเห็นว่าไม่ถือสามันเลย

เมื่อเดินถึงบ้านของลุงสิงห์ หล่อนรีบหยิบการ์ดสีฟ้าเปิดอ่านข้อความที่เป็นลายมือของพี่ทองก้านอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่พริ้มอ่านให้ได้ยินนั้นไม่ได้โกหกตน

“กิ่งไม่คิดเลย ว่าพี่ทองก้านจะเขียนแบบนี้ให้ส้มแป้น” ทองกิ่งเอ่ยขึ้น

“แป้นไม่เป็นไรหรอก แค่นี้ยังไหว ครั้งแรกที่ได้ยินยังตั้งตัวไม่ทัน เกือบจะร้องไห้ออกมาเหมือนกัน แค่พี่ทองก้านเขียนให้แป้น แป้นรู้สึกดีมากแล้ว แต่เจ็บใจตรงที่พริ้มมาอ่านข้อความของแป้นน่ะสิ”

เพื่อนสาวสองคนหัวเราะให้กับคำพูดของส้มแป้น

ของขวัญจากชายสองคนที่ได้รับมานั้นให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มงกุฎดอกคูนที่ชายคนหนึ่งบรรจงร้อยรัดจนเป็นพวงซึ่งถูกแขวนไว้ตรงตะปูข้างเสาใต้ถุนบ้านอาจมีค่าเพียงผงฝุ่นที่พัดมาโดนกายแล้วถูกมือปัดออกไป แต่การ์ดสีฟ้าจากชายอีกคนที่ไม่ได้ตั้งใจทำเหมือนกับแท่งทองคำเลอค่า แม้วางการ์ดใบนั้นไว้ใต้หมอน หญิงสาวไม่เคยนำมาเตือนตัวเองเลยว่าชายผู้นั้นไม่คิดเหลียวมองมาทางตน

วันใดส้มแป้นจะมองเห็นความจริงใจของสองหนุ่มที่มอบให้แก่หล่อนนั้นไม่เหมือนกันเลย

 



Don`t copy text!