บทที่ 1 : เคหาสน์สี่ทิศ

บทที่ 1 : เคหาสน์สี่ทิศ

โดย : ทอม สิริ

สาปเคหาสน์ โดย ทอม สิริ ลงที่ อ่านเอาจนจบบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว แต่ผู้เขียนยังใจดี ลง 5 ตอนแรกเป็นน้ำจิ้มให้กับผู้อ่าน และหากใครติดใจอยากจะอ่านต่อในรูปแบบรวมเล่ม สามารถติดต่อเพื่อซื้อหนังสือได้ที่ https://www.facebook.com/tomsirithewriter/

จู่ๆ ผู้กองกาจพลก็รู้สึกว่ารถที่ขับมานั้นวิ่งฉิวเหมือนมีกำลังมากขึ้น เครื่องไม่อืดอย่างทีแรกที่วิ่งออกมาจากกรุงเทพฯ เขายังบ่นมากับหมอลลิตาซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เลยว่าลืมเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องก่อนเอารถออกต่างจังหวัดเพราะยุ่งจนไม่มีเวลา รถเลยวิ่งอืดเหมือนกับบรรทุกของหนัก ทั้งที่สัมภาระในกระโปรงท้ายก็มีแค่กระเป๋าเดินทางใบย่อมของพวกเขาสองคนคนละใบเท่านั้น

“เออ แปลกแฮะ จู่ๆ ก็เหมือนรถเบาลงเหยียบแล้ววิ่งกว่าเมื่อกี้” เขาพูดพลางเหลือบตามองไปที่เข็มหน้าปัดวัดความเร็ว ซึ่งในพายุฝนตกกระหน่ำขนาดนี้ชายหนุ่มก็ใช้ความเร็วไม่เกินแปดสิบอยู่แล้ว

“ถึงยังไงก็อย่าขับเร็วนักนะคะ เนี่ยฝนตกหนักจนมองทางข้างหน้าแทบไม่เห็นเลย” คุณหมอสาวที่วันนี้อยู่ในชุดเสื้อสีอ่อนเบาสบายกับกางเกงยีนขาสั้นตอบกลับมา แต่สายตายังคงจ้องไปยังเส้นทางข้างหน้าที่มีเพียงสายฝนสาดซ่าจนเป็นฝ้าขาวไปรอบทิศ ทัศนะวิสัยไม่เหมาะกับการขับรถอย่างยิ่ง

“เห็นข่าวว่าจะมีพายุเข้าอยู่เหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าจะมาแรงขนาดนี้นะครับ หวังว่าพรุ่งนี้ฟ้าคงจะเปิด ไม่งั้นมาเที่ยวทะเลเจอฝนขนาดนี้งานกร่อยแน่เลย” ผู้กองกาจพลชวนหญิงสาวคุยไปเรื่อยๆ เพราะไม่อยากให้เธอเครียดกับการมองทางข้างหน้าไม่เห็น เขาเองก็กำลังคิดว่าถ้าฝนแรงกว่านี้อาจจะต้องจอดรถแอบข้างทางแล้วรอให้ฝนซาก่อนจะไปต่อ แต่เพราะวันนี้บรรยากาศอึมครึมพอหกโมงก็ดูเหมือนเริ่มมืดค่ำแล้ว การจอดรถบนไหล่ทางถนนเปลี่ยวๆ อย่างนี้จึงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนัก

“อีกไกลไหมคะกว่าจะถึงบ้านของพี่หมอ” หญิงสาวถามถึงบ้านริมทะเลซึ่งเป็นของพ่อแม่หมอรุ่นพี่ที่ชื่อสุภาวดีหมอสุเป็นเพื่อนกับผู้กองกาจพล เพราะเป็นแพทย์แผนกชันสูตรพลิกศพที่ต้องทำงานร่วมกับตำรวจ แถมยังเป็นเพื่อนรุ่นพี่สมัยเรียนมัธยมกับเธออีกด้วย หมอสุจึงสนิทสนมกับทั้งสองคนดี

“ก็ไกลอยู่เหมือนกันครับ ป่านนี้มันคงเป็นห่วงชะเง้อมองคอยาวแล้ว เพราะเราก็ออกเดินทางช้าไปหน่อย ยิ่งมาติดฝนยิ่งผิดเวลาไปมาก หมอลีช่วยโทรบอกมันทีครับว่าเราจะไปถึงช้าหน่อย มันจะได้หายห่วง” เขาเพ่งดูถนนข้างหน้า สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าลั่นเปรี๊ยะแล้วคำรามครืนครั่นน่ากลัว

หมอลลิตาหยิบสมาร์ทโฟนของเธอขึ้นมากดโทรศัพท์ต่อสาย แต่ปรากฏว่าโทรศัพท์ใช้งานไม่ได้

“สัญญาณแถวนี้เดี้ยงสนิทเลยค่ะ ไม่มีเลยสักขีด” เธอหันไปบอกเขาแล้วลองขยับสมาร์ทโฟนไปทางซ้ายและขวาเพื่อลองหาสัญญาณอีกครั้ง แต่ทุกอย่างเหมือนเดิม

“ลองเครื่องของผมอีกสักทีครับ” เขาส่งโทรศัพท์ของตัวเองให้เธอ

“ไม่มีสัญญาณเหมือนกันค่ะ” หญิงสาวพยายามค้นหาสัญญาณแต่นิ่งสนิท

“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวขับพ้นไปจากตรงนี้ค่อยลองใหม่อีกทีก็ได้” ชายหนุ่มพูดพลางเพ่งมองทางข้างหน้า

เขาเห็นจุดแสงไฟสองดวงของรถทางที่ขับสวนมา แล้วจู่ๆ ก็เกิดมีแสงไฟอีกสองดวงเคลื่อนเบี่ยงออกมาด้านหลัง เมื่อเขาขับใกล้เข้าไปอีกจึงเห็นรถบรรทุกใหญ่กำลังจะแซงรถคันแรก

“เฮ้ย!” สัญชาติญาณบอกว่าสถานการณ์อันตราย เพราะถนนที่ใช้อยู่นี้เป็นถนนสองเลน และรถบรรทุกก็แซงออกมากะทันหัน เขากดกระแทกแตรเสียงดังเพื่อเตือนอีกฝ่าย

ปี๊นนนนนนนนน!!

หมอลลิตาเองก็คงจะเห็นแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจึงยื่นแขนออกมาข้างหน้าเหมือนจะจับยึดคอนโซลหน้าไว้

“โอ๊ะ!”

“ระวัง” กาจพลร้องบอกเสียงดังขณะที่เบี่ยงรถออกด้านซ้าย

ครืดดดดดด!!

โครม!

ว้าย!

เป็นเพราะน้ำฝนบนถนนทำให้รถของกาจพลลื่นไถล แม้เขาจะพยายามผ่อนความเร็วและบังคับพวงมาลัยอย่างมีสติแต่มันก็ยังแฉลบออกด้านซ้ายและตกลงในหล่มลึกข้างทางจนใต้ท้องรถกระแทกเอากับขอบหลุมลึก ทั้งเขาและหมอลลิตาถูกเหวี่ยงไปตามแรงกระแทก ถุงลมนิรภัยยังไม่ทำงานเพราะแรงกระแทกไม่มากเท่าไหร่ ดีที่ทั้งสองคนคาดเข็มขัดนิรภัยไว้จึงไม่เป็นอะไรมากนอกจากตกใจ

“หมอลี เป็นไงบ้างครับ เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” ชายหนุ่มปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วรีบหันไปทางผู้หญิงที่เขารักและห่วงที่สุดในโลก

“ลีโอเคค่ะ” เธอตอบกลับมา สายตานั้นมองสำรวจไปทั่วใบหน้าและร่างกายของเขาเช่นกัน “ผู้กองโอเคไหมคะ”

กาจพลรู้สึกดีมากๆ ที่รับรู้ว่าเธอก็ห่วงเขาไม่น้อยไปกว่ากันเลย

“ครับ” เขาตอบพลางมองดูกระจกหลัง ใจนั้นหวังว่ารถคันใดคันหนึ่งที่เพิ่งเบียดเขาตกหล่มจะหยุดช่วยดึงรถขึ้นจากหล่ม แต่รถทั้งสองคันนั้นก็ไปกันลิบไม่เห็นแม้แต่ไฟท้าย

“หืมม์ อยากตะบันหน้าคนจริงๆ ครับ” เขาขบฟันพูดจนกรามขึ้นเป็นสัน

“แถวนี้ดูเหมือนจะเหลือลีอยู่คนเดียวนี่ล่ะค่ะ” หญิงสาวหันมาส่งสายตาน่าสงสารจนเขาหัวเราะออกมา

อารมณ์กรุ่นโกรธเมื่อครู่ของชายหนุ่มหายไปตั้งครึ่งค่อน หมอลลิตาเองก็หัวเราะผสมโรงออกมากับเขา เริ่มจากหัวเราะกันเบาๆ เมื่อคิดวาดภาพไปว่าใจคอเขาจะตั้งการ์ดมวยใส่เธอจริงๆ จากนั้นทั้งสองคนก็ปล่อยก๊ากออกมาเสียงดังเหมือนจะระบายอารมณ์และความเครียดที่ต้องอยู่ท่ามกลางพายุและแถมรถยังตกหล่มลึกเข้าไปอีก

“โอ ทริปนี้สนุกจริงๆ ครับหมอลี” กาจพลส่ายหัวแล้วลองสตาร์ทเครื่องรถซึ่งดับไปตั้งแต่ตกหล่มแล้ว

เขาเร่งเครื่องแต่ล้อฟรี รถไม่สามารถขยับขึ้นจากหลุมลึกได้เลย กาจพลเปิดประตูเพื่อออกไปดูสภาพรถ สายฝนที่กำลังตกกระหน่ำสาดซัดเข้ามาในรถเหมือนคลื่นลูกใหญ่ ป่วยการที่จะนึกถึงร่ม ชายหนุ่มเปียกโชกตั้งแต่วินาทีแรกที่เปิดประตูรถแล้ว เขารีบปิดประตูแล้วเดินไปดูรถฝั่งซ้าย หลุมลึกและยาว ล้อทั้งสองด้านซ้ายตกลงไปในหลุม ใต้ท้องรถครูดติดไปกับปากหลุมจนรถเอียงไปข้างหนึ่ง ไม่มีทางที่เขาจะเอารถคันนี้ขึ้นมาวิ่งบนถนนได้อีก นอกจากต้องมีรถมาลากขึ้นมาเท่านั้น

“โอ ผู้กองเปียกซกเลย” เธอหันมาทำตาโตเมื่อเขากลับเข้าไปในรถ

“เปียกน่ะไม่เท่าไหร่ครับ มีเรื่องแย่กว่านั้นอีก”

“รถพัง” ลลิตาเดาไม่ยาก

ชายหนุ่มหันไปหยิบโทรศัพท์ทั้งของเขาและเธอมาดูด้วยความหวังอีกครั้งว่ามันมีสัญญาณสักขีดหนึ่งหรือยัง ทว่าเขาก็ได้แต่ส่ายหัวด้วยความเซ็ง “เราคงต้องโบกรถกันแล้วล่ะครับ” กาจพลถอนหายใจหนักหน่วง น้ำฝนจากเสื้อผ้าไหลลงไปนองเต็มเบาะหนัง ตอนนี้มันเย็นเยียบเข้ากระดูกเลยทีเดียว

“เอาไงเอากันค่ะ ดีกว่านั่งสิ้นหวังอยู่ตรงนี้ทั้งคืน ติดต่อขอความช่วยเหลือใครก็ไม่ได้” หมอลลิตายักไหล่ เธอปลดสายเข็มขัดนิรภัยเตรียมลุย

“หมอนั่งอยู่ในรถก่อนดีกว่าครับ ผมออกไปโบกรถเอง ข้างนอกฝนลงหนัก แถมยังเย็นเจี๊ยบอย่างกับน้ำตก เขารีบบอกเธอก่อนจะออกไปที่ถนนอีกครั้ง

กาจพลเพ่งสายตามองถนนเปลี่ยวในบรรยากาศใกล้มืดเต็มที เป็นความกรุณาของฟ้าที่ฝนเริ่มซาลงนิดหน่อยแล้ว แต่บรรยากาศมันก็เลวร้ายเหมือนภาพเปิดเรื่องในภาพยนตร์สยองขวัญไม่มีผิด สองข้างทางซึ่งมีแต่ต้นไม้ใหญ่รุงรังเป็นเงาตะคุ่มยิ่งทำให้ความมืดบีบรัดตัวเข้ามา ฝนสีเงินตกเป็นสายไปทั่ว แสงอัสนีที่สุดขอบฟ้าไกลๆ กำลังแลบแปลบปลาบผ่านชั้นเมฆดำหนาทึบ พายุกำลังเคลื่อนตัวไปทางที่เขาเพิ่งจะผ่านมา

เหมือนกับฟ้ายังเมตตาตอบรับคำภาวนาของเขา มีรถเก๋งแล่นมาคันหนึ่ง ชายหนุ่มได้แต่ภาวนาให้คนขับเป็นคนใจดี เพราะสมัยนี้ถ้าจะถามว่าคุณจะจอดรถรับผู้ชายในเส้นทางเปลี่ยวใกล้ค่ำอย่างนี้ไหม เป็นใครก็คงต้องคิดสองสามรอบนั่นล่ะ ใครจะรู้ว่าคนโบกรถเพราะเดือดร้อนจริง หรือพาพวกมาดักปล้น

แต่รถคันนั้นก็ชะลอ และจอดลงเลยจากตรงที่กาจพลยืนไปหน่อยหนึ่ง ชายหนุ่มรีบวิ่งไปที่รถพร้อมๆ กับที่กระจกด้านผู้โดยสารเลื่อนเปิดออก

“รถผมมีอุบัติเหตุ โดนเบียดจนตกหล่มลึก ขอติดรถไปหาที่โทรศัพท์หรืออู่ที่จะช่วยเหลือหน่อยได้ไหมครับ แถวนี้ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลย” กาจพลพูดเสียงดังแข่งกับเสียงสายฝนที่สาดซ่า เขาไม่ทันสังเกตสีหน้าของชายผู้นั่งอยู่หลังพวงมาลัยที่กำลังย่นหัวคิ้วด้วยความสงสัย

“กาจพลใช่ไหม” เจ้าของรถกลับตอบมาเป็นคำถาม

ทำเอากาจพลต้องเพ่งมองใบหน้าของอีกฝ่าย แล้วก็เลยจำได้ว่าชายหนุ่มหน้าตาดีคนนี้คือเพื่อนสมัยเรียนมัธยมของเขาเอง กาจพลจึงทักตอบออกไปด้วยความดีใจ “อ้าวเฮ้ย… ภูษิตนี่หว่า”

“เฮ้ย ขึ้นมาก่อน แกเปียกเป็นลูกหมาเลยว่ะ” หนุ่มหล่อหัวเราะเมื่อกวาดตาดูสารรูปของเขา

“โคตรโชคดีเลยที่เจอแก” กาจพลหัวเราะด้วยความดีใจ

“ขึ้นมาๆ” ภูษิตโยกหัว

“เฮ้ยรอเดี๋ยว ไปตามแฟนก่อน” ชายหนุ่มพูดแล้วก็รีบวิ่งกลับไปที่รถ

โชคดีอะไรอย่างนี้ที่มาเจอเอาเพื่อนเก่าเข้า กาจพลหมดห่วงเหมือนยกภูเขาออกจากอก ถึงรถจะพังก็ช่างมันเถอะ ฟาดเคราะห์ไป อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องห่วงกังวลว่าจะพาคนรักออกไปจากถนนเปลี่ยวกลางพายุนี้ยังไงแล้ว

“รถคันนั้นเขาให้เราอาศัยรถไปหรือคะ” หญิงสาวถามด้วยความดีใจ เมื่อเขาเปิดประตูรถออก

“โชคดีเจอเพื่อนครับหมอลี ไปครับ ไปนั่งรถคันนั้นกัน” เขาบอกพลางเปิดท้ายรถหิ้วกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมสองใบออกมาเพื่อย้ายไปรถเพื่อน แล้วจัดการล็อกรถตัวเองก่อนจะจอดมันทิ้งไว้กับหล่มลึก

เมื่อสองหนุ่มสาวเข้ามานั่งในรถของภูษิตเรียบร้อย กาจพลจึงแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายได้รู้จักกัน

“เราโชคดีจริงๆ นะคะ ที่คุณภูษิตผ่านมาแถวนี้” หมอลลิตาคงรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เพราะโอกาสที่จะมีคนจอดรับนั้นมีเปอร์เซ็นต์น้อยมาก และยิ่งบังเอิญเป็นคนรู้จักด้วยยิ่งต้องเรียกว่ามันเป็นโชคชะตาจริงๆ

“หมอลีกับไอ้กาจพลโชคดีเพราะบ้านผมอยู่แถวนี้ครับ” หนุ่มหลังพวงมาลัยยิ้มให้จากกระจกมองหลัง

“อ้าว บ้านนายอยู่แถวนี้เหรอ” กาจพลเองก็นึกแปลกใจ ตอนเรียนมัธยมเขาไม่ได้สนิทกับภูษิตนัก เพราะเพื่อนอยู่ในกลุ่มเด็กมีฐานะ ส่วนเขาก็เป็นพวกโลโซพกข้าวกล่องไปโรงเรียน

“เออ เดี๋ยวฉันพานายกับหมอลีไปนั่งพักหลบฝนซดน้ำชาร้อนๆ ที่บ้านกันก่อน เรื่องรถของนายเดี๋ยวฉันให้คนมาจัดการลากไปซ่อมให้ แถวนี้อะไรก็ดีหรอกเสียอยู่อย่างเดียวที่มันอับสัญญาณโทรศัพท์”

“ฮัดชิ้ว!” เสียงหญิงสาวจามอยู่ที่เบาะหลัง

“ฮ่าๆ สงสัยหมอลีจะเป็นหวัดเสียแล้วละ” ภูษิตเหลือบมองกระจกหลัง

“หนาวไหมครับ” กาจพลหันไปถามด้วยความเป็นห่วง เพราะตอนที่เปลี่ยนรถ ลลิตาก็โดนฝนเข้าไปจนเปียกชุ่มไปหมดทั้งตัว

“นิดหน่อยค่ะ”

“ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวถึงบ้านแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าหายากินดักไว้ก่อนเลย” ภูษิตเลี้ยวรถขึ้นเนินสูง

“บ๊ะ ไอ้นี่สอนหมอเว้ย” กาจพลหัวเราะ

“เออ จริงด้วยว่ะ” ภูษิตเองก็หัวเราะตามไปด้วย

“บ้านนายอยู่อีกไกลไหม”

“ข้างหน้านั่นไง” ภูษิตพเยิดหน้า

สิ่งที่กาจพลและหมอลลิตามองเห็นจากตรงนี้ก็คือถนนคดเคี้ยวขึ้นเขาที่นำไปสู่ผาสูงเหนือน้ำทะเล บนนั้นปรากฏสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ มันเป็นคฤหาสน์สไตล์จีนโบราณที่เป็นกลุ่มอาคารหลายตึก หลังคาแบบจีนสีแดงเข้มตรึงสายตาคนทั้งสองด้วยความสวยอลังการของมัน

“เคหาสน์สี่ทิศ บ้านผมเอง” ภูษิตเร่งเครื่องขับรถไปบนถนนโล่งว่าง เพราะมีรถของเขาคันเดียวที่กำลังมุ่งหน้าสู่คฤหาสน์โบราณหลังนั้น

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

– กลับสู่ตอนที่ผ่านมา-



Don`t copy text!