Run Away หัวใจไกลรัก 2 : บทนำ

Run Away หัวใจไกลรัก 2 : บทนำ

โดย : ภัสรสา

Loading

Run Away หัวใจไกลรัก 2 นิยายออนไลน์ โดย ภัสรสา ที่ อ่านเอา อยากให้คุณอ่านออนไลน์ เรื่องราวย้อนไปในสิบปีก่อนเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้อาศิรากับดารัณมีพันธะผูกพันต่อกันตามกฎหมาย ก่อนหญิงสาวจากไปอยู่ต่างแดนไม่เคยหวนกลับมา สิบปีผ่านไป ดารัณกลับมาอีกครั้งพร้อมความจริงอันน่าตกใจ และครั้งนี้ดารัณคนเดิมเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

****************************

– บทนำ –

 

บารมีได้ยินเสียงอืออามาจากทางเบาะหลัง แวบแรกใจเขาหายวับด้วยคิดไปถึงเรื่องผีสางแต่อีกใจก็เตือนมาว่าถึงอย่างไรก็ไม่ควรเฮี้ยนเร็วขนาดนี้ พอได้ยินเสียงอีกรอบจึงตัดสินใจถอนเท้าออกจากคันเร่งเล็กน้อยเพื่อให้รถแล่นช้าลง หันไปมองก็พลันรู้ว่าสิ่งที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้ผิดถนัด… คนที่เขาคิดว่าตายแล้วยังไม่ตาย

บารมีรีบคิดหาทางออก มองไปรอบๆ แล้วจำได้ว่าไม่ไกลข้างหน้านี้มีซอยข้างปั๊มน้ำมันร้างที่ค่อนข้างมืดและเปลี่ยว จึงเพิ่มความเร็วรถรีบไปให้ถึงจุดนั้น จอดรถนิ่งๆ ไม่นานคนที่ทำท่าจะตื่นก็ตื่นขึ้นมาจริงๆ บารมีนิ่งสนิท ยังไม่พูดอะไรด้วยสรรหาวิธีช่วยหลานอยู่ จะทำอย่างไรให้หลานรอด ถ้ามิรันตาจะเอาเรื่อง เขาอาจขอร้องให้เอาเรื่องเขาแทน หรืออาจจะอ้างว่ากำลังจะพาไปโรงพยาบาลแม้ตอนนี้จะห่างจากกรุงเทพมาไม่น้อยแล้วก็ตาม หญิงสาวอาจกำลังมึนๆ จนไม่รู้ทิศทาง เขาอาจจะกล่อมให้นอนหลับไปอีกรอบแล้วรีบย้อนกลับไปโรงพยาบาลทัน แต่พออีกฝ่ายไม่พูดเสียที เอาแต่กุมหัวตัวเองอยู่อย่างนั้น บารมีก็อดถามอย่างเป็นห่วงไม่ได้ “เป็นไงบ้างหนู”

เขาแทบมองไม่เห็นหน้าอีกฝ่ายด้วยความมืด คิดว่านั่นดีแล้วเพราะอีกฝ่ายก็จะไม่เห็นหน้าเขาด้วยเช่นกัน

“เจ็บ…”

เสียงแผ่วเบาบอกมาอย่างน่าสงสาร บารมีไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำโดยสันดาน ถ้าไม่ต้องปกป้องหลานเขาก็อยากพามิรันตาไปโรงพยาบาลทันที “เราคุยกันก่อนนะ แล้วลุงจะรีบพาหนูไปโรงพยาบาล”

“คุย… ลุง… หนู…”

บารมีนิ่วหน้า เริ่มรู้สึกว่าการพูดจาของมิรันตาไม่ปกติ บางทีเขาอาจต้องรีบพาไปโรงพยาบาล

“หนู… หนู… เกิดอะไรขึ้น”

บารมียังนิ่ง รู้สึกถึงความผิดปกติมากขึ้นทุกที

“ทำไมเจ็บหัวจัง”

“หนูรัน…” บารมีพึมพำเรียกชื่อแผ่วเบา อีกฝ่ายนิ่งไปเป็นครู่กว่าจะพูดได้อีก “หนูรัน… ใคร… หนูเหรอ”

เดี๋ยวก่อน… บารมีไม่แน่ใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น งงไปใหญ่เมื่อมิรันตาถามต่อ

“เราอยู่ไหน ลุงเป็นลุงหนูเหรอ แล้วหนู… เป็นใคร ทำไมหนู… คิดอะไรไม่ออกเลย”

บารมีไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาคิดว่าพอมีทางช่วยหลานได้แล้ว ส่งเสียงถามมิรันตาแผ่วเบา “จำชื่อมิรันตาได้ไหม”

“มิรันตา… ชื่อคนเหรอ”

จำไม่ได้… บารมีรีบบอก “หนูนอนพักก่อนเถอะ ลุงกำลังจะพาหนูกลับบ้าน”

อาจเป็นคำว่าบ้านที่ทำให้มิรันตาสงบลงไป บารมีรออีกครู่จนแน่ใจว่ามิรันตานิ่งไปแล้วจริงๆ จึงรีบขับรถมุ่งหน้าไปยังสถานที่แรกที่เขานึกถึงและมันไม่ได้ไกลจากจุดหมายเดิมนัก แต่แรกเขาตั้งใจจะนำร่างมิรันตาไปฝังไว้ที่บ้านเก่าของพ่อที่ถูกยึดไป เขารู้ว่ามันกลายเป็นที่ร้างไม่มีใครใช้งานกระทั่งทุกวันนี้เพราะมันเป็นที่ดินแค่ราวๆ สี่สิบตารางเมตร อยู่ในซอยลึก แถมติดบึงรกร้างยังไม่มีการพัฒนาในบริเวณนั้น แต่ถ้ามิรันตายังไม่ตาย เขายังไม่อาจพาหญิงสาวกลับบ้านได้เพราะไม่แน่ใจเลยว่าอาการจำอะไรไม่ได้นั้นจริงหรือหลอก อาจหลอกเพื่อหาทางเอาตัวรอด หรือถ้าจริง จะเป็นอยู่นานแค่ไหน ถ้าจู่ๆ พรุ่งนี้มิรันตาจำได้ขึ้นมาแล้วไปลากหลานสาวเขาเข้าคุกล่ะ บารมียอมไม่ได้

บารมีขับรถตรงไปเรื่อยๆ ใจเต้นไม่ปกตินักเพราะลุ้นตลอดเวลาว่ามิรันตาจะตื่นขึ้นก่อนหรือไม่ กระทั่งถึงทางเข้าบ้านซึ่งเป็นทางส่วนตัวแยกกับทางเข้าที่คนอื่นๆ มักใช้ ลงจากรถไปกดออด ไม่นานก็มีผู้ชายรุ่นราวคราวเดียวกันคนหนึ่งเปิดประตูเล็กโผล่หน้ามาดู หน้าตาถมึงทึงซึ่งบารมีก็เข้าใจ นี่มันเกือบตีหนึ่งแล้ว รีบส่งเสียงเรียกอีกฝ่าย “ไอ้หวัง กูเอง”

“อ้าว ไอ้มี มึงมาไงเนี่ย” เอ่ยถามแล้วรีบเปิดประตูรั้วให้ ฟังอีกฝ่ายอธิบาย

“จะมากวนคุณศีลหน่อย”

“โอ้ย หลับตั้งแต่สามทุ่มแล้วมั้ง มึงก็รู้ นอนห้องกูก่อน พรุ่งนี้ค่อยคุย”

บารมีส่ายหน้า “ไม่ได้ เรื่องสำคัญจริงๆ”

สมหวังหน้านิ่ว หากก็พยักหน้าแล้วบอก “มึงขับรถตามมาแล้วกัน กูไปเรียกให้”

บารมีขอบอกขอบใจเพื่อน รีบเดินไปยังรถแล้วเคลื่อนรถไปช้าๆ ไปยังจุดจอด ลงจากรถมายืนรออยู่พักเดียว ทั้งศีลและอาศิราก็เดินตามสมหวังลงมา หน้าตาศีลนั้นดูงุนงงแต่ก็ยังเห็นรอยยินดีที่ทำให้บารมีเบาใจและซึ้งใจไปในคราวเดียวกัน เจอกันทีไรศีลก็ยินดีต้อนรับเขาเสมอ

ศีลเองพอเดินมาถึงตัวบารมีแล้ว เห็นอดีตคนสนิทไม่พูดอะไรสักทีจึงหันไปทางสมหวังอย่างรู้ใจ “ไปนอนเถอะหวัง ทางนี้ข้าจัดการเอง”

สมหวังร่ำลาบารมีแล้วเดินห่างไปแล้ว บารมีก็ยกมือขึ้นไหว้ศีล โน้มตัวลงต่ำอย่างรู้ตัวว่ากำลังหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ “คุณศีล ผม… มีเรื่องรบกวน”

ศีลหันมองหน้าลูกชาย ครู่เดียวก็หันมาคุยกับบารมี “มีเรื่องอะไร ขึ้นไปคุยกันบนบ้านไหม จะได้คุยกันสบายๆ”

บารมีคล้ายจะลังเลใจอยู่วูบหนึ่งว่าจะทำแบบนี้ดีหรือไม่ ทว่าพอนึกถึงหลานสาวแล้วก็ตัดสินใจเด็ดขาด รีบเดินไปเปิดประตูหลังรถ ศีลกับอาศิราขยับตามไปดู พอเห็นว่ามีร่างหนึ่งนอนไม่ได้สติอาศิราก็หน้าเครียด ขณะศีลร้องเฮ้ยอย่างตกใจ

“ใครวะมี หลานเอ็งเหรอ”

บารมีรีบส่ายหน้าปฏิเสธ “เพื่อนสนิทหลานน่ะคุณศีล”

“เอ้า แล้วไปไงมาไง เป็นอะไรหรือเปล่า… ป่วยเหรอ”

บารมีส่ายหน้า รีบบอกก่อนจะไม่กล้าพอ “เปล่า แกถูกผัวแกซ้อมเรื่อย ครั้งนี้หนักสุดโดนฟาดหัว จำอะไรไม่ได้เลย คิดว่าทิ้งไว้คงตายแน่เลยรีบพาหนีมา พอคิดถึงที่ที่ปลอดภัยก็คิดถึงที่นี่”

ศีลมีสีหน้าลำบากใจ หันมองหน้าอาศิราอีกครั้ง คราวนี้ลูกชายเป็นคนเอ่ยถาม

“พาไปแจ้งตำรวจดีไหมครับลุงมี”

“ลุงอยากรอให้หายก่อนแล้วค่อยกล่อมกันอีกที”

ศีลเอ่ยสนับสนุน “นั่นสิลูก ไปแจ้งตำรวจตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาจำอะไรไม่ได้เลย… งั้นพาขึ้นบ้านก่อนดีไหม ให้ไปนอนสบายๆ ในห้องดีกว่า”

ถึงตรงนี้บารมีก็เบาใจที่ศีลยอมให้ความช่วยเหลือโดยง่าย พร้อมกันนั้นก็ละอายใจ รู้ว่านั่นเป็นเพราะศีลเชื่อใจและไว้ใจตนมาก คงไม่คิดว่าเขาจะโกหก เพราะที่ผ่านมาเขาไม่เคยโกหกศีลเลย… ไม่เคยเลย

อาศิราเองพอพ่อพูดแบบนั้นแล้วจึงไม่คัดค้าน ขยับเข้าไปดูร่างที่ยังนอนนิ่ง ได้ยินเสียงพ่อบอก

“เดี๋ยวพ่อไปเปิดลิฟต์ ไปเอาวีลแชร์มาด้วย”

อาศิราส่งเสียงในลำคอตอบรับขณะพยายามประคองให้คนหมดสติอยู่ในมุมที่จะดึงออกจากรถโดยง่าย เบาแรงขึ้นหน่อยเมื่อได้มุมดีพอที่บารมีจะเข้ามาช่วยได้ จนพาออกมานอกรถได้แล้ว ยืนรออีกพักพ่อก็มาพร้อมวีลแชร์ให้เขาได้วางร่างไร้สติลงไป พ่อกับบารมีเดินแยกไปขึ้นบันไดที่สามารถขึ้นระเบียงชั้นสองได้โดยตรงโดยไม่ต้องเดินเข้าตัวบ้าน ส่วนเขาเข็นวีลแชร์ไปถึงลิฟต์ตัวเล็กซึ่งเอาไว้ใช้สำหรับให้วีลแชร์ขึ้นลงโดยเฉพาะ ลิฟต์นี้บ้านเขาเพิ่งติดตั้งช่วงแม่ป่วย พอเสียแม่ไปแล้ว ปรึกษากันเรื่องจะเอาออกดีไหม พ่อบอกว่าอีกหน่อยพ่อก็ต้องใช้จะได้ไม่ต้องเสียเงินทำใหม่ ส่วนเขาก็เห็นว่าสะดวกดีถ้าต้องขนของหนักๆ ขึ้นชั้นสองจึงปล่อยไว้

พอลิฟต์พามาถึงชั้นสองของตัวบ้านอาศิราก็เข็นวีลแชร์ออกมา เห็นพ่อยืนอยู่หน้าห้องนอนว่างๆ ที่ปกติเอาไว้รับแขกพลางกวักมือเรียกจึงพาเข็นตรงไป ยกคนออกจากวีลแชร์วางบนเตียงได้แล้วทั้งหมดก็ออกมาคุยกันในโถงรับแขก

บารมีจำเป็นต้องโกหกต่อเพื่อทำให้หลานเขาปลอดภัยที่สุด “เด็กคนนี้ชื่อรัน มิรันตานะคุณศีล แกรักผัวมากๆ ถ้าแกจำอะไรได้ขึ้นมาแกอาจจะหาทางกลับไปหาผัวจนได้ แต่ยังไงก็อยากให้คุณศีลช่วยดึงไว้ก่อน ผมจะรีบพาหลานมาช่วยกันกล่อม”

ศีลพยักหน้ารับ ฟังข้อมูลจากอีกฝ่ายต่อ

“ผัวแกก็อาจส่งคนมาตามหา เขารวยแล้วก็กว้างขวางพอควร ถ้าเอาไปไว้ที่อื่นคงหาเจอแน่ เลยอยากให้แกได้ซ่อนตัวอยู่ในนี้”

“เข้าใจๆ แล้วพ่อแม่เขาว่าไง เอ็งบอกไหมว่าพาลูกสาวเขามานี่”

บารมีส่ายหน้า “ไม่มีหรอก พ่อแม่แกตายหมดแล้ว”

เท่านั้นศีลก็ถอนใจยาว สีหน้าเวทนา “น่าสงสารนะ ผู้หญิงตัวคนเดียว มีผัวผัวก็ดันไม่ดูแลกลายเป็นคนทำร้ายไปฉิบ”

“ผมกวนคุณศีลด้วยนะ”

ศีลโบกไม้โบกมือให้ว่อน “ไม่เป็นไร ถือว่าช่วยๆ กัน เด็กมันก็น่าสงสารจริงๆ… แล้วนี่เอ็งกลับเมื่อไร คืนนี้นอนกับไอ้หวังหรือเปล่า”

บารมีส่ายหน้า รีบบอก “ผมต้องรีบกลับไปทำงาน”

“เฮ่ย จะไหวเหรอ อย่างน้อยนอนก่อนสักนิดค่อยว่ากัน”

เขานอนแน่เพราะตะลุยขับรถไม่ได้พักติดต่อกันหลายชั่วโมงตั้งแต่ฟ้าสว่างยันมืด แต่เขาต้องออกไปนอนที่อื่น ไม่อยากเสี่ยงให้มิรันตาได้เจอกับเขา “ผมว่าจะขับไปเรื่อยๆ ถ้าไม่ไหวจริงๆ คงหาที่นอน งานมันเร่งจริงๆ”

ศีลมองบารมีก่อนบอกเหมือนที่เคยบอกเสมอเมื่อเจอกัน “ถ้าเหนื่อยเมื่อไรก็กลับมาอยู่นี่นะ งั้นเดี๋ยวรอแป๊บ มีขนุนกับกล้วยตัดสดๆ เมื่อเช้า เขียวเสวยก็มี เอ็งเอาไปฝากนาด้วยนะ”

นั่นทำให้บารมีน้ำตาคละคลอ มีสองความรู้สึกผสมกันขึ้นมาอีกแล้วแน่นอนว่ามีความละอายใจเกินครึ่ง ส่วนที่เหลือคือความตื้นตัน บารมียกมือไหว้ขอบคุณศีล เอ่ยลาอาศิราแล้วเดินเคียงศีลลงไปยังรถตน พอได้ของเต็มท้ายรถแล้วก็รีบขับออกไป

หลังเรื่องทุกอย่างจบลง แน่ใจว่านิดานุชไม่ต้องติดคุกเมื่อไรเขาจะกลับมากราบขอโทษศีล… เขาจะกลับมา

อาศิราคิดว่าอาจต้องพามิรันตาไปโรงพยาบาลเพราะคิดว่าต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญในการดูแลอาการของมิรันตาก่อนในเบื้องต้น อาการตื่นตระหนกร้องไห้ฟูมฟายเพราะจำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครอาจต้องได้ยาระงับเพื่อให้หญิงสาวสงบมากขึ้น

“ใจเย็นๆ นะรัน หายใจเข้าลึกๆ ก่อน” อาศิราบอกเสียงอ่อนโยน จับสองแขนที่พยายามทึ้งหัวตัวเองเมื่อครู่ไว้แน่น โล่งใจที่อีกฝ่ายเริ่มสงบและทำตามที่เขาบอก หายใจเข้าลึกๆ “โอเค ทีนี้หายใจออกยาวๆ”

ทว่าทำตามเขาบอกได้ครู่เดียวมิรันตาก็เริ่มสะอึกสะอื้นอีก อาศิราหันไปมองหน้าพ่อ บอกไป “ลูกว่าต้องไปโรงพยาบาล”

“เราโทรตามหมอมาดีไหม”

“ไปโรงพยาบาลดีกว่าพ่อ”

ศีลเข้าใจ อย่างไรเสียถ้าต้องรักษาโรงพยาบาลก็มีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมสรรพกว่า ถามกึ่งปรึกษา “พ่อไม่อยากให้มีคนรู้ว่าเราเป็นคนพารันไปโรงพยาบาล… เรียกรถพยาบาลมาได้ไหม”

พออาศิราพยักหน้าเห็นด้วย ศีลก็โทรเรียกรถพยาบาลมารับ อาศิรากับศีลช่วยกันดูแลระหว่างที่หญิงสาวพักอยู่ในโรงพยาบาลสองคืน ขากลับศีลก็ยังใช้บริการรถพยาบาลเพื่อให้ไปส่งมิรันตาที่บ้าน เรียกว่าทำทุกทางที่จะปกป้องไม่ให้มีใครรู้ว่ามิรันตาเป็นใคร อยู่ที่ไหน เพราะถ้ามีคนเห็นว่ามิรันตาขึ้นรถมากับศีลหรือศิราก็อาจเป็นเบาะแสได้ ไม่รู้จะแปลกใจดีไหมที่มีหลายคนรู้ว่ารถคันนี้ของใครบ้านอยู่ไหน ทั้งที่ไม่ได้รู้จักเจ้าของรถเป็นการส่วนตัว

วันนี้มิรันตากลับมาอยู่บ้านแล้ว อาศิราไม่แน่ใจว่าหญิงสาวจะเป็นอย่างไร ไม่อยากให้พ่อรับมือเพียงลำพังจึงโทรไปบอกทีมงานว่าจะไม่เข้าประชุม อาศิรากำลังป้อนนมลูกชายวัยห้าเดือนอยู่ตอนได้ยินเสียงประตูเปิด หันไปมองเห็นว่ามิรันตายืนนิ่งหน้าตาซีดเซียว สบตากันอยู่ครู่ก็เดินเข้าไปหา เอ่ยถาม “เป็นยังไงบ้าง”

คนถูกถามนิ่งไป มองหน้าคนถามสลับกับเด็กน้อยที่เขาอุ้มอยู่เป็นพัก จึงเอ่ยตอบ “ยังจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ”

อาศิราพยักหน้ารับ ยิ้มนิดๆ ส่งไปให้ หันไปมองอีกทางเมื่อประตูห้องพ่อเปิดออก พอท่านเห็นว่าเขากับมิรันตาอยู่ทางนี้ก็เดินตรงมาหาทันที

“เป็นไงบ้างหนู”

มิรันตาตอบกลับเหมือนที่ตอบอีกคนไปเมื่อกี้ “ยังจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ”

“ไม่เป็นไรๆ จำไม่ได้ก็ไม่ต้องคิด อย่าไปเค้นตัวเอง เดี๋ยวแย่อีก”

“ค่ะ” พอตอบแล้ว มิรันตาก็มองทุกคนแล้วมาหยุดที่มนุษย์น้อยที่จ้องเธอตาแป๋วอยู่ พออีกฝ่ายส่งยิ้มให้อย่างไร้เดียงสา กลิ่นเด็กอ่อนลอยมาแตะจมูก มิรันตาก็ยิ้มได้อย่างไม่รู้ตัว อาการกังวลเลือนหาย เอื้อมไปจับมือเล็กและยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นเมื่อรู้สึกได้ถึงแรงบีบแผ่วเบา มิรันตายกมือตัวเองขึ้นลงก็พลันเกิดรอยยิ้มบนหน้าเล็กนั่นจนทำให้เธอพลอยยิ้มได้ไปด้วย

อาศิราเห็นว่าลูกตนทำให้หญิงสาวอาการดีขึ้นได้ จึงเอ่ยถาม “อยากลองอุ้มไหม”

พออีกฝ่ายพยักหน้าก็ยื่นส่งไปให้ ยืนระวังให้ลูกเพราะไม่แน่ใจว่ามิรันตามีทักษะในการอุ้มเด็กมากแค่ไหน พอเห็นว่าไม่ทำลูกตนร่วงแน่ค่อยวางใจ

“แล้วหนูรันหิวหรือยัง” ศีลเอ่ยถาม ตามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเมื่อเจ้าของชื่อไม่ตอบทันที แต่ครู่เดียวก็ทำท่าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ หันมาถามเขากลับ “หนูรัน… หนูใช่ไหมคะ”

“จ้ะ หนูชื่อรัน ชื่อจริงมิรันตา หนูเรียกแทนตัวเองว่ารันไปเลยดีไหม จะได้ชิน”

มิรันตาคิดอยู่ครู่ก็พยักหน้ารับ ตอบคำถามแรกที่เธอยังไม่ได้ตอบ “รันยังไม่หิวค่ะ… คุณเป็นพ่อหนูหรือเปล่าคะ”

ศีลหัวเราะ โบกมือไปมาเพื่อปฏิเสธแล้วชี้ไปทางอาศิรา “นี่ พ่อเป็นพ่อคนนี้ แต่ไม่เป็นไร คิดว่าพ่อเป็นพ่อหนูอีกคนก็ได้”

มิรันตาหันไปมอง ‘คนนี้’ ก้มลงมองเด็กน้อยที่ตนกำลังอุ้มอยู่ เอ่ยถามไปอีก “รันเป็นภรรยาคุณเหรอคะ เป็นแม่ของเด็กคนนี้ใช่ไหมคะ”

อาศิรากำลังจะปฏิเสธ ทว่าชะงักเมื่อพ่อเอื้อมมาจับแขนไว้ทันที หันไปมองสบตาอยู่พักก็รู้ว่าพ่ออยากให้เขาเงียบไว้ และเป็นท่านที่ตอบมิรันตา

“ใช่สิ… มา เอาลูกมาก่อนแล้วรันไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่า เราจะได้ไปกินข้าวกัน”

อาศิรารับลูกคืนมา หลังมิรันตากลับเข้าห้องไปแล้วจึงค่อยหันมาทางพ่อ “พ่อ จะดีเหรอ”

ศีลพาลูกชายห่างออกมาจากห้องของมิรันตาก่อน พาเดินไปทางครัวให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครได้ยินแล้วจึงบอก “พ่อคิดว่าดีกับรันนะ อย่างน้อยก็มีอะไรให้ยึดตอนคิดไม่ออกว่าตัวเองเป็นใคร ถ้าเราบอกว่าไม่ใช่ แล้วเราก็ตอบรันไม่ได้ว่ารันเป็นใครมาจากไหน รันจะยิ่งแย่”

อาศิราไม่ทันคิดถึงเรื่องนั้นเลย…

“แล้วหมอว่าอาการความจำเสื่อมอาจจะเป็นแค่ชั่วคราว พอรันจำอะไรได้เราค่อยอธิบายอีกที มันน่าจะง่ายกว่าบอกความจริงตอนนี้”

อาศิราพยักหน้านิดๆ สายตาเหมือนกำลังครุ่นคิดมากกว่าจะบอกว่าเห็นด้วย

“จริงๆ ลูกก็อยากได้คนมาช่วยดูสิงห์อยู่ไม่ใช่เหรอ เรามีคนช่วยดูสิงห์ รันมีหลักยึดระหว่างรอหายดี พ่อว่ามันก็วินวิน”

อันนั้นเขาไม่แน่ใจ…

“อีกอย่าง เจ้ารัณจะกลับมาแล้วนะ”

เจ้ารัณ… ดารัณ

“ถ้าลูกไม่อยากยุ่งกับเจ้ารัณ หรือไม่อยากให้เจ้ารัณมายุ่งกับลูกมาก มีหนูรันไว้แหละดี”

อันนี้เขาชักเริ่มเห็นด้วย และเห็นด้วยมากขึ้นเรื่อยๆ

“ชื่อเล่นดันออกเสียงเหมือนกันอีก เตรียมปวดหัวได้เลยเรา”

อาศิราหัวเราะเบาๆ อันนี้เขาเห็นด้วยกับพ่อร้อยเปอร์เซ็นต์!

อาศิราจัดเตียงให้มิรันตานอนข้างเตียงศตายุ ความโชคดีอีกอย่างคือในห้องนั้นมีตู้เก็บเสื้อผ้าบางส่วนของปริยฉัตร ภรรยาเขาซึ่งเป็นแม่ของศตายุอยู่ด้วย เท่าที่เขาดูเป็นเสื้อยืดและกางเกงขาสั้น มิรันตาน่าจะใส่ได้เพราะดูแล้วตัวบางกว่าปริยฉัตรเล็กน้อย ส่วนชุดชั้นในเขาซื้อให้ใหม่ตั้งแต่ตอนมิรันตาอยู่โรงพยาบาล หลังจากได้รับถุงเสื้อผ้าที่ใส่แล้วจากนางพยาบาลจนไม่ต้องเดาขนาดให้เสียเวลา

อาศิราตรวจสอบความเรียบร้อยของที่นอนให้อีกครั้ง หันไปทางมิรันตาเมื่อหญิงสาวเอ่ยถาม

“ปกติรันนอนกับลูกเหรอคะ”

อาศิราไม่อยากโกหก แต่คงทำอะไรมากไม่ได้ จึงพยักหน้ารับ ชี้ห้องน้ำห้องเล็กที่อยู่อีกทางให้ “นั่นห้องน้ำ”

มิรันตาพยักหน้า เดินตามอาศิราไปยังจุดชงนม บอกเสียงเบา “พี่ศิราคะ รันจำวิธีชงนมไม่ได้”

“ไม่เป็นไร ถ้าสิงห์ร้องตอนดึกพี่จะตื่นมาชงนมให้เอง รันนอนยาวๆ ไปเถอะ”

“ลูกตื่นตอนดึกด้วยเหรอคะ”

อาศิรายิ้มนิดๆ แววตาบอกว่าขบขัน นี่อาจจะช่วยยืนยันให้เขาแน่ใจว่ามิรันตาไม่เคยมีลูกแน่ “ถ้าโชคดีก็ไม่ตื่น แต่ส่วนมากสิงห์จะตื่นช่วงตีสองถึงตีสี่แล้วแต่ว่านอนตอนไหน ถ้านอนเร็วแบบวันนี้น่าจะตื่นช่วงตีสอง”

มิรันตาหันไปมองร่างเล็กที่นอนอยู่บนเตียงเล็กๆ ของตน ยิ้มอย่างเอ็นดู ตัดสินใจบอกอาศิรา “สอนรันดีกว่าค่ะ รันจะได้ดูแลลูกได้”

อาศิราลอบถอนใจยืดยาว รู้สึกเกรงใจปะปนไปกับความละอายใจ หญิงสาวเชื่อสนิทใจจริงๆ ว่าตัวเองเป็นแม่และพยายามจะช่วยเขาดูแลศตายุเต็มที่ อาศิราสอนหญิงสาวชงนม เสร็จงานนี้แล้วมิรันตาก็หยิบผ้าอ้อมสำเร็จรูปที่แกะจากห่อวางซ้อนกันในกล่องใสขึ้นมาอีกอย่างพยายามทำความคุ้นเคย หันมาถาม

“สอนใช้อันนี้ด้วยได้ไหมคะ”

อาศิราหันไปมองลูกชาย เห็นยังหลับสนิทจึงทำเพียงบอก “อันนี้ด้านหน้า อันนี้ด้านหลัง ไว้พรุ่งนี้ตอนสิงห์ตื่นแล้วจะสอนอีกที”

“ค่ะ… รัน… ไม่ต้องให้นมลูกเหรอคะ”

ถ้าอาศิรากินน้ำอยู่ตอนนี้เขาคงสำลัก ชายหนุ่มกระแอมกระไอพยายามปรับการหายใจของตัวเองให้เป็นปกติ ระงับทั้งความรู้สึกขำและความรู้สึกแปลกที่เกิดขึ้น ตอบมิรันตาด้วยความจริงที่เกิดขึ้น… “สิงห์ไม่ได้กินนมแม่”

มิรันตานิ่วหน้า “รันไม่มีน้ำนมเหรอคะ”

เพื่อความสงบอาศิราจำต้องพยักหน้ารับเพราะไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร จะตอบความจริงก็คงไม่ดีต่อความรู้สึกของมิรันตา… ปริยฉัตรแทบไม่เคยอยู่กับลูกเลย หลังคลอดหญิงสาวพักฟื้นเพียงสามวันก็บอกว่าอยากกลับไปอยู่บ้านเพราะไม่อยากทะเลาะกับศราวิน เขาถามเรื่องการให้นมลูกปริยฉัตรก็ตอบว่านมผง นั่นทำให้รู้โดยปริยายว่าเจ้าหล่อนจะไม่พาลูกไปด้วย ซึ่งว่าไปก็ดีเพราะลูกเขาทำให้แม่ยิ้มได้ในหลายๆ ครั้งก่อนท่านจะจากไปหลังลูกเขาอายุครบเดือนไม่กี่วัน เรื่องดีอีกเรื่องที่ปริยฉัตรไม่ให้นมลูกคือทำให้ศตายุชินกับการกินนมขวดจึงไม่มีปัญหานักยามปริยฉัตรผลุบๆ โผล่ๆ อยู่กับเขาบ้างไม่อยู่บ้างตามแต่อารมณ์เจ้าหล่อน

“บ้านนี้มีแค่เราอยู่ด้วยกันสามคนเหรอคะ”

อาศิราพยักหน้า ค่อยๆ อธิบาย “พี่มีน้องชายอีกคน แต่เขาอยู่ที่มิลาน แม่พี่ก็… เพิ่งเสีย บ้านนี้เลยเหลือพี่กับพ่อ อ้อ แล้วก็รัน”

มิรันตาพยักหน้า ส่วนอาศิราหยิบมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาดูเมื่อมันสั่นไหว พอเห็นว่าเป็นข้อความจากดารัณก็เปิดอ่าน ไม่มีข้อความใดนอกจากข้อมูลเที่ยวบิน นึกได้ว่านั่นคงเป็นเที่ยวบินกลับเมืองไทยของดารัณ จำต้องบอกมิรันตาอีก

“เดี๋ยวจะมี เอ่อ… ผู้หญิงอีกคนมาอยู่ด้วย” เขาไม่รู้ว่าบอกว่าสถานะของดารัณอย่างไรดี เริ่มอึดอัดเมื่อมิรันตาถามอย่างสงสัย “ผู้หญิงอีกคน… ใครเหรอคะ”

“เอ่อ… เป็นเด็กที่… แม่พี่รักเหมือนลูก”

“ญาติเหรอคะ”

“ไม่เชิงหรอก” ตอบได้เท่านั้นมือถือก็สั่นครืดอีกรอบ อาศิรายกขึ้นมาดูหน้าจออีกทีก็ได้โอกาสเลี่ยงมิรันตา ทีมงานเขาสรุปการประชุมของวันนี้มาให้แล้ว “เดี๋ยวพี่ต้องทำงานต่อ รันนอนเลยนะ หรือถ้ายังไม่ง่วงก็ไปหาหนังสืออ่านได้ มีอะไรไปเรียกพี่ในห้องทำงาน”

มิรันตาพยักหน้ารับแล้ว อาศิราจึงแยกตัวไปยังห้องทำงาน ไม่ลืมแวะไปเคาะประตูห้องพ่อเบาๆ เพื่อดูว่าพ่อหลับหรือยัง เอ่ยถามเมื่อพ่อเปิดประตูให้ “ยังไม่นอนเหรอพ่อ”

ศีลส่ายหน้า พยายามเก็บสีหน้าว่างโหวงของตน นึกดีใจเมื่อลูกชายเอ่ยถาม

“ไปอยู่กับลูกที่ห้องทำงานไหม”

“กวนเปล่าๆ”

อาศิราส่ายหน้า ดันหลังพาพ่อออกเดินไปด้วยกันจนต้องทำงานแล้วนั่นแหละจึงแยกไป พอเห็นว่าพ่อเลือกหนังสือไปนั่งอ่านบนโซฟาอีกทางแล้วจึงเทสมาธิกับการทำงานของตน

อาศิราเปิดบริษัทศิราส์เทเบิลมาสามปี แต่ทำงานด้านนี้มาหกปีแล้ว หลังเรียนจบมหาวิทยาลัยในคณะวิจิตรศิลป์และรู้ตัวว่าอยากเรียนด้านอาหารจึงไปเรียนต่อด้านนี้ที่ฝรั่งเศส… ปริยฉัตรไปด้วย แต่อยู่กับเขาเพียงสามเดือนก็ขอกลับเมืองไทย ส่วนเขาก็ใช้วิธีไปๆ มาๆ เท่าที่โอกาสจะอำนวย เขาใช้เวลาสี่ปีในการเรียนทุกคอร์สที่อยากเรียน เรียกว่าเรียนครบทั้งอาหารคาว หวาน และเครื่องดื่มรวมไปถึงการจัดการต่างๆ หลังเรียนจบสถาบันทาบทามให้เป็นอาจารย์จึงตัดสินใจสอนอยู่สองปีและเป็นเชฟส์ให้ร้านอาหารของอาจารย์ที่ถูกอัธยาศัยกันด้วย จากนั้นย้ายกลับเมืองไทยเพราะคิดถึงพ่อกับแม่ แต่ก่อนกลับด้วยแรงสนับสนุนจากอาจารย์เจ้าของร้านอาหาร บอกว่ามันจะเป็นใบเบิกทางอีกใบนอกจากชื่อสถาบันที่เรียน เขาจึงตัดสินใจไปลงแข่งเชฟออฟเดอะเชฟที่อเมริกา

มันเป็นการแข่งขันที่ต้องใช้ทักษะทุกอย่างที่มีเพราะไม่ใช่เพียงแค่รสชาติอาหารที่จะใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสิน แต่ยังรวมถึงความสวยงามของอาหารในจาน และองค์ประกอบโดยรวมของโต๊ะทั้งหมด การได้ตำแหน่งรองอันดับสองเป็นใบเบิกทางอย่างแท้จริง เพราะพอตัดสินใจทำธุรกิจแนวเชฟส์เทเบิลก็ได้รับความนิยมจนช่วงแรกแทบไม่มีวันหยุด จนแม่ต้องเข้ามาจัดการเรื่องการรับจองให้ นอกจากนั้นแล้วเขายังมีงานฟรีแลนซ์ที่ทำควบคู่ไปด้วยกัน ทั้งเป็นที่ปรึกษาด้านสูตรอาหาร ออกแบบการตกแต่งจานอาหาร ออกแบบการตกแต่งและจัดโต๊ะอาหาร ลูกค้าส่วนใหญ่มาจากต่างประเทศ ส่วนในเมืองไทยส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมที่เครือใหญ่

ทำงานไปได้สักสองปี อาศิราก็เริ่มมีคนอื่นมาร่วมทีม มาจากอาจารย์ที่รู้จักกันส่งมาฝึกงานด้วยบ้างทั้งจากฝรั่งเศสและในไทย จากเชฟที่ขอเข้ามาฝึกงานโดยไม่คิดค่าแรงบ้าง อาศิราจะพูดคุยจนแน่ใจว่าทัศนคติไปด้วยกันได้จึงยอมรับมาทำงานด้วยพร้อมจ่ายค่าตอบแทนให้อย่างเหมาะสมเพราะคิดว่าไม่ควรมีใครต้องทำงานฟรี ทีมของเขาจะหมุนเวียนกันไปเป็นรุ่นๆ แล้วแต่ว่าจะอยู่กันนานแค่ไหน แต่เขาจะรับคนไม่เกินห้าคนต่อหนึ่งครั้งเมื่อมีคนออกจึงรับให้ครบห้า ถ้ายังครบอยู่จะไม่รับเพิ่ม แม่อีกเช่นกันที่เป็นคนแนะนำให้เขาตั้งบริษัทเพราะมันจะทำให้การจัดการทุกอย่างง่ายขึ้น เป็นระบบระเบียบมากขึ้น และมันจริง ทุกอย่างง่ายขึ้นมากหลังจากเขากลายเป็นนิติบุคคล

งานที่เขากำลังดูอยู่นี้เป็นงานแต่งงาน จัดในโบสถ์เล็กๆ ริมทะเลสาบท่ามกลางภูเขาสูงโอบล้อม ภาพที่เขาได้รับมานั้นสวยจับใจสมกับเป็นวิวของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ยากคือเจ้าบ่าวเป็นคนกรีซ อยากได้บรรยากาศแบบเมดิเตอเรเนียนในงานแต่งงานด้วย เขาจึงต้องออกแบบอาหาร การตกแต่งจาน และโต๊ะอาหารให้เป็นไปตามความต้องการนั้น

ในทุกงาน เมื่อได้งานมาเขาจะหาไอเดียคร่าวๆ ของตัวเองก่อน แล้วประชุมกับทีมเพื่อระดมสมองอีกที ประชุมที่เขาไม่ได้เข้าวันนี้คือการประชุมครั้งแรกซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นแค่การแจกโจทย์และแลกไอเดียคร่าวๆ เขาส่งเอกสารทั้งหมด ทั้งคอนเซ็ปต์งานและไอเดียคร่าวๆ ของเขาไปให้ปณิธิเป็นคนดำเนินการประชุม ปณิธิเป็นคนที่ทำงานกับเขามานานสุด เป็นกึ่งๆ ผู้ช่วยของเขาและไม่ใช่เด็กฝึกงาน ด้วยอุปนิสัยร่าเริง อัธยาศัยดี พอมีเด็กฝึกงานเข้ามาจึงกลายเป็นกึ่งๆ หัวหน้ากลุ่มไปโดยปริยาย พอเปิดเอกสารที่ปณิธิส่งมาให้อ่าน จึงเห็นคร่าวๆ ว่าแต่ละคนเสนออะไรมาเพียงแต่ยังไม่ได้สรุปชัดเจนเพราะอย่างไรก็ต้องรอเขา

อาศิราเริ่มทำสรุป ทุกคนเห็นตรงกันว่าสีหลักควรเป็นสีขาวกับฟ้าซึ่งเป็นสีของทะเล อาหารในงานทางเจ้าภาพกำหนดว่าให้เสิร์ฟแบบสามคอร์ส จากการประชุมทุกคนเห็นว่าออเดิร์ฟเป็นแบบสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งชื่ออาหารจานแรกที่แวบเข้ามาในหัวอาศิราคือรอสติ (rosti) จานหลักให้เป็นกลางๆ เช่นสเต๊ก อาศิราคิดว่าถึงจะเป็นสเต๊กก็มีลูกเล่นได้ อาจมีสองซอส เป็นชีสซอสแบบฟองดูเพื่อให้ได้อารมณ์แบบสวิตฯ กับซอสแบบกรีซที่มีส่วนผสมของกรีกโยเกิร์ตหรือเสิร์ฟสเต๊กคู่กับสลัดกรีก ส่วนของหวานเลือกที่มาจากกรีซ มีสองเมนูผุดขึ้นในหัวอาศิรา ระหว่างลูกูมาเดส (Loukoumades) กับบัคลาว่า (Baklava)

แน่นอนว่างานเขาไม่ได้จบแค่การเลือกอาหารแน่ เพราะถ้าแค่นั้นใครก็เลือกได้ แต่เขายังต้องมาวิเคราะห์ว่าอาหารแต่ละอย่างนั้นประกอบไปด้วยอะไร มีกรรมวิธีการทำอย่างไร สามารถดัดแปลงส่วนผสมอะไรเพื่อเพิ่มความอร่อยหรือเพิ่มความแปลกใหม่ให้คนกินรู้สึกชอบหรือสนุกเวลากินได้บ้าง อาหารแต่ละชนิดรสชาติส่งเสริมกันหรือไม่

อาศิราอ่านต่อไปอีกถึงหัวข้อการตกแต่งอาหาร ซึ่งทีมเขาเห็นว่าควรเน้นการใช้กลีบดอกไม้ วัสดุธรรมชาติ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของสวิตฯ ถ้าแบบนั้นอาศิราก็คิดว่าการตกแต่งโต๊ะควรเน้นให้ได้บรรยากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน คงต้องมีการพาเปลือกหอยพาทรายไม่ก็กังหันลมขึ้นโต๊ะกันบ้าง

หลังอ่านเอกสารจนจบ อาศิราจึงส่งข้อความเข้ากลุ่มไปนัดหมายเวลาประชุมในวันพรุ่งนี้ ซึ่งพรุ่งนี้จะต้องสรุปให้ได้ว่าอาหารจะเป็นเมนูไหน การตกแต่งจานและโต๊ะจะเป็นแนวไหน จากนั้นให้แต่ละคนไปลองออกแบบสิ่งที่ตัวเองสนใจมาแล้วกลับมาประชุมกันอีกในสามวันถัดไป บางคนอาจออกแบบแค่เมนูอาหาร บางคนอาจออกแบบแค่การจัดโต๊ะแล้วแต่ความถนัด แต่อาศิราจะออกแบบทุกอย่าง เขาถือว่าคนที่มาฝึกงานกับเขาเป็นนักเรียน และงานที่มอบหมายให้ก็เป็นการบ้าน อย่างไรเขาก็ยังต้องทำงานหลักของเขาด้วยตัวเองอยู่ดี ถ้ามีครั้งไหนที่อาศิรารู้สึกว่าไอเดียของคนอื่นดีกว่าเขาจะเลือกทำตาม ไม่ว่าจะเอามาใช้ได้เลยหรือเขาต้องปรับเปลี่ยนบางอย่างแต่เขาจะจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มจากค่าแรงปกติให้เป็นพิเศษ รวมถึงให้รูปผลงานจริงไปใส่ไว้ในแฟ้มผลงาน ถ้าต้องมีการเขียนจดหมายรับรองเขาก็จะเขียนลงไปให้ด้วย

งานนี้เรียบร้อยแล้วอาศิราก็เปิดดูคิวจองเชฟส์เทเบิล เขาปิดกะทันหันไปสองเดือนตั้งแต่แม่เสีย ในช่วงนั้นเขาให้ทางเลือกลูกค้าที่เขาขอยกเลิกสองทาง หนึ่งคือเลื่อนไปกระทั่งเขาเปิดให้บริการอีกครั้ง สองคือยกเลิกแล้วเขาจะคืนเงินให้พร้อมบัตรส่วนลดสำหรับใช้กับห้องอาหารของวิชวิ่งวินด์รีสอร์ต ไม่รู้ว่าควรดีใจดีไหมที่ไม่มีลูกค้ายกเลิกสักรายเดียวทำให้จนถึงตอนนี้ก็ยังเคลียร์ลูกค้าเก่าไม่หมดเพราะเพิ่งกลับมาให้บริการเดือนนี้เอง ตอนนี้เขาเหลืออีกสิบห้าคิวจองก็จะเคลียร์ของเก่าหมด แต่คิวใหม่ตอนนี้ก็มีเฉลี่ยอาทิตย์ละหนึ่งครั้งไปจนถึงสิ้นปีแล้ว ปกติเขารับงานเชฟส์เทเบิลแค่สัปดาห์ละสามวันเท่านั้น พุธ เสาร์และอาทิตย์ ตอนนี้เขากำลังคิดว่าอาจลดเหลือสองวันเพื่อให้เวลากับพ่อมากขึ้น

อาศิราปิดคอมพิวเตอร์ หันไปมองพ่อก็เห็นว่าท่านหลับไปแล้ว ชายหนุ่มถอนใจยืดยาว จริงอยู่ว่าเขาเสียใจมากที่แม่ด่วนจากไป แต่อย่างไรเขาก็ใช้เวลากับแม่น้อยกว่าพ่อ ท่านทั้งสองอยู่ด้วยกันมากกว่าอายุของเขา อาศิรารู้สึกเลยว่าพ่อเจ็บปวดราวกับวิญญาณครึ่งหนึ่งถูกกระชากไป ในช่วงกลางวันพ่อยังไม่หนักเท่าช่วงเวลาก่อนเข้านอน เขารู้เพราะมีวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วเห็นพ่อนอนหน้าห้องตัวเอง สอบถามจนได้รู้ว่าพ่อไม่ชินสักทีกับการนอนในห้องคนเดียว ความไม่ชินนั้นยิ่งย้ำเตือนว่าไม่มีแม่แล้ว นั่นทำให้พ่อยิ่งเสียใจจนไม่อาจนอนในห้องได้ หลังจากวันนั้นอาศิราจึงเคาะประตูห้องพ่อก่อนเข้านอนทุกคืนเพื่อดูว่าท่านหลับหรือยัง ถ้ายังจะอยู่เป็นเพื่อน หรือถ้าต้องทำงานแบบในวันนี้ก็จะชวนท่านมาอยู่ด้วยกัน

“พ่อ” อาศิราเรียกพ่อเสียงเบา จับแขนท่านเพื่อปลุก ไม่นานท่านก็ลืมตาตื่น “กลับห้องกัน”

พ่อลุกขึ้นโดยง่ายหน้าตาท่าทางยังสะลึมสะลือ อาศิราจึงประคองพ่อพาเดินไปส่งถึงเตียง หยิบผ้าห่มส่งให้พ่อ ดูจนแน่ใจว่าพ่อหลับแล้วจึงกลับห้องตน ก่อนปิดไฟเข้านอนอาศิราไม่ลืมเดินไปยังประตูห้องซึ่งเปิดอยู่ เป็นประตูที่เชื่อมห้องเขากับห้องลูกชาย โผล่หน้าไปดูลูกกับมิรันตาเห็นว่าหลับปุ๋ยทั้งคู่จึงค่อยปิดไฟแล้วเดินขึ้นเตียง

ตอนนี้ สิ่งที่เขากังวลที่สุดไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่ปริยฉัตร ไม่ใช่มิรันตา แต่เป็นดารัณ ผู้หญิงที่เขาไม่เคยพูดคุยไม่ได้เห็นหน้ามาเป็นเวลาสิบปี กระทั่งหญิงสาวกลับมาร่วมงานศพแม่เมื่อเดือนก่อน…



Don`t copy text!