Run Away หัวใจไกลรัก บทที่ 4 :  บุพเพ…

Run Away หัวใจไกลรัก บทที่ 4 : บุพเพ…

โดย : ภัสรสา

Loading

Run Away หัวใจไกลรัก นิยายออนไลน์เรื่องล่าสุดของ ภัสรสา ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอยากอ่านต่อ อดใจรออีกนิด เนื่องจาก Run Away หัวใจไกลรัก อยู่ในขั้นตอนการรวมเล่มกับสำนักพิมพ์ภัสรสาค่ะ  

……………………………………………………………….

-4-

 

หลังจากเครื่องบินลงจอดที่ท่าอากาศยานบนเกาะใหญ่ทางใต้ ศรุตลงจากเครื่องอย่างไม่รีบร้อน มายืนรอรับกระเป๋าเพียงครู่ก็เห็นกระเป๋าติดไพรเออริตี้แท็กของตนไหลมากับสายพาน โดยปกติแล้วถ้าไปไหนไม่เกินห้าวันศรุตมักไม่ค่อยมีสัมภาระโหลดลงใต้ท้องเครื่อง แต่เพราะครั้งนี้อยู่นานถึงสิบวัน จึงไม่สามารถจัดของให้ลงกระเป๋าใบเล็กได้ เมื่อกระเป๋ามาใกล้ชายหนุ่มก้าวเข้าไปคว้าหูกระเป๋า ก่อนต้องแปลกใจเมื่อมีใครอีกคนคว้ากระเป๋าของเขาไว้เช่นกัน แต่เจ้าของมือเล็กสะดุ้งแล้วปล่อยมือจากกระเป๋าก่อน พอหันมาเห็นหน้ากันเจ้าหล่อนก็ทำหน้าเหม็นเบื่อ เท้าสะเอวหมับ ก่อนจะได้พูดอะไรกันศรุตก็ขมวดคิ้วเพราะปลายสายตาเหลือบไปเห็นกระเป๋าอีกใบซึ่งมีลักษณะเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนทั้งยังมีแท็กบอกความสำคัญสีเดียวกันติดอยู่ ศรุตจึงวางกระเป๋าในมือลงพื้น แล้วก้าวไปหยิบกระเป๋าอีกใบนั้นมาวางเคียงกัน บอกเสียงห้วน

“หยิบของตัวเองไป”

หญิงสาวยืนมองกระเป๋าสลับไปมาอยู่ครู่ ก็เงยหน้าขึ้นตอบ “ลุงหยิบสิ”

ศรุตยิ้มมุมปาก ท่าทางหยามหยันเต็มที่ “แยกไม่ออก จำกระเป๋าตัวเองไม่ได้ละสิ”

อีกฝ่ายค้อนคมให้ ก่อนนั่งลงเลื่อนป้ายสำหรับเขียนชื่อออกมาจากที่เก็บ เห็นตัวอักษรภาษาอังกฤษเขียนกำกับไว้ แวบแรกเกือบคิดว่าเป็นของตัวเอง แต่พออ่านดูดีๆ แล้วอักษรตัวสุดท้ายเป็นตัวที ไม่ใช่ตัวเอ็น จึงดันกลับคืนไป กระเถิบไปทำแบบเดียวกันกับกระเป๋าอีกใบ ยิ้มอย่างดีใจเมื่อเห็นชื่อที่เขียนด้วยลายมือตนชัดเจน รีบหุบยิ้ม ลุกขึ้นยืนและดึงมันมาถือไว้กับตัว “ใบนี้”

ศรุตพยักหน้ารับ ตั้งท่าจะเดินออกถ้าใครอีกคนไม่เข้ามาพูดด้วย

“ขอโทษนะคะ เลยทำพี่เสียเวลา”

ศรุตหันมาทางเด็กมารยาทดีจนสงสัยว่ามาคบกับยัยเด็กมารยาทอ่อนคนนี้ได้อย่างไร ส่งยิ้มให้แล้วส่ายหน้าไปมา “ไม่หรอกครับ”

คู่สนทนายิ้มตอบกลับมา และยืนนิ่ง ศรุตเองก็นิ่ง เหมือนต่างฝ่ายต่างคาดหวังว่าจะให้อีกคนผละไปก่อน แต่ไม่มีใครขยับสักที กระทั่ง

“พี่ชื่ออะไรเหรอคะ”

“ศรุตครับ”

“นุชชื่อนุชค่ะ นิดานุช คนนี้ชื่อรัน มิรันตาค่ะ พี่ศรุตมาเที่ยวเหรอคะ”

ศรุตยิ้มเร็วๆ เพราะเริ่มไม่เต็มใจยิ้มเสียแล้ว ใจอยากลี้ไปให้ไกลสองคนนี้ให้มากที่สุด ตอบกลับอย่างรวดเร็วพอกัน “พี่มาเที่ยว มาพักร้อน”

นิดานุชเห็นคนเริ่มทยอยมามากขึ้น แต่เพราะยังอยากคุยกับคนคนนี้อยู่ จึงเอ่ยปาก “เราเดินไปคุยไปนะคะ คนเริ่มเยอะแล้ว”

ทั้งสามจึงออกเดินประหนึ่งมาด้วยกันไปโดยปริยาย เดินได้ไม่กี่ก้าว นิดานุชก็ถามคล้ายจะแซว

“พี่ศรุตมาพักร้อน…หรือพักรักคะ อกหักหรือเปล่าเลยหนีมาเที่ยวทะเลคนเดียว”

ศรุตเห็นมิรันตาเหลือบมองเพื่อนด้วยสายตาประหนึ่งเห็นเพื่อนกำลังเต้นบัลเลต์ท่ามกลางฝูงชน

“แก จะจีบเขาเหรอ คนนี้ไม่ผ่านนะ ฉันไม่อนุมัติ”

“อั๊ยยย ไอ้รัน ปากเหรอนั่น ไม่ได้จีบ ฉันยังรักมั่นกับพี่พัทธ์อยู่ไม่เปลี่ยนแปลงย่ะ นี่แค่ชวนคุย…พี่ศรุตอย่าไปถือไอ้รันเลยค่ะ”

คราวนี้ศรุตยิ้มหวานให้นิดานุชเลยทีเดียวเพราะตั้งใจจะยั่วเพื่อนเจ้าหล่อนนั่นแหละ “ไม่ถือครับ ไม่ถือคนบ้าไม่ว่าคนเมา พี่ไม่ได้อกหัก คนโสดอกหักได้ที่ไหนกัน อ้อ เรียกพี่ว่ารุตก็ได้”

นิดานุชยิ้มกว้าง ดวงตาลุกวาว “โสดเหรอคะ เพื่อนหนูก็โสดค่ะ”

เท่านั้นมิรันตาก็แทบสะดุดฝีเท้าตัวเองหน้าทิ่ม หันมามองเพื่อนซึ่งคราวนี้ไม่ใช่แค่เต้นบัลเลต์เฉยๆ แต่เป็นแก้ผ้าเต้นบัลเลต์ด้วย หญิงสาวฟาดไหล่เพื่อนเสียงดังเพียะ ถลึงตาใส่เพื่อนอย่างดุๆ “แกจะทำอะไรนังนุช”

นิดานุชหันมาตอบชัดถ้อยชัดคำ “ฉันจะจีบพี่เขาให้แก ผู้ชายที่ทำให้แกเถียงไม่ออก เนื้อคู่แกชัดๆ”

“บ้านแกสิ!” มิรันตากัดฟันพูดคำนั้นใส่เพื่อน แล้วทั้งลากทั้งดึงวิ่งนำหน้าไปไกลปล่อยให้ศรุตยืนนิ่งด้วยความงุนงง

เขาเองก็คิดว่านิดานุชคงชอบพอเขาและอยากสานสัมพันธ์ เลยแกล้งพูดยั่วหยอกไปหวังให้ยัยเด็กไร้มารยาทนั่นเคือง นี่กลายเป็นว่าจะจีบเขาให้เพื่อนตัวแสบของตัวเอง

ผู้ชายที่ทำให้มิรันตาเถียงไม่ออก? เนื้อคู่?

ด้วยเหตุผลที่ไม่อาจทราบได้ ศรุตหัวเราะเบาๆ ออกมาอย่างขำๆ เนื้อคู่เนื้อแขะอะไร แยกย้ายทางใครทางมันเถอะ ก่อนขำไม่ออกไปเลยเมื่อพบว่าสิ่งที่ตนหวังไว้ถูกทำลายป่นปี้ไม่มีชิ้นดี

เขาสลัดมิรันตาไม่หลุด…

ศรุตเดินเข้าไปใกล้หญิงสาวทั้งสอง ซึ่งมิรันตาตั้งท่าเตรียมจะพูดอะไรสักอย่าง ทว่าศรุตยกมือขึ้นห้าม หันไปหาผู้ชายอีกคนซึ่งใส่เครื่องแบบติดป้ายชัดเจนว่ามาจากรีสอร์ตที่เขาไปพัก เพียงได้สบตากันอีกฝ่ายก็เอ่ยถามทันที

“คุณศรุตใช่ไหมครับ”

ศรุตพยักหน้ารับ เอ่ยถามไปเพื่อความแน่ใจ แม้จะแน่ใจว่าโรงแรมระดับที่เขากำลังจะไปพักไม่น่าใช้รถรับส่งร่วมกับที่อื่น “ที่มารับนี่ มีโรงแรมเดียว หรือว่ามีหลายโรงแรม”

“โรงแรมเดียวครับ”

เมื่อได้รับคำตอบ ศรุตค่อยยอมปล่อยมือจากกระเป๋าให้พนักงานบริการเข้ามารับไป ก่อนหันมาทำลายความเงียบกับหน้าตาเลิ่กลั่กของสองสาวด้วยการพูดคล้ายจะบ่นกับตัวเอง “คงพักที่เดียวกัน”

“ฮะ!” มิรันตาร้องแล้วอ้าปากค้าง ท่าทางเหมือนยังไม่อยากเชื่อ ส่วนนิดานุชหลังงงอยู่เพียงครู่เดียวก็มียิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนใบหน้า แล้วลากเสียงยาว “บุพเพ…”

ทว่ามิรันตากลับขัดทันควัน “คราวซวยต่างหาก”

ศรุตถึงหัวเราะหึ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นด้วยกับมิรันตา “ไม่ใช่ซวยธรรมดา ซวยมากด้วย”

มิรันตาหันขวับ ไม่ทันได้ตอบโต้อะไร เพราะศรุตออกตัวเดินตามพนักงานต้อนรับไปทันทีที่พูดจบ เกิดความเงียบสงบกระทั่งทั้งสามคนได้มานั่งกันบนรถรับส่งของทางโรงแรม

หลังเดินทางออกจากสนามบินได้สักพัก นิดานุชก็เอ่ยชวนคุยอีก

“พี่รุตพักร้อนกี่วันคะ”

พอรู้ว่าจุดประสงค์เจ้าหล่อนคืออะไร ศรุตก็ไม่ค่อยอยากคุยด้วยแล้ว หากก็ยังตอบกลับไปตามมารยาท “สิบครับ”

“พวกเราอยู่เที่ยวที่นี่เจ็ดวันค่ะ”

เจ็ดวัน…ศรุตแปลกใจจนต้องเอ่ยปากถาม “ตอนนี้ปิดเทอมเหรอ” จะว่าทำงาน แต่เท่าที่ดูใบหน้าของทั้งสองคน ไม่น่าใช่คนที่ทำงานแล้วเลย

“ค่ะ ปิดเทอม แต่พี่รุตแน่ใจได้ยังไงคะว่าเรียนอยู่ จริงๆ นุชกับรันก็ปีสี่แล้วนะคะ ฝึกงานอีกเทอมก็จบแล้ว”

ศรุตยักไหล่ คิดๆ หาคำตอบแล้วส่ายหน้าไปมา “ไม่รู้สิ แค่รู้สึกว่าน่าจะยังเรียนอยู่”

“สัญชาตญาณเป็นเลิศขนาดนี้อย่าบอกนะว่าพี่รุตชอบคบเด็ก”

ศรุตหัวเราะหึ ว่าไปนิดานุชก็ชวนคุยได้ไหลลื่นดี “ไม่รู้สิ ไม่รู้ว่าชอบคบเด็กหรือเปล่า ปกติคบคนที่ชอบ ไม่สนว่าเด็กผู้ใหญ่หรอก” นิ่งไปพัก ก็กลับนิ่วหน้า แล้วพูดออกมาอีก “ฟังแย่กว่าเดิมอีก”

จบประโยคนั้นทั้งศรุตทั้งนิดานุชต่างพากันหัวเราะร่วน มิรันตาเองยังหัวเราะหึๆ อยู่ในลำคอ ก่อนสะดุ้งอยู่ในใจเมื่อเพื่อนถามไปอีก

“แล้วสิบวันนี่ พี่รุตพักที่นี่ตลอดเลยหรือเปล่าคะ”

“ใช่ พักที่นี่ตลอด”

“เราก็พักที่นี่ตลอดเหมือนกัน”

นั่งฟังบทสนทนามาเงียบๆ จนถึงตรงนี้ มิรันตาก็หันมาสะกิดเพื่อน “บอกละเอียดไปแล้ว นี่จะบอกหมายเลขห้องด้วยไหม”

“อ้าว ทำไมล่ะ พี่รุตยังบอกพวกเราเลยว่าพักสิบวันแล้วก็พักที่เดิมตลอด ฉันก็บอกของเราบ้าง แฟร์ๆ”

ศรุตหัวเราะ เข้าใจมิรันตาเป็นอย่างดีว่าเจ้าหล่อนกำลังหวาดระแวงกรณีเขาเป็นคนไม่ดี การได้รู้ข้อมูลอย่างนั้นอาจก่อให้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นได้ ถือได้ว่ารอบคอบอยู่เหมือนกัน “ระวังไว้ดีแล้ว อย่าไว้ใจคนง่ายๆ ดีกว่า ยิ่งเป็นผู้หญิงเดินทางแค่สองคนยิ่งต้องระวัง แต่บอกเลขห้องไว้ก็ดีนะ”

นิดานุชหันมามองหน้าศรุต ขณะมิรันตาสวนกลับทันควัน “จะรู้ไปทำไม”

“จะได้ไม่เข้าไปใกล้ไง”

มิรันตาจ้องศรุตนิ่ง พอเห็นว่าอีกฝ่ายก็จ้องมาไม่ได้หลบตาไปไหน แถมทำท่าจะอารมณ์ดีกว่าเธอเพราะรอยยิ้มยั่วเย้าของเขาช่างยั่วโมโหได้ดีเหลือเกิน จึงละสายตา หันไปมองเบื้องนอก แสดงออกว่าไม่สนใจอะไรอีก แต่ถึงกระนั้นก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ

“ปกตินุชก็ไม่ได้ไว้ใจคนง่ายๆ หรอกค่ะ แต่กับพี่รุตนุชรู้ว่าไว้ใจได้”

คราวนี้ศรุตขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าบางทีนิดานุชกับเขาอาจเคยรู้จักกันมาก่อน แต่หลังจากพินิจอยู่เป็นครู่แล้วคิดว่าไม่น่าใช่ “ทำไมล่ะ หน้าตาพี่ดูเป็นคนดีเหรอ”

“เปล่าหรอกค่ะ แต่เพราะพี่รุตไม่ได้พยายามทำตัวเป็นคนดีต่างหาก ถ้าเป็นพวกมิจฉาชีพคงไม่ทำตัวไม่น่าเข้าใกล้อย่างนี้หรอกค่ะ”

ศรุตนิ่งไปพัก ก่อนหัวเราะออกมาจนได้ “นี่…คำชมหรืออะไร”

นิดานุชหัวเราะ ไม่ตอบกลับว่านั่นคือคำชมหรือไม่ พูดสืบไป “อีกอย่างนะคะ คนที่เป็นลูกค้าสายการบินนี้การันตีให้นุชในระดับหนึ่งแล้วค่ะ แล้วไหนจะที่พักล่ะคะ โรงแรมระดับนี้ไม่ใช่ใครที่ไหนจะมาพักก็ได้นะคะ แล้วพี่รุตก็พักตั้งสิบวันแถมมาคนเดียวอีกต่างหาก นุชนี่ขนาดมีรันช่วยหารพ่อยังบ่นแล้วบ่นอีกเลยค่ะว่าแพง ดีว่าขอพ่อเป็นของขวัญเรียนจบล่วงหน้าได้”

คำวิเคราะห์เป็นฉากๆ นั้นทำให้ศรุตยิ้มได้ รู้สึกว่านิดานุชยังเด็กอยู่มาก การตัดสินคนจากตั๋วเครื่องบินและโรงแรมที่พักเป็นสิ่งฉาบฉวย และการเห็นเขาเพียงชั่วครู่ชั่วยามแล้วเหมาว่าเขาไม่ใช่มิจฉาชีพนั้นรวดเร็วเกินไป “พี่อาจจะได้รางวัลมาก็ได้นะ ตั๋วเครื่องบินกับที่พักน่ะ ที่ทำตัวไม่น่าเข้าใกล้ เพราะตอนแรกไม่ได้วางแผนจะทำอะไร แต่พอเจอแบบนี้ทุกอย่างเอื้อหมด ก็เสร็จโจร”

นิดานุชยิ้มกว้าง “แล้วพี่รุตก็พยายามบอกให้เราระวังตัวนี่ไงคะ ยืนยันว่าพี่รุตไม่ได้เป็นมิจฉาชีพจริงๆ”

ศรุตหัวเราะได้ นิดานุชเป็นเด็ก แต่เป็นเด็กฉลาด หากไม่ว่าอย่างไรก็ยังเป็นเด็กอยู่ดี “แล้วถ้าพี่เกิดเป็น…ฆาตกรโรคจิตล่ะ ชอบเล็งสาวๆ ที่มาเที่ยวกันสองคนจะได้หาทางแยกให้อยู่เดี่ยวๆ ง่ายๆ แล้วก็ค่อยจัดการทีละคน เป็นไง ดูน่ากลัวขึ้นมาบ้างหรือยัง”

นั่นได้ผล เพราะนิดานุชถึงกับนิ่งไป สายตาที่มองหน้าศรุตฉายรอยหวาดหวั่นให้เห็น มิรันตาเองพอหันกลับมาเห็นว่าเพื่อนเกิดเกรงขึ้นมาบ้างแล้วก็นึกขำ เงยหน้าขึ้นสบตากับศรุตเห็นชัดเจนว่าเขาเองก็ขำอยู่ไม่น้อยไม่อย่างนั้นดวงตาคงไม่เต้นระยิบแบบนั้น และมันเต้นมากขึ้นเมื่อเขากับเธอได้แบ่งปันความรู้สึกขบขันนี้ด้วยกันโดยละทิ้งความไม่ชอบหน้ากันไปชั่วครู่

“แกจะตายเป็นคนแรกยัยนุช ส่วนฉัน สวย ฉลาด เอาตัวรอดได้ ถ้าเป็นหนังฮอลลีวูดฉันจะเป็นนางเอกและไม่ตาย” มิรันตาพูดแบบนั้นแล้วเมินหน้าออกไปมองท้องถนนเบื้องนอกต่อ ยิ้มขำเมื่อเห็นจากภาพสะท้อนว่าเพื่อนเบ้หน้าใส่กัน จากนั้นก็ได้ยินเสียงเพื่อนพูดอีก

“แกนี่เป็นคนมั่นใจในตัวเองเกินไปนะนังรัน ฉันว่าอย่างแกตายคนแรก แถมตายเพราะวิ่งทะเล่อทะล่าให้รถชนตายเอง ไม่ได้ตายเพราะใครฆ่าด้วย”

มิรันตาเพียงหันมาเบ้ปากใส่เพื่อน หันไปค้อนศรุตที่หัวเราะร่วนอย่างถูกอกถูกใจบทที่นิดานุชยัดเยียดให้เธอ ก่อนเมินกลับไปมองสองข้างทาง เงี่ยหูฟังเมื่อเพื่อนยังคงชวนศรุตคุยไม่หยุด

“พี่รุตก็ขู่ซะนุชกลัว”

ศรุตพยายามหยุดหัวเราะ ซึ่งนั่นต้องเริ่มต้นด้วยการหยุดนึกภาพมิรันตาวิ่งทะเล่อทะล่าให้รถชนตายเองเสียก่อน เมื่อทำสำเร็จ จึงตอบกลับนิดานุช “กลัวแหละดี บางครั้งความกลัวทำให้เราปลอดภัย”

นิดานุชยิ้มกว้าง “คมมากค่ะ”

“แต่ว่านะ พี่ไม่ใช่ฆาตกรโรคจิตแน่นอน” ศรุตพูด แล้วพอเห็นว่ามิรันตาหันกลับมาสบตากัน หน้าตาบ่งบอกว่าไม่เชื่อถือคำพูดนั้นสักเท่าไรนัก จึงกดยิ้มมุมปากใส่ พูดโดยไม่ละสายตาไปไหน “ถ้าไม่เจอเหยื่อถูกใจ”

มิรันตาหน้าตึง ขณะนิดานุชหัวเราะคิก ถามย้อนกลับไป “แล้วเหยื่อแบบไหนถูกใจพี่รุตคะ”

ศรุตมองหน้านิดานุชแล้วทำแค่ยิ้ม ไม่ตอบอะไร เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่คิดอยู่ในใจออกจะรุนแรงไปสักหน่อย เขาเองไม่ค่อยนิยมมีเรื่องกับผู้หญิงกับเด็ก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กผู้หญิงนัก เหยื่อที่ถูกใจถ้าเขาเป็นฆาตกรน่ะเหรอ ก็พวกไม่มีมารยาท ปากเสีย ยโส เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางอย่างมิรันตานั่นแหละ ใช่เลย!

นุชเหรอ

ศรุตชะงักการเล่าเรื่อง เมื่อมิรันตาทวนชื่อนั้น ชายหนุ่มพยักหน้า สายตามีความหวัง “ใช่ นุช นิดานุช เพื่อนสนิทคุณ จำได้หรือเปล่า”

มิรันตานิ่งอยู่ครู่ก็ส่ายหน้าไปมา ศรุตจึงให้ข้อมูลต่อ “นุชเป็นเพื่อนสนิทคุณ เรียนมาด้วยกันตั้งแต่มัธยม แล้วก็สอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกัน คณะเดียวกันแค่คนละเอก”

“จากที่คุณเล่า ดูเหมือนนุชจะเป็นแม่สื่อให้…เรา”

ศรุตยิ้มน้อยๆ ทบทวนความทรงจำอยู่ครู่แล้วค่อยตอบ “ก็ประมาณนั้น นุชทำให้เราไม่แยกย้ายไปคนละทางหลังจากปากเสียใส่กัน ทำให้เรามีโอกาสรู้จักกันมากขึ้น แต่จริงๆ ก่อนหน้านั้นเราเคยเจอกันมาแล้วครั้งหนึ่ง”

มิรันตานิ่วหน้าน้อยๆ พยายามครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เมื่อเริ่มปวดหัวมากขึ้นจึงเอ่ยปากถามในที่สุด “คุณหมายถึง เราเคยรู้จักกันมาแล้วเหรอ”

“ไม่เชิงรู้จัก ผมแค่เคยเจอตอนคุณยังไม่เปลี่ยนร่างเป็นเด็กเปรต”

มิรันตามีสีหน้าตกใจ ครุ่นคิด ก่อนค่อยๆ ถามอย่างไม่แน่ใจ “ฉัน…ขนาดนั้นเลยเหรอ”

ศรุตหัวเราะหึ ไม่ตอบอะไร “ไว้รอคุณหายดีกว่า อธิบายตอนนี้ก็จะกลายเป็นโม้”

มิรันตานิ่ง มองหน้าศรุตแล้วรู้สึกความคิดกระจัดกระจายไปทางนั้นทีทางนี้ที ทั้งอยากรู้ว่าถ้าเธอนิสัยแย่แบบนั้นแล้วทำไมเขาถึงได้เป็นสามีเธอ แต่ก็รู้สึกว่าเป็นหัวข้อที่ยังไม่ควรถาม ทั้งสงสัยว่าเขารักเธอที่บอกว่าเป็นภรรยาบ้างไหม ทำไมถึงสัมผัสได้ว่าเขาไม่ค่อยชอบเธอเท่าไรนัก แต่นั่นก็ยังไม่ควรถามอยู่ดี ในที่สุดจึงต้องหาหัวข้อในการยึดเหนี่ยว หัวข้อที่ถามได้ ปลอดภัยต่อสภาพจิตใจเธอเอง “แล้วตุ๊กตาตัวนั้น…”

ศรุตลุกเดินไปหยิบตุ๊กตาที่ถูกเก็บไว้ในกล่องซึ่งถูกเก็บไว้ในตู้อีกทีชี้ชัดว่าได้รับการดูแลที่ดี นำมายื่นส่งให้มิรันตา ซึ่งก็รับไปแล้วหยิบมันมาพิจารณา อดอมยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นว่าสภาพมันเข้ากับที่เขาเล่าให้ฟัง และอาจเป็นเพราะรอยยิ้มนั้นที่ทำให้ดวงตาของศรุตทอประกายบางอย่าง อย่างที่มิรันตาไม่อาจสบสู้ได้ จึงเลี่ยงโดยการเก็บตุ๊กตาลงกล่องวางไว้ข้างตัว แล้วถามเรื่องที่อยากรู้ต่อ “เล่าได้ไหม ว่าเราเคยเจอกันยังไง”

ศรุตนิ่งไป แววตาฉายรอยทบทวน ก่อนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มแม้บางเบาทว่าอบอุ่นจนคนมองยิ้มตาม เริ่มต้นเล่าให้มิรันตาฟังต่อ “หลังจากรู้ว่าเราพักโรงแรมเดียวกัน นุชก็จัดการจนเราไปเที่ยวด้วยกันทั้งทริป วันก่อนคุณจะกลับเราลงเรือข้ามไปหมู่เกาะอ่างทอง”

มิรันตาขมวดคิ้วเหมือนกำลังนึกภาพหมู่เกาะอ่างทอง ศรุตจึงลุกเดินไปหยิบแท็บเล็ตมาเปิดใช้งาน ค้นหารูปหมู่เกาะอ่างทองแล้วค่อยๆ เลื่อนให้มิรันตาดู

“เราดำน้ำกัน พายคายัค แล้วก็ขึ้นจุดชมวิว นุชขึ้นได้แค่สองชั้นก็หยุด ผมไม่แน่ใจว่าหยุดเพราะเหนื่อยหรือว่าหยุดเพราะจะเปิดโอกาสให้เรา ส่วนเราเองก็ไม่ได้อยากขึ้นหรอก”

“อ้าว…”

ศรุตหัวเราะหึ “แค่พยายามเอาชนะกัน หยามกันไปหยามกันมาจนขึ้นถึงจุดชมวิวชั้นบนสุดทั้งคู่”

มิรันตาหัวเราะได้นิด ขณะศรุตส่ายหน้าไปมาคล้ายกับรู้ตัวแล้วว่านั่นคือการกระทำอันหาสาระอันใดไม่ได้ พึมพำเบาๆ “หอบกันแฮก”

ดูภาพทั้งหมดอยู่ครู่ ศรุตก็เลือกภาพที่จำได้ว่าหากขึ้นจุดชมวิวชั้นบนสุดจะทำให้เห็นภาพนี้ น้ำทะเลสีเขียวสวยแตะแต้มประดับประดาด้วยเกาะน้อยใหญ่ เป็นภาพที่ดูแล้วตื่นตาตื่นใจจนคิดได้ว่าธรรมชาติช่างน่าอัศจรรย์

“สวยจัง” มิรันตาพึมพำออกมาเมื่อเห็นภาพเหล่านั้น ศรุตยิ้มได้ก่อนบอกออกมา “ตอนที่คุณเห็นมันครั้งแรกคุณก็พูดแบบนี้…สวยจัง คุณมองไปรอบๆ แล้วก็เอาแต่พูดคำนั้น ดูตื่นเต้น เหมือนเด็กได้ของเล่นใหม่”

มิรันตาเหลือบมองศรุตหลังได้ยินคำเปรียบเทียบนั้น วินาทีแรกที่ได้สบตากันเธอสัมผัสได้ถึงความรัก ความเอ็นดูอาทรอย่างที่สามีควรมีให้ภรรยาตัวเอง ทว่าในวินาทีถัดมามันกลับเลือนหายไป…เขากลับมาเป็นคนแปลกหน้าอีกครั้ง มุมปากยกขึ้นเหมือนจะยิ้มแต่ดูเป็นยิ้มที่ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร

“ตอนนั้นผมคิดว่าเด็กเปรตคนนี้ก็น่ารักดี”

มิรันตายิ้ม รู้สึกเขินอย่างบอกไม่ถูก เป็นครั้งแรกที่คำว่าเด็กเปรตไม่ได้ระคายหู ไม่ใช่คำด่าที่อยากให้คนถูกเรียกระคายใจ หากหน้านิ่วทันทีเมื่อศรุตเล่าต่อ

“คุณลงไม่ได้”

ลงไม่ได้?

“คุณขึ้นจุดชมวิวได้ แต่คุณลงไม่ได้…คือ จุดชมวิวมันชันมาก ตั้งฉากเป็นผาเลย แล้วมันก็เป็นหินแหลมๆ มีแค่เชือกเส้นเดียวให้จับ ตอนคุณจะลง อยู่ๆ คุณก็กลัว”

“กลัว…”

“ใช่ คุณกลัว” ศรุตหัวเราะนิดๆ ก่อนฉายภาพในความทรงจำของตนออกมาเป็นคำพูด “คุณหน้าเสีย มองทางลงแล้วก็หมุนตัวไปมา เหมือนจะหาวิธีที่จะทำให้ลงได้ง่ายที่สุด คุณลองนั่งลงแล้วหย่อนขาแล้วด้วย แต่ท้ายที่สุดคุณก็ลงไม่ได้”

มิรันตาเลยพลอยหัวเราะไปด้วย “ฉัน…งี่เง่าขนาดนั้นเลยเหรอ”

ศรุตยิ่งหัวเราะมากขึ้น “ก็…ไม่นี่ ไม่งี่เง่าหรอก ผมว่าตอนนั้นคุณน่ารักออก คุณพยายามหาทางลงด้วยตัวเอง แต่ท้ายสุดคุณก็ทำหน้าเบะๆ…”

มิรันตาส่ายหน้าไปมา ท่าทางเหมือนไม่อยากเชื่อ “ฉันร้องไห้เหรอ…ฉัน…เป็นคนขี้แยเหรอ”

ศรุตส่ายหน้านำ แล้วรีบบอก “คุณไม่ถึงกับร้องไห้ แต่ก็เกือบ คุณเฉไฉไปเรื่อยจะให้ผมลงไปก่อนให้ได้ กลัวเสียฟอร์มน่ะ จนผมต้องบอกไปว่ารู้แล้วว่าคุณลงไม่ได้ สามรอบได้มั้งกว่าคุณจะยอมรับ”

“แล้วเป็นยังไงต่อ”

ศรุตหัวเราะ ตอบกลับเสียงเรียบ “ผมก็พยายามช่วยคุณ”

 

มาเถอะ ไม่ตายวันนี้หรอก

มิรันตาส่ายหน้า จากที่เคยเมียงมองหาที่วางเท้าในการไต่กลับลงไปเบื้องล่างก็ถอยกลับเข้าพื้นที่ปลอดภัยเข้าไปอีก “เอ่อ…ลุงลงไปก่อนเถอะ”

ศรุตมองหน้าซีดของคนขี้กลัวแล้วอดยกมุมปากขึ้นไม่ได้ คล้ายๆ จะมีเสียงหึหลุดออกมาจากลำคอด้วย ตัดสินใจก้าวขึ้นมายืนเคียงกับมิรันตาก่อน “รอแล้วกัน”

มิรันตาอยากค้านทว่าพูดไม่ออก เพราะเอาเข้าจริงๆ เธอคิดว่ามีเขาไว้เป็นเพื่อนน่าจะดีกว่า ทั้งคู่ยืนชมวิวไปเรื่อยๆ มีนักท่องเที่ยวขึ้นมาและลงไปอยู่ประปราย จนในที่สุดศรุตก็เห็นว่าควรต้องลงเสียทีเพราะไม่อย่างนั้นเรือท่องเที่ยวที่พามาอาจไม่รอหากเลยเวลานัดแล้ว

“เราต้องลงแล้วนะ ไม่งั้นโดนเรือทิ้งแน่”

มิรันตาหันไปมองทางที่ต้องไต่ลง กลืนน้ำลายหนึ่งอึกอย่างยากลำบากแล้วพยักหน้ารับ ค่อยๆ ทรุดตัวลงไปนั่ง ยื่นขาไปแตะๆ แล้วหดกลับ หันมาบอกศรุต “ลุงลงก่อนเหอะ จะได้ไม่ต้องคอย รันคงลงช้าๆ”

ศรุตพยักหน้า เพราะอันที่จริงแล้วคิดว่าเขาลงก่อนน่าจะดีกว่า ไม่ใช่เพราะกลัวติด แต่เพราะจับพลัดจับผลูเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น เขาน่าจะพอรับมิรันตาได้อยู่ ชายหนุ่มไต่ลงไปอย่างรวดเร็วแต่ได้เพียงสองก้าวเท่านั้น มิรันตาก็ร้องอีก

“เดี๋ยว! รันว่ารันลงก่อนดีกว่า ถ้ารันตกจะได้ไม่ต้องตายพร้อมกัน แค่นี้ก็เบื่อขี้หน้าจะแย่”

ศรุตขมวดคิ้ว มองคนปากดีแล้วได้แต่ส่ายหน้าไปมา “สวย ฉลาด เอาตัวรอดได้ เป็นนางเอก ไม่ตายง่ายๆ ไม่ใช่เหรอ แค่นี้ไม่ตกหรอก มาเร็ว อย่าลีลา”

มิรันตามองหน้าศรุต ก่อนสายตาจะเลื่อนเลยมองไปยังด้านล่าง ผาเกือบตั้งตรง เบื้องล่างนั่นคือท้องทะเล หญิงสาวก้าวถอยกลับมาอีก “ไม่ๆ รันตกแน่ๆ รันลงไม่ได้”

ในนาทีนั้นเองที่ศรุตรู้สึกเหมือนเกิดเดจาวู…เหมือนเขาเคยอยู่ในเหตุการณ์อย่างนี้มาแล้ว ชายหนุ่มดึงตัวเองขึ้นไปยืนข้างมิรันตา เอามือวางไว้บนไหล่บาง “นี่”

รอจนอีกฝ่ายหันมามองกัน จึงส่งยิ้มให้แล้วบอกกล่าว “ไปเถอะ ลงไปด้วยกัน รับรองปลอดภัย”

แล้วแปลกใจที่จู่ๆ มิรันตาก็เอาแต่จ้องหน้ากันนิ่ง ไม่พูดอะไรสักคำ อีกสองอึดใจผ่านไปเจ้าหล่อนก็เม้มปาก ก่อนเอ่ยถามให้ศรุตหัวเราะร่วน

“ไม่ผลักรันตกแล้วอ้างว่าเป็นอุบัติเหตุแน่นะ”

โถ จ้องกันเสียจนนึกว่าจะปลื้มที่อุตส่าห์ช่วย ดันกลายเป็นระแวงกัน ศรุตส่ายหน้าไปมา หยุดหัวเราะ จากนั้นคว้าผ้าผืนใหญ่ที่หญิงสาวใช้คลุมศีรษะมาสะบัดออก นึกดีใจที่ผ้าผืนบางนี้มีความยาวและกว้างกว่าที่คิดไว้มาก ชายหนุ่มรวบมันไว้จนกลายเป็นเส้นเชือกรัดเข้ากับเอวบางของมิรันตา เอาปลายมาม้วนๆ กับมือตน

“เดี๋ยวจูงให้”

มิรันตาหน้านิ่ว บอกชัดว่าไม่ชอบใจที่ถูกทำเหมือนตัวเองเป็นลูกหมา แต่กระนั้นก็ไม่กล้าโวยวายอะไรเพราะอยู่ๆ ก็…รู้สึกปลอดภัยขึ้นนิดหน่อย

“พี่จะลงก่อน แล้วรันลงตาม” ศรุตสบตากับหญิงสาว พูดเสียงหนักแน่น “ง่ายกว่าลงจากคานเยอะ เชื่อเหอะ”

มิรันตากลอกตาเสียสองรอบ อยากจะบอกไปว่าเธอเองก็ไม่มีวี่แววจะลงจากคานได้ ก่อนพยักหน้ารับ รู้ดีว่ายังไงก็คงไม่มีทางอื่นแล้ว

“โอเค เริ่มเลย หันหลังลงนะ เคยเข้าค่ายลูกเสือใช่ไหม” ศรุตคอยพูดคอยบอกอย่างนั้นไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ ถ้าเป็นปกติเขาคงไม่ทำอะไรแบบนี้ แต่คราวนี้ทำเพื่อให้มิรันตาสบายใจว่ามีคนคอยอยู่ข้างๆ เท่านั้น ในที่สุดเมื่อผ่านช่วงอันตรายมาได้ มิรันตาก็แกะผ้าออกจากเอวตัวเองและเผลอทำมันหลุดมือ ศรุตจึงเป็นฝ่ายกระตุกผ้ามาไว้กับตัว แล้วสะบัดผ้าคลี่คลุมศีรษะให้มิรันตาเหมือนเดิม

“ทำดี แบบนี้ถึงจะเรียกว่าสวย ฉลาด…” มองหน้ามิรันตา หัวเราะหึ ดวงตาฉายรอยหยามเหยียดเต็มที่ “เอาตัวแทบไม่รอด”

มิรันตาค้อนคนที่กำลังหัวเราะหึๆ ไปวงโต ไม่กล้าพูดอะไรมากเพราะยังรู้สึกว่าเขามีบุญคุณอยู่ ก่อนหญิงสาวจะนิ่งไปเหมือนกำลังนึกถึงอะไรบางอย่างที่ซุกซ่อนตัวอยู่ในความทรงจำรางเลือน ครู่ใหญ่กว่ามิรันตาจะพูดออกมา

“รันนึกถึงตอนรันเด็กๆ”

“เคยเป็นเด็กเหมือนกันเหรอ”

มิรันตากลอกตาขึ้น “ลุงเกิดมาแล้วแก่เลยหรือไง”

“ปากดี เดี๋ยวจับโยนลงทะเล”

มิรันตาไม่ได้กลัว แต่ถอยห่างจากเขาสองก้าว และเล่าต่อเมื่อเขาเปิดปากถาม

“นึกถึงอะไร”

“รันเคยเจอคนคนหนึ่ง เขาเคยช่วยรันเหมือนที่ลุงช่วยเมื่อกี้ ลุงทำให้รันนึกถึงเขา”

คราวนี้ศรุตถึงกับนิ่งไป เริ่มคิดแล้วว่าเดจาวูที่ตนรู้สึกเมื่อครู่อาจมีอะไรเกี่ยวข้องกับคนที่เคยช่วยมิรันตา ศรุตออกก้าวเดิน เมื่อมิรันตาเดินมาเคียงกันก็เอ่ยปาก “เล่าซิ”

“วันเกิดหกขวบของรัน พ่อกับแม่พาไปเที่ยวสวนสนุก”

ได้ยินเท่านั้นศรุตก็ยิ้ม ทุกอย่างกระจ่างในใจทันที หากทำเพียงพยักหน้าแล้วเอ่ยตอบรับ “อื้อ”

“จะบอกว่าพาไปก็ไม่ถูก พาไปส่งมากกว่าแล้วให้รันอยู่กับพี่เลี้ยง รันวิ่งเล่นไปเรื่อย พี่เลี้ยงตามรันอยู่ รันอยากแอบก็เลยวิ่งไปหลบมุมปราสาทแล้วปีนขึ้นต้นไม้ ปีนซะสูงเลย แล้วก็ลงไม่ได้…”

“เป็นนิสัยเลยสิ ขึ้นที่สูงแล้วลงไม่ได้เนี่ย”

“ประมาณนั้น ถ้าขึ้นไปอยู่ที่สูงมากๆ แล้วจะไม่กล้าลง ใจมันคอยจะคิดว่าตกแน่ๆ ตายแน่ๆ”

“ก็ยังจะขึ้นอยู่เรื่อยๆ” ศรุตตอบรับกลั้วหัวเราะ เล่นเอาโดนค้อนวงโต ก่อนได้ยินเสียงเถียงกลับ

“ก็นึกว่ามันจะไม่เป็นอีก”

ศรุตส่ายหน้า ผ่านไปครู่เห็นว่าคนหน้าบูดเอาแต่เงียบจึงกระตุ้นต่อ “แล้วยังไงต่อ”

“รันอยู่บนต้นไม้นานมากเลย ร้องไห้เสียงดังแต่ก็ไม่มีใครมา จนมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งได้ยินแล้วมาช่วย เขาปีนขึ้นมาหารัน มาอยู่เป็นเพื่อน เอาลูกอมมาให้กิน จนรันหยุดร้องเขาก็ชวนลง ค่อยๆ บอกให้รันวางเท้าตรงนั้น จับกิ่งตรงนี้ เหมือนที่ลุงบอกเมื่อกี้”

“เหรอ” ศรุตยิ้มอยู่ในใบหน้าก่อนบอกด้วยน้ำเสียงและหน้าตามีเลศนัย “บังเอิญจังนะ”

“ใช่ บังเอิญมาก พอลงพื้นได้ เราสองคนก็วิ่งเล่นด้วยกันอีกพักจนพี่เลี้ยงรันตามมาเจอ รันบอกพี่ชายคนนั้นไปว่ารันจะมาหาอีก แต่รันก็ไม่เคยได้กลับไปที่สวนสนุกอีกเลย”

“ก็ไม่แปลกนี่ เด็กหกขวบเอง มีอะไรสนุกๆ ทำก็ลืมหมดแล้วว่าเคยสัญญาอะไรกับใครไว้”

“ไม่จริง รันจำได้อยู่นาน บอกพ่อว่าอยากกลับไปสวนสนุก ไปหาพี่ชายทุกวัน น่าจะเกือบเดือนได้กว่าจะลืม แต่แหม อย่างกับว่ากลับไปแล้วจะเจอ พี่ชายก็คงไม่ได้อยู่รอรันที่สวนสนุกเหมือนกัน”

“แหงสิ เขาก็ต้องกลับบ้านกลับช่อง บ้านไม่ได้อยู่สวนสนุกนี่”

“นั่นสิ” แล้วมิรันตาก็หัวเราะเมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเคยป่าวประกาศไว้ “รันประกาศกับทุกคนในบ้านว่ารันจะกลับไปขอพี่ชายแต่งงาน”

ศรุตอ้าปากอย่างตกใจโดยมิรันตาไม่สังเกตเห็น ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มขำในนาทีต่อมาพลางพูดกึ่งแซว “แก่แดดแก่ลม”

และเริ่มหัวเราะมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะมิรันตาเล่าต่อ

“รันไม่รู้ว่าพี่ชายคนนั้นชื่ออะไร เราไม่ได้ถามกัน รันเรียกเด็กคนนั้นว่าพี่ชาย ส่วนเขาก็เรียกรันว่าตัวเล็ก”

“เหรอ…แล้วถ้าได้เจอกันอีกรันจะทำยังไง”

มิรันตานิ่วหน้า ครุ่นคิดจริงจัง “รันอาจจะลองขอพี่ชายแต่งงานดู”

ศรุตถึงกับเลิกคิ้ว ทำหน้าเหมือนจะถามว่ามิรันตากล้าขนาดนั้นเลยเหรอ หญิงสาวยักไหล่ด้วยท่าทางไม่แยแส “แต่บอกตรงๆ ว่าหน้าพี่ชายรันยังจำไม่ได้ จำได้แค่พี่ชายมีแผลเป็น”

ศรุตเบี่ยงตัว ยื่นแขนไปเบื้องหน้าแล้วบิดข้อศอกซ้ายให้มิรันตาดู “ตรงนี้หรือเปล่า”

มิรันตาชะงักกึก พิจารณารอยแผลเป็นพร้อมๆ กับทบทวนความทรงจำและพบว่าใช่…มันเป็นแผลเป็นจุดเดียวกัน แต่… “แผลของพี่ชายใหญ่กว่านี้”

ศรุตตอบกลับทันควัน ใบหน้ามีรอยขบขัน “คนเรามันต้องโตนะ”

มิรันตายิ่งนิ่งเงียบ พิจารณารอยแผลเป็นตรงข้อศอกสลับกับใบหน้าของศรุต ความไม่แน่ใจเริ่มถูกคละเคล้าด้วยความตกใจ ค่อนไปทางประสาทเสียนิดๆ และยิ่งพูดไม่ออกบอกไม่ถูกเมื่อศรุตเอ่ยถาม

“ปานแดงที่คางไปไหนแล้ว”

ใช่! ใช่เขาจริงๆ ศรุตคือพี่ชายที่แสนดีของเธอในตอนเด็กๆ จริงๆ มิรันตาส่ายหน้าไปมา ยังไม่อาจตอบอะไรได้ ได้แต่หยิบปลายผ้าที่คลุมศีรษะตนมาถูๆ ใต้คางเพื่อให้เครื่องสำอางที่ปกปิดรอยหมดประสิทธิภาพ เห็นแล้วว่าศรุตมองด้วยความสนใจก็เร่งถูกระทั่งมือใหญ่ของเขาแตะมือเธอเป็นทำนองบอกให้หยุด

“เห็นแล้ว แต่เริ่มไม่แน่ใจว่านี่ปานหรือรอยแดง…ถูซะแรง”

มิรันตาเริ่มหัวเราะ ก่อนส่ายหน้าไปมา “ลุงคือพี่ชายเหรอ”

“ใช่ จะขอแต่งงานเลยไหม”

“ขอแล้วจะเป็นไง”

ศรุตหัวเราะหึ พูดชัดถ้อยชัดคำ “ก็จะตอบว่า ไม่มีทาง!”

 

แล้วทำไมเราถึงแต่งงานกันมิรันตาหลุดปากถามอย่างเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ ชายหนุ่มเองมีสีหน้าแบบหนึ่งที่ทำให้มิรันตารู้สึกว่าเขาช่างเย็นชา “ไว้รอคุณหาย”

แม้สงสัย หากมิรันตาก็ยอมพยักหน้ารับ คิดง่ายๆ ว่าเรื่องของเธอกับเขาคงเริ่มด้วยความเป็นคู่กัดเหมือนคู่รักหลายๆ คู่แล้วจึงลงเอยกันด้วยดี นั่งนิ่งอยู่อีกพักก็เอ่ยถาม “พ่อคุณซื้อทริปให้คุณเหรอ”

“ใช่”

“ท่านไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้กับเราเหรอ” เพราะตั้งแต่มิรันตาอยู่ที่นี่ เธอไม่เห็นคนอื่นเลยนอกจากวรา

“พ่อผมเสียแล้ว จริงๆ คุณรู้อยู่แล้วว่าผมกับพ่อไม่เคยเจอกันเลย ผมเป็นลูกเมียน้อย พ่อไม่อยากให้ใครรู้เรื่องผม พ่อฝากเรื่องไว้กับพี่ศรให้มาบอกผมเรื่องพ่อหลังจากเผาพ่อไปแล้ว”

มิรันตาขมวดคิ้ว ก่อนพยักหน้าขณะพยายามย่อยข้อมูล “ก่อนหน้าที่เราจะเจอกันที่ทะเล เราเคยเจอกันแล้ว”

ศรุตพยักหน้ารับ และต่อให้ไม่ได้เจอกันที่สวนสนุก ไม่ได้เจอกันบนเครื่องบิน ไม่ได้พักโรงแรมเดียวกันไปเที่ยวด้วยกัน…เธอกับเขาก็หนีกันไม่พ้น “หลังจากนั้นก็ยังมีเรื่องที่ทำให้เราเจอกันอีก…โดยบังเอิญ”

ซึ่งนั่นทำให้ศรุตเชื่อมั่น ระหว่างเขากับมิรันตา เป็นสิ่งที่โชคชะตากำหนดไว้ชัดเจนและไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ทว่าตอนนี้ไม่มีอะไรเลยที่เหมือนเดิม ความรู้สึกมั่นคงมั่นใจของเขาถดถอยลงตั้งแต่รู้ว่ามิรันตาหายตัวไป ส่วนที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดสูญสลายไปทันทีเมื่อเจ้าหล่อนกลับมาพร้อมกับความระแวงที่เกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่าเธอหนีไปกับชายคนอื่น แล้วไหนจะการโกหกกันเรื่องตั้งครรภ์ที่ไม่ใช่ลูกของเขาอีกล่ะ

เป็นไปได้ไหมว่ามิรันตาโกหกเพื่อให้เขาเกลียด จะได้ไม่ต้องออกตามหา ไม่ไปขัดขวางไม่ให้มิรันตาได้อยู่กับผู้ชายที่ตัวเองรัก

“ยังไงเหรอคะ” มิรันตาถามแล้วกลับปิดปากหาวหวอด ศรุตจึงยุติการสนทนาลง “ไว้คุยกันต่อวันหลัง”

บอกแล้วเดินไปปิดไฟจนเหลือเพียงแสงจากโคมหัวเตียง อันที่จริงเตียงในห้องนี้เป็นเตียงขนาดใหญ่ ศรุตกับมิรันตาสามารถนอนบนเตียงเดียวกันได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการแตะเนื้อต้องตัวแบบไม่ตั้งใจ แต่ศรุตสัมผัสได้ว่ามิรันตายังหวาดระแวงและเป็นกังวลอยู่มาก จึงถอยมานอนโซฟาเบดอีกตัวในห้องแทน

ศรุตล้มตัวลงนอนไปแล้วพักใหญ่ มิรันตาซึ่งคงเก็บความสงสัยไว้ไม่ไหวได้เอ่ยถามขึ้น

“คุณเคยแทนตัวเองกับฉันว่าพี่ใช่ไหม”

ถามไปแล้วมิรันตาแทบสัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่จู่ๆ ก็ก่อตัวขึ้นท่ามกลางความมืดเลยทีเดียว เสียงที่ตอบกลับมายิ่งทำให้ความเย็นชามีตัวตนชัดเจนขึ้น

“ใช่”

“ทำไมคุณเปลี่ยน”

“คุณก็เปลี่ยน”

“ก็…ก็ฉันจำไม่ได้”

“ใช่ เพราะคุณจำไม่ได้ ผมถึงเปลี่ยน”

ศรุตรู้ว่าแม้มิรันตาจะเงียบไปแต่เจ้าหล่อนยังมีคำถามมากมายอย่างที่คงไม่รู้ว่าจะเริ่มถามคำไหนก่อน ท้ายสุดจึงตัดสินใจตัดบท “นอนเถอะ”

ทว่าก่อนจะจบบทสนทนา มิรันตากลับพูดขึ้นอีก “ฉัน…คิดถึงลูก”

ศรุตตอบรับด้วยความเงียบ ไม่รู้ว่าหลังจากคำนั้นมิรันตานอนหลับสบายไหม แต่สำหรับตัวศรุตเองแล้ว กว่าจะข่มใจให้คิดว่ากำลังนอนอยู่ในห้องคนเดียวจนข่มตาให้หลับลงได้ในที่สุดก็อีกพักใหญ่ๆ เลยทีเดียว



Don`t copy text!