รัก (จัง) ปักใจ บทที่ 5 : กลับบ้าน

รัก (จัง) ปักใจ บทที่ 5 : กลับบ้าน

โดย : ปิยะพร ศักดิ์เกษม

Loading

รัก (จัง) ปักใจ นวนิยายรักโรแมนติกเรื่องล่าสุด จากปลายปากกาของ ปิยะพร ศักดิ์เกษม ที่นักอ่านรอคอย กับเรื่องวุ่นๆ ของเจ้าคอร์กี้ตัวเปี๊ยกนาม “รักจัง” และ “ปักใจ” ที่ป่วนปั่นอลวนอลเวง พาให้เจ้าของของทั้งสองมาพบกัน ตกหลุมรักกันและเผชิญกับอุปสรรคมากมายด้วยกัน นิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

*****************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

ฐิติมองนางสุนัขน้อยที่นอนอยู่กลางห้อง มันสงบลงแล้วเมื่อยอมรับรู้ว่าเขาไม่ตามใจมันด้วยการวางงานในมือแล้วไปเล่นด้วย ยอมรับรู้ว่าเขาคือคนที่ไม่ยอมตามใจมันง่าย ๆ เหมือนอย่างที่ป้าของเขาทำ

คุณฐปนาและฐาปนีย์…ป้ากับมารดาของเขาชวนกันขับรถออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อไปเดินเล่นและจับจ่ายใช้สอยที่ตลาดนัดตรงมุมสวนสาธารณะของเมืองเล็ก ๆ เงียบสงบแห่งนี้…ที่ ‘ฟาร์มเมอร์ มาร์เก็ต’ ไม่ได้มีเพียงผลผลิตจากเกษตรกรตรงตามชื่อ หากมีทุกสิ่งทุกอย่างทั้งอาหาร แยมกวนเอง ภาชนะดินเผา  งานการฝีมือ และข้าวของที่รับมาขายเป็นรายได้พิเศษ เขาเคยไปเดินเล่นแล้วได้เห็นแผงสินค้าที่ผลิตจากประเทศจีนหลายแผง

ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ไปด้วย เปิดโอกาสให้สองพี่น้องได้คุยกันใช้เวลาร่วมกัน เขาอาสาอยู่บ้านเพื่อช่วยยกแยกข้าวของชิ้นใหญ่ ๆ ที่ป้าของเขาคัดเลือกแยกเอาไว้ ส่วนหนึ่งจะขนส่งทางเรือกลับเมืองไทย อีกส่วนหนึ่งก็จะบริจาคไป

นางสาวรักจังยังนอนหลับสนิทแถมกรนเบา ๆ อยู่เช่นเดิม มันคงคุ้นชินเสียแล้วว่ามีสมาชิกคนหนึ่งหายหน้าไปอย่างเด็ดขาดนานหลายเดือน และมีสมาชิกหน้าใหม่ ผลัดกันมาอยู่ในบ้านตลอดหลายเดือนนั้นเช่นกัน

เมื่อปลายปีก่อน คุณนอร์แมนล้มป่วยลงและต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ด้วยความเป็นห่วงคุณฐาปนีย์มารดาของเขารีบรุดเดินทางมาอยู่เป็นเพื่อนพี่สาวทันที และก็เป็นจริงอย่างที่กลัว คุณนอร์แมนซึ่งสูงอายุถึงแปดสิบสี่ปีแล้วสู้กับโรคภัยไม่ไหวจึงลาจากไปอย่างสงบหลังจากอยู่รักษาตัวที่โรงพยาบาลได้ไม่นาน

มารดาของเขารวมทั้งทุกคนในครอบครัว ไม่ยินยอมให้คุณฐปนาอยู่ตามลำพังในเมืองไกล…ในประเทศที่อยู่ห่างออกไปถึงครึ่งโลก…อยู่เพียงลำพังกับหมาน้อยหนึ่งตัวได้อีกต่อไป

ฐิติและคุณประวุฒิบิดาของเขาจึงเดินทางมาช่วยกันหว่านล้อม ช่วยกันจัดระบบระเบียบความเป็นอยู่ ผลัดกันมาอยู่เป็นเพื่อนสร้างความอุ่นใจ และสุดท้ายเที่ยวนี้เขาก็มาช่วยเก็บของ

แม้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยความอาลัยถึงคู่ชีวิต อาวรณ์ถึงบ้านที่ร่วมสร้างด้วยกันมา หากคุณฐปนาก็ยอมรับความจริง เธอไม่สามารถอยู่ตามลำพังในต่างแดนได้ แม้จะมีเพื่อน แต่คนเหล่านั้นก็มีชีวิตของตัวเองและถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ครอบครัว

นี่คือการเก็บของยกสุดท้ายและการเตรียมตัวเพื่อเดินทางกลับบ้าน กลับเมืองไทยของเธอและนางหมาน้อยนามรักจัง ขณะที่นึกมาถึงตรงนี้ ร่างดำ  ๆ เล็ก ๆ นั้นก็พลิก…มันพลิกหงายท้องเปิดขาสี่ข้างรับลม เป็นอากัปกิริยาของความสบายอกสบายใจและแสดงถึงความไว้เนื้อเชื่อใจ ความรู้สึกปลอดภัยอย่างยิ่ง

ท่าทีนั้นทำให้ฐิติอดหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่ได้ แม้ว่าขนอ่อนปุกปุยของหมาเด็กจะหมดไป หากขนของมันก็ยังคงดำเป็นมันหนานุ่มไปทั้งตัว ส่วนที่ขาวก็ขาวสะอาด เมื่อพลิกตัวกางขาอ้าซ่าก็จะได้เห็นพุงสีชมพูโผล่รำไรอยู่ใต้ขนสีขาว เป็นท่าทางแบบที่ทำให้คนเห็นอดใจไม่ได้อยากตรงเข้าไปจกพุงนั้นสักที

เสียงหัวเราะของเขาทำให้รักจังลืมตาขึ้นแล้วหรี่ตามอง มันมองเขาอย่างหยั่งเชิงว่าจะมีอะไรสนุก ๆ ให้มันเล่นหรือเปล่า…เพียงมองตาก็รู้ใจ…ซ้ำฐิติเองก็ตกหลุมนางหนูน้อยหลายครั้งจนกลายเป็นบทเรียนว่าถ้ายังงานยุ่ง ถ้ายังไม่พร้อมจะเล่นกับมันก็อย่าได้ส่งเสียงพูดด้วยและห้ามสบตา!

…แม้เพียงคำพูดเดียวหรือสบตาอึดใจเดียว มันก็จะผลุนผลันลุกขึ้นเดินตรงรี่เข้ามาหา เริ่มต้นด้วยการเขี่ยด้วยมือ หากยังเฉยก็จะชนด้วยจมูก สุดท้ายอาจใช้ฟันหน้าขบเบา ๆ ให้รู้สึกเหมือนถูกใครใช้ปลายเล็บหยิกเอา และหากยังคงเฉยมันก็จะเริ่มเห่าเรียกด้วยเสียงแหลมแสบหู เห่าไม่ยอมหยุด เหมือนกำลังบอกว่า “มาเล่นกันเถอะ มาเล่นกันเถอะ สนุกนะ! สนุกที่สุดเล้ย มาเร้ว! มาเร็ว!”

ดังนั้นฐิติจึงเมินหน้าไม่สบตาและกลั้นเสียงหัวเราะของตนเองไว้ เป็นการสื่อสารว่า “ไม่! ยังไม่มีเวลาจะเล่นด้วย!” นางหมาน้อยถอนใจยืดยาวแล้วมันก็หลับตาต่อ

ชายหนุ่มพลอยถอนหายใจ แต่อย่างโล่งอก หากหลวมตัว…เชื่อว่าเขาคงต้องเสียเวลาเล่นกับมันไปอย่างน้อยก็ครึ่งชั่วโมง ต้องเล่นกับมันจนกว่ามันจะหอบแฮ่กและเป็นฝ่ายหมดแรงไปเอง…

ฐิตินึกถึงบทความด้านพฤติกรรมสุนัขที่เคยอ่าน บทความนั้นบอกว่าสุนัขนั้นสื่อสารกับคนอยู่ตลอดเวลาด้วยวิธีการต่าง ๆ อย่างแรกก็คือการใช้กลิ่น แต่เป็นที่ประสาทสัมผัสของคนเองที่ไม่สามารถรับการสื่อสารทางกลิ่นได้

การสังเกตท่าที การฟังเสียงจากมันและการใช้เสียงใช้ท่าทีของเรานี่แหละจะเป็นการสื่อสารที่เหลืออยู่ บทความนั้นแนะนำให้คนและสัตว์สื่อสารกันบ่อย ๆ การใช้น้ำเสียงที่เหมาะกับสถานการณ์และความต้องการจะทำให้เข้าใจกันมากขึ้น

ชายหนุ่มเองก็เห็นจริงตามบทความนั้น หลายครั้งหลายหนที่เขาเห็นคุณฐปนาคุยกับรักจัง พูดคุยกันเป็นคุ้งเป็นแคว และเขาอยากจะเชื่อสายตาเชื่อความรู้สึกของตัวเองว่า นางสุนัขน้อยตัวนี้ เข้าใจทุกเรื่องที่ป้าของเขาพูด!

ในที่สุดงานของเขาก็เรียบร้อย ของทุกอย่างเก็บอยู่ในกล่อง กล่องทุกใบแยกประเภทเป็นหมวดเป็นหมู่ ด้านหนึ่งของห้องคือพวกส่งบริจาค อีกด้านหนึ่งของห้องคือพวกไปเมืองไทย เจ้าหน้าที่สองชุด ชุดหนึ่งจากบริษัทขนส่ง อีกชุดหนึ่งเป็นอาสาสมัครจากโบสถ์ประจำเมืองจะมาขนกล่องทั้งหมดนี้ไปในตอนบ่าย

เมื่อฐิติเลื่อนกล่องใบสุดท้ายเข้าที่ นางรักจังก็พลิกตัว แล้วลุกขึ้นยืน เดินนวยนาดตรงเข้ามาหา มันมองตาเขานิ่งเหยียดขาหน้าย่อตัวโก่งก้นในท่าโยคะ แล้วยันตัวกลับ สะบัดบั้นท้ายรัวก่อนนั่งลงแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์! ถ้าพูดได้มันคงพูดกับเขาว่า “เสร็จแล้วใช่ไหม ดีมาก! มาเล่นกันได้แล้ว”

ดวงตาแจ่มแจ๋ว รอยยิ้ม และลิ้นยาวสีชมพูทำให้ชายหนุ่มใจอ่อนกับมันเหมือนอย่างที่ทุกคนในชีวิตของรักจังใจอ่อนให้ อีกไม่กี่นาทีถัดมาเขาก็พบตัวเองขว้างปาบอลใบเล็กอยู่ในบ้านที่ว่างโล่ง และยื้อแย่งเชือกหนังถักอยู่กับมัน

รักจังเหนื่อยพอดีเมื่อคุณฐปนาและฐาปนีย์กลับมาถึงบ้าน สองพี่น้องซื้ออาหารโฮมเมดกลับมาจากตลาดนัด มีทั้งขนมปังอบใหม่หลายชนิด ซุปฟักทอง ซุปเห็ด ซุปผัก ไส้กรอกที่คนขายเอามาย่างสด ๆ ที่ตลาดนัด นอกจากนี้ยังมีสตรอเบอรี่ แพร์ และแอ้ปเปิ้ลจากฟาร์มในละแวกนั้น ทั้งคู่ซื้อเอามาเพื่อเตรียมไว้เป็นทั้งอาหารเที่ยงและอาหารเย็น ก่อนที่จะออกจากบ้านตรงไปสนามบินกันในเวลาหกโมงเย็น

คุณฐปนาใจไม่ดีเลย ส่วนหนึ่งก็คือการต้องจากบ้านซึ่งอยู่อาศัยมานานเกือบยี่สิบปี ต้องลาจากเมือง และความเคยชินในประเทศนี้ นอกจากนี้ก็คือต้องลาจากความทรงจำถึงสามีผู้ล่วงลับ มันเป็นความรู้สึกที่ลึกล้ำยิ่งกว่าอ่านถึงบรรทัดสุดท้ายของหนังสือที่แสนรักและทรงคุณค่า ก่อนต้องปิดหน้าของมันลง

ทว่า ส่วนที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เธอรู้สึกหนักอกหนักใจและห่วงกังวลในการโยกย้ายครั้งนี้คือรักจัง! คุณฐปนาเป็นห่วงไปหมด เป็นห่วงว่ามันจะตกใจไหมนะ เป็นห่วงว่ามันจะอยู่ตามลำพังได้ไหมในเมื่อไม่เคยได้แยกจากกันเลย หนึ่งคนหนึ่งตัวต่างอยู่ในชีวิตของกันและกันมานานสี่ปี

ทันทีที่ก้าวเท้าเข้าบ้านผู้สูงวัยก็ตรงเข้าหานางสุนัขน้อย มันโดดสุดตัวได้เกาะถึงแค่เหนือเข่าของเธอ ก้นที่ไม่มีหางส่ายริก ๆ ด้วยความยินดี และคุณฐปนาก็โน้มตัวลงไปให้รักจังเลียถึงหน้าแบบที่คุณฐปนีย์ผู้เป็นน้องสาวค้อนขวับ บ่นเบา ๆ แบบไม่มีเสียงว่า “สกปรกที่สุด!”

เมื่อได้จุมพิตกันจนหนำใจเธอก็นั่งลงบนม้ายาวที่ระเบียงบ้านนางรักจังผละจากเธอไปแสดงอาการดีอกดีใจสุดขีดด้วยการออกวิ่งจี๋ไปรอบ ๆ บ้านอย่างคึกคะนอง มันวิ่งเร็วราวกับลมพัด ราวกับลูกธนูพุ่งออกจากแหล่ง และในที่สุดก็กระโดดขึ้นมานั่งเคียงข้าง หอบแฮ่ก ๆ อยู่ข้างตัว

“อีกไม่กี่ชั่วโมงเราก็จะเดินทางกันแล้ว อดทนหน่อยนะรักจัง” คุณฐปนาหันมากอดมันไว้แน่น และมันก็เลียหน้าเธออีกแผลบ หากคนถูกเลียกลับหัวเราะก้มลงจูบกระหม่อมเล็ก ๆ ปกคลุมด้วยขนขาวแทรกดำกับแต้มสีน้ำตาลที่เหนือดวงตานั้นอย่างรักใคร่

นี่คือสิ่งสุดท้ายที่เธอได้รักร่วมกับคุณนอร์แมน ผู้สูงวัยคิดอย่างเศร้าใจแต่ก็ยอมรับในความเป็นไปของโลกและมุ่งมั่นจะเดินต่อไปกับมันให้ดีและมีความสุขที่สุด

“พาสปอร์ตของรักจัง เอกสาร ใบรับรองจากแพทย์ อุปกรณ์ต่าง ๆ นานาเรียบร้อยหมดแล้วครับ” เสียงฐิติพูดกับมารดาของเขาอยู่ตรงมุมห้อง เมื่อน้องสาวจอมจุกจิก อ้อ ไม่ใช่! ควรใช้คำว่ารอบคอบของเธอเรียกเอาเอกสารการเดินทางออกมาดูอีกครั้ง

คุณฐปนาถอนใจยาว นั่งนิ่ง ๆ ดื่มด่ำความทรงจำและบรรยากาศของบ้านหลังนี้ ไว้ให้ได้มากที่สุด ขณะที่นางสุนัขน้อยรับรู้ได้แค่สภาพตรงหน้า และในชีวิตของมันนอกจากกินอิ่ม นอนหลับด้วยความปลอดภัยและมั่นคงแล้ว มันก็ต้องการแค่ความสนุกสนาน ร่างเล็ก ๆ จึงโดดลงจากม้านั่งตรงไปคาบลูกบอลไว้ในปากก่อนใช้ลูกบอลนั้นกระแทกเข้ากับขาหลานชายของเธอ

ฐิติรับลูกบอลจากมันแล้วปาไปส่ง ๆ แค่ให้มันวิ่งไปหาของเล่นให้พ้นตัว เมื่อทำได้สองสามครั้งรักจังก็เบื่อเพราะไม่มีเสียงหัวเราะ เสียงพูดกระตุ้นให้เกิดความสนุกสนานตื่นเต้น มันจึงทิ้งลูกบอลแล้วล้มตัวลงนอน

“ป้าเป็นห่วงรักจัง” เธอเผลอตัวโอดครวญด้วยสิ่งที่อยู่ในใจออกมาดัง ๆ เมื่อพูดแล้วน้ำตาก็รื้น นึกภาพนางหมาน้อยนั่งหงอยเหงาหรือตื่นกลัวอยู่ในกรงท่ามกลางสัมภาระ

“ไม่ต้องห่วงมันหรอกครับ ป้านา รักจังปรับตัวได้แน่ มันฉลาดจะตาย” หลานชายของเธอปลอบ “อดทนแค่วันเดียว มะรืนมันก็ได้ไปวิ่งไล่แมวอยู่ที่บ้านแล้วครับ”

รักจังตัวใหญ่และมีน้ำหนักมากเกินกว่าที่จะเอาขึ้นมาไว้ในเคบินผู้โดยสารได้ วิธีการเดินทางจึงเหลือเพียงทางเดียวเท่านั้น ความฉลาดและแข็งแรงของมันทำให้มั่นใจว่าไม่มีปัญหา แต่ความรักและความผูกพันก็ทำให้มีความห่วงกังวลมากมายอยู่ดี

ในที่สุดสามคนกับหนึ่งตัวก็เดินทางถึงสนามบิน โชคดีที่สนามบินแห่งนี้อนุญาตให้สุนัขที่อยู่ในสายจูงเดินในสนามบินได้ ไม่ต้องอยู่ในกรงตั้งแต่เริ่มกระบวนการ เขาจึงรับหน้าที่จูงรักจังไว้ พามันเดินไปโน่นไปนี่ ปล่อยให้ดมทุกสิ่งทุกอย่างที่อยากดม

สายตาสุนัขไม่เหมือนมนุษย์ การรับรู้ของมันขึ้นอยู่กับจมูกเป็นสำคัญ หากเราพาสุนัขไปในที่ที่มันไม่เคยไปแต่ไม่ยอมให้มันไปดมอะไรเลยก็ไม่ต่างจากการพาใครสักคนไปในที่ที่เขาไม่เคยไปแล้วปิดตาเขาไว้นั่นเอง

การได้เดินดมกลิ่นแปลก ๆ จนทั่วทั้งบริเวณ ประกอบกับการได้รู้ว่าทุกคนที่มันคุ้นเคยอยู่ไม่ไกลทำให้รักจังหายตื่นเต้นในเวลาไม่นาน สุดท้ายก็สามารถนั่งรออยู่กับคุณฐปนาที่บริเวณเก้าอี้นั่งรอได้ขณะที่ฐิติกับมารดาของเขาติดต่อเรื่องเอกสารขึ้นเครื่องทั้งของคนและหมาตามด้วยกระเป๋าเดินทาง

และแล้วเวลาแห่งความวุ่นวายโกลาหลก็มาถึงเมื่อต้องจูงรักจังไปยังแผนก สัมภาระขนาดใหญ่ หรือ Oversize Luggages คุณฐปนาก้มลงกอดมันอีกครั้งกระซิบกระซาบที่หูใหญ่ตั้งกางผึ่งว่า “อดทนนะลูก เราจะได้ไปอยู่ด้วยกัน” แล้วเธอดันก้นมันเข้าไปในกรง

รักจังทำหน้างง ๆ อยู่สองสามวินาที แล้วมันก็เริ่มอาละวาด ทั้งเห่า ทั้งร้องคร่ำครวญ ไม่ยอมหยุด เสียงมันก้องไปตลอดโถงทางเดิน แม้เมื่อยามประตูกระจกเลื่อนปิดไปแล้วก็ยังได้ยินเสียงแว่วดังลอดออกมา

เมื่อหันกลับมาอีกครั้งฐิติก็แทบสะดุ้งเมื่อเห็นคุณป้าของเขายืนน้ำตาไหลอาบหน้า มีคุณฐาปนีย์ที่ยืนอยู่เคียงข้างโอบไหล่พี่สาวไว้

“เหมือนส่งลูกเข้าโรงเรียนอนุบาลวันแรกแหละน่าพี่นา ทั้งร้องไห้ทั้งทำฤทธิ์ แต่พอพ้นสายตาพ่อแม่ก็ลืม หันไปเกาะครู ไปเล่นกับเพื่อน”

“มันจะไปเหมือนกันได้ยังไง” ผู้เป็นพี่สาวพูดพลางสะอื้นพลาง “นี่รักจังต้องอยู่ในกรงตัวเดียวตั้งนาน…”

สุดท้ายชายหนุ่มก็ต้องโทรศัพท์หาเพื่อนสาวในกลุ่มที่เป็พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน ต่อด้วยอีกหลายสายถึงท่านที่เคารพตามที่เพื่อนสาวแนะนำมา เมื่อได้ข้อมูลเขาก็ติดต่อพูดคุยอีกยืดยาว ก่อนพาทั้งมารดาและคุณป้าเข้าไปพักในห้องพักรับรองของสายการบิน แล้วหลังจากนั้นไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่มารับ

คุณฐาปนีย์ขอนั่งพักปล่อยให้คุณป้าคุณหลานไปกันตามลำพัง ระหว่างทางเจ้าหน้าที่ก็ชี้แจงอย่างอ่อนโยน

“เราให้คุณเข้าไปไม่ได้นะครับ ถ้ามันเห็นคุณหรือแค่ได้กลิ่นมันจะยิ่งอาละวาด แต่เราจะให้คุณดูเขาจากจอจะได้สบายใจว่าเขาอยู่ได้สบายดี…”

แม้จะมีจอภาพจากกล้องวงจรปิดเรียงรายอยู่นับสิบจอในห้องนั้น หากใช้เวลาแค่วินาทีเดียวคุณฐปนาก็เห็นรักจัง…มันนั่งอยู่ในกรง จ้องมองสุนัขบีเกิ้ลอีกตัวที่อยู่ในกรงชิดกัน แล้วดูเหมือนว่ามันจะเห่าเรียกเขา เมื่อสุนัขตัวนั้นเบือนหน้าหนีมันก็ลุกขึ้น ส่ายก้นที่ไม่มีหางในลักษณะชวนเล่น

เมื่ออีกฝ่ายยังคงเฉยแฝงท่าทีกึ่งเกรงกึ่งกังวลรักจังก็กระโดดขย่มตัวอยู่ในกรงเหมือนเรียกร้องความสนใจ ท่าทีของมันไม่โศกเศร้าตื่นกลัวอย่างที่คุณฐปนาคิดไว้เลยแม้แต่นิดเดียว…เธอถอนใจ

“ที่มันร่ำร้อง อาละวาดเมื่อกี้…มัน ‘เล่นใหญ่’ ใช่ไหม ฐิติ”

 



Don`t copy text!