บทที่ 4 : กลิ่นธูป
โดย : ทอม สิริ
สาปเคหาสน์ โดย ทอม สิริ ลงที่ อ่านเอาจนจบบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว แต่ผู้เขียนยังใจดี ลง 5 ตอนแรกเป็นน้ำจิ้มให้กับผู้อ่าน และหากใครติดใจอยากจะอ่านต่อในรูปแบบรวมเล่ม สามารถติดต่อเพื่อซื้อหนังสือได้ที่ https://www.facebook.com/tomsirithewriter/
แม้ว่านางพยาบาลเพียงพิศจะพาก๋งกลับออกไปจากห้องอาหารแล้ว แต่ความตึงเครียดระหว่างเสี่ยภาสกรกับลูกชายก็ยังคงกรุ่นร้อนอยู่ เสี่ยถามถึงงานบางอย่างที่เขามอบหมายให้ภูษิตทำ และชายหนุ่มก็ตอบคำถามบิดาได้ไม่ค่อยถูกใจนัก
ผู้กองกาจพลคิดว่าสองพ่อลูกคงมีเรื่องจะต้องพูดคุยกันต่อ และไม่สะดวกที่จะมีคนนอกนั่งอยู่ภายในห้องด้วย เขากับหมอลลิตาจึงถือโอกาสขอตัวออกมาเดินเล่น ซึ่งทั้งพ่อและลูกชายก็ไม่ได้ขัดข้องอะไร แทบไม่ได้สนใจเขากับหมอลลิตาอีกเลยด้วยซ้ำเมื่อภูษิตพูดถึงงานที่กรุงเทพฯ ที่เขาทิ้งมา
“เฮ้อ เดินออกมาตรงนี้ค่อยยังชั่วหน่อยนะคะ” หมอลลิตาถอนหายใจยาวเมื่อเดินออกมาพ้นจากเคหาสน์สี่ทิศ
“ผมนี่หายใจหายคอไม่ออก” ชายหนุ่มพูดกลั้วหัวเราะ เขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
“แต่ละครอบครัวก็มีเรื่องของตัวเองเนอะ คนยิ่งเยอะความเห็นก็ยิ่งต่าง”
“ครอบครัวเราจะไม่มีปัญหาครับหมอ หมอว่าไงผมก็ว่างั้น” เขายิ้มตาหยี
คุณหมอสาวหันมาค้อน “อย่ามาตีขลุม ลีว่าออกมาข้างนอกนี่เราถือโอกาสเดินหาสัญญาณโทรศัพท์กันดีกว่าค่ะ เผื่อจะโชคดี แถวนี้โล่งๆ อาจรับสัญญาณได้”
ผู้กองกาจพลและหมอลลิตาเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ตามทางเดินโรยกรวดซึ่งไปสิ้นสุดตรงแนวหินที่มีหญ้าขึ้นประปราย แต่ก็ยังไม่เจอสัญญาณสักขีด
“โชคดีที่ฝนขาดเม็ดพอดีนะครับ เราเลยออกมาเดินรับอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกนี่ได้ ไม่อย่างนั้นก็คงต้องอุดอู้อยู่กันแต่ข้างใน บ้านกว้างขวางใหญ่โตก็จริง แต่บรรยากาศมันอับทึบพิกล” ผู้กองกาจพลสูดลมหายใจรับอากาศเย็นสดชื่นหลังฝนหยุด
“บ้านเก่าก็เป็นอย่างนี้ล่ะนะ ตอนเดินออกมา ลียังเห็นเลยว่าเพดานกับผนังบางที่มีราขึ้นเป็นแผงเลย จะว่าไปถึงไม่ได้คิดจะทำรีสอร์ตแต่เสี่ยภาสกรก็น่าจะรีโนเวตบ้านอยู่แล้วนะคะ อยู่อย่างนี้มันเสียสุขภาพ สูดดมเชื้อราทุกวัน”
พวกเขาเดินมุ่งหน้าออกไปจากเขตคฤหาสน์ ด้านนอกเป็นหน้าผาไม่ชันนัก ที่มีความลาดพอให้ค่อยๆ เดินไต่ไปได้ แนวต้นไม้สลับกับหินก้อนน้อยใหญ่ช่วยในการปีนได้มาก จุดหมายของทั้งสองคนคือหน้าผาซึ่งสูงขึ้นไปจากตัวเคหาสน์สี่ทิศ ด้วยคิดว่าถ้าขึ้นไปสูงๆ อาจรับสัญญาณโทรศัพท์ได้ดีขึ้น หมอลลิตาส่งมือให้ชายหนุ่มฉุดขึ้นไปเดินบนทางที่เป็นก้อนหินใหญ่ ซึ่งมีพื้นที่ราบพอให้หยุดพักกันสักนิด
“ว้า ขนาดปีนขึ้นมาสูงแล้วยังไม่เจอสัญญาณสักขีดเลยครับ” ผู้กองกาจพลยกมือที่ถือสมาร์ตโฟนส่ายไปมารอบๆ ตัว แต่หน้าจอยังไม่ปรากฏสัญญาณ
“น่าแปลกนะ รอบหน้าผานี่ก็ไม่ได้มีภูเขาสูงหรือมีอะไรมาบัง หรือเราจะลองเดินสูงขึ้นไปอีกหน่อยดีคะ” หมอลลิตารู้สึกดีที่ได้สูดอากาศสดชื่น ทิวทัศน์รอบตัวก็สวยงาม ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจีเพราะเพิ่งถูกฝนชะใบจนสะอาด
“เอาสิครับ ตรงนั้นมีลานเล็กๆ ให้นั่งพักอีกที่หนึ่ง เราขึ้นไปกัน” ชายหนุ่มชี้ขึ้นไปที่ลานหินด้านบน
เขาปีนหินก้อนใหญ่ขึ้นไปก่อนแล้วหันมายื่นมือฉุดคุณหมอสาวขึ้นตามไป หนทางปีนไม่ยากถ้าเลือกหินถูกก้อน ต้นไม้ที่ขึ้นแซมช่วยให้พวกเขาเหนี่ยวตัวขึ้นไปได้ง่ายขึ้น ไม่นานก็ถึงลานที่นั่งพักด้านบน
เธอตัวเล็กแต่สมส่วน ยิ่งเวลามาเที่ยวแล้วใส่เสื้อผ้าตามสบายอย่างกางเกงขาสั้นกับเสื้อใส่สบายแขนเว้าอย่างนี้ยิ่งดูไม่เหมือนคุณหมอเลยสักนิด ผู้กองกาจพลมองใบหน้าชื้นเหงื่อที่กำลังเหม่อมองทิวทัศน์แล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้ วันนี้หญิงสาวแต่งหน้าเบาบางจนดูเหมือนแทบจะไม่ได้แต่ง แต่ริมฝีปากสดแดงตามธรรมชาติของเธอกับผิวขาวอมชมพูที่ระเรื่อขึ้นด้วยไอร้อนก็ทำให้เธอน่ารักเหลือเกิน
เหมือนเด็ก… เขาคิด แล้วก็เผลอหัวเราะออกมา
“ขำอะไรคะ” หญิงสาวหันมามองหน้าแล้วเลิกคิ้วถาม
นั่นทำให้เขายิ่งกลั้นหัวเราะไม่อยู่ เพราะคุณหมอลลิตาหวีผมแสกกลาง เส้นผมดำเป็นมันนั้นรวบไปถักเปียเดี่ยวหลวมๆ ไว้ด้านหลัง แต่เมื่อมองด้านหน้ามันก็ยังเป็นผมเปียที่ทำให้เค้าหน้าของเธอไปเหมือนตัวแสดงตัวหนึ่งในภาพยนตร์เบาสมองคลาสสิกเรื่อง อาดัมส์ แฟมิลี
“ขำเวนส์เดย์ครับ หมอหน้าเหมือนเวนส์เดย์ ลูกสาวตระกูลอาดัมส์ แฟมิลีในหนังมากๆ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ
คุณหมอหน้าเด็กไม่หัวเราะแต่ทำหน้าเฉยๆ แล้วยักคิ้วให้เขาสองที เหมือนจะบอกว่าเดี๋ยวจะโดนมิใช่น้อย เพราะเธอเองก็คงโดนคนรู้จักล้อเรื่องหน้าเหมือนนี้อยู่บ่อยๆ และเจ้าตัวคงไม่อยากเหมือนสักเท่าไหร่
เขากลั้นหัวเราะแล้วเสทำทีชูสมาร์ตโฟนหาคลื่นสัญญาณต่อ แต่ไม่มีเลยสักขีด
“มองดูเคหาสน์สี่ทิศจากมุมนี้เห็นชัดเลยนะคะว่ามีสี่ตึกหันไปสี่ทิศจริงๆ” หญิงสาวทอดสายตามองไปเบื้องล่าง จากจุดนี้ซึ่งอยู่สูงกว่าจึงเห็นอาณาบริเวณทั้งหมดของคฤหาสน์เต็มตา
กลุ่มอาคารสองชั้นสี่ตึกใหญ่ เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินโดยรอบภายในเขตรั้วกว้างขวาง หลังคากระเบื้องแบบโบราณเป็นสีแดงเข้มขึ้นเมื่อชื้นฝน ยามถูกแดดสายมันจึงส่องประกายสวยตัดกับตัวตึกสีครีมหม่นและหินผาสีเทาต่างเฉด ระหว่างตัวตึกมีช่องเปิดโล่งที่เรียกว่าคอร์ตยาร์ด ช่วยเป็นทั้งช่องแสงสว่างและระบายอากาศ ทำให้ภายในตึกไม่อับทึบเกินไป
“ความจริงแล้ว เคหาสน์สี่ทิศเป็นคฤหาสน์ที่สวยมากนะคะ มองมุมนี้แล้วนึกถึงตอนที่ยังเป็นตึกใหม่ คงสวยสง่าน่าดู” หมอลลิตาเอ่ยปากชมเพราะเธอชื่นชอบงานสถาปัตยกรรมโบราณ
“แต่ก่อนอาจจะสวย แต่ผมว่าตอนนี้มันหลอนยังไงไม่รู้แฮะ” ผู้กองกาจพลเห็นต่าง เพราะเขาไม่ชอบบรรยากาศของมัน “เมื่อคืนไม่รู้อะไรกันนักหนา เสียงพื้นผนังลั่นก็อกๆ แก๊กๆ เสียงกิ่งไม้ครูดข้างฝา เสียงลมหวู่หวี่อื้ออึงทั้งคืน ผมนี่แทบจะนอนไม่หลับ” ชายหนุ่มบ่น
“ตึกเก่าๆ ก็อย่างนี้ล่ะค่ะ ขนาดตึกใหม่ๆ อย่างคอนโดฯ ที่ลีอยู่ บางทียังมีเสียงเหมือนใครทำลูกแก้วหล่นลงพื้นเลย อันที่จริงเสียงพวกนี้มันเกิดจากการยืดและหดตัวของอาคารค่ะ ซึ่งก็มักจะเกิดขึ้นตอนดึกๆ ที่อุณหภูมิเย็นลงมากแล้ว ช่วงเวลาอย่างนั้นคนก็เลยคิดมากกัน”
“เหรอครับ ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย”
หมอลลิตายิ้มให้เขาแล้วทอดสายตามองทิวทัศน์อีกครั้ง เธอย่นหัวคิ้วเมื่อเพ่งมองเฉียงไปด้านล่างของหมู่ตึก
“เอ… ผู้กองว่าตรงนั้นเป็นถ้ำหรือเปล่าคะ”
ผู้กองกาจพลมองตามนิ้วที่เธอชี้ให้ดู “อืม… น่าจะใช่ครับ หินแตกเป็นโพรงเข้าไป ผมว่ามันน่าจะเป็นถ้ำเล็กๆ”
“เราไปดูกันดีกว่า” หญิงสาวหันมาชวน แววตาวิบวับเหมือนเด็กซุกซน
“ได้เลยครับ ว่าแต่หมอไม่เหนื่อยหรือ” ผู้กองกาจพลยิ้มให้
“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ แค่เซ็งที่ขึ้นมาสูงขนาดนี้แล้วก็ยังไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เลย” เธอมองหน้าจอสมาร์ตโฟน จับมันส่ายไปมาช้าๆ เพื่อหาสัญญาณ แล้วทำหน้าเบ้
“งั้นไปกันเลย”
ชายหนุ่มเก็บสมาร์ตโฟนลงกระเป๋าแล้วมองหาทางลงที่จะพาไปยังถ้ำที่ว่า เขากับเธอมีเวลาทั้งวันที่จะเที่ยวเดินสำรวจหินผาป่าถ้ำแถวนี้ มันดีกว่าที่เธอจะชวนเดินเที่ยวตึกโน้นตึกนี้ในเคหาสน์สี่ทิศเป็นไหนๆ
ใช้เวลาเกือบชั่วโมงทีเดียวกว่าจะค่อยๆ ไต่ลัดเลาะลงมาตามทางค่อนข้างชันจนกระทั่งลงมาถึงปากถ้ำ เล่นเอาเสื้อของสองหนุ่มสาวเปียกเหงื่อชุ่มและใบหน้าก็แดงเกรียมเพราะแดดที่แผดกล้าขึ้นเมื่อเข้าสู่ช่วงใกล้เที่ยงเข้าไปทุกที
“หืม… เป็นถ้ำจริงอย่างที่คิดนะนี่” หมอลลิตากวาดสายตามองไปโดยรอบ ในขณะที่ผู้กองกาจพลเดินลึกเข้าไปสำรวจภายในถ้ำ
“ข้างในนี่อากาศเย็นกว่าด้านนอกลิบลับเลยครับ” เสียงของชายหนุ่มก้องสะท้อนไปตามผนังหินเย็นเยียบ
หมอลลิตาเดินตามเขาเข้าไปด้านใน แต่แล้วเธอก็สัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่าง เธอรับรู้ถึงมันได้ เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก รู้แต่ว่าร่างกายของตัวเองกำลังรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ถ้าจะพูดให้ใกล้เคียงที่สุดก็น่าจะเป็นอาการที่ผิวหนังเห่อขึ้นมาเวลาเกิดอาการแพ้ แต่ผิวของเธอก็ไม่ได้มีอาการบวมแดงแต่อย่างใด เป็นก็เพียงขนลุกและรู้สึกเย็นสันหลังวาบๆ เท่านั้น
“หมอลี เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” คงเป็นเพราะกิริยาที่ยั้งขาไว้ไม่ก้าวต่อ กับสีหน้าของเธอที่ทำให้ผู้กองกาจพลหันมาเห็นแล้วจึงถาม
“ไม่เป็นไรค่ะ” เธอตอบอย่างนั้นเพราะอาการเหล่านั้นหายไปแล้ว มันเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่งสั้นๆ ยากจะบอกว่าเป็นอะไร
เขาพยักหน้า เมื่อเดินลึกเข้าไปด้านในแล้วจึงหันมาบอก “อยากเข้าไปข้างในไหมครับ ดูเหมือนจะมืดหน่อย น่าเสียดายที่ผมไม่ได้ติดไฟฉายเล็กๆ มาด้วย แต่คิดว่าช่องหินที่แตกเป็นโพรงข้างบนนั่นก็ยังพอให้แสงส่องเข้ามาได้ คงจะพอมองเห็นอะไรอยู่บ้าง ว่าไงครับ… ลุยกันเลยไหม” เขาหันมาถาม
“ไปค่ะ”
เธอเดินตามหลังเขาลึกเข้าไปในถ้ำ แสงสว่างจากปากถ้ำลดน้อยลงทุกที แต่ก็ยังไม่ถึงกับมืดสนิท เธอยังมองเห็นว่าเมื่อเดินลึกเข้ามา โพรงหินก็กว้างขึ้น มองไปรอบๆ เหมือนเดินเข้ามาในห้องรูปทรงกลมที่ล้อมรอบด้วยหิน
“ตรงนี้มีทางเดินลึกเข้าไปอีกนะครับ” ชายหนุ่มปีนขึ้นไปบนหินก้อนใหญ่แล้วหันมาฉุดให้เธอขึ้นตามไป
เมื่อขึ้นมาบนหินก้อนนี้แล้ว หมอลลิตาจึงเห็นว่ามีทางเดินต่อ และสัมผัสได้ถึงสายลมพัดแผ่วๆ
“ดูเหมือนจะมีช่องลมนะคะ” เธอเดินตามเขาลึกเข้าไป
“ใช่ครับ ลมพัดมาจากทางนี้” เขาจูงมือเธอเดินลึกเข้าไป แล้วจู่ๆ ก็หยุดชะงักจนหญิงสาวที่เดินตามมาชนเข้ากับแผ่นหลังของเขา
“หยุดทำไมคะ”
“หมอลี ผมได้กลิ่นธูป!”
หมอลลิตาสูดลมหายใจ จริงอย่างที่เขาบอก เธอเองก็ได้กลิ่นธูปลอยมากับสายลมที่พัดโชยอ่อนๆ แม้ว่ากลิ่นนั้นมันจะจางมาก
“เราต้องเข้าไปค่ะ” อะไรบางอย่างดลใจให้เธอพูดออกไปอย่างนั้น
“จะดีหรือครับ” เขาหันมาเลิกคิ้ว”
หญิงสาวไม่ตอบ แต่ดันเขาเดินเข้าไปด้วยกัน บอกไม่ได้ว่าทำไม แต่เธอต้องเข้าไปในถ้ำนั่น
ทั้งสองคนเดินไปตามทางเล็กและแคบ พวกเขาได้กลิ่นธูปชัดเจนขึ้น รวมทั้งความรู้สึกของหมอลลิตาที่ชัดเจนขึ้นด้วย เธอรู้ว่าที่สุดทางจะต้องพบอะไรบางอย่าง
“หมอลี” อีกครั้งที่ผู้กองกาจพลหยุดเดิน สายตาของเขาจ้องมองไปข้างหน้า
หญิงสาวมองตามไปก็เห็นว่าที่สุดทางเดินนั้นเป็นเวิ้งถ้ำที่กว้างประมาณห้องขนาดเล็ก บนแท่นหินมีกลดสีกรักของพระธุดงค์ที่ค่อนข้างเก่าซีด และเธอเห็นหลวงพ่อวัยชราอายุประมาณเจ็ดสิบรูปหนึ่ง ท่านนั่งสมาธิสงบนิ่งอยู่ภายใต้ลำแสงที่ส่องลงมาจากช่องหินแตกเบื้องบน แลดูเหมือนท่านเป็นคนที่ฟ้ากำหนดเลือกลงมา
นี่เองที่มาของกลิ่นธูปซึ่งลอยอวลอยู่ในเวิ้งถ้ำเมื่อพระธุดงค์รูปนั้นจุดธูปสวดมนต์ภาวนา
ผู้กองกาจพลค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาจากช่องท้องด้วยความโล่งใจ เขาหันมายิ้มให้หญิงสาว “พระธุดงค์น่ะครับ เราเข้าไปกราบท่านกัน”
สองหนุ่มสาวค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ แล้วทรุดกายลงกราบหลวงพ่อซึ่งกำลังหลับตารูปนั้น เหมือนกับว่าท่านสามารถมองเห็นทุกสิ่งอย่างได้ด้วยสัมผัสพิเศษ พระชรารูปนั้นลืมตาขึ้นมาช้าๆ สายตาทอดนิ่งมองมาที่เขาและเธอ ไม่มีอาการแปลกใจแต่อย่างใด
“นมัสการครับหลวงพ่อ”
“เจริญพรเถิดโยม”
“ผมแปลกใจมากเลยที่พบหลวงพ่อมานั่งธุดงค์อยู่ในถ้ำนี้” ผู้กองกาจพลพูดสิ่งที่เขาคิด ทว่าหลวงพ่อก็ไม่ได้พูดตอบอะไร เพียงแต่นั่งนิ่งๆ
“หลวงพ่อมาธุดงค์ที่ถ้ำนี้นานหรือยังคะ” หมอลลิตาเป็นฝ่ายถาม
“ตั้งแต่พายุเข้าน่ะโยม เข้ามาหลบฝนในนี้”
“แล้วบิณฑบาตยังไงครับ” กาจพลย่นหัวคิ้ว
“ก็เดินลงไป ที่ตีนผาก็มีบ้านของชาวบ้านอยู่บ้าง”
“โอ้โฮ ไกลมากนะครับ”
“โยมก็มาไกลมากเหมือนกันสินะ” สีหน้าสงบนิ่งนั้นเหมือนจะยิ้มน้อยๆ ด้วยความเมตตา
“ครับ พวกผมมาจากกรุงเทพฯ จะไปพักบ้านเพื่อน แต่มาเจอพายุ แถมถนนยังขาดด้วย เลยติดแหง็กอยู่ที่เคหาสน์สี่ทิศตั้งแต่เมื่อวานแล้ว อ่า… ผมหมายถึงตึกจีนโบราณที่อยู่เหนือถ้ำนี้ขึ้นไปน่ะครับ” กาจพลเล่าให้ท่านฟัง
“อาจจะต้องอยู่นานกว่าที่คิด…” ท่านพูดเสียงเรียบเรื่อย ชายหนุ่มฟังแล้วเหมือนมีนัยอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไร ท่านก็พูดต่อ “ดูท่าพายุจะยังเข้ามาอีกหลายวัน”
“หรือครับ ทำไมหลวงพ่อทราบ” ชายหนุ่มย่นหัวคิ้ว
“บางครั้งคนเราก็ต้องพบกับพายุแรง บางคนผ่านพ้นไปได้ บางคนก็ไม่ได้…” ท่านไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่กลับพูดไปอีกเรื่อง
ชายหนุ่มฟังสิ่งที่หลวงพ่อพูดแล้วก็แปลกใจ เหมือนกับท่านพยายามจะบอกอะไรบางอย่างแต่เขาก็ไม่เข้าใจ หมอลลิตาเองก็นั่งนิ่งเช่นเดียวกับเขา เธออาจจะสัมผัสได้ว่าหลวงพ่อไม่ได้พูดเรื่องปกติ แต่มีอะไรบางอย่างที่ท่านอยากจะบอก ทว่าไม่สามารถจะพูดตรงๆ ได้
“สมาธิและปัญญาเท่านั้นจึงจะพาให้ผ่านพ้นไปได้” ท่านพูดแล้วก็หลับตาลง เหมือนกับว่าต้องการเข้าสู่ความสงบต่อ
หมอลลิตาเอื้อมมือมาจับแขนของเขา เธอพยักหน้าให้เป็นสัญญาณบอกว่าควรจะกลับและออกไปจากตรงนี้ และปล่อยให้หลวงพ่อนั่งสมาธิอย่างสงบ ทั้งสองจึงก้มลงกราบท่าน แล้วเดินจากมาอย่างเงียบๆ จนกระทั่งเดินออกมาจนถึงปากถ้ำ ผู้กองกาจพลจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น
“ไม่คิดเลยว่าจะพบพระธุดงค์อยู่ในถ้ำนั่น”
“ในถ้ำก็สงบเงียบดีนะคะ เสียอย่างเดียวว่าไกลจากชุมชนไปหน่อย จะบิณฑบาตทีก็เดินไกลมากๆ เลย”
“ไว้เรามาใส่บาตรท่านกันไหมครับ”
“ก็ดีนะคะ” หญิงสาวพยักหน้า
“หมอลีคิดว่า พระธุดงค์รูปนั้นท่านจะบอกอะไรเราหรือเปล่าครับ”
“ลีก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่เราอาจจะรู้ในไม่ช้านี้”
หญิงสาวเหลือบตาขึ้นมองไปด้านบนของหน้าผาที่อยู่สูงขึ้นไปจากปากถ้ำเล็กๆ นี้
แดดเที่ยงแผดกล้าร้อนแรงสะท้อนหลังคาสีแดงเข้มดังหยดเลือดให้ดูพร่าเลือนไป