บทที่ 3 : คำสาป

บทที่ 3 : คำสาป

โดย : ทอม สิริ

สาปเคหาสน์ โดย ทอม สิริ ลงที่ อ่านเอาจนจบบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว แต่ผู้เขียนยังใจดี ลง 5 ตอนแรกเป็นน้ำจิ้มให้กับผู้อ่าน และหากใครติดใจอยากจะอ่านต่อในรูปแบบรวมเล่ม สามารถติดต่อเพื่อซื้อหนังสือได้ที่ https://www.facebook.com/tomsirithewriter/

Loading

ลลิตาตื่นเช้าเป็นปกติ แม้ว่าเมื่อคืนจะนอนกระสับกระส่ายอยู่พักใหญ่ แต่คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาแก้หวัดที่เธอกินเข้าไปก่อนนอน จึงช่วยให้หลับลงได้ในเวลาต่อมา แม้ว่าก่อนนอนจะสวดมนต์ไหว้พระและขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในที่นี้แล้ว แต่ใจของลลิตาก็รู้สึกไม่สงบเอาเสียเลย

เช้านี้ฝนยังลงเม็ดปรอยๆ ไม่ยอมหยุด เธออาบน้ำแต่งตัวแล้วไปเคาะประตูห้องกาจพลเพื่อชวนเขาลงไปกินอาหารเช้าตามเวลาที่ภูษิตบอกไว้ว่าตั้งโต๊ะตั้งแต่เจ็ดโมง ป่านนี้ไม่รู้ว่าผู้กองกาจพลจะตื่นหรือยัง บางทีเขาอาจจะตื่นสายเพราะท่าทางเมื่อวานก็เหน็ดเหนื่อยมากอยู่เหมือนกัน แต่หญิงสาวก็แปลกใจที่เขาเปิดประตูห้องทันทีที่เธอเคาะครั้งแรก

ผู้กองหนุ่มอยู่ในชุดเสื้อยืดกับกางเกงยีนชุดใหม่ ดูเหมือนเขาจะโกนหนวดเรียบร้อยแล้วด้วย เช้านี้ใบหน้าคร้ามเข้มที่มีไรหนวดเคราเขียวครึ้มจึงดูสะอาดสะอ้าน

“อรุณสวัสดิ์ครับ”

“อ้าว ตื่นนานแล้วเหรอคะ”

“เรียกว่าหลับๆ ตื่นๆ ดีกว่าครับ พอดูนาฬิกาเห็นว่าตีห้าครึ่งผมก็ลุกมาอาบน้ำแต่งตัวแล้ว ฝนไม่ยอมขาดเม็ด ฟ้ายังมืดอยู่เลย”

“หิวไหมคะ”

“ถามได้ ฮ่าๆๆ”

พวกเขาเลือกเดินลงบันไดเวียนเพราะมันอยู่ใกล้ห้อง มีบันไดไม้กว้างกว่านี้แต่อยู่อีกฟากของตึก มันใกล้กับห้องของคุณภาสกร เตี่ยของภูษิต เธอเลยไม่อยากเดินไปแถวนั้นเพราะอาจคุยเสียงดังเป็นการรบกวน

“ท่าทางฝนจะไม่หยุดง่ายๆ นะคะ แบบนี้น้ำคงชุ่มทำดินถล่มลงมาอีกแน่” เธอพูดเสียงดังพอได้ยินกันสองคน เพราะตึกนี้ก็ประหลาดตรงแม้มีเสียงดังเล็กน้อยก็ดังก้องไปในตัวอาคาร ยิ่งเมื่อคืนมีเสียงพื้นหรือผนังลั่นก็ไม่รู้ ทำเอาเธอต้องเหลียวไปมองหาต้นตอของเสียงอยู่หลายที อาคารตึกผสมไม้เก่าๆ ก็คงเป็นแบบนี้ พื้นผนังมักส่งเสียงเมื่อยืดหดตัว

เมื่อเดินลงมาที่ห้องอาหารซึ่งอยู่ติดกับห้องรับแขกที่นั่งคุยกันอยู่เมื่อคืน ก็พบว่าภูษิตนั่งจิบกาแฟร้อนอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว กลิ่นกาแฟหอมกรุ่นทำให้หมอลลิตารู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที

“อรุณสวัสดิ์ครับ หลับสบายไหม” หนุ่มหล่อทักทายพลางยิ้มให้เธอ

“สบายค่ะ” ลลิตาตอบไปตามมารยาท

“ดื่มกาแฟหรือชาครับ เช้านี้มีพวกพายกับทาร์ต แล้วก็มีข้าวต้มกุ้งร้อนๆ ถ้าพวกคุณยังไม่เบื่ออาหารทะเลเสียก่อน” ภูษิตผายมือไปยังอาหารซึ่งจัดวางไว้แบบบุฟเฟ่ต์บนโต๊ะยาวขนาดใหญ่ใกล้กับโต๊ะกินข้าว

“ฉันมันคนหลายใจ ขอเริ่มจากข้าวต้มกุ้งก่อนเดี๋ยวค่อยตามไปสอยอย่างอื่น” กาจพลเดินตรงไปที่โต๊ะซึ่งวางโถกระเบื้องลายจีนใบใหญ่ “หมอลี ซดข้าวต้มกับผมไหมครับ” เขาหันมาถาม

“ลีขอเป็นกาแฟดำกับพายสักชิ้นดีกว่าค่ะ” เธอตอบ

“ผมจัดการให้ครับ เดาว่ากาแฟดำไม่ใส่น้ำตาลใช่ไหมครับ” ภูษิตรินกาแฟดำลงถ้วยแก้ว

หญิงสาวคิดว่าเวลาที่ก้มหน้าลงน้อยๆ อย่างนี้จมูกของเขาโด่งได้รูป และรอยโกนหนวดเคราสีเขียวจางๆ นั่นก็ทำให้ใบหน้าขาวแบบลูกจีนดูคมคายไม่เบา

“ค่ะ” เธอยิ้มให้ ภูษิตเป็นหนุ่มที่ช่างเอาอกเอาใจเสียจริง สมแล้วที่ผู้กองกาจพลเรียกเขาว่าตี๋คาสโนว่า

“เช้านี้ผมมีข่าวไม่ค่อยดีมาแจ้งนะครับ หมอลีกับนายกาจพลคงต้องพักผ่อนที่เคหาสน์สี่ทิศนี่อีกสักพักแล้วล่ะ เพราะคนรับใช้มาบอกว่าเมื่อคืนฝนชะดินลงมาปิดทางมากขึ้นกว่าเดิมอีก” ภูษิตพูดพลางวางจานขนมพาย

“น่านนน… ว่าแล้ว ก็น้องฝนเล่นตกทั้งคืนไม่มีพักกันเลย” กาจพลถอนหายใจยาว

“ถ้าเจ้าของเคหาสน์สี่ทิศอนุญาตให้พัก ลีก็ชอบใจไปเลยค่ะ ที่นี่สวยเหมือนรีสอร์ตเลย” เธอคิดอย่างนั้นจริงๆ

“หึ… หมอเพิ่งอยู่ได้คืนเดียวก็เลยยังว่ามันสวย แต่ผมนี่เห็นมาตั้งแต่เกิดแล้ว บอกตามตรงโคตรเบื่อเลยครับ” ภูษิตทำหน้าเหม็นเมื่อเขานั่งลง

“อ้าว ไหงงั้น” ผู้กองกาจพลเลิกคิ้ว

“ฉันไม่ชอบมาติดแหง็กอยู่ที่ตึกเก่าๆ นี่ว่ะ แถวนี้ไม่เห็นมีอะไรเจริญหูเจริญตานอกจากน้ำกับฟ้า แล้วก็ตึกขึ้นราหลังนี้ ตอนนี้ฉันอยากกลับกรุงเทพฯ ใจแทบขาดเลย” ชายหนุ่มพูดแล้วก็ถอนหายใจ

“นี่ล่ะน้า ที่เขาว่าคนในอยากออก คนนอกอยากเข้า” ผู้กองกาจพลพูดยิ้มๆ

“งั้นช่วงนี้คุณภูษิตคงไม่เหงาเท่าไรนะคะ เพราะมีตัวยุ่งสองตัวนี่มาคอยกวน” ลลิตาชวนเขาคุยให้หายขุ่นมัว “อันที่จริงเคหาสน์สี่ทิศเนี่ยสวยมากนะคะ งานสถาปัตย์ลงรายละเอียดงามมาก ลีช้อบชอบค่ะ ขออนุญาตเดินเที่ยวแล้วก็ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้ไหมคะ รับรองว่าไม่มีภาพหลุดออกสื่อค่ะ”

“ได้สิครับ เชิญพวกคุณเที่ยวชมและพักผ่อนกันตามสบาย นานเท่าไรก็ได้”

เสียงที่ตอบหมอลลิตากลับมาไม่ใช่เสียงของภูษิต แต่มันดังมาจากตรงประตูซึ่งมีชายวัยหกสิบกำลังยืนอยู่ เบื้องหลังเยื้องไปหน่อยเป็นหนุ่มใหญ่วัยสี่สิบกว่ากำลังส่งยิ้มมาให้เธอเช่นกัน

“นี่เสี่ยภาสกร เตี่ยผมเองครับ ที่อยู่ด้านหลังก็คือคุณธวัช ผู้รับเหมาก่อสร้างของเตี่ย” ภูษิตเป็นคนแนะนำ

สองหนุ่มสาวยกมือไหว้ทำความเคารพชายทั้งสอง ขณะภูษิตผายมือมาทางพวกเธอ

“นี่คุณหมอลลิตากับผู้กองกาจพล เพื่อนผม”

“หมอกับตำรวจ เป็นสัดส่วนเคมีที่เหมาะเจาะครับ”

นายภาสกรยิ้มกว้างมองเห็นฟันเลี่ยมทองซี่ที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน เขาอ้วนและเตี้ยกว่าลูกชายมากทีเดียว แถมยังศีรษะล้านอีกด้วย แต่ใบหน้าของเสี่ยภาสกรก็ยิ้มแย้มแจ่มใส และตอนหนุ่มๆ ก็คงจะหน้าตาหล่อเหลาเป็นจอมเจ้าชู้อยู่เหมือนกัน เพราะดวงตาเจ้าชู้ของภูษิตนั้นเคาะออกมาจากเตี่ยของเขาเป็นพิมพ์เดียวกัน

“ขอบคุณครับ” ผู้กองกาจพลยิ้มกว้าง ท่าทางจะถูกชะตากับพ่อเพื่อนที่พูดอย่างนั้น

“ผมขออนุญาตแนะนำให้เดินเที่ยวตึกอุดรกับตึกบูรพานะครับ เพราะสภาพโครงสร้างยังแข็งแรงอยู่ แต่ตึกพายัพกับประจิมมันค่อนข้างทรุดโทรมมากหน่อย เลยไม่อยากให้เข้าไปตอนนี้ แต่ทุกตึกก็มีโครงสร้างและงานตกแต่งที่เหมือนกันหมดน่ะครับ เที่ยวตึกเดียวก็เหมือนเดินครบทุกตึก รอให้เรารีโนเวตใหม่หมดก่อนแล้วพวกคุณจะตะลึงในความสวยงามของเคหาสน์สี่ทิศหลังนี้” ผู้รับเหมาก่อสร้างที่ชื่อธวัชเป็นคนพูดต่อ

เขาผอม สูงชะลูด ใบหน้ายาว จมูกยาว ดูรวมๆ แล้วนึกไปถึงกิ่งไม้แห้งๆ จะมีก็เพียงดวงตายาวรีมีชีวิตชีวาคู่นั้นที่บอกชัดว่าเป็นคนมีไฟในการทำงาน

“คุณอาภาสกรจะปรับปรุงเคหาสน์สี่ทิศหรือครับ” ผู้กองกาจพลเอ่ยถาม

“ใช่แล้วหลานชาย อากะจะทำที่นี่ให้เป็นรีสอร์ต เชื่อไหมว่าทั้งสี่ตึกนี่มีห้องรวมๆ เกือบห้าสิบห้องเลยนะ ถ้าห้องพักจองกันเต็มนี่อาเป็นเสือนอนกินสบายเลยล่ะ” เสี่ยภาสกรหัวเราะถูกใจเมื่อเห็นสีหน้าทึ่งจัดของสองหนุ่มสาว

“พอรีโนเวตเสร็จ รับรองว่าที่นี่จะสวยมากเลยล่ะครับ ผมเชื่อว่าคนที่ชอบท่องเที่ยวหาที่ถ่ายภาพสวยๆ ต้องพูดถึงเคหาสน์สี่ทิศ แล้วจองคิวกันยาวเหยียดเลย” ธวัชเม้มปากอย่างมั่นใจ

“จะไม่มีใครได้จอง!” เสียงแหบต่ำของใครอีกคนดังขึ้น

ทุกคนหันไปมองยังที่มาของเสียง ผู้กองกาจพลเกือบจะย่นหัวคิ้ว เพราะคนที่พูดนั้นเป็นชายชราผมหงอกขาวไปทั้งศีรษะ ผมยาวเส้นเล็กนั้นเบาฟูทำให้เป็นกระเซิงตกลงมาปรกใบหน้าเหี่ยวย่นที่เต็มไปด้วยจุดกระของวัยชรากระจายไปทั่ว หนวดเคราของเขาเป็นสีขาวเช่นเดียวกับเส้นผม มันคลุมลงมาปิดบางส่วนของริมฝีปากบางเฉียบที่ย่นยู่ไปตามวัย แต่ไม่อาจปิดบังฟันสีเหลืองจัดไม่กี่ซี่ในปากได้ ที่ทำให้ผู้กองกาจพลคิดว่าเห็นผีในทีแรก ก็ตรงลูกตาคู่นั้นของชายชรา ข้างที่เบิกกว้างนั้นเป็นต้อขาวขุ่น ส่วนอีกข้างที่หรี่จ้องมองมาก็มีแววแข็งกร้าวเสียจนทำเอาทุกคนในห้องนั้นเงียบงันกันไปพักหนึ่ง

“นี่อาก๋งของผม” ภูษิตเป็นคนทำลายความเงียบนั้น “ก๋งนี่หมอลลิตากับผู้กองกาจพล เพื่อนของผม เขามาอาศัยพักเพราะถนนขาดกลับออกไปไม่ได้”

ก๋งไม่พูดอะไร ที่จริงเขานั่งนิ่งเหมือนหุ่นขี้ผึ้งด้วยซ้ำ มีเพียงสายตาที่ทอดมองมายังผู้กองกาจพลกับหมอลลิตาเท่านั้นที่บอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่ และดวงตาคู่นี้ก็กำลังมองอย่างครุ่นคิด ส่วนมือที่งองุ้มด้วยปุ่มปมตามข้อนิ้วนั้นจับยึดไม้เท้าทองเหลืองหล่อรูปหัวมังกรเอาไว้แน่นจนข้อนิ้วขาว ผู้กองกาจพลยังนึกชอบใจไม้เท้าของชายชรา มันทำให้เขาไม่ได้เป็นเพียงคนแก่ไร้ความหมาย แต่ให้ความรู้สึกว่าเขายังมีอำนาจในบ้านนี้อยู่

“จะให้ก๋งกินข้าวเลยไหมคะ”

ทุกคนเพิ่งจะสังเกตเห็นว่ามีหญิงสาววัยประมาณสามสิบกว่าที่ยืนอยู่ด้านหลังรถเข็นของก๋งอีกคน เธอเป็นสาวใหญ่ผิวคล้ำแต่หน้าคม โดยเฉพาะดวงตานั้นเปล่งประกายวิบวับยามที่มองไปยังภูษิตตอนที่เธอเอ่ยถาม

“นี่คุณเพียงพิศ นางพยาบาลของก๋ง” ภูษิตแนะนำเธอแบบไม่ได้ให้ความสำคัญนัก ทำเอาอีกฝ่ายหน้าเจื่อนไป แต่กาจพลก็ยิ้มทักทายเธอ ทำให้ใบหน้านั้นค่อยมีรอยยิ้มกลับมา

“ก๋ง กินข้าว” เสี่ยภาสกรพยักหน้าพลางเดินไปที่โต๊ะอาหาร

พยาบาลเพียงพิศขยับจะเข็นรถเข็น แต่มือหงิกงอของชายชราจับล้อไว้ไม่ให้รถขยับ เขายังคงจ้องนิ่งมาในท่าเดิม

“จะไม่มีใครเอาเคหาสน์สี่ทิศไปขายกิน” เสียงแหบแห้งแต่เจือความแข็งกร้าวดังมาจากชายชรา มันทำให้ทุกคนต้องหันไปมองแกอีกครั้ง บรรยากาศในห้องเกิดความอึดอัดขึ้นมาทันที

“โธ่ ก๋ง เราพูดเรื่องนี้กันไปแล้วนา” เสียงเสี่ยภาสกรบอกชัดว่าหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว

“ลื้อยังไม่ล้มเลิกความคิดชั่วๆ ที่จะเอามรดกบรรพบุรุษไปขายกิน” อีกฝ่ายถลึงตาเข้าใส่ ลูกตาขุ่นขาวคู่นั้นอาจจะมองไม่ชัดแต่มันมีพลังส่งออกมาอย่างประหลาด

“ใครว่าผมจะเอาไปขายกิน ก็แค่ซ่อมแซมมันแล้วก็เอามาเปิดเป็นรีสอร์ตเท่านั้นเอง” เสี่ยภาสกรทำหน้าเมื่อย เขาถอนหายใจเพราะหงุดหงิด ไม่เก็บอาการ

“ไม่ได้” ก๋งถลึงตามองอีกฝ่าย มือที่จับไม้เท้าเริ่มสั่นด้วยความโกรธที่พลุ่งขึ้นมา

“ถ้าไม่ทำรีสอร์ตจะให้ทำยังไง ก๋งก็รู้ปัญหาดีอยู่แล้ว นี่เป็นทางออกที่ดีที่สุด ใช้เงินลงทุนน้อยที่สุด เราพูดกันจบไปนานแล้วนะ” เสี่ยภาสกรฮึดฮัด

“ลื้อสรุปเอาฝ่ายเดียว จำใส่กะโหลกไว้ ตราบใดที่อั๊วยังมีลมหายใจ ลื้อจะทำไม่ได้”

“งมงาย ไร้เหตุผลสิ้นดี” เสี่ยหน้าแดงก่ำ โกรธที่ถูกชายชราหักหน้า

“ลื้อจะเปลี่ยนแปลงมันทำไม อยู่สงบๆ อย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว รนหาเรื่องฉิบหาย” ก๋งด่าเป็นภาษาจีนออกมาอีกหลายคำ พยายามเปล่งเสียงพูดออกมาให้ดังพอๆ กับอีกฝ่าย นั่นทำให้ชายชราเริ่มหายใจหอบ

“มันจะอยู่กันสงบได้ยังไงถ้าไม่มีเงิน ก๋งก็รู้ว่าไอ้งานส่งอาหารทะเลมันกำลังแย่ สัตว์ทะเลหายากขึ้นทุกที ไหนจะค่าน้ำมันที่ขึ้นพรวดๆ ไหนจะต้องหาตลาดต่างประเทศเพิ่มเพราะลูกค้าเก่ามันไปซื้อเจ้าอื่นอีก ก๋งตอบอั๊วหน่อย ถ้าไม่ทำรีสอร์ตมาช่วยพยุงฐานะเราแล้วจะทำอะไร จะเอาอะไรกินกันเข้าไป” เสียงของเสี่ยภาสกรดังขึ้นๆ ทุกทีตามความกรุ่นโกรธที่ทบทวีขึ้น

“เตี่ย…” ภูษิตพยายามเตือนเตี่ยของเขา เพราะเสี่ยภาสกรกำลังตะคอกใส่ก๋ง และยังพูดต่อหน้าผู้กองกาจพลและหมอลลิตาซึ่งเป็นคนนอกอีกด้วย

“ลื้อไม่ต้องมาเรียกอั๊ว ลื้อก็อีกคนที่ไม่อยากให้อั๊วทำรีสอร์ต นั่นเพราะลื้อมันขี้เกียจสันหลังยาว หนักไม่เอาเบาไม่สู้ พึ่งไม่ได้สักอย่าง วันๆ เอาแต่นอนกระดิกตีนอยู่กรุงเทพฯ รอกินกงสีจากอั๊ว ไอ้ลูกอกตัญญู” เสี่ยภาสกรหันมาชี้หน้าลูกชาย

“ไม่ต้องไปว่าอาภูษิตมัน ลื้อนั่นล่ะ อกตัญญู” เสียงก๋งตวาดดังลั่น จนน่าแปลกใจว่าคนแก่ผอมแห้งดูไร้เรี่ยวแรงจะตวาดได้ดังขนาดนี้

ภูษิตเหลือบตามามองแขกทั้งสองของเขา ชายหนุ่มมีสีหน้าเข้มขึ้นด้วยความอับอายที่ครอบครัวทะเลาะกัน เขาได้แต่ถอนหายใจแล้วนั่งเอามือกุมขมับ

“อั๊วอกตัญญูยังไง” เสี่ยภาสกรเองก็หน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามระงับอารมณ์

“พวกลื้อจำไว้เลยว่า จะไม่มีใครเอาเคหาสน์สี่ทิศไปขายกินได้ บรรพบุรุษได้สาปแช่งไว้ ถ้าใครบังอาจ มันจะต้องวิบัติ!” ท้ายประโยคที่ตะโกนลั่น ก๋งใช้ไม้เท้าในมือชี้หน้าเสี่ยภาสกร

เป็นเพราะออกเสียงดังและโกรธจัดทำให้ก๋งไอออกมาจนตัวโยน ใบหน้าแดงก่ำจนน่ากลัวว่าโรคหัวใจและความดันของชายชราจะเล่นงานเอา

“คุณเพียงพิศ พาก๋งไปพักก่อนดีกว่าไหมครับ” ธวัชซึ่งยืนอยู่ใกล้กับนางพยาบาลกระซิบบอกเธอ

ผู้กองกาจพลหันไปมองพอดี จึงได้เห็นสายตาที่นางพยาบาลสาวใหญ่มองตอบผู้รับเหมาร่างสูงกลับมา มันเต็มไปด้วยความรังเกียจเหยียดหยามอย่างที่ผู้หญิงจะมองชายผู้น่ารำคาญ ในขณะที่สายตาของนายธวัชนั้นบอกชัดว่าเขาชอบเธอ

“ใช่ เพียงพิศ พาก๋งกลับห้องเถอะ ค่อยเอาข้าวต้มไปกินในห้องก็ได้”

ภูษิตพูดสำทับ ความหมายเดียวกับที่ธวัชพูดเป๊ะ แต่สายตาของนางพยาบาลสาวใหญ่นั้นต่างจากที่เธอมองธวัชลิบลับ กาจพลแน่ใจว่าเพียงพิศหลงรักทายาทของเคหาสน์สี่ทิศเข้าแล้วอย่างแน่นอน

“ค่ะ คุณภูษิต” หญิงสาวรับคำ เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นจะให้ความร่วมมือด้วยหรือเปล่า หญิงสาวจึงรีรอดูทีท่าก๋งอยู่ พอเห็นว่าชายชราไม่ได้แข็งขืน เธอจึงเข็นรถหมุนกลับเพื่อออกไปจากห้อง

“เดี๋ยว” เสี่ยภาสกรพูดขึ้น

“ก๋ง อั๊วจะบอกไว้ตรงนี้เลยนะ ว่าเมื่อไรที่ถนนใช้งานได้ ธวัชจะเอาคนของเขาเข้ามาทำงานที่เคหาสน์สี่ทิศทันที ไม่ว่าใครจะพูดยังไงก็แล้วแต่ อั๊วไม่สนใจ เพราะอั๊วเป็นคนหาเลี้ยงทุกคนที่นี่”

ผู้กองกาจพลมองเห็นว่าชายชราในรถเข็นซึ่งนั่งหันหลังให้เสี่ยภาสกร เขานิ่งอยู่พักหนึ่งเหมือนกับว่าให้ประโยคนั้นของลูกชายซึมเข้าสู่การรับรู้ จากนั้นจึงค่อยๆ หันมาจ้องนิ่งที่เสี่ยภาสกร จากมุมนี้ผู้กองกาจพลเห็นเพียงแววตาที่ฝ้าฟางเป็นสีขาวขุ่นไปข้างหนึ่งของเขา มันบอกยากว่ากำลังคิดอะไร

จากนั้นนางพยาบาลประจำตัวก็พาร่างหงิกงอของก๋งออกไปจากห้อง โดยที่ชายชราไม่ได้พูดอะไรอีก

 

-โปรดติดตามตอนต่อไป-

– กลับสู่ตอนที่ผ่านมา-



Don`t copy text!