เร้นในรอยจำ บทที่ 1 : เจ้าสาวเขา ผู้สาวอ้าย

เร้นในรอยจำ บทที่ 1 : เจ้าสาวเขา ผู้สาวอ้าย

โดย : นาคเหรา

เร้นในรอยจำ โดย นาคเหรา เรื่องราวความรักของคนสองคนและหนึ่งดวงวิญญาณ กับความผูกพันเมื่อครั้งยังเยาว์ก่อเกิดเป็นความรัก เขาตั้งใจจะบอกรักเธอ แต่ทว่าความตายก็มาพรากเวลาทั้งหมดไป ณ วันนี้เขากลับมา เพื่อรื้อฟื้นความทรงจำที่หายไปของเธอ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์

——————————–

– 1 –

 

ณ หนองส่องแมว

เจ้าของใบหน้าคมคายแต่อ่อนล้ากะพริบตาถี่ๆเพื่อไล่ความปวดร้าวในแววตา  หมอหนุ่มดึงแว่นออกแล้วนวดบริเวณดั้งจมูกเบาๆ เขาไม่ได้เหนื่อยกับงาน แต่อ่อนล้าที่ต้องขับรถกลับบ้านทั้งๆ ที่ลืมตาแทบไม่ขึ้นต่างหาก หลังจากออกเวรมาแม่ก็โทรหาเขาเป็นปกติว่าอยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม แต่มีสิ่งที่สำคัญกว่าอ่อมหมูใส่ผักชีลาวที่เขาชอบ แม่บอกว่าวันนี้มีการ์ดใบหนึ่งถูกส่งมาที่บ้านของเขา เขาถามแม่ว่าเป็นการ์ดของใครเพราะเพื่อนรุ่นเดียวกันก็แต่งงานกันหมดแล้ว ส่วนเพื่อนที่เรียนหมอรุ่นเดียวกันก็มีลูกสองลูกสามกันแล้ว แต่แม่บอกมาตามสายว่า

“โมกข์มาแล้ว ก็จะรู้เองจ้ะ”

เมื่อมาถึงบ้านก็มีใครพูดอะไร นอกจากหลานสาววัยเจ็ดขวบที่รีบวิ่งเอาเจ้ากระดาษสีชมพูมาอวด ราวกับจะเอาความดีความชอบเพื่อแลกกับของรางวัลเหมือนเช่นทุกครั้งที่เจอเขา

“ลุงโมกข์ น้องไหมมีของขวัญมาให้แต่ต้องเอาเงินมาให้น้องไหมก่อน”

“ลุงบ่มีตังค์เหรียญ” วงศ์โมกข์หรือลุงโมกข์ของเด็กหญิงแพรไหมเอ่ย  ในขณะที่ก้าวเท้าเข้าบ้าน น้องสาวของเขากำลังสาละวนกับการป้อนข้าวลูกชายคนเล็กวัยแปดเดือน ผู้ที่เกิดมาเพื่อทำให้หลานสาวตกกระป๋องได้ในบัดดล

เด็กชายลายแคน หรือเคนนี่ ลูกชายคนเล็กของหวานละไมและนทีกำลังกินข้าวกับตับบดใส่ผักขมอยู่ แต่ดูท่าเด็กน้อยจะไม่ชอบเอาเสียเลย รสชาติของมันคงแย่พอๆ กับการเคี้ยวมะขามป้อมแล้วไม่ได้กลืนน้ำตาม จากการที่เขาสังเกตสีหน้าของหลานชาย  ด้านแพรไหมเอง ก็มิได้ละความพยายามที่หารายได้พิเศษเพื่อไปซื้อลูกแก้วมาดีดกับบักหมึกหลานยายละเวง จึงเดินมาเซ้าชี้ลุงเพื่อขอเงิน

“ลุงเอามาร้อยหนึ่ง ไหมลดให้แล้วนะ สิมาจก (1) ใบละยี่สิบให้ขนมห่อใหญ่กะซื้อบ่ได้ดอก” เด็กหญิงต่อรอง ผู้เป็นลุงถอนหายใจเฮือกใหญ่กับอาการดังกล่าว เพราะที่ผ่านมาแพรไหมเคยชินกับวิธีการขอเงินทางอ้อมคนที่ตกเป็นเหยื่อและเสียเงินมากกว่าเพื่อนคือกำนันจ้อนนั่นเอง

“กะบ่ต้องกิน มันบ่มีประโยชน์ดอกขนมเป็นห่อๆน่ะ ไขมันกะหลายสารอาหารกะบ่มี ไปขึ้นหมากสีดาหลังบ้านมากิน ยังสิได้วิตามินซีหลายกว่าขนมห่อนั่น เชื่อลุงโลด ผู้ท่อนี้สิเอาเงินไปหยัง เป็นร้อย” ผู้เป็นลุงได้แต่พูดจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ส่วนแพรไหมหน้าเริ่มบูดลงตามลำดับ จนหวานละไมสังเกตได้ปกติแม้วงศ์โมกข์จะไม่ค่อยดุหลานเท่าไหร่ มาวันนี้คงเหนื่อยเรื่องงานเพราะมีข่าวขึ้นหน้าเฟสบุ๊คเรื่องอุบัติเหตุในตัวอำเภอ วงศ์โมกข์เป็นหมอเวรในห้องฉุกเฉินเขาอาจจะเหนื่อยกับเรื่องงานก็ได้ ส่วนแพรไหมก็ได้แต่เบ้ปากแล้วมองบนอย่างไม่พอใจอย่างที่สุด

“จังแม่นขี่ถี่ (2) เฒ่าแว่นนี่” เด็กหญิงบ่นพลางทำปากขมุบขมิบส่งสายตาพิฆาตวิบๆ ไปยังลุง ผู้เป็นแม่หันไปดุลูกเบาๆ ทันทีที่เห็นกิริยาที่ไม่เหมาะสม  ด้วยเกรงสายตาดุๆ ของแม่ เด็กหญิงก็เลยจำใจยื่นซองสีชมพูให้เขา ก่อนจะเดินออกไปหลังบ้าน คาดว่าจะไปขึ้นหมากสีดามาเป็นอาหารว่างแทนขนมถุงอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก แต่ตัวอักษรในการ์ดทำให้เขาเบิกตากว้าง

นี่มันชื่อแฟนสาวของเขานี่!

เกิดอะไรขึ้น!

มือเรียวยาวถือซองไม่มั่นคงนัก ชายหนุ่มแกะซองดูด้วยหัวใจสั่นระรัว ในตอนนี้หัวของเขามีแต่คำถามว่า ทำไมและทำไม แม้แต่ตัวเองก็หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้ เขากับหนูนิดรักกันไม่ใช่เหรอ ความรักของเขามันก็ถึงขั้นพ่อแม่รับรู้แล้ว แต่ทำไมการ์ดงานแต่งของแฟนสาวกับคนอื่นถึงมีมาให้เห็นได้นะ

ทันใดนั้น สิ่งที่แฟนสาวได้พูดกับเขาหลายเดือนขึ้นก็เข้ามาในห้วงภวังค์

“พี่โมกข์ นิดจะลาออกจากโรงบาลนี้ เพื่อนของนิดแนะนำโรงพยาบาลเอกชนที่ชุมแพให้ พี่โมกข์จะไปกับนิดไหมคะ ที่นั่นคงไม่เหนื่อยมาก มีเครื่องมือก็ทันสมัย นิดอยากไปที่นั่น เราไปด้วยกันนะคะพี่”

เธอเอ่ยคำนี้กับเขา หนูนิดหรือสุภาพรเป็นลูกสาวเศรษฐีที่อำเภอเกษตรสมบูรณ์ เธอมีที่ดินหลายร้อยไร่ แถมยังในตลาดมีห้องแถวให้คนเช่าอีกหลายสิบห้อง ชีวิตของเธอมีแต่ความสุขสบาย แต่การมาทำงานใช้ทุนในโรงพยาบาลเล็กๆ อาจจะไม่สะดวกสบายนัก สำหรับเธอ

แต่ที่นี่เขาอยู่ที่นี่ เพราะมันคือบ้านของเขา แผ่นดินที่เขาเกิด มีพ่อแม่พี่น้องอยู่ที่นี่ สำหรับนิดเอง เธอก็เป็นคนเกษตรสมบูรณ์ก็จริงแต่เธอชอบชีวิตในเมืองมากกว่า วงศ์โมกข์ไม่เห็นความจำเป็นเรื่องไปทำงานไกลบ้านให้ลำบากเปล่าๆ

ที่สำคัญแม้จะมีคนจบหมอเยอะมากกว่าสมัยก่อน แต่ก็มีน้อยคนมากที่จะมาลงหลักปักฐานที่นี่ ส่วนมากเมื่อใช้ทุนเสร็จบ้างก็ลาออกไปโรงพยาบาลเอกชนหรือขอย้ายไปโรงพยาบาลที่ใหญ่กว่าและทันสมัยกว่าที่นี่ ดวงหน้าของสุภาพรเหมือนกับจะรอคอยคำตอบ แต่เขาก็เลือกตอบอย่างที่ใจต้องการ

“พี่คงไปไม่ได้หรอกนิด ที่นี่มีหมอนะ แต่ก็น้อย นิดเห็นไหมคนป่วยมีเยอะมากในแต่ละวัน พ่อกับแม่ก็พี่อยู่ที่นี่ พี่คิดจะอยู่ที่ตลอดเลย”

“งั้นพี่โมกข์ก็เปิดคลินิกในเมืองบ้างสิคะ ลำพังเงินเดือนแค่นี้คงไม่พอใช้หรอก หมอคนอื่นก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้นทำไมพี่โมกข์ไม่ทำบ้าง เงินเดือนพี่โมกข์ถ้าเทียบกับค่าเช่าห้อง ค่าในตลาดของป๊านิด มันยังไม่ได้ถึงครึ่งเลย”

ในตอนนั้นเขารู้สึกโกรธแฟนสาวมาก ที่คิดว่าเงินทองมีค่ากว่าคนป่วยที่ขาดหมอ ตั้งแต่วันนั้นเธอกับเขาก็ห่างกันเรื่อยมา จนกระทั่งสุภาพรตัดสินใจลาออกจากราชการ ซึ่งจะมีผลอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เธอว่าจะไปทำงานเป็นหมอสูติที่โรงพยาบาลเอกชนในอำเภอชุมแพ จ. ขอนแก่น

แถมช่วงวันหยุดบิดาของเธอก็ยกตึกแถวสองคูหาให้เปิดคลินิกครบวงจรและทันสมัยที่สุดในอำเภอ กิจการไปได้ดีทีเดียว เพราะเมื่อวานเขายังได้ยินสปอต์โฆษณาในวิทยุพูดถึงเครื่องสำอาง ที่มีเธอเป็นผู้ร่วมทุนด้วยบ่อยๆ ในสมัยนี้โลกไม่ได้แคบเหมือนเช่นทุกวันแล้ว สุภาพรสนใจเรื่องความสวยความงามตั้งแต่เด็ก แลเธอก็อยากมีแบรนด์เครื่องสำอางมานานแล้ว พอมีเพื่อนของบิดาเป็นนายทุนร่วม เธอก็ตัดสินในแสวงหาความมั่งคั่งนั้นทันที

แต่สำหรับวงศ์โมกข์แล้วเขาพอใจที่จะอยู่แบบนี้ อยู่เป็นหมอโมกข์ของชาวบ้านที่ไร้เงินทองดีกว่า เพราะสิ่งที่เขาได้ไม่ใช่เงินทองมากมาย แต่เป็นความสุขทางใจที่เห็นคนป่วยมีอาการที่ดีขึ้น หลายต่อหลายครั้งที่โต๊ะทำงานของเขาจะมีของฝากจากคนป่วย จนเพื่อนร่วมงานคนอื่นอิจฉา

แต่การ์ดแต่งงานของแฟนสาว ก็ทำให้เขาช็อกได้เหมือนกัน ชายหนุ่มคลี่กระดาษแผ่นนั้นอ่าน ด้วยสายตาพร่ามัว

 

“ขอเรียนเชิญแขกทุกท่านร่วมแสดงความยินดีในพิธีมงคลสมรส

ระหว่าง

พญ. สุภาพร มีสมบูรณ์ และ นายแพทย์ ชาญณรงค์ สืบสมพงค์

ที่หอประชุมโรงเรียนภูนกแซวประชาวิทยาคาร”

 

กระดาษแผ่นนั้นตกมือร่วงไปหล่นลงพื้น เขาหยิบมันขึ้นมาวางบนโต๊ะไม้สักตัวเตี้ยเข้าชุดกับเก้าอี้ ดวงตาคมสั่นไหว ความเจ็บปวดที่ไม่อาจคาดเดาความแรงของคลื่นความถี่ถาโถมโหมซัด ทำให้เขาทรุดลงไปนั่งเก้าอี้ทันทีอย่างคนหมดแรง

แล้วหัวใจของเขาล่ะ มันมิป่นปี้หมดเหรอ  แฟนสาวที่คบมาตั้งแต่สมัยเรียน กลับหนีไปแต่งงานกับหนุ่มรุ่นน้องที่เป็นหมอโรคผิวหนังที่โรงพยาบาลเอกชนที่เธอเพิ่งไปสมัครทำงานไว้ ถ้าทั้งคู่เจอกันความรักก็ไม่น่าจะเกิดรวดเร็วเพียงนี้ นิดคบกับเขาตั้งแต่มัธยม จนเรียนจบหมอก็ร่วมเกือบสิบปีแล้ว แต่เวลาที่คบกันมาสิบปีกลับไม่มีความหมายอะไรเลยรึ

มันเป็นเพราะอะไรล่ะ ที่ทำให้เขาถูกทิ้ง ทั้งๆที่ไม่มีวี่แววจะเป็นไปได้ ที่ผ่านมาเขาดีไม่พอหรือ เธอก็น่าจะเข้าใจนะ การเป็นหมอไอซียู ในโรงพยาบาลประจำอำเภอเล็กๆ มันเลือกเวลาหยุดได้ที่ไหน แต่ความเจ็บปวดหัวใจก็เลือกเวลาไม่ได้เช่นกัน ทำไมเธอไม่บอกเหตุผลให้เขาได้ทำใจก่อนที่จากไปโดยไม่ล่ำลา

เสียงรถมอเตอร์ไชค์ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวกของพ่อลูกอ่อนหมาดๆ ร่างสูงที่สะพายเป้อุ้มเด็กทั้งข้างหน้าข้างหลัง เด็กชายสองคนในวัยครึ่งขวบหยอกเย้าเล่นกันเท่าที่จะมีช่องว่างให้พอเล่นได้นั่นก็คือซอกรักแร้ของพ่อ เสียงหัวเราะดังเอิ้กๆ ของทั้งสองทำให้คนเป็นพ่อยิ้มบางๆ

“เดี๋ยวๆ อย่าฟ้าวมาหาหยอกกัน พ่อล่ะหนักกะเดียม (3) ” จ้อนเอ่ยในขณะที่วาริสาที่ท้องอ่อนๆ กำลังช่วยสามีแกะเป้ออกจากตัวพลางช่วยอุ้มลูกอีกคน แต่เด็กชายทั้งสองก็ยังหยอกกัน ส่งเสียงหัวเราะดังเอิ้กๆ ท่าทางมีความสุขนัก

บางทีวงศ์โมกข์ก็รู้สึกอิจฉาทั้งครอบครัวของน้องสาวและจ้อนเหลือเกิน เด็กตัวน้อยๆ สร้างชีวิตที่เงียบเหงาให้สมบูรณ์อย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งลูกชายฝาแฝดของจ้อนกำลังอยู่ในวัยน่ารัก ทั้งคู่ถอดแบบดวงตาสีเขียวมาจากแม่  สีผิวก็ออกขาวต่างจากพ่อ  ถ้าไปไหนไกลๆ คนต่างถิ่นมากตีความเอาว่า จ้อนเป็นแค่คนรับจ้างเลี้ยงเด็ก ไม่ใช่พ่อของ วาริชและภิชพงศ์ หรือที่จ้อนเรียกทั้งคู่สั้นๆ ว่าจอมกับเจต

หากคนที่นินทาอยู่ในระยะไกลก็ดีไป ถ้าใกล้จนพ่อลูกอ่อนหูทิพย์ได้ยินเข้า ชายหนุ่มจะถูกผีบ้าเข้าสิงทันที และเหมือนกับว่าจ้อนจะมีความรู้สึกพิเศษว่าเขากำลังนินทาในใจ กำนันหนุ่มแหนบทองเดินอุ้มบุตรชายคนเล็กเข้ามาหาเขาที่เก้าอี้ไม้ในบ้าน

“คือเฮ็ดหน้าเศร้าแท้โมกข์ ธรรมดากะผู้ฮ้ายอยู่แล้ว ยังมาเฮ็ดหน้าบูดคือตูดหมายุ”

“หน้าผมมันสิไปคือตูดหมาได้จังใด๋กำนัน ตูดหมาอีหยัง สิมาหล่อลากดินออกปานนี้!”

วงศ์โมกข์เอ่ยขณะที่เอาแว่นตาใส่เข้าที่เดิม มือน้อยๆ ของภิชพงษ์หรือเจตดึงเอากระดาษสีสวยล่อตาไปอมจนเปื้อนคราบน้ำลายเป็นแผนที่อาณาจักรพุกาม จ้อนดึงการ์ดในมือลูกมาอ่านปราดๆ เขาก็เดาความรู้สึกของเพื่อนร่วมโรงเรียนประถมได้ในทันที แต่กระนั้นก็ยังแกล้งอ่านข้อความที่เห็นดังๆ

“ขอเชิญร่วมเป็นเกียรติแก่…”

“บ่ต้องอ่านแฮงปานเด็กน้อยอนุบาลสามหัดอ่าน ก.ไก่กะได้ครับกำนัน!”

น้ำเสียงนั้นมีแววประชดดวงตาคมฉายแววอ่อนล้า  หากแต่บางอย่างทำให้เขาเลือกที่จะหันหน้าหนีไม่คิดที่จะมองสีหน้าที่ฉายแววฉงนของอีกฝ่าย จ้อนยิ้มบางๆแฝงร่องรอยความเห็นใจให้วงศ์โมกข์

“พลาดอีกแล้วติ คือว่าคนนี้แม่นแล้ว เป็นหยังคือจับบ่ได้ ผมว่าตำแหน่งผู้บ่าวเฒ่าประจำคุ้มหมู่หนึ่ง สิต้องยกให้คุณแล้ว นายแพทย์ วงศ์โมกข์ วงศ์พันคม!

จ้อนพูดขณะกำลังเอาฟันยางที่หล่นลงพื้นมาใส่ปากบุตรชาย แต่วงศ์โมกข์ดึงออกทันควัน บอกว่าฟันยางมันตกลงพื้นแล้ว บางทีการให้เด็กอมของสกปรกๆ อาจจะทำให้ท้องเสียได้ เด็กวัยนี้ต้องดูแลความสะอาดให้ดียิ่งบ้านเราอากาศร้อนชื้น เชื้อโรคชอบนัก กำนันหนุ่มได้ฟังอย่างนั้นกะพริบตาถี่ๆ ก่อนจะเปลี่ยนเอาลูกขึ้นขี่คอ เด็กน้อยหัวเราะเอิ้กๆชอบใจ แต่คำพูดนั้นทำให้หมอหนุ่มไม่ได้ชอบใจเลยแม้เพียงนิด

“ตำแหน่งนั้นเป็นของเฒ่าศรีข้างวัดเด้อ ผมอายุบ่ได้หลายพอสิได้มีคำว่า “เฒ่า” เทิ่งหน้าผาก”

“บ่แม่นๆ เด้อคุณหมอ อย่างน้อยเฒ่าศรีน่ะ ก็เคยมีเมียมาแล้ว แต่เมียแกหนีไปแต่งงานกับฝรั่ง บักแฮร์รี่เด้ แต่อย่างน้อยเฒ่าศรี กะยังมีคนเอาล่ะว้า”

“ไผว่า ผมบ่มีคนเอา ตอนเรียนมีคนมามักผมบักหลาย บ่คือคุณดอกวาเลนไทน์ก็บ่เคยได้ดอกกุหลาบ”

“ระหว่างดอกกุหลาบกับหมากฝรั่งนกแก้ว ถ้าดอกกุหลาบก้อยกินได้คือปลาซิวน้อย สิเอายุ บ่ได้ดอกกุหลาบแต่ผมกะมีคนเอาหมากฝรั่งตรานกแก้วมาให้ล่ะ”

“อย่าเว้าหล่อแหล่น้า”วงศ์โมกข์พูดราวตัดบท เพราเขารู้นิสัยจ้อนดีว่ายิ่งพูดยิ่งไม่จบ ทางที่ดีแกล้งพูดยอมแพ้ไปเสียจะได้จบๆ จ้อยเลิกคิ้วอย่างรู้ทันก่อนจะเอ่ยไปอีกว่า

“บอกแล้วอย่าคาแต่เรียนหนังสือ เฮ็ดแต่งานหลาย เขื่อนน้ำพรมล่องแพน่ะ อยู่ใกล้แค่นี้เคยได้ไปกับเขาอยู่บ่ ผู้สาวมีกะให้เวลาเขาแหน่แหมะ อันนี้หยังเขาโทรมาเอิ้นหย่ำ (4) ข้าวบ่แหลกกะได้แหกขี้ตาไปเฮ็ดแต่งาน วันหยุดน่ะ ใช้แน้เขากะบ่ว่าดอก”

จ้อนพูดก่อนจะหันไปยิ้มให้ภรรยา ช่วงนี้วาริสาดูมีน้ำมีนวลขึ้นหลังจากคลอดลูก แถมไม่นานถึงสามเดือนเธอก็ตั้งท้องทันทีไวปานโกหก เธออุ้มเจตไปส่งให้บุญทายกับตุ้มเพื่อนสาวที่มาช่วยเลี้ยงเด็กน้อยทั้งสอง ให้พาลูกไปดูนกขุนทองวงศ์อินเลี้ยงไว้ที่ศาลาข้างบ้าน

ส่วนหวานละไมก็กำลังดุแพรไหม ที่แอบเอาสุ่มไก่ไปขังหมากับแมวให้มันอยู่ด้วยกัน เด็กหญิงเถียงข้างๆคูๆ ว่าถ้าปล่อยให้สัตว์ทำความคุ้นเคยกัน บางทีมันอาจจะลดความไม่ถูกก็ได้ เมื่อสถานการณ์แย่ลงจนแม่ดุ ตัวพึ่งที่ได้ผลก็คือลุงจ้อนนั้นแหละ เด็กหญิงวิ่งหน้าบูดมาหาจ้อนซึ่งก็ได้ผล เพราะไม่ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แพรไหมก็ยังเป็นหนึ่งในใจจ้อนเสมอมา

“ลุงจ้อน แม่ฮ้ายไหมอีกแล้ว” แพรไหมเอ่ย

“อ้ายจ้อนน่ะตามใจน้องไหมหลายโพด ฮู้บ่ มันสิเฮ็ดให้น้องไหมเสียคน” แม่ของเด็กหญิงเอ่ย แต่จ้อนทำเป็นไม่ได้ยิน นี่เป็นเหตุผลส่วนตัวที่เขาต้องการทำอย่างนั้น เพื่อให้เรื่องมันจบลงโดยเร็ว

ส่วนวงศ์โมกข์รู้สึกรำคาญ เขาจึงคว้ากุญแจรถมอเตอร์ไซค์ที่วางอยู่บนโต๊ะ พลางเดินออกไปจากบ้าน เวลานี้เขาอยากจะอยู่คนเดียว เพื่อคิดหาเหตุผลว่าเหตุไฉน แฟนสาวจึงเลือกให้ความรักของเขาและเธอหมดอายุก่อนเวลาอันควร

“โมกข์จะไปไหนลูก ยังไม่ได้กินข้าวเลย แม่ว่าอาบน้ำกินข้าวแล้วหลับสักตื่นดีกว่าไหม” มณีมัยถามเมื่อเห็นว่าบุตรชายกำลังจะขับรถมอเตอร์ไซด์วิบากรุ่นปู่ออกไปจากบริเวณบ้าน

“ผมแค่อยากไปขับรถเล่นใกล้ๆ โรงเรียนมัธยมหน่อยครับ อยู่บ้านมันเบื่อๆ เดี๋ยวผมก็กลับนะครับแม่”

มณีมัยไม่ได้ถามบุตรชายต่อ เพราะชายหนุ่มขับรถออกไปแล้ว แต่คงเป็นเพราะการ์ดงานแต่งใบนั้น ที่ทำให้เขาดูวุ่นวายใจผิดปกติ รถมอเตอร์ไซค์วิบากทรงโบราณถูกขับช้าๆ ราวกับเจ้าของจะปล่อยความคิดให้ล่องลอยออกไปไกลแสนไกล แต่แปลกแม้จะคิดเรื่องอื่นไปมากมาย แต่คำตอบของทุกเรื่อง ก็มีแค่คำว่า “ทำไม” เท่านั้น หรือจะไปถามเขาให้แน่ใจ

ตอนรักกันดีๆ อะไรๆ ก็ดูหวานชื่นแต่พอจะเลิกกัน ข้อความก็ไม่ส่งหา พอจะส่งก็ส่งการ์ดแต่งงานมาเลย แล้วเวลาที่ผ่านมามันคืออะไรล่ะ

วงศ์โมกข์จอดรถไว้ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างทาง ส่วนตัวเขาก็เดินไปที่ริมคลองชลประทานเล็กๆ ชาวบ้านแถวนี้เรียกว่า คลองซอยไส้ไก่ เพราะว่ามันเป็นคลองส่งน้ำเล็กๆ เชื่อมส่งต่อน้ำลงไปยังพื้นที่เพาะปลูกของชาวบ้าน

ชายหนุ่มนั่งมองพระอาทิตย์ที่ลาลับกับขอบฟ้าสีแดงเรื่อ ลมอ่อนๆพัดเอา กลิ่นดอกไม้ป่าเย็นๆ มาต้องจมูกเขา ความคิดทั้งหมดหยุดลงชั่วขณะ เมื่อเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มเงยหน้าไปมองผู้มาใหม่ เจ้าของร่างผอมบางในชุดเสื้อผ้าฝ้ายกางเกงทรงแม้วมีลูกกระพรวนเล็กๆ ห้อยอยู่ส่งเสียงดังกรุ๊งกริ๊งยามเจ้าตัวก้าวเท้ามา ผมยาวถูกม้วนไว้เป็นก้นหอยกลางศีรษะได้รูป และเสียบด้วยปิ่นไม้ที่ไม่มีลวดลายอะไร เธอทอดรอยยิ้มบางๆมายังเขา ชายหนุ่มพิศมองเจ้าของดวงตากลมโตคู่นั้น พลันความทรงจำวัยเยาว์ก็ผุดขึ้นทันที

“จันทร์เจ้านี่..”

ร่างเด็กหญิงนักเรียนชั้นประถม 2 ที่เล็กแคระแกรนกว่าเพื่อนวัยเดียวกันเธอก็เข้ามาในห้วงภวังค์ เธอมักจะวิ่งปุเลงๆ ไปเล่นกับเด็กผู้ชายในสนามฟุตบอล ยิ่งเสื้อนักเรียนที่ควรจะขาวกลับเป็นสีหม่นๆ เพราะชอบเอาแขนเสื้อไปเช็ดหน้าแทนผ้าเช็ดหน้า ผิดแต่ว่า เจ้าตัวในตอนนี้เลือกไว้ผมยาวแทนผมสั้นทรงนักเรียนก็เท่านั้น

นี่ขนาดเวลาผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ดวงตาคู่นี้ที่ทอดมายังเขาก็ยังไม่เคยเปลี่ยน

แววตาของเด็กหญิงจันทร์เจ้า ลูกสาวครูสุนทร เพื่อนรุ่นน้องเขานั่นเอง

รอยแย้มยิ้มน้อยๆ เจือรอยความอบอุ่นให้หัวใจได้แช่มชื่นชั่วขณะ

ในวันที่อ่อนล้า เขาต้องการเพียงแค่ใครสักมายืนข้างๆ และยิ้มให้แบบนี้ อย่างน้อยที่สุดมันก็ไม่ได้ทำให้ท้องฟ้าก่อนลาแสงตะวัน ไม่เหงาและหดหู่จนเกินไป…..

 

เชิงอรรถ : 

(1) จก ล้วง หยิบเอา

(2) ขี้ถี่ = ขี้เหนียว

(3) หนักกะเดียม จักกะจี้

(4) เคี้ยว



Don`t copy text!