สาป บทที่ 4 : คำสาป
โดย : เยาวเรศ
สาป นวนิยายลึกลับ โดย เยาวเรศ เรื่องราวของสาวไทยที่ต้องไปเผชิญกับความลึกลับในบ้านชนบท ประเทศอังกฤษ โดยมีความรัก…ความแค้น…และความอาฆาตพยาบาทที่มาเดิมพันกับชีวิตของเธอ นิยายออนไลน์จากเว็บไซต์อ่านเอาที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์อีกเรื่อง
*************************
– 4 –
ทริสตันรีบอ่านเอกสารสำคัญที่รอการอนุมัติจากเขาอย่างรวดเร็ว เหลือบไปมองนาฬิกาข้อมือก็พบว่า เลยเวลานัดที่เขาต้องไปพบลอร์ดเรย์มอนด์ ผู้เป็นลุงของเขาไปถึงเกือบชั่วโมง
เขาหอบเอกสาร ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือสัญญาเช่าหรือขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทลอร์ดเรย์มอนด์และครอบครัว ที่ทนายความร่างขึ้นมาให้เขาอนุมัติติดไปด้วย ได้แต่หวังว่า หลังจากเสร็จจากการรับประทานอาหารและพูดคุยกับลุงของเขาแล้ว คงจะได้ใช้เวลาช่วงหัวค่ำไปจนดึกเพื่อสะสางงานที่รออยู่ให้ลดลงไปบ้าง ด้วยระยะหลังๆ กิจการทางด้านอสังหาริมทรัพย์ของทางบริษัทเติบโตไปได้ด้วยดีมาก ตั้งแต่เขาเข้ามาช่วยควบคุมและบริหารงานทางด้านนี้อย่างเต็มตัว
ระหว่างที่ขับรถ เขาอดคิดถึงเหตุการณ์แปลกๆ ที่เกิดขึ้นกับไอลดาไม่ได้…
อันที่จริง ชายหนุ่มก็คิดถึงแต่หญิงสาวผู้นั้นมาตั้งแต่วันที่เขาได้เจอหล่อนเป็นวันแรกแล้ว แต่เขาไม่สามารถหาคำตอบได้ ว่าทำไมถึงได้คิดถึงแต่ใบหน้าสวยหวาน ดวงตาสีดำเข้มดุจนิลน้ำงามและกลุ่มผมยาวสีดำประดุจแพรไหมที่ปกคลุมลงมาถึงกลางหลัง…ปอยผมที่เขาอยากจะเอื้อมมือไปสัมผัสยามเมื่อลมพัดน้อยๆ จนบางปอยปกคลุมพวงแก้มสีแทนแกมชมพูเรื่อๆ นั้น
แม้แดฟนี เพื่อนรักของหล่อน ที่แสดงอย่างโจ่งแจ้งว่าหล่อนพึงใจในตัวเขา ทริสตันกลับพบว่า เขาไม่สามารถจะสานสัมพันธ์อย่างอื่นกับหล่อนได้ไปมากกว่าคำว่า ‘เพื่อน’
แดฟนีเป็นสาวลูกครึ่งอังกฤษและสแกนดิเนเวียนที่สวย ร้อนแรง เพียบพร้อมไปทั้งคุณสมบัติและรูปสมบัติ หล่อนเป็นสาวที่ ‘ฮอต’ ในหมู่สังคมไฮโซของอังกฤษ เพราะนอกจากจะเป็นลูกสาวคนเดียวของเลดี้ไวโอเล็ต ผู้เป็นทายาทคนเดียวของห้างหรูหราในลอนดอน ที่ตกทอดมาจากตาทวดและตาของหล่อนแล้ว พ่อของหล่อนก็ยังเป็นเจ้าของธุรกิจโทรคมนาคมรายใหญ่ในแถบประเทศสแกนดิเนเวียอีกด้วย ชื่อของแดฟนีและรูปภาพของหล่อนปรากฏในนิตยสารซุบซิบ หรือเว็บไซต์ต่างๆ อยู่เสมอ หล่อนคือสาวไฮโซเนื้อหอมของวงสังคมไฮโซของอังกฤษที่ใครๆ ก็รู้จัก จะว่าไปแล้ว ทั้งมารดาของหล่อนและลุงของเขาต่างก็สนับสนุนอย่างออกนอกหน้าให้ทั้งคู่ได้มีโอกาสพบปะกันบ่อยๆ ด้วยซ้ำ เพราะต่างก็คงคาดหวังไปถึงอนาคตของหน้าว่าทั้งคู่จะได้ตกล่องปล่องชิ้นกันเพราะเป็นคู่ที่สมน้ำสมเนื้อกันในทุกๆ ด้าน
ถ้าหากเขาไม่ได้เจอไอลดา ทริสตันเชื่อว่า เขาก็อาจจะให้โอกาสตัวเองมากขึ้น เปิดใจให้แดฟนีมากขึ้น อาจจะถึงขั้นรักหล่อนสักวันหนึ่งก็เป็นได้
เขายังจำความรู้สึกแรกที่ช่วยหญิงสาวชาวไทยเก็บหนังสือที่หล่อนทำตกเกลื่อนถนนได้ ดวงตาสีนิลคู่นั้น ราวกับเป็นแม่เหล็กที่ดึงดูดเขาให้จ้องมองแต่ใบหน้าของหล่อนจนกระทั่งเขาต้องบังคับตัวเองให้หันไปทางอื่นนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อรักษามารยาท ยิ่งได้พูดคุยกับหล่อน แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็ยิ่งพบว่า ไอลดาเป็นคนมีเสน่ห์ น่ารัก ตรงไปตรงมาและเป็นคนไม่มีจริต ผิดไปจากแดฟนีและหญิงสาวมากมายที่ดาหน้ากันเข้ามาหา…เป็นความสวยที่เขาไม่เคยพบเห็นจากหญิงใดมาก่อน เป็นความสวย มีเสน่ห์ อ่อนโยน แต่ก็แข็งแกร่ง เชื่อมั่นในตัวเองโดยที่ยังคงความอ่อนหวาน ละมุนละไมนั้นไว้ด้วย…
ลอร์ดเรย์มอนด์ เรย์ลีย์ ออกมารอรับที่หน้าบันไดตึกทรงจอร์เจียนที่เป็นมรดกตกทอดกันมาหลายร้อยปีอย่างกระตือรือร้นเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์วิ่งเข้ามาจากรั้วใหญ่ตรงมายังตัวบ้าน แม้ผมจะเป็นสีดอกเลาไปทั้งศีรษะและใบหน้าจะมีริ้วรอยของกาลเวลา แต่เขาก็ยังคงหล่อเหลา ดูภูมิฐานและสง่างามสมวัย
ทริสตันรีบเปิดประตูรถแล้วตรงเข้ามาสวมกอดลุงของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพึมพำขอโทษที่เขามาช้าเกินเวลานัดไปมาก ลุงของเขาไม่ได้ยิ้ม แต่สีหน้าก็ไม่ได้บ่งว่าไม่พอใจแต่อย่างใด เขาตบหลังหลานชายเบาๆ อย่างรักใคร่
“ลุงให้เขาตั้งโต๊ะอาหารที่สวนกุหลาบด้านข้าง วันนี้อากาศดี…เปลี่ยนบรรยากาศกันสักหน่อยดีไหม”
“ได้ครับคุณลุง” เขาเดินคู่ไปกับท่าน “ผมขอโทษอีกทีที่มาช้าไปมาก เอกสารเยอะเหลือเกิน เผลออีกทีพอดูนาฬิกาก็เกินเวลานัดไปมาก แต่พออ่านแล้วก็ต้องแก้ไขให้ละเอียด ไม่อยากให้ส่งไปส่งมา แก้กันซ้ำซากอย่างแต่ก่อน”
“ตั้งแต่บริษัทได้หลานมาดูแลอย่างเต็มตัว ลุงก็เบาแรง เบาใจขึ้นเยอะ ใครจะเหมาะสมเท่าหลานไม่มีอีกแล้ว” คนพูดผายมือให้อีกฝ่ายนั่งตรงข้าม ก่อนจะส่งสัญญาณให้พนักงานที่รออยู่รินไวน์ “ช่วงนี้ได้ไปเล่นกอล์ฟบ้างหรือเปล่า นี่ลุงได้รับเชิญมาหลายงานอยู่ ถ้ามีเวลาอยากจะให้หลานปลีกตัวไปสักงานสองงาน แก่แล้วเดินมากๆ ก็ไม่ค่อยไหว ไม่เหมือนแต่ก่อน…”
“ใครว่าคุณลุงแก่” ทริสตันหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปทางพนักงาน “ผมขอไม่ดื่มนะครับคุณลุง ต้องขับรถและยังมีงานอีกเยอะ เกรงจะง่วงหลับไปเสียก่อน แถมยังอาจจะต้องไปตรวจงานที่ไซต์อีกถ้ายังพอมีเวลา”
“ขอโทษที…ลุงก็ลืมไปว่าวันนี้ไม่มีคนขับรถมา” เรย์มอนด์โบกมืออย่างอารมณ์ดีพลางยิ้มน้อยๆ ปกติคุณลุงของเขาได้ชื่อว่าเป็น ‘เสือยิ้มยาก’ น้อยคนนักจะได้เห็นรอยยิ้มจากลุงของเขา ส่วนเรื่องหัวเราะนั่นลืมไปได้เลย ทริสตันจำไม่ได้เลยว่า ครั้งสุดท้ายที่เขาเคยได้ยินเสียงลุงหัวเราะคือเมื่อไหร่ คงน่าจะประมาณตอนเขาอายุหกเจ็ดปีกระมัง!
ทริสตันไม่เคยเห็นภรรยาและลูกสาวของลอร์ดเรย์มอนด์ เพราะทั้งคู่เสียชีวิตไปก่อนเขาเกิด เขาเคยเห็นรูปถ่ายลุงและป้าสะใภ้ของเขาในวันแต่งงาน กับรูปลูกสาวของทั้งคู่ในวัยราวสามขวบ เมื่อเขายังเป็นเด็กมาก เมื่อถึงคราวต้องไปเข้าโรงเรียนประจำ เขาก็ไม่เห็นรูปภาพเหล่านั้นที่ไหนในบ้านอีกแล้ว
นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ลุงของเขากลายเป็นคนยิ้มยากและไม่หัวเราะกระมัง…
“บ้านหลังนั้นที่เพิ่งซ่อมแซมเสร็จ…พนักงานบอกว่าแดฟนีย้ายเข้ามาได้พักหนึ่งแล้วใช่ไหม”
“ครับ” ชายหนุ่มตอบรับ “ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเธอถึงต้องมาเช่าบ้านของเราอยู่ ในเมื่อบ้าน แฟลตของเลดี้ไวโอเล็ตก็มีหลายแห่งในลอนดอน”
“มันก็ต้องมีสาเหตุแหละ ลุงว่าหลานก็คงพอเดาได้”
คราวนี้ทริสตันถอนหายใจยาว นิ่งไปเป็นครู่
“ผมก็พอเดาได้…”
“ดูทางแม่เขาก็พอใจอยู่นะ ไปเจอกันในงานเลี้ยง ก็เผอิญนั่งติดกันอีกตอนดินเนอร์ เขาก็คุยไม่หยุดเรื่องลูกสาวกับหลาน”
“ผมกับแดฟนีไม่ได้เดตกันหรอกครับ เราแค่เป็นเพื่อนกัน”
ลอร์ดเรย์มอนด์วางแก้วไวน์ลง เลิกคิ้ว “เพื่อนกันเท่านั้นหรือ”
“ครับ” เขาก้มหน้า “คือผมก็ลองพยายามเดตกับเธอดูแล้ว แต่ก็คงเป็นได้แค่เพื่อนจริงๆ”
“น่าเสียดาย…” คนฟังจ้องหน้าชายหนุ่มอย่างพินิจพิเคราะห์ “แล้วทางผู้หญิงเขารู้หรือเปล่าล่ะ ว่าหลานคิดกับเขาเป็นแค่เพียง ‘เพื่อน’ น่ะ”
“ก็คงยังไม่ทราบหรอกครับ” ทริสตันถอนใจอีก “ผมก็ไม่รู้จะบอกเขายังไง กลัวเขาจะเสียความรู้สึก ก็ค่อยๆ พยายามแสดงให้เขารู้ทีละนิดๆ เวลาอะไรๆ มันทำท่าจะเลยเถิด”
“หวังว่าหลานคงไม่ได้มองใครไว้อยู่นะ ถ้าไม่มีใคร ลุงก็อยากให้คบแดฟนีต่อไปอีกสักนิด เวลาอาจจะเป็นคำตอบก็ได้ เพราะนี่มันก็คงเร็วไปที่จะสรุปแบบนั้นน่ะ”
“คงไม่พัฒนาไปไหนหรอกครับ ผมว่าอีกหน่อยเขาก็คงเบื่อไปเอง มาอยู่ชนบท มายุ่งกับคนชนบทแบบผม วันๆ ก็ทำแต่งาน เล่นกีฬา เข้ายิม ชีวิตไม่ค่อยมีสีสัน เขาก็คงทนไม่ได้”
“จะว่าไปแล้ว ลุงว่าถ้าหลานไม่คิดจริงจังกับใครก็ดี” เรย์มอนด์พูดช้าๆ อย่างไตร่ตรอง “เราก็ยังไม่รู้ว่า ‘สิ่ง’ ที่เรากลัวกันนักหนานั่นมันจะเกิดขึ้นกับหลานหรือเปล่า…เอาเป็นว่า ตราบใดที่เรายังหาทางแก้ไม่ได้ อยู่แบบนี้ไปพลางๆ ก่อนก็ดี ลุงก็จะได้คิดหาวิธีแก้ไขไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะมีบทสรุปที่เราแน่ใจ ว่าเราสามารถจัดการกับ ‘มัน’ ได้แล้วจริงๆ แล้วค่อยลงหลักปักฐาน”
ชายหนุ่มรู้ว่าลุงเขาหมายถึงอะไร…
เขาแอบถอนใจเบาๆ นึกเบื่อที่เรื่องนี้ถูกนำมาหยิบยกในการสนทนาวันนี้อีก หลังจากที่เขาได้อธิบายกับลุงของเขาไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วนว่า เขาไม่เชื่อและไม่สนใจในเรื่องเหล่านี้
นี่มันยุคไหน ศตวรรษไหน เหตุใดลอร์ดเรย์มอนด์ เรย์ลีย์ ผู้จบปริญญาตรีทางวิศวกรรมศาสตร์ จึงได้หลงงมงายเชื่อในไสยศาสตร์มนตร์ดำ แถมยังพยายามโน้มน้าวให้เขาเชื่อไปด้วย!
สิ่งที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเขา ไม่ว่าจะเป็นการเสียชีวิตของป้าสะใภ้และลูกสาวของท่าน มันไม่ใช่เรื่องของมนตร์ดำ ป้าสะใภ้ของเขาป่วยเป็นจิตเภท เธอได้ปลดชีวิตตนเองพร้อมกับลูกน้อย ซึ่งสันนิษฐานกันว่า น่าจะเป็นเพราะโรคซึมเศร้าที่เธอเป็นมานานหลายปี
พ่อและแม่ของเขา เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุเครื่องบินส่วนตัวตกเมื่อเขาอายุได้ห้าปี เรย์มอนด์ก็เชื่อว่าเป็นเรื่องของคำสาป มนตร์ดำ อะไรไปนั่นอีก
สมัยนี้ ยังมีแม่มดหมอผี ลุกขึ้นมาสาปใครต่อใครเหมือนในหนังสยองขวัญอีกหรือ…
ทริสตันไม่อยากต่อความยาว เขาเปลี่ยนเรื่องสนทนาไปยังเรื่องธุรกิจใหม่ ซึ่งก็ได้ผล เพราะลุงของเขาให้ความสนใจและซักถาม รวมทั้งให้คำแนะนำอีกหลายอย่างซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์มากในทางวิศวกรรม เขารีบหยิบโทรศัพท์ออกมาจดบันทึกข้อความสำคัญๆ เป็นประเด็นไว้ และรับปากกับเรย์มอนด์ว่า จะกลับมารายงานผลการปรับปรุงในเร็ววัน
เรย์มอนด์มองตามรถของหลานชายด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง ทำอย่างไรทริสตันถึงจะเชื่อว่า ความหายนะที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของเขานั้นมิใช่เหตุบังเอิญ…แต่มันคือมนตร์ดำ มันคือคำสาป ที่คนในตระกูลของเขาต้องเผชิญมาร่วมร้อยปีแล้ว และตราบจนถึงปัจจุบันนี้ ก็ยังไม่มีใครทราบว่ามันจะเกิดขึ้นกับใครอีกหรือไม่ และเมื่อไร!
ไอลดานั่งเล่นโทรศัพท์ในมืออย่างใจลอย หล่อนมานั่งรอในผับเดียวของหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ราวครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่นี่ก็ยังไม่มีวี่แววของคนที่หล่อนอยากพบ แม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึงชั่วโมงกว่าๆ แล้วก็ตามที
ชายวัยกลางคน เจ้าของร้านเล็กๆ ที่ขายผักและผลไม้ในหมู่บ้านที่หญิงสาวผูกมิตรด้วยตั้งแต่ย้ายมาใหม่ๆ โอภาปราศรัยกับหล่อนอย่างมีมิตรไมตรีตามประสาคนชนบท เมื่อรู้ว่าไอลดาย้ายจากลอนดอนมาอยู่บ้านหลังนี้ เขาก็มีสีหน้าแปลกไปอย่างเห็นได้ชัด ก่อนจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บ๊อบยังคงทักทาย ถามไถ่ทุกข์สุขหล่อนทุกครั้งที่หญิงสาวไปอุดหนุนสินค้าของเขา ไอลดาเองที่เป็นฝ่ายอยากรู้ว่า เหตุใดสีหน้าของชายกลางคนจึงเปลี่ยนไปเมื่อได้ทราบว่าหล่อนอาศัยอยู่ที่ไหน เมื่อเจอกันครั้งล่าสุด ความอยากรู้ก็เป็นฝ่ายชนะ ไอลดาจ่ายเงินค่าผลไม้ ก่อนจะถามเขาว่า
‘คุณรู้ประวัติบ้านหลังที่ฉันเช่าอยู่ไหมคะบ๊อบ’
มือที่เอื้อมมารับเงินจากหญิงสาวสั่นนิดๆ บ็อบไม่สบตาหล่อน เขาทำเหมือนไม่ด้ยินคำถามนั้น
‘ว่าไงคะ คุณรู้ประวัติบ้านหลังที่ฉันเช่าอยู่หรือเปล่า’
คนฟังหยิบเงินทอนส่งให้หล่อน นิ่งไปสักครู่
‘บ้านเก่าเป็นร้อยปีอย่างนั้นก็ต้องมีประวัติทั้งนั้นแหละมิส’
‘ไอลดาค่ะ เรียกฉันว่าลดาก็ได้…’
‘ผมชื่อบ๊อบ’ เขาส่งมือให้หล่อน ยิ้มและแนะนำตัวอย่างเป็นทางการ ‘ขอบคุณที่มาอุดหนุนร้านค้าเล็กๆ ของผม’
‘ฉันชอบซื้อของในร้านเล็กๆ ค่ะ จะได้อุดหนุนให้คนในชุมชนให้มีรายได้ อีกอย่าง…ซูเปอร์มาร์เก็ตในเมืองก็ขายดี คนแน่นอยู่แล้ว ขาดลูกค้ารายเล็กๆ อย่างฉันไปสักคนเขาคงอยู่ได้หรอกค่ะ’
‘ถ้าทุกคนคิดอย่างคุณก็ดี…’ เขาถอนใจ ‘ร้านเล็กๆ ในหมู่บ้านเราต้องปิดตัวไปหลายร้านแล้ว สมัยนี้พฤติกรรมการบริโภคของคนเปลี่ยนไป แม้แต่ไปรษณีย์ตรงหัวมุมถนนนั่นก็จะปิดตัวลงเดือนหน้านี่แหละ พวกเราในหมู่บ้านก็คงจะต้องรอต่อไปว่าจะมีใครรับช่วงต่อหรือไม่ ถ้าไม่ก็คงเห็นจะต้องไปส่งของ รับของกันที่บอร์แรม หรือไม่ก็แดนเบอรี่’
‘ฉันชอบหมู่บ้านเล็กๆ ค่ะ เสียดายแต่หมู่บ้านเราไม่มีเบเกอรี ไม่มีร้านขนมปังหรือร้านขายเนื้อ ขายปลา ฉันเองก็ไม่อยากไปซื้อของไกลๆ หรอกนะคะ อุดหนุนกันในหมู่บ้านนี่แหละ’
หล่อนรวบของทั้งหมดใส่ถุงผ้าในมือ
‘ฉันไปก่อนนะคะ แล้วจะมาอุดหนุนใหม่’
‘อย่าเพิ่งไป’ บ๊อบลังเล ‘บ้านหลังนั้นน่ะ ย้ายออกมาเถอะ…’
‘คะ’ ไอลดาตกใจ ‘ย้ายออกมาเหรอคะ’
คนฟังถอนใจ เขาเดินกลับไปยังหลังเคาน์เตอร์ นิ่งไปเป็นครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ
‘บ้านหลังนั้นมีประวัติ…เอ่อ…ไม่ดี พวกเรย์ลีย์ปิดตายไว้เป็นร้อยปี…ใครๆ ก็รู้ ชาวนาที่เช่าที่ทำการเกษตรแถวๆ บ้านนั้น ก็ไม่มีใครอยากเฉียดกรายเข้าไปใกล้อาณาเขตบ้าน ไม่มีใครอยากเจออะไรที่…ไม่ควรเจอ’
‘คุณหมายถึง…’
‘ใช่’ ชายกลางคนมองหน้าหญิงสาวอย่างเห็นใจ ‘ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงซ่อมแซมแล้วเปิดให้คนเช่าอยู่อีก ได้ยินมาว่าหลานของลอร์ดท่านไม่อยากปล่อยบ้านให้ว่างไปเปล่าๆ เขาเพิ่งมาทำงานกับครอบครัว ก็คงจะไม่เคยได้ยินเรื่องแปลกๆ ที่เกิดขึ้น’
‘ฉันก็เจอเรื่องแปลกๆ เหมือนกันค่ะ’ ไอลดาถอนใจบ้าง วางถุงผ้าลง ‘ทีแรกก็คิดว่าฉันคงคิดไปเอง…แต่มันไม่ใช่ครั้งเดียวนี่สิคะ ฉันก็เลยไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่’
‘ตอนนี้ไม่มีลูกค้า เดี๋ยวผมจะไปชงชา คุณนั่งตรงนี้นะไอลดา’ บ๊อบเลื่อนเก้าอี้หลังเคาน์เตอร์ให้หล่อน
สักครู่…ชายกลางคนก็เดินออกมาจากหลังร้านพร้อมถาดที่ใส่ชาหนึ่งกา ถ้วย จานรองและจานเล็กๆ ที่ใส่บิสกิตสามสี่ชิ้น
ไอลดารินชาให้ทั้งเขาและตนเอง
‘ประวัติไม่ดีนี่ ถ้าจะให้ฉันเดา คงมีคนตายที่บ้านนั้นใช่ไหมคะ’
‘บ้านเก่าขนาดนั้น ไม่มีคนตายก็แปลกไปแล้วแหละ’ บ๊อบหัวเราะ ‘มันไม่ใช่เรื่องคนตายธรรมดาๆ หรอก มันมีอะไรที่มากกว่านั้นนะ มันมีอะไรๆ ประหลาดๆ เกิดขึ้นแบบที่เราหาคำอธิบายให้ไม่ได้…ประมาณนั้น’
‘นั่นแหละค่ะ คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉัน’
‘พอจะเล่าได้ไหม’
‘ของส่วนตัวของฉันหายไปค่ะ…หาเท่าไรก็หาไม่พบ แล้วอีกไม่นานก็พบว่าอยู่ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง ทั้งๆ ที่ฉันก็แน่ใจว่าฉันเก็บไว้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะใส่ตู้ในครัว ใส่ตู้เสื้อผ้า หรือแม้แต่ล็อกกุญแจในกระเป๋าเดินทาง มันก็ยังหาย…’
‘ของหาย…’
‘ค่ะ’ หญิงสาวพยักหน้า ‘ส่วนใหญ่ก็ไม่ใช่ของมีค่าอะไร แต่เป็นของที่ฉันสะสมมาตั้งแต่แด็กๆ ก็มีคุณค่าทางใจมาก อย่าง ชุดน้ำชาชุดเล็กที่ตกทอดมาจากยาย แล้วก็มาแม่ของฉัน ตุ๊กตาหมี สร้อยคอ ต่างหู…ไม่ว่าจะหาเท่าไรก็ไม่เจอค่ะ แต่พอหลายๆ วันผ่านไป ก็เหมือนว่ามันปรากฏตัวออกมาจากที่ซ่อนเองยังไงยังงั้นน่ะค่ะ’
‘นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรแปลกอีก…’
‘ก็มีค่ะ’ หล่อนอึกอัก นึกลังเลว่าจะเล่าดีหรือไม่ ‘ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะคิดไปเองหรือเปล่า…’
‘เคยมีคนเจออะไรแปลกๆ ที่บ้านนั้นบ่อยมาก ผมไม่แปลกใจหรอกที่คุณก็เจอ’ บ๊อบมองหน้าหล่อนอย่างเห็นใจ ‘ช่างที่ไปซ่อมบ้านน่ะ ไม่มีใครอยากทำงานต่อถ้าไม่มีแสงสว่าง คุณก็รู้…หน้าหนาวอังกฤษน่ะ มืดเร็วจะตายไป บ่ายสามโมงก็เริ่มมืดแล้ว ช่างก็กลับกันหมด ไม่ว่าจะเป็นช่างไม้ ช่างปูน ช่างไฟ ไม่มีใครยอมอยู่ต่อสักคน จะว่าเป็นคนในหมู่บ้านที่รู้ประวัติแปลกๆ ของบ้านก็ไม่ใช่เพราะบริษัทของลอร์ดเรย์ลีย์จ้างบริษัทใหญ่จากลอนดอนมาทำงานด้านนี้ทั้งหมด คนงานก็มาจากที่ต่างๆ กัน แต่เขาเล่ากันว่าเจออะไรแปลกๆ ไม่เว้นแต่ละวัน จนต้องรีบทำงานให้เร็วที่สุดจะได้จบๆ ไป ไม่ต้องมาที่บ้านหลังนั้นอีก’
‘พอจะรู้ไหมคะว่าเขาเจออะไรแบบฉันบ้างหรือเปล่า’
‘ผมไม่ได้ยินว่าเขาเจอแบบคุณนะ ไม่มีคนโดนเอาเครื่องมือทำงานไปซ่อน หรือของอะไรหาย ได้ยินมาแต่ว่า เจอเหตุการณ์แปลกๆ หลายๆ อย่างที่ทำให้ชวนคิดว่า บ้านนั้นไม่ธรรมดา…เหมือนจะมีผีสิงน่ะ’
ไอลดารู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัวเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย
‘ผีเหรอคะ…’
‘จริงๆ น่ะ ผมว่าเจอผีก็ธรรมดาแหละ บ้านเก่าเป็นร้อยปี มันก็อาจจะมีบ้าง ขนาดบ้านไม่ได้เก่าเท่านั้นคนก็ยังเจอกันเลย อยู่ที่คนจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่เท่านั้นแหละ’ บ๊อบพูดจาอย่างมีเหตุผล ‘จะว่าไปผมก็เชื่อว่า ผีก็คือพลังงานรูปแบบหนึ่งนะ คือถ้าคุณเปิดช่องทางสื่อสารกับเขาได้ ก็อาจจะทำให้คุณเห็น หรือเจออะไรที่คนธรรมดาไม่เจอน่ะ’
‘เป็นผีเจ้าของบ้าน อะไรแบบนี้เหรอคะ’
‘ผมก็ไม่รู้นะว่าเจ้าของบ้านหรือเปล่า เห็นบอกแต่ว่า มีคนได้ยินเหมือนเสียงเด็กร้องไห้ หัวเราะ หรือบางคนก็เห็นเด็กในบ้านน่ะ’
ไอลดามือสั่น หล่อนรีบวางถ้วยชาลง ใบหน้าเผือดขาวจนบ๊อบสังเกตได้
‘เด็กผู้หญิงใช่ไหมคะ…’
‘ใช่’ ชายกลางคนมองหน้าหล่อนอย่างเห็นใจ ‘เห็นว่ากันอีกแหละ ว่าเป็นเด็กผู้หญิง’
‘ฉันก็เห็นเด็กผู้หญิงค่ะ’ หล่อนยกมือขึ้นกอดอก รู้สึกหนาวเยือกขึ้นมาจับหัวใจอีกครั้ง ‘เห็นตั้งแต่วันแรกที่มาดูบ้านเลย’
‘เห็นบ่อยไหม’
‘ไม่ค่ะ’ หญิงสาวส่ายหน้า ‘แค่ครั้งเดียว…จากนั้นก็ไม่เคยเห็นอีกเลย ฉันก็เลยคิดว่าคงจะตาฝาดไป หรือไม่มุมของแสงที่มันสะท้อนกระจกหน้าต่างมันก็อาจจะทำให้เกิดภาพลวงตา’
‘เด็กผู้หญิงที่คุณเห็นนี่…คุณคิดว่าอายุจะประมาณเท่าไร’
‘เอ่อ…’ ไอลดาคิดอยู่เป็นครู่ “อันนี้ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจนะคะ คือฉันมองจากสนามหน้าบ้านขึ้นไปยังห้องใต้หลังคาชั้นสามน่ะค่ะ แล้วอีกอย่างก็มองผ่านกระจกหน้าต่างด้วย รู้แต่ว่าเป็นเด็กผู้หญิงน่ะค่ะ…’
บ๊อบนิ่งอยู่เป็นครู่ เหมือนจะเรียบเรียงคำพูด เขาเกิดความลังเล คิดไม่ตกว่าจะบอกหญิงสาวถึงสิ่งที่เขาได้ยินมาเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ตั้งแต่เขายังเด็กดีหรือไม่ เพราะอันที่จริงแล้ว มันก็คือเรื่องที่ ‘เขาเล่าว่า’ ต่อๆ กันมาโดยไม่ได้มีหลักฐานยืนยันอะไร
‘เท่าที่ผมรู้มา เขาว่ากันว่า บ้านนี้มีคำสาป…’
‘คำสาปงั้นหรือคะ’ ไอลดาถามอย่างงงๆ ‘คำสาปจากใครกันล่ะคะ’
‘ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนสาป หรือว่าเพราะเหตุใด มันก็เป็นเรื่องที่เล่าต่อๆ กันมาตั้งแต่ผมเป็นเด็ก แม่ก็สั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ไปเล่นซนที่บ้านนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมแอบไปเก็บผลไม้จากสวนบ้านนั้น กลับมาบ้านโดนแม่ดุแล้วแถมยังโดนพ่อตีอีกต่างหาก ด้วยความที่เป็นเด็ก ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก…ผ่านไปแถวนั้นกับเพื่อนเพราะปู่เขามีฟาร์มต่อไปจากบ้านนั้นไปไม่ไกลนัก ไอ้เราเด็กๆ พอเห็นเชอร์รีออกผลสีแดงเต็มต้น…ดูน่ากิน ก็เลยอดไม่ได้’
‘แล้วเจออะไร หรือเจอเด็กผู้หญิงไหมคะ’
‘ไม่นะ ผมไม่เจออะไรเลย ไม่เห็นอะไร เพื่อนก็ไม่เห็น ทุกอย่างก็เป็นปกติ’
‘ที่ฉันเห็นน่ะค่ะ ฉันมองขึ้นไปจากสนามหน้าบ้าน ก็เห็นเด็กผู้หญิงมองลงมาจากหน้าต่างห้องใต้หลังคา ตัวเล็กๆ กะไม่ถูกว่าอายุเท่าไรหรอกค่ะ รู้แต่ว่าฉันเห็นว่าเธอร้องไห้…”
‘หรือจะเป็นลูกสาวของลอร์ดคนปัจจุบัน…’ บ๊อบพึมพำ ‘เด็กเล็กๆ เลยนะคุณ’
‘ฉันเห็นไม่ชัดค่ะ’ หล่อนยืนยัน ‘หน้าต่างกระจกมันมัวมาก เหมือนไม่ค่อยได้ทำความสะอาด เห็นอะไรก็ไม่ค่อยชัด แต่น่าแปลกที่ฉันเห็นน้ำตาเธอชัดเจนเลย…’
‘งั้นที่เขาลือกันก็น่าจะเป็นจริงนะ เรื่องคำสาปน่ะ’ เขาตบหลังมือหล่อนเบาๆ ‘นี่ผมทำให้คุณกลัวหรือเปล่า เราควรจะหยุดคุยเรื่องนี้กันดีไหม’
‘ไม่ค่ะ ฉันไม่กลัว’ ไอลดายืนยันทั้งๆ ที่ใจหายวาบ ‘ฉันอยากรู้’
‘ผมก็จะเล่าเท่าที่ผมรู้แล้วกันนะ ถ้าคุณอยากรู้มากกว่านี้ คุณคงต้องไปถามรายละเอียดจากคนอื่นที่เขาเคยทำงานอยู่กับครอบครัวท่านลอร์ดแล้วแหละ’ บ๊อบยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ ก่อนจะเล่าต่อไปช้าๆ ‘คนทั้งหมู่บ้านลือกันว่า บ้านนี้มีคำสาปเพราะมีสิ่งประหลาดๆ ที่อธิบายไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลา น่าจะเกินร้อยปีด้วยซ้ำนะผมว่า…ผมเองก็อย่างที่บอก ไม่เคยเห็น ทั้งๆ ที่ไปเล่นซนที่บ้านนั้น แต่ช่วงหลังๆ ที่เขาเปิดซ่อมแซมบ้านก่อนคุณจะย้ายมานี่ มีแต่คนบอกว่า เห็นเด็กผู้หญิงเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านบ้าง หรือไม่ก็อยู่ๆ ก็เจอเด็กผู้หญิงมานั่งข้างๆ ตอนทำงานบ้าง…ผมก็เลยสงสัยว่าอาจจะเป็นลูกสาวของลอร์ดเรย์มอนด์หรือเปล่า’
‘ลอร์ดเรย์มอนด์…พ่อของทริสตันหรือคะ’
‘ไม่ใช่หรอกคุณ’ บ๊อบส่ายหน้า ‘ลอร์ดเรย์มอนด์เป็นลุงของทริสตัน เขาไม่มีลูกชาย มีแต่ลูกสาว ทริสตันน่ะเป็นลูกชายของน้องชายลอร์ดเรย์มอนด์…พ่อกับแม่ของทริสตันเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเล็กๆ อุบัติเหตุเครื่องบินตกน่ะ ส่วนภรรยาของลอร์ดเรย์มอนด์น่ะเขาลือกันว่า เธอวางยาพิษลูกสาวคนเดียว แล้วก็ฆ่าตัวเองตายตาม ลูกสาวยังเล็กอยู่เลย อายุน่าจะประมาณสามสี่ขวบกระมัง’
‘ภรรยาของลอร์ดเรย์มอนด์เสียชีวิตที่บ้านนี้เหรอคะ’
‘อันนี้ไม่มีใครยืนยันนะ รู้กันแต่ว่าเธอฆ่าลูกสาว แล้วก็ฆ่าตัวเอง แต่ทางครอบครัวออกข่าวว่า ทั้งคู่ออกไปเล่นเรือแล้วเกิดอุบัติเหตุ จมน้ำตายที่แม่น้ำแบล็คริเวอร์ แถวโรงงานทำกระดาษที่เป็นบ้านใหม่ของตระกูลเรย์ลีย์นั่นแหละ…’