เร้นในรอยจำ บทที่ 3 : ผู้อยู่ระหว่างความเป็นและความตาย
โดย : นาคเหรา
เร้นในรอยจำ โดย นาคเหรา เรื่องราวความรักของคนสองคนและหนึ่งดวงวิญญาณ กับความผูกพันเมื่อครั้งยังเยาว์ก่อเกิดเป็นความรัก เขาตั้งใจจะบอกรักเธอ แต่ทว่าความตายก็มาพรากเวลาทั้งหมดไป ณ วันนี้เขากลับมา เพื่อรื้อฟื้นความทรงจำที่หายไปของเธอ นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์
——————————–
– 3 –
“โมกข์ ลืมพระลูก”
ผู้เป็นมารดาเอ่ยพลางยื่นสร้อยเงินที่แขวนพระเครื่องลวดลายทรงโบราณให้เขา วงศ์โมกข์ยื่นมือไปรับสร้อยมาสวมก่อนจะส่งยิ้มให้แม่ ดวงตาคมพิศมองพระว่านที่พ่อให้เป็นของขวัญตอนสอบหมอได้
พระว่านจำปาศักดิ์องค์นี้เป็นของเก่าแก่ที่เคยเป็นของปู่ทวดตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น พ่อบอกว่าพระว่านนี้ศักดิ์สิทธิ์มาก ก็อาจจะจริงอย่างที่พ่อพูดเพราะตอนที่ไปเรียนหมอใหม่ๆ เพื่อนๆ เขามักจะโดนอาจารย์ใหญ่รับขวัญจนนอนละเมอหลายคน โดนดึงขาจนตกเตียงบ้าง แต่เขากลับไม่เคยถูกรับขวัญอย่างนั้นเลย
พ่อของเขาบอกว่า พระว่านจำปาศักดิ์ เป็นพระที่มีพุทธคุณเด่นไปในทาง คงกระพันชาตรี ต้านพิษสัตว์ เมตตามหานิยม กันผีร้ายและยังเป็นว่านยาที่ใช้รักษาโรคภัยต่างๆได้ด้วย
พระองค์นี้ทวดของทวดคือท้าวพันคม ทหารผู้เก่งกล้าทางคงกระพันชาตรีและเพลงอาวุธ ซึ่งผู้ที่ติดตามพระยาภักดีชุมพล หรือเจ้าพ่อพระยาแลมาจากฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของล้นเกล้ารัชกาลที่สาม สู้ศึกสร้างบ้านแปลงเมืองและได้รับตำแหน่งท้าวพันคมผู้ครองหมู่บ้านหนองส่องแมว กินอาณาเขตจนจดโนนจำปาหรือบ้านเป้าในอดีต แผ่นดินล้อมนั้นรอบด้วยภูเขาน้อยใหญ่หลายด้าน อุดมไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ที่มีมากจนได้เป็นชื่อหมู่บ้านคือมีดอกจำปามากมายจนคนบ้านอื่นเรียกบ้านนี้ว่าโนนจำปา
เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของพระว่านจำปาศักดิ์นั้น ตอนวงศ์โมกข์เคยเจอด้วยตัวเอง ตอนเด็กๆเขากับจ้อนเคยหนีไปเล่นน้ำในกุดทามที่น้ำลึกมาก ช่วงเวลาที่คิดว่าตัวเอง จะจมน้ำตายเหมือนกับว่ามีใครบางคนคอยฉุดรั้งในเขารอดมาได้ แม้ตัวเขาเองจะเรียนด้านวิทยาศาสตร์อย่างเต็มตัว แต่เขาเชื่อเหลือเกินว่าคุณความดีของบรรพบุรุษก็คอยช่วยเหลือเขาตลอดมา
ที่จริงวันนี้แม่ก็อยากให้เขาค้างที่บ้าน แต่เขาอยากไปอยู่ที่โรงพยาบาลมากกว่า เพราะการอยู่ในห้องคนเดียวที่บ้านทำให้เขาคิดมาก หลายครั้งที่เขายกโทรศัพท์ขึ้น แต่อีกคนที่ปลายทางกลับไม่ตอบรับ ก็รูปเขากับแฟนสาวถูกเก็บไปวางทิ้งไว้ในกล่องใบหนึ่ง ตุ๊กตาที่เธอซื้อให้นอนกอดแทนตัว ก็ถูกเตะโด่งไปที่ปลายเตียง ส่วนเสื้อที่เธอคนนั้นซื้อให้ก็ถูกจับยัดลงในถังขยะอย่างไม่ไยดี ที่ผ่านมาเขาและเธอมีความทรงจำต่อกับมากมาย เจอหน้ากันที่ทำงาน แต่เขากลับไม่รู้สึกระแคะระคายเลยว่า แฟนสาวจะไปปลูกต้นรักใหม่โดยที่ไม่ยอมบอกอะไรเป็นสัญญาณ เขาคบกับสุภาพรนานพอที่จะเชื่อใจเธอและไม่คิดระแวงว่า ในความเงียบงันนั้นกลับมีร่างเงาจางๆ ของคนอีกคนมาตลอด
“ทำใจเถิดโมกข์ นิดกำลังจะแต่งงาน”
วงศ์โมกข์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามหลับตาลง แต่นั่นทำให้เขากลับรู้สึกเจ็บปวดมากกว่าเดิมเป็นเท่าทวีคูณ
บิดาของเขาขับรถไปส่งบุตรชายในช่วงเย็น เพราะให้เหตุผลว่าเขาอ่อนเพลียเกินไปที่ขับรถเอง ตลอดทางก็มีแต่ความเงียบเท่านั้น วงศ์อินผู้พ่อได้แต่ชำเลืองมองบุตรชายที่นั่งขมวดคิ้วตลอดทาง
“ถ้าสิกลับบ้าน ไลน์มาบอกพ่อเด้อ พ่อสิมาฮับ มื้อนี้โมกข์หน้าตาบ่สบายเลย มีอีหยังบ่ลูก” วงศ์อินเอ่ย ขณะที่รถมาถึงหน้าโรงพยาบาลเกษตรสมบูรณ์ วงศ์โมกข์ยกมือไหว้บิดา ก่อนจะหยิบเอากระเป๋าของว่างที่แม่เอาทำใส่กล่องมาด้วย ชายหนุ่มฝืนยิ้มก่อนเอ่ย
“ผมติดรถหมอสุวิทย์กะได้ครับพ่อ บ้านเผิ่นอยู่ทางบ้านหญ้านาง ลงที่ทางเข้าหมู่บ้านแล้วพ่อจังไปฮับผมกะได้ ”
“เกรงใจเขานะ ออกเวรแล้ว ถ้าอยากกลับบ้านโทรไปบอก พ่อสิมาฮับกะแล้วกัน”
บิดาเอ่ยพลางเอามือตบไหล่บุตรชายเบาๆ ก่อนพูดต่อ
“อย่าคิดหลาย สิบ่มีสมาธิเฮ็ดงาน บางเทื่อโมกข์ก็ควรสิแยกเรื่องส่วนตัวเอาไว้ต่างหาก คนเป็นหมอควรมีสติ อย่าให้เรื่องหัวใจมาทำลายสติ เพราะคนป่วยต้องพึ่งลูก เข้าใจบ่โมกข์”
วงศ์โมกข์รับคำพลางยิ้ม อย่างน้อยในวันที่ผิดหวัง ความรักของพ่อแม่ก็ยังทำให้เขารู้สึกดีได้
ชายหนุ่มเดินเข้าไปในห้องพักเจอเพื่อนรุ่นน้อง ที่เป็นหมอจบใหม่เป็นคนกรุงเทพ แต่ต้องมาใช้ทุนหลวงที่นี่กำลังนั่งหลับอยู่บนเก้าอี้ กล่องขนมเทียนกับผลไม้หลายอย่างถูกวางไปที่โต๊ะทำงาน วงศ์โมกข์เดาเอาว่าคงเป็นของป้าเอียดแม่ค้าขายของที่หน้าโรงพยาบาลเอามาให้แน่ๆ สองสามเดือนก่อนลูกชายคนเล็กของแกประสบอุบัติเหตุเพราะไปขี่รถแข่งกับเพื่อน โอกาสเป็นตายเท่ากัน โชคดีที่เขาช่วยได้ทันจนอาการดีขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่วันนั้นมาเขามักจะได้ขนมของว่างจากป้าเอียดเสมอ
ชายหนุ่มเปลี่ยนเสื้อกาวน์สีขาว พลางปลุกเพื่อนรุ่นน้องให้ตื่นมากินขนมที่แม่ของเขาฝากมาให้และของที่มีอยู่บนโต๊ะอยู่ก่อน หมอวีหรือ นรวีร์ลืมตาตื่นก็ได้แต่ยิ้ม เมื่อสบตากับเขา
“ตานายจะลืมไม่ขึ้นอยู่แล้ว วันนี้เวรดึกนะ”
“อ้าว พี่โมกข์ มาอยู่เวรแทนใครครับ วันนี้พี่หยุดนี่ฮะ”
นรวีร์แกะห่อขนมกลิ่นหอมอบควันเทียนและรสชาติที่ไม่หวานแหลมเกินไป ทำให้เขาจัดการสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจนเกือบหมด ที่จริงเขาเคยซื้อขนมเทียนในตลาดกินบ้าง แต่ไม่หอมควันเทียนเหมือนที่วงศ์โมกข์เอามา รสชาติก็ต่างกันเพราะคนพื้นถิ่นที่นี่ ชอบขนมที่มีรสชาติหวานแหลม
“พี่มาแทนหมอณุนะ แลกเวรกัน บังเอิญเขาเพิ่งโทรมาบอกพี่เมื่อตอนกลางวันนี้เอง” ชายหนุ่มพูด ในความเป็นจริงเขาเป็นฝ่ายขอแลกเวรกับหมอภาณุเองเขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ พลางดึงสมุดเวรออกมาเซ็นแทน
“แฟนพี่โมกข์ทำขนมอร่อยมาก เหมือนไปกินที่ร้านดังๆ ในกรุงเทพเลยครับ”
นรวีร์พูดพลางเคี้ยวขนมตุ้ยๆ คำพูดนั้นทำเอาวงศ์โมกข์หุบยิ้มทันที
“แม่ของพี่ทำเอง”
วงศ์โมกข์พูดตัดบท นรวีร์เองก็ได้แต่ยิ้มกลบเกลื่อน เพราะเพิ่งจะรู้ตัวว่าเขาไม่สมควรกล่าวถ้อยคำนั้นออกไป ทันใดนั้นพยาบาลเวรก็วิ่งเข้ามาที่ห้องทั้งๆที่ยังไม่ได้เคาะประตู
“หมอวีร์คะ มีคนถูกรถชนค่ะ มีคนบาดเจ็บสองคนเป็นเด็กหนึ่งกับผู้หญิงอีกคน” วงศ์โมกข์รีบวิ่งออกไปจากห้องทั้งๆ ที่ยังฟังรายละเอียดไม่จบดี
ร่างของเด็กชายอายุราวสิบสี่ปีนอนสลบไม่ได้สติ ส่วนผู้หญิงอีกคนดูจะบาดเจ็บสาหัสกว่า วงศ์โมกข์ตรวจหาความผิดปกติเบื้องต้น และก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจ เพราะผู้หญิงที่บาดเจ็บเธอตั้งครรภ์ด้วย
“คนท้องเหรอ นวลปรางค์”ชายหนุ่มเอ่ยถามพยาบาลเวร นรวีร์เห็นสภาพคนป่วยเขาแทบจะยืนไม่อยู่ เพราะดูแล้วเปอร์เซ็นต์การรอดมีน้อยมาก วงค์โมกข์เข้าไปตรวจก่อนสอดสายออกชิเจนเพื่อช่วยหายใจ
“ส่งไปที่โรงบาลภูเขียวเถิดครับ ทางเรามีเครื่องมือไม่พอ อีกอย่างคนท้องต้องติดต่อหมอสูติฯ วันนี้คุณหมอสุภาพรก็ไม่อยู่ เพราะลาไปเตรียมงานแต่ง ผมกับพี่คงช่วยไม่ได้” วงศ์โมกข์หันมาตำหนินรวีร์ทันที
“ถ้าส่งไปภูเขียว กว่าจะถึงมือหมอที่นั่น คงไม่ทันเวลา นายอย่าคิดว่านายทำไม่ได้สิ นายเป็นหมอนะ นวลปรางค์ บอกเจ้าหน้าที่เตรียมห้องผ่าตัดให้ผมและพยายามติดต่อหมอนิด..เอ่อหมอสุภาพรด้วย ว่าให้มาที่โรงพยาบาลด่วน”
เขาหันไปสั่งหัวหน้าพยาบาลให้เตรียมห้องผ่าตัด นรวีร์พยักหน้าก่อนที่ไปตรวจดูอาการของเด็กอีกคน อัตราการเต้นของหัวใจแผ่วเบา ผิดจังหวะและความดันเลือดที่ผิดปกติทำให้วงศ์โมกข์ตัดสินใจผ่าตัดเอาเด็กออกมา ชายหนุ่มเปลี่ยนชุดเข้าห้องผ่าตัดด้วยความรีบเร่ง เขาถอดพระว่านจำปาศักดิ์ไว้ในล็อกเกอร์ ก่อนจะอธิษฐานขอให้การผ่าตัดครั้งนี้เป็นไปด้วยดี
แต่ทันใดนั้นเสียงเครื่องวัดคลื่นหัวใจก็ส่งสัญญาณเตือน ว่าผู้หญิงคนนั้นหัวใจหยุดเต้นแล้ว วงค์โมกข์บอกบุรุษพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุดปั๊มหัวใจผู้ป่วยทันที ในขณะที่เขาลงมือผ่าตัด โดยมีนรวีร์เป็นผู้ช่วย ร่างเล็กๆที่ยังหายในถุงน้ำคร่ำห่อหุ้มทำให้เขาใจชื้นขึ้นทันที บอกหมอเด็กเอาตู้อบมาด้วยเด็กท่าทางจะยังไม่ถึงสามสิบสัปดาห์ วงค์โมกข์เอ่ยกับพยาบาล
เขาเอากรรไกรตัดรกออกเด็กชายตัวน้อยขยับตัวตอบรับกับโลกใบใหม่ ทันทีที่เขาตัดสายสะดือและส่งเด็กคนนั้นไปให้กุมารแพทย์ที่เข้ามาดูอาการ งานหนักของเขาก็ยังมีอยู่ แม่ของเด็กซี่โครงหักมีบางส่วนไปแทงปอดด้วยทำให้เกิดเลือดออกในช่องอก กว่าเขาจะทำการรักษาเสร็จก็กินเวลาไปเช้าอีกวัน แต่ลมหายใจของคนป่วยที่ยังมีอยู่ ทำให้เขายิ้มออกทันที
นรวีร์เช่นคราบเหงื่อชื้นแฉะด้วยผ้าเช็ดหน้าสีหน้าโล่งใจ กลิ่นคาวเลือดยังติดจมูกเขาอยู่เลย ส่วนเด็กผู้ชายที่มาด้วยกันไม่มีอะไรบาดเจ็บสาหัส เพียงแค่ขาหักต้องเข้าเฝือกและหมดสติไปก็เท่านั้น
ก่อนจะกลับห้องพัก วงค์โมกข์แวะไปถามอาการของเด็กน้อยที่เขาทำคลอดเองที่แผนกกุมารเวช เด็กคนนั้นถูกใส่เครื่องช่วยหายใจแต่หมอที่ดูอยู่ก็บอกว่า ปลอดภัยแล้ว เพียงแต่ต้องเข้าตู้อบเพราะว่าคลอดก่อนกำหนดเท่านั้น โชคดีที่เด็กไม่เป็นอะไร
“บักหล่ารอดแล้ว มีบุญหลาย เกิดแล้วอยู่ค้ำคูนให้เป็นคนฮู้ผู้ดีเด้อลูก”
วงศ์โมกข์พูดพลางยิ้มเมื่อเห็นลมหายใจที่สะท้อนขึ้นลง การมีชีวิตของผู้ป่วยนับเป็นของขวัญที่มีค่าที่สุดของหมอ หลายครั้งที่ช่วยคนป่วยได้ เขามีความรู้สึกอิ่มเอมใจ แต่หากบางรายก็มีอาการหนักเขาก็พลอยแบกรับเอาคราบน้ำตาของความสูญเสียมาด้วยแม้จะเคยชินกับความเป็นหรือความตายก็ตาม
เด็กคนนี้ทำให้วงศ์โมกข์นึกอยากมีลูกบ้าง ตัวเขาเองก็อายุไม่ใช่น้อยๆ แล้ว เมื่อคืนตอนที่ได้ผ่าคลอด ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจอยู่ลึกๆ แต่พลันหัวใจก็มีแต่แววหม่นเศร้า เมื่อสบตากับแฟนสาวที่กำลังจะไปแต่งงานกับชายคนอื่น ร่างของสูตินรีแพทย์ผู้ที่จะเข้าพิธีวิวาห์โดยไม่มีวี่แววมาก่อนเดินมาตามทาง เธอตกใจมากที่เห็นวงศ์โมกข์ที่นี่
“อ้ายโมกข์ นิดมีเรื่องอยากเว้านำ”
สุภาพรพูดพลางหลบสายตาเขา แต่ชายหนุ่มกลับยิ้มให้เธอทั้งๆที่หัวใจมันเจ็บปวดเหลือเกิน
ในตอนนี้ เขาไม่ต้องการฟังอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำแก้ตัวหรือคำขอโทษมันมีค่าเท่ากัน เพราะไม่ว่าหญิงสาวจะขอโทษหรือแก้ตัว เธอก็ต้องไปจากเขาอยู่ดี ถึงจะเจ็บปวดแต่อย่าหวังเลยจะเห็นน้ำตาจากวงศ์โมกข์ผู้นี้เลย ชายหนุ่มยิ้มอีกครั้งก่อนเอ่ย
“การผ่าตัดเป็นไปด้วยดีครับ หมอนิด แต่ถ้าสิให้ดี หมอควรเปิดโทรศัพท์บ้าง เพราะอาชีพของพวกเฮา เป็นอาชีพที่ต้องรับผิดชอบต่อลมหายใจของคนไข้ ถึงแม้ว่าสิลาไปเตรียมงานแต่งก็เถิดครับ”
“อ้ายโมกข์ เคียดให้นิดติ”
“บ่มีเหตุผล สิเคียดนี่ ผมหมายถึงเรื่องงาน”
“แล้วเป็นหยังต้องแดกดันนิดนำ”
“บ่ได้แดกดัน แต่เว้าเรื่องจริง”
เขาไม่รอฟังคำตอบจากปากอดีตแฟนสาว ที่พยายามจะพูดเหตุผลให้ฟัง ชายหนุ่มได้แต่เดินหันหลังจากไป ปล่อยให้อดีตคนรักมองตามร่างสูงที่เดินจนเสื้อกาวน์ปลิวไหวๆไปตามลม
วงศ์โมกข์กะพริบตาถี่ๆ เพื่อไล่น้ำตา ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เห็นหน้ากันทุกวันคือไม่บอกเหตุผลกันบ้าง เขาไม่ดีหรือแย่ตรงไหน ทำไมสุภาพรถึงได้ทำแบบนี้ด้วย
“มื้อนี้มันช้าไปแล้ว สิมาบอกเพื่ออีหยัง”
เขาคิด ยิ้มเข้าไว้วงศ์โมกข์ ต่อให้เจ็บปวดจนแทบร้องไห้ ก็ต้องยิ้มเข้าไว้ อย่าให้คนหลายใจพรรค์นั้นเห็นคราบน้ำตาเด็ดขาด นับตั้งแต่วันนี้เธอจะไม่ใช่หัวใจที่เต้นอยู่ของเขาอีกต่อไป เขาจะมีแค่ชีวิตเป็นหมอเพื่อหยุดความตายของผู้ป่วยเท่านั้น
ความอ่อนล้าทำให้เขาหลับไปทั้งๆที่ไม่ได้ถอดเสื้อกาวน์ วงศ์โมกข์อ่อนเพลียมากกว่าที่จะพาตัวเองไปนอนที่หอพักที่โรงพยาบาลจัดไว้ให้เขา ได้แต่นอนฟุบหลับไปกับโต๊ะทำงาน ไม่นานนักเขาจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา
ในฝันนั้น….
เหมือนกับว่าเขายังนั่งทำงานในห้องเพื่อรอตรวจปกติ กลิ่นหอมใบหญ้าชื้นฝนจางลอยเข้ามาในห้อง วงศ์โมกข์เงยหน้าขึ้นมามองผู้ที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง ร่างชายวัยกลางคนใส่เสื้อสีขาว เขาจูงมือเด็กหญิงหน้าตาน่ารักมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย เขาจ้องมองชัดๆ ก็พบว่าเป็นครูสุนทรนั่นเอง
“อาจารย์ครับ…”
วงศ์โมกข์เอ่ยทำท่ายินดีในฝันเขาลืมเสียสนิท ว่าครูสุนทรตายไปหลายปีแล้ว สำหรับเขาที่เป็นลูกศิษย์ดีใจมากที่ได้เห็นครูอีกครั้ง ครั้นจะเรียกแต่ทว่าครูสุนทรกลับไม่พูดอะไรต่อ เขาวิ่งตามเท่าใดก็วิ่งไม่ถึงทั้งๆ ที่ทั้งสองก็ก้าวช้าๆ ราวกับจะทอดเวลาให้เขาเดินตามมาให้ทัน วงศ์โมกข์แปลกใจมาก แทนที่วิ่งออกมานอกห้องแล้วจะเจอกับเตียงคนไข้หรือพยาบาลคนอื่น พื้นที่รอบนอกโรงพยาบาลกลับกลายเป็นเวิ้งน้ำ ตัวเขาเองแทนที่จะต้องยืนอยู่บนพื้นที่โรงพยาบาลกลับยืนบนสะพานที่ทอดไปยังอีกฟากและ และหาจุดสิ้นสุดไม่ได้ว่า มันจะไปสิ้นสุดที่ใด ครูของเขาและเด็กหญิงยังคงเดินไปเรื่อยๆและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
สุดฟากของปลายทางที่มีแสงสว่างอยู่เรืองๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจนเขาต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาทันที
“ฝากจันทร์นำ ครูต้องไปแล้ว”
“อาจารย์ สิไปไสครับ”
เขาพูดได้แค่นั้น ภาพที่เคยเห็นตรงหน้าก็หายไป วงศ์โมกข์หอบถี่ๆ ทันที่ตื่นจากฝัน พลันก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นแววตาหญิงสาวกำลังจ้องมองมาที่เขา ที่สำคัญดวงตากลมโตคู่นั้นอยู่ใกล้แค่คืบ
“อ้ายโมกข์ จันทร์ขอโทษ พอดีพยาบาลบอกว่า อ้ายโมกข์เป็นหมอเจ้าของไข้ของนักเรียนจันทร์ เขาเป็นจังใดแหน่” จันทร์เจ้านั่งลงที่เก้าอี้ข้างหน้าจ้องมองมายังเขาอย่างสงสัย
ใบหน้าที่รอยแดงเพราะนอนทับแขนของตัวเอง อีกทั้งผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงเหมือนมีรังนกกระจอกอยู่บนนั้น ชายหนุ่มเอามือลูบหน้าเพื่อไล่ความง่วง ในขณะที่หญิงสาวลอบยิ้มขำกับท่าทางนั้น ขนาดโตจนเป็นหมอแล้ว ท่าทางยามตื่นนอนใหม่ๆ ก็ยังเหมือนเด็กชายตัวสูง ตาปรือๆคล้ายกับคนเมาขี้ตาคนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
“ปลอดภัยแล้ว แต่คนเป็นแม่น่าจะยังบ่ได้สติ มื้อคืนนี้อ้ายผ่าเอาเด็กน้อยออกมาแล้ว อยู่ห้องเด็กอ่อน ส่วนเด็กชายภูผาน่ะ บ่มีหยังน่าเป็นห่วง แค่หัวแตกกับขาหัก เข้าเฝือกจักสองเดือนน่าจะเซา”
“สองเดือน! งานกีฬาโซนหุบเขาสิมี อีกบ่จักมื้อนี่แล้ว เป็นจังซี้จันทร์กะแย่สั้นแหล่ว”
เธอทำสีหน้าครุ่นคิด เพราะภูผาถือเป็นความหวังของทีมเลยก็ว่า ถ้าศูนย์หน้าดาวยิงเกิดเจ็บหนักจนแข่งไม่ได้ เธอก็ต้องหาเด็กใหม่มาร่วมทีม หญิงสาวหันมามองชายหนุ่มด้วยท่าทางไม่ค่อยดีนัก
“พอดีพ่อเขาไปเฮ็ดงานอยู่กรุงเทพน่ะอ้ายโมกข์ ทั้งบ้านกะบ่มีไผ จันทร์เป็นครูที่ปรึกษากะเลยมาเบิ่งอาการ แต่ว่าปลอดภัยแล้วกะดีเนาะ”
พลันดวงตาคู่สวยมองเห็นโหวดที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของเขา ความทรงจำบางอย่างแล่นเข้ามาในหัว ทำให้เธอรู้สึกมึนๆ ภาพเด็กชายคนหนึ่งเป่าโหวดให้เธอฟังแต่เธอจำเขาไม่ได้ มือบางเอื้อมไปจับวัตถุตรงหน้า ดวงตาหม่นเศร้าเหมือนมีอะไรบางอย่าง ทำให้คิดถึงใครบางคน แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร
วงศ์โมกข์ขอตัวไปล้างหน้าเพื่อไล่ความง่วง จังหวะที่ออกมาจากห้องน้ำ พอดีกับที่จันทร์เจ้าทำโหวดหลุดมือ เธอกับเขาก้มลงไปหยิบโหวดพร้อมกันมือของเขากุมมือน้อยโดยบังเอิญ แต่ดวงตาของทั้งคู่ประสานกันโดยตั้งใจ นานเท่าใดไม่รู้จนกระทั่งเสียงประตูถูกเปิดขึ้นจ้อนพูดเสียงดังราวกับตะโกนให้ได้ยินทั่วโรงพยาบาล
“โอ๊ะ!!ฉากเลิฟซีน เหลียวเบิ่งขี้ตากันติ คุณหมอ อีจันทร์จ่อยโจ้ ฮ่าๆ”
ทั้งคู่หันไปขึงตาใส่กำนันพ่อลูกอ่อนพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“มันบ่แม่นคือจังเจ้าคิด อ้ายจ้อน!” หญิงสาวลุกขึ้นเอามือเท้าสะเอวแล้วตะโกนสุดเสียง