สาปแสงรัก บทที่ 5 : ถึงเกลียดก็จะรัก
โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต
สาปแสงรัก โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เรื่องรักของผู้ชายธรรมดาที่ต้องคำสาปที่ว่า เมื่อพบรักแท้จะพบแต่ความทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบสิ้น “อานุภาพ” ชายที่ไม่มีพลังอำนาจเหมือนชื่อของเขาเลย แถมยังไม่มีของวิเศษ เวทย์มนตร์คาถา แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับแรงอาฆาตพยาบาทที่สาปส่งข้ามภพข้ามชาติได้ ติดตามเอาใจช่วยเขาได้ในอ่านเอา anowl.co
หลังจากเซ็นสัญญารับงานบูรณะซ่อมแซมประติมากรรมรอบพระอุโบสถและถาวรวัตถุในวัดแล้ว บ่ายวันรุ่งขึ้นอานุภาพก็ตัดสินใจกลับกรุงเทพฯ เพื่อนำเรื่องที่คุณมัทนาเสนอให้บริษัทรับจัดสวนและภูมิทัศน์รอบพิพิธภัณฑ์เซรามิกเข้าที่ประชุมบริษัท เขาคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
“เรื่องงานผมว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่เรื่องของคุณอ้ายนี่แหละที่ผมเป็นห่วง ยิ่งคุณอ้ายแน่ใจว่าเธอคือคนที่คุณผูกพัน ผมก็ยิ่งกลัว” ภูษิตพูดขึ้นระหว่างที่ขับรถจากเกาะลอยมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ ด้วยกัน วันนี้ภูษิตอาสาเป็นคนขับรถมารับอานุภาพแม้ว่าจะไม่ใช่วันทำงาน
“แต่แปลกที่ผมไม่กลัวเลย” อานุภาพบอก
“ตอนแรกผมก็กลัวคำทำนายของคุณประณต แต่ตอนนี้ผมกลัวใจผู้หญิงคนนั้นมากกว่า เธอแช่งคุณเพราะโกรธ ผมเดาว่าคงไม่ได้แช่งจริงจังอะไรด้วยซ้ำ แต่ก็ยังส่งผล ล่มเรือได้ขนาดนั้น อย่าว่าผมยุ่งเลยนะ ผมก็อยากจะบอกเหมือนคุณประณตว่าคุณอ้ายอย่าหาความทุกข์ใส่ตัวดีกว่า”
“พี่น่าจะรู้ว่าผมจะตอบว่าอะไร”
“ผมรู้ แต่ก็ยังต้องพูดอยู่ดีแหละครับ ถ้าไม่พูดผมก็ไม่สบายใจ เหมือนละเว้นการปฏิบัติหน้าที่”
“งั้นผมต้องขอให้พี่ช่วยปฏิบัติหน้าที่สักอย่าง”
“อะไรครับ”
“อย่าบอกอาณต เรื่องผมจมน้ำ”
อานุภาพมาถึงบ้านในตอนเย็น พอรถเลี้ยวเข้าบ้านก็เห็นว่าอาจารีมายืนรอรับอยู่ที่เฉลียงหน้าบ้าน ทันทีที่ภูษิตเอารถเข้าจอดอาจารีก็เดินมาหาหลานชายถึงประตูรถทันที
“เป็นยังไงบ้างอ้าย” อาจารีถามอย่างห่วงใย สีหน้าวิตกกังวล
“อ้ายไม่เป็นไรนี่ครับ อาจ๋าเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะครับ”
“ก็อาจ๋าเป็นห่วงเราน่ะสิ โทรไปก็ไม่รับ อาณตเขาก็เป็นห่วงมากนะ”
หากจะบอกว่าอาจารีนั้นรักและห่วงใยหลานชายคนนี้เหมือนลูกแท้ๆ ก็ไม่ผิด อาจารีเป็นอาแท้ๆ คนเดียวของอานุภาพ ความจริงแล้วอาจ๋ามีชื่อเล่นจริงๆ ว่าอ่อน แต่ที่อานุภาพเรียกอาว่าอาจ๋า ก็เพราะตอนเด็กๆ แม่สอนให้เขาเรียกพ่อว่า พ่อจ๋า และเรียกแม่ว่า แม่จ๋า อานุภาพจำได้ว่าเวลาเขาเรียกแม่แบบนี้ แม่จะยิ้มดีใจ ส่วนพ่อก็ชอบใจและมักจะอุ้มเขาขึ้นขี่คอตามที่ขอเสมอ
ความทรงจำอันแสนสุขของอานุภาพมีอยู่เพียงน้อยนิด เพราะเมื่ออานุภาพอายุได้สิบขวบ อาคมและสุพัตราพ่อแม่ของเขาก็จากเขาไปพร้อมกันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ แม้เด็กชายจะโตพอที่จะเข้าใจว่าความตายคืออะไรแต่เขาก็ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นไม่ได้
ความที่อานุภาพเป็นลูกคนเดียวเขาจึงสนิทกับพ่อแม่มาก โดยเฉพาะกับแม่ซึ่งไม่ได้ทำงานนอกบ้าน สุพัตราดูแลลูกเองทุกอย่าง เมื่ออยู่บ้านเด็กชายจึงค่อนข้างจะติดแม่ เมื่อพ่อกับแม่มาจากไปพร้อมกัน อานุภาพก็เปลี่ยนจากเด็กชายที่สดใสร่าเริงเป็นเด็กชายผู้เงียบขรึม ไม่พูดไม่คุยกับใคร ตลอดเวลาที่ว้าเหว่นั้นก็มีอาหญิงและอาเขยทำหน้าที่เป็นพ่อแม่คอยประคับประคองจิตใจของหลานชาย อาจารีนั้นรักและห่วงหลานชายมาก เธอพยายามให้ความรักความอบอุ่นและทำทุกอย่างแทนแม่ของอานุภาพเพื่อให้หลานชายไม่รู้สึกขาดความอบอุ่น อาจารีให้อานุภาพเรียกเธอว่า ‘อาจ๋า’ แทนชื่อ อาอ่อน หรือคุณอ่อน ซึ่งเป็นชื่อที่คนในครอบครัวและบริวารในบ้านเรียกเธอเพื่อที่หลานชายจะได้รู้สึกว่าเธอเป็นแม่ของเขาจริงๆ และคำเรียกนี้เองที่ทำให้อานุภาพอบอุ่นใจจนยอมพูดคุย และค่อยๆ กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเดิม คำนี้จึงเป็นคำที่มีความหมายพิเศษสำหรับอานุภาพ และมีแต่เขาเท่านั้นที่จะเรียกอาจารีด้วยคำนี้
“โทรศัพท์อ้ายตกน้ำ ยังไม่ทันได้ไปซื้อเครื่องใหม่เลยครับ คิดว่าพรุ่งนี้ค่อยไปจัดการ ขอโทษนะฮะที่ทำให้อาจ๋าเป็นห่วง”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้วลูก อาณตรอจะคุยกับอ้ายอยู่ในห้องทำงานน่ะ”
เมื่ออานุภาพเข้าไปในทำงานของประณตก็พบว่าอาเขยนั่งรอเขาอยู่แล้ว สีหน้าท่าทางของอาบอกว่าใจจดใจจ่อรอจะคุยเรื่องสำคัญที่ด้วย
“อาณตมีอะไรจะคุยกับอ้ายเหรอครับ” หลานชายถามทั้งๆ ที่ในใจก็หวั่นว่าจะถูกตำหนิ
“อาน่าจะเป็นคนถามมากกว่า ว่าอ้ายมีอะไรอยากจะบอกอาหรือเปล่า”
“อ้ายขอโทษที่ไปที่นั่นโดยที่ไม่ได้บอกอา” อานุภาพรู้ดีว่าเขาทำไม่ถูก แต่เพราะไม่อยากมีเรื่องถกเถียงให้ไม่สบายใจก่อนเดินทาง เขาจึงตัดสินใจทำทุกอย่างไปโดยพลการ อานุภาพคิดว่าประณตจะโกรธเขา แต่คำพูดที่อาตอบมากลับไม่มีความโกรธเคืองเจืออยู่เลย
“แล้วเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีครับ เรื่องงานเขาก็ตกลงจ้างอ้ายตามที่อ้ายตั้งใจอยากทำงานนี้”
“ทุกอย่างราบรื่น ไม่มีเรื่องอะไรไม่คาดฝันเลยใช่ไหม”
“เอ่อ…” อานุภาพอึ้งไป เขาไม่อยากโกหกแต่ก็ไม่อยากเล่าความจริงให้อาไม่สบายใจ
“เอาเถอะ…ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว อ้ายจะคิดจะทำอะไร อาก็ห้ามไม่ได้อยู่แล้ว แต่จะทำอะไรก็ระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน”
“อย่าโกรธอ้ายเลยนะครับอาณต” ถึงประณตจะไม่บอกว่าโกรธ แต่คำพูดเชิงประชดประชันน้อยใจหลานนั้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว
“อาไม่ได้โกรธ ที่อาจะพูดก็มีเท่านี้ อ้ายกลับมาเหนื่อยๆ ไปพักผ่อนเถอะ”
เมื่ออาเขยตัดบทเช่นนี้ อานุภาพก็ไม่รู้จะพูดอะไร เขาเองก็ยังไม่พร้อมที่จะเล่าเรื่องทั้งหมดจึงได้แต่ขอตัวออกจากห้องไปเงียบๆ
“พี่อ้าย…” เสียงสดใสที่คุ้นเคยดังมาจากมุมรับแขกทันทีที่อานุภาพออกมาจากห้องทำงานของประณต
“นุชอยู่บ้านเหรอ พี่คิดว่าออกไปเที่ยวเสียอีก”
“เที่ยวได้ไงล่ะคะ พี่อ้ายไม่อยู่ พี่ษิตจ่ายงานมาให้นุชตั้งเยอะแยะ” เจ้าของเสียงเดินมาจับไม้จับมืออานุภาพอย่างคุ้นเคย
“สองงานเองนะครับ แถมงานหนึ่งก็ใกล้เสร็จแล้วด้วย” ภูษิตส่งเสียงมาจากมุมรับแขก เขากำลังอ่านเอกสารแนวคิดงานก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์บนเกาะเดือนดับที่อานุภาพเพิ่งให้มาเมื่อตอนเช้า
“นุชดูงานหรือยัง ในสายตานักออกแบบเห็นเป็นไงบ้าง เราน่าจะรับงานนี้ไหม” อานุภาพถามความเห็นของหญิงสาว เพราะเธอคือนักออกแบบตกแต่งสวนของบริษัท น้องสาวที่เขารักและสนิทที่สุด อนุชเป็นลูกสาวคนเดียวของประณตและอาจารี
“นุชยังไม่ได้ดูละเอียด แต่มีงานเข้า ก็ต้องรับอยู่แล้ว ออกแบบสวนให้พิพิธภัณฑ์ไม่ได้มีมาบ่อยๆ ถึงนุชจะบอกว่าไม่น่ารับ พี่อ้ายก็จะรับอยู่ดีแหละ จะได้หาเรื่องไปอยู่ที่เกาะนั้นนานๆ”
“รู้ไปหมด” พี่ชายโยกหัวน้องสาวอย่างเอ็นดูแกมหมั่นไส้
“แม่เป็นห่วงพี่อ้ายมากนะ นี่ขนาดยังไม่รู้เรื่องที่พี่จมน้ำ…”
“เฮ้ย…” อานุภาพร้องอย่างลืมตัวเพราะตกใจ เขาส่งสายตาดุๆ ไปยังภูษิต ฝ่ายนั้นรีบบอกทันที “ผมไม่ได้บอกนะครับ”
“นุชรู้ตั้งแต่คืนนั้นแล้ว” น้องสาวบอก
“อะไรยังไงนุช พี่ไม่เข้าใจ”
“ก็…คืนที่พี่อ้ายไปเกาะ พ่อเข้าห้องพระนั่งสมาธิตั้งแต่สี่ห้าโมงเย็นจนเกือบเที่ยงคืน ข้าวปลาไม่กิน พอออกมาจากห้องพระพ่อก็บอกแค่ว่าพี่อ้ายมีเรื่อง แต่ปลอดภัยดีแล้ว แม่เป็นห่วง โทรหาพี่อ้ายก็โทรไม่ได้ นุชต้องกล่อมตั้งนานว่านุชจะไปที่เกาะตอนเช้า คืนนั้นแม่ถึงยอมนอน”
“แล้วนุชไปไหม ทำไมไม่เจอพี่”
“นุชไม่ได้ไป พอดีตอนเช้าแม่ก็ไม่สบาย”
“อาจ๋าเป็นอะไร” อานุภาพถามอย่างร้อนใจ
“ความดันขึ้นน่ะพี่ คงเพราะนอนน้อยด้วยแหละ ไม่เป็นไรมากหรอก พอดีพ่อก็ยืนยันว่าพี่อ้ายไม่เป็นไรแล้ว พี่อ้ายไม่ต้องปิดพ่อหรอก นุชว่าพ่อก็รู้พร้อมๆ กับพี่อ้ายนั่นแหละ”
“งั้นพี่ก็พลาดไปแล้ว” อานุภาพบอก
นับแต่รู้เรื่องจากอนุช อานุภาพก็รู้สึกผิดที่เขาปิดบังความจริง เขาพยายามหาจังหวะจะเข้าไปคุยกับประณต แต่ก็ไม่มีโอกาสได้คุยจนเวลาหลังรับประทานเย็นที่ผู้เป็นอาขอตัวไปสวดมนต์ไหว้พระตามปกติ หลานชายจึงถือโอกาสตามไปคุยด้วย
“อาณตครับ…อ้ายขอโทษที่…” อานุภาพเดินตามหลังอาเข้ามาในห้องพระ เขารวบรวมกำลังใจอยู่เป็นนาน ตั้งแต่อาเดินเข้ามาในห้องจนนั่งลงเตรียมจะสวดมนต์ เขาจึงกล้าพูดออกไป
ประณตทำมือให้หลานชายขยับเข้านั่งใกล้แล้วเอ่ยถาม “พร้อมจะเล่าให้อาฟังแล้วสินะ”
“ครับ” หลานชายรับคำแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่เกาะเดือนดับโดยไม่ปิดบัง คราวนี้เขาเล่าทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่ความรู้สึกของเขาที่มีต่อนวลดาราและความรู้สึกเกลียดชังที่เธอคนนั้นมีต่อเขา
“อาสัมผัสได้ถึงพลังความอาฆาตแค้น มันรุนแรงมากนะลูกนะ” ประณตบอกอย่างห่วงใย
“คืนนั้น…อาณตช่วยอ้ายไว้ใช่ไหมครับ”
หลานชายถามทั้งที่แน่ใจในคำตอบ เมื่ออานุภาพมานึกทบทวนถึงเหตุการณ์ในคืนวันนั้น เขาก็จำได้ว่าก่อนที่เรือจะล่มและตัวเขาเองจะตกลงไปในน้ำนั้นเขาได้ยินเสียงใครสักคนบอกว่า ‘ตั้งสติให้ดี’ อานุภาพแน่ใจว่านั่นเป็นเสียงของอาประณต และเพราะได้ยินเสียงของอาเขาจึงตั้งสติได้ เมื่อตกลงไปในน้ำอานุภาพก็พยายามว่ายน้ำต่อสู้กับสายน้ำวนที่รุนแรง เขาต่อสู้สุดกำลังแต่ที่สุดก็สู้ไม่ไหว ค่อยๆ จมดิ่งและหมดสติไป เขาเชื่อว่าถ้าหากเขาไม่ได้ตั้งสติไว้ก่อน เมื่อตกลงไปในน้ำเขาอาจจมดิ่งไปในทันที กว่าชลธีจะมาถึงเขาอาจจะหาชีวิตไม่ไปแล้วก็ได้
“อาก็ช่วยเท่าที่ช่วยได้” ประณตบอกหลานชาย
“ขอบพระคุณครับอา” อานุภาพไม่เพียงพูด เขาก้มกราบที่ตักอาเขย มีความรู้สึกมากมายเกิดขึ้น ชายหนุ่มรู้ดีว่าอาณตกับอาจ๋าห่วงใยเขามากแค่ไหน ตั้งแต่เล็กจนโตเขาคิดแต่ว่าจะตอบแทนบุญคุณของอาทั้งสอง ไม่เคยคิดสักนิดว่าจะขัดคำสั่งหรือทำให้ท่านไม่สบายใจ แต่เรื่องนี้เขาต้องขอขัดใจท่าน เพราะเสียงเรียกร้องในใจของเขามันเป็นแรงผลักดันที่เขาไม่อาจหลีกเลี่ยง
“อ้ายขอโทษครับอา ที่อ้ายปิดบังอา ขอโทษที่ไปที่นั่น” ความอัดอั้นตันใจทำให้เสียงที่กล่าวออกไปเกือบจะสั่นเครือ แม้ชายหนุ่มจะพยายามควบคุมแล้วก็ตาม
“อารู้ อารู้ว่าถึงยังไงอ้ายก็ต้องไป แต่อาก็เป็นห่วง พลังความอาฆาตพยาบาทที่อาสัมผัสได้ไม่ใช่ธรรมดา อ้ายเพิ่งพบเธอก็เริ่มรู้สึกทุกข์ทรมานแล้วใช่ไหม”
“ครับ” อานุภาพรับคำอย่างยอมจำนน ถึงแม้ตอนนี้เขาจะยังไม่ได้รับความทุกข์ทรมานมากนัก แต่เขาก็มีลางสังหรณ์ถึงสิ่งที่ผู้เป็นอาบอก และเขาก็แน่ใจว่ามันจะต้องเกิดขึ้น
“เมื่อรู้แล้ว ก็อย่าไปที่นั่นอีกเลย”
“ไม่ได้หรอกครับอา อ้ายมั่นใจว่าเธอคือคนที่ใช่ คนที่อ้ายรอมาตลอด มันอาจจะเร็วเกินไปที่จะพูดแบบนี้ แต่ครั้งนี้อ้ายแน่ใจ อาอาจจะพูดถูกที่ว่าอ้ายไม่ควรพบเธอ แต่พอพบแล้ว จะให้ตัดใจ อ้ายคงทำไม่ได้แล้วครับอา”
แม้ว่าประณตจะห่วงใยและหนักใจในปัญหาของหลานชายมากแค่ไหน แต่เมื่อหลานพูดจาด้วยท่าทางแบบนี้ เขาก็อดเอ็นดูไม่ได้ แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนหลานชายคนนี้ก็ยังเหมือนเด็กชายเล็กๆ เมื่ออยู่กับเขาและภรรยา ท่าทาง สีหน้า แววตาของชายหนุ่มที่ยืนยันหนักแน่นอยู่ตรงหน้าเขานี้ ไม่ต่างจากเด็กชายอานุภาพผู้มั่นใจในการตัดสินใจของตัวเองเสมอ ตั้งแต่เล็กจนโตถ้าหลานชายคนนี้เชื่อมั่นในเรื่องอะไรแล้ว ยากที่ใครจะมาเปลี่ยนใจได้ คราวก่อนเขาเองก็เคยเตือนหลานชายในเรื่องที่จะแต่งงานกับพิมพ์ลักษณ์ว่าดวงชะตาของทั้งสองคนไม่สมพงศ์ทั้งยังเป็นอริกัน แต่อานุภาพก็เชื่อมั่นในตัวเอง และสุดท้ายงานวิวาห์ก็ล่มไม่เป็นท่า
“ถ้ายืนยันหนักแน่นขนาดนี้ อาก็จะไม่ห้ามอ้ายอีก แต่อ้ายต้องให้สัญญากับอาข้อหนึ่ง…วันใดที่อ้ายรู้สึกว่าความทุกข์ทรมานมันมากถึงขั้นที่จะฆ่าอ้ายได้ อ้ายต้องหยุดนะลูก”
คำพูดของอาเขยทำให้อานุภาพเครียดจนนอนไม่หลับ เขาออกปากให้สัญญากับอาไปแล้ว แล้วก็ต้องมากลัดกลุ้มใจด้วยรู้ว่าเขาไม่อาจทำตามคำสัญญานั้นได้