ศรีนาง ตอนที่ 3 : นักเลงร้านชำ
โดย : เมษาริน
ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หม่อมราชวงศ์ฉัตรชลธรให้เวลาสารินไม่กี่วันเพราะเบนจามิน เทย์เลอร์เพื่อนชาวอังกฤษเดินทางมาถึงประเทศสิงคโปร์แล้ว ฝ่ายนั้นจะเดินทางเข้ามาเลเซียแล้วนั่งรถไฟต่อมาประเทศไทย โดยสารินต้องเดินทางไปล่วงหน้าเพื่อรอรับ
‘ฉันมีเพื่อนเป็นครู ช่วงนี้ปิดเทอมพอดี เอารถมันมาใช้ได้’ ฉัตรชลธรยื่นซองจดหมายให้สาริน หน้าซองเขียนด้วยลายมือสวยงามเป็นเอกลักษณ์ ‘ฉันโทรศัพท์ไปบอกทางนั้นไว้แล้ว’
‘ครับคุณชาย’ สารินรู้ดีว่าน้าชายเป็นคนกว้างขวาง จึงไม่แปลกที่จะรู้จักคนเยอะ
‘เรื่องที่พักก็ไม่ต้องเป็นห่วง พักรวมกับคณะของกรมป่าไม้ มีทั้งเจ้าหน้าที่ นักวิชาการสัตวบาล นักวิทยาศาสตร์’
ทันทีที่เดินทางถึงสถานีรถไฟ สารินกระชับเป้ลายพรางคู่ใจ มองหาเพื่อนน้าท่ามกลางผู้คนมากมายเพราะที่นี่เป็นสถานีใหญ่
“ไปบ้านดอนม่ายพี่บ่าว” เด็กหนุ่มผิวคล้ำตาคมรูปร่างผอมเก้งก้างวางท่าเป็นผู้ใหญ่ ดัดเสียงเข้มแล้วถามด้วยภาษาถิ่นที่สารินไม่ชินสำเนียงแต่พอฟังรู้เรื่อง
“ไม่ไป”
“แล้วเติน (1) ติไปไหน”
“ไปเขื่อน”
“ไกล” เด็กชายตัวดำผมสั้นแนบหนังศีรษะทำท่าคิด “หารถให้เอาม่าย ไม่ต้องเสียเบี้ย ผมฝากให้นิ”
สารินจับใจความประโยครัวๆ เร็วๆ ได้ดี อมยิ้มกับเจ้าถิ่นตัวน้อยที่เกาคางระหว่างใช้ความคิด ยังไม่ทันพูดอะไร อีกฝ่ายก็ชี้มือชี้ไม้ไปที่รถสองแถวคันหนึ่ง
“พอดีเลยพี่บ่าว นั่นๆ เถ่าเกจ๋าย แกเป็นพ่อค้ามีรถไปเขื่อน”
“ขอบใจมาก เป็นเด็กมีน้ำใจนะเรา” สารินยิ้มอ่อนโยนให้เด็กชาย “แต่พี่มีรถ”
“อ้าว แล้วก็ไม่บอก” เด็กชายเท้าสะเอว หน้านิ่ว หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน ท่าทางเดาง่ายว่าไม่พอใจ แต่ดูอย่างไรก็น่าขัน “ให้แหลงตั้งนาน เจ็บคอเหม็ด”
“งั้นเอาอันนี้ไป แก้เจ็บคอ” สารินเปิดกระเป๋าเป้ แล้วยื่นกระป๋องเหล็กขนาดพอๆ กับกระป๋องแป้งใส่เม็ดอมสีน้ำตาลเข้มที่ให้รสชาติชุ่มคอ
“ให้จริงใช่ม่ายนิ” แววตาเด็กชายเป็นประกาย แต่สีหน้าลังเลไม่มั่นใจ
“จริง รับไปสิ พี่ต้องไปแล้ว” สารินสังเกตเห็นรถกระบะดัทสันรุ่นแอลห้าสองหนึ่งสีฟ้าจอดเทียบหน้าอาคาร ป้ายทะเบียนตรงตามที่ฉัตรชลธรบอกไว้
ฝ่ายเด็กชายคว้ากระป๋องเหล็กแล้ววิ่งปรู๊ดหายไปกับฝูงชน สารินมองตามพลางหัวเราะ ชายหนุ่มเดินตรงไปหาคนที่นัดแนะกันไว้ หลังจากทำความรู้จัก ยื่นจดหมายให้เจ้าของรถ จากนั้นครูหนุ่มซึ่งเคยสนิทสนมกับน้าชายของเขาก็มอบรถกระบะให้สารินใช้ระหว่างช่วยงานทางนี้
“พี่กิ่ง”
ร้อยตรีหนุ่มหันไปตามเสียงซึ่งดังมาจากด้านหลัง
“นุ้ย ทางนี้” หญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งยืนโบกมือ โดดเด่นสะดุดตาด้วยรูปร่างอรชรและเสื้อผ้าสีสดใส ครู่เดียวหญิงสาววัยแรกรุ่นก็กึ่งเดินกึ่งวิ่งผ่านสาริน ทว่าชายหนุ่มเห็นหน้าไม่ชัดเมื่ออีกฝ่ายสวมหมวกสานใบใหญ่บดบังใบหน้า
สารินเลิกสนใจสิ่งรอบข้าง นายทหารหนุ่มคลี่แผนที่ กระทั่งมั่นใจในเส้นทางจึงขึ้นรถแล้วบิดกุญแจสตาร์ต…
“พี่บ่าวๆ อย่าเพิ่งไป” เด็กชายคนเดิมวิ่งหน้าตั้งมาเคาะกระจก
“มีอะไรหรือเปล่า”
“พี่บ่าวจะไปที่เขาสร้างเขื่อนใช่ม่าย”
“ใช่”
“เราขอติดรถไปด้วยได้ไหมคะ”
คราวนี้คนพูดเป็นหญิงสาวแต่งกายสดใสที่สารินเห็นเมื่อครู่ ชายหนุ่มยังไม่ทันพูดอะไร อีกฝ่ายก็อธิบายเพิ่มโดยใช้ภาษากลางติดสำเนียงเล็กน้อย
“พอดีรถยางรั่ว” กิ่งกาญจน์ชี้ไปที่รถสองแถวคันหนึ่งซึ่งมีชายฉกรรจ์สองสามคนมุงล้อหลัง “เด็กรถบอกว่าคุณขับรถไปเขื่อน เรา…ฉันกับหลานสาวจะขอติดรถไปด้วยค่ะ ได้ไหมคะ”
“พี่ทหารยังไม่เคยไปที่นั่นใช่ไหมจ๊ะ”
หนึ่งเสียงกังวานใสเอ่ยเสริม นั่นทำให้สารินต้องหันไปตามเสียง รอยยิ้มปรากฏพร้อมๆ สาวน้อยที่ถอดหมวกสานออกจากศีรษะ เปิดใบหน้าสวยแปลกสะดุดตา เธอมีผิวกายขาวอมเหลืองต่างจากคนอื่น แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือดวงตากลมโตฉายแววเฉลียวฉลาด คำพูดคำจาก็ฉะฉานน่าฟัง ทั้งหมดทั้งมวลทำให้สารินดับเครื่องยนต์ ชายหนุ่มลงจากรถแล้วถาม
“รู้ได้ไงว่าพี่เป็นทหาร” สารินเรียกแทนตัวเองว่าพี่ เพราะเดาว่าเจ้าของดวงหน้าอ่อนใสอายุยังไม่ถึงยี่สิบ
“หัวเกรียน เสื้อยืดที่พี่ใส่” ศรีนางชะโงกหน้าเข้าไปในรถ “แล้วก็ไอ้นั่น” ไอ้นั่นหมายถึงเป้ลายพราง
“บางทีของพวกนี้ไม่ใช่ของพี่ก็ได้” สารินไม่ใช่คนช่างพูด ทว่าตั้งแต่วินาทีแรกที่สบตากลมโตของอีกฝ่าย ความรู้สึกแรกคือ…เอ็นดู เป็นเหตุผลที่จู่ๆ ก็อยากสนทนาด้วย
“ชัดเลย” ศรีนางอมยิ้มจนแก้มป่อง “พี่ยืนตัวตรงแน่ว อกก็ผาย ไหล่ก็ผึ่ง ขนาดนิ้วมือยังเก็บเรียบร้อย เป็นทหารแน่ๆ”
สารินหัวเราะ จริงอย่างสาวน้อยพูดทุกอย่าง เขาโตมาในครอบครัวที่พ่อเป็นทหาร และเข้าเรียนโรงเรียนทหาร ประพฤติปฏิบัติในกฎวินัยมาทั้งชีวิต นานเข้ากลายเป็นนิสัยที่ฝังติดตัว
“เก่งนะเรา ช่างสังเกต” สารินยิ้มน้อยๆ ให้เด็กสาว
“พี่ไม่ต้องเปิดแผนที่หรอก ให้เราไปด้วย นุ้ยจะบอกทางพี่เอง” ศรีนางปั้นหน้านิ่ง แต่แววตาเป็นประกาย ความเยาว์วัยทำให้สนุกสนานกับทุกสถานการณ์ “อ้อ คนนี้พี่กิ่ง ส่วนคนนี้…” หญิงสาวชี้ที่ตัวเอง “ชื่อนุ้ย”
“พี่ชื่อริน สาริน” สารินก้มศีรษะให้กิ่งกาญจน์เดาว่าอีกฝ่ายอายุมากกว่า “นั่งเบียดกันได้หรือเปล่า”
“สบายมากค่ะ”
จากนั้นหนึ่งหนุ่มกับสองสาวก็เดินทางออกจากสถานีรถไฟ สารินขับรถไปตามทางหลวงตามที่สาวน้อยคอยบอก
“พี่กิ่งหลับแล้ว” ศรีนางลดเสียงบอกชายหนุ่ม หลังออกเดินทางได้สามสิบนาที
“น้องนุ้ยนอนได้นะ จากตรงนี้แค่ขับตรงไปใช่ไหม”
“นุ้ยไม่ง่วง” ศรีนางโกหก วันนี้เธอตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อเข้าเมืองมาช่วยกิ่งกาญจน์ซื้อของ หญิงสาวตาปรือแต่แสร้งทำหน้าสดชื่น
“ไม่ง่วงก็ไม่ง่วง” สารินอมยิ้ม ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพักผ่อน เขาจึงชวนหญิงสาวคุย “ทำไมพูดเก่ง หมายถึงสำเนียง”
“ตามาจากอีสาน คนจังหวัดอุดร…ส่วนก๊งกับอาม่าเป็นจีนฮกเกี้ยน พูดใต้ไม่เป็น ตั้งแต่เด็กๆ นุ้ยอยู่กับตายายบ้าง ปู่ย่าบ้าง ก็เลยพูดปนกันหมด อีสาน กลาง ใต้ จีน”
“เก่ง” สารินชมอย่างจริงใจ
“แล้วพี่รินจะไปเขื่อนทำไม ทำงาน?” ศรีนางเอียงคอมองนายทหารหนุ่มอย่างครุ่นคิด “ทหารต้องเข้าพื้นที่ด้วยเหรอ นุ้ยเห็นช่วงนี้มีพวกการไฟฟ้า กรมป่าไม้ วิศวกร แล้วก็คนงาน”
“พี่ไม่ได้มาในฐานะทหารหรอก ลาราชการน่ะ มาช่วยเป็นล่ามให้เพื่อนคุณน้า เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์มาจากอังกฤษทำวิจัยเรื่องผลกระทบของระบบนิเวศและสัตว์ป่าจากการสร้างเขื่อน ก่อนหน้านี้บทความของเขาเคยได้รับเลือกให้ตีพิมพ์ในนิตยสารไซเอนซ์ด้วยนะ”
“ลงในไซเอนซ์เลยเหรอคะ”
“รู้จักด้วย”
“ค่ะ เคยอ่านเจอ นุ้ยชอบไปร้านหนังสือ” หญิงสาวกระซิบทั้งที่ไม่จำเป็น “ไม่มีเงินซื้อหรอกค่ะ เลยไปยืนอ่านจนจบทั้งเล่ม”
สารินละสายตาจากถนนครู่หนึ่งเพื่อมองใบหน้าเด็กสาว เพราะความเจริญกระจุกตัวอยู่ในตัวเมืองทำให้หลายคนขาดโอกาสทางการศึกษา สารินไม่รู้ว่าการเดินทางเข้าป่าครั้งนี้เขาได้พบช้างเผือกเข้าแล้ว
“น้องนุ้ยชอบอ่านหนังสือเหรอครับ”
“ค่ะ”
“พี่หยิบติดมือมาสองสามเล่ม” สารินยิ้มเอ็นดูให้สาวน้อยที่กระตือรือร้นเมื่อได้ยินคำว่าหนังสือ “แต่ไม่แน่ใจว่าน้องนุ้ยจะสนใจหรือเปล่า มีกวีนิพนธ์สองภาษา หนังสือแปล นิตยสาร แล้วก็นิยายจีนกำลังภายใน”
“นิยายจีนเหรอคะ เคยเห็นเพื่อนผู้ชายอ่านที่โรงเรียน” ศรีนางกระตือรือร้น “กวีนิพนธ์สองภาษาก็น่าสนใจ อยากเรียนภาษาอังกฤษ ที่โรงเรียนสอนให้อ่านออกคำง่ายๆ หนังสือมีน้อย” หญิงสาวทำหน้าเศร้า ก่อนจะตื่นเต้นเมื่อคิดบางอย่างออก “พี่รินบอกว่าเป็นล่ามเหรอ แปลว่าพี่พูดภาษาอังกฤษได้?”
สารินพยักหน้า
“ที่โรงเรียนสอนเหรอ”
“พี่เรียนประถมที่โรงเรียนคริสต์น่ะ มีครูฝรั่ง แต่คุณตาของพี่จ้างครูมาสอนภาษาให้ลูกหลานที่บ้าน”
“จ้างครูมาสอนที่บ้าน?” ศรีนางตาโต เธอเคยได้ยินเรื่องแบบนี้ แต่นึกภาพไม่ออก สำหรับหญิงสาวที่ทั้งชีวิตไม่เคยไปต่างจังหวัด ดึงดันเรียนจนจบ ม.6 ทั้งที่ญาติพี่น้องไม่สนับสนุน เรื่องที่ได้ยินจึงเกินความคาดหมาย “บ้านพี่คงรวยมาก”
“เอ่อ…” สารินคิดว่าตอบยังไงดี “ฐานะธรรมดาครับ แต่คุณตาเห็นว่าการศึกษาสำคัญ ส่วนภาษาอังกฤษก็มีประโยชน์ จึงอยากให้ลูกหลานได้เรียนเพิ่ม ส่วนพี่…ก็ทำงานกินเงินเดือนเหมือนคนทั่วไป”
“ดีจังค่ะ” ศรีนางย้อนดูตัวเอง สะเทือนใจกับคำว่า…การศึกษาสำคัญ
“นุ้ยล่ะ เรียนจบแล้วหรือ”
“เพิ่งจบมอ6” ศรีนางบอกเสียงแผ่ว เธอไม่อยากพูดเรื่องตัวเอง จึงเปลี่ยนบทสนทนา “พี่รินอยู่นานมั้ย”
“ประมาณครึ่งเดือนครับ”
“ห้ามซื้อของร้านอื่นนะ พี่ต้องซื้อที่ร้านพี่กิ่ง” ศรีนางกำชับสีหน้าจริงจัง
“มาวันแรกก็เจอนักเลงร้านชำเข้าแล้ว” สารินพูดติดตลก
ศรีนางหายง่วง ใช้เวลาขณะเดินทางตอบคำถามสาริน ทั้งเรื่องทั่วๆ ไปอย่างสภาพสังคม เศรษฐกิจ สภาพอากาศ จนถึงสถานที่อย่างวัด โรงเรียน ตลาด
เบนจามิน เทย์เลอร์เป็นชาวตะวันตกผมสีแดง ตาสีฟ้า หน้าเป็นกระ รูปร่างสูงใหญ่กว่าชายไทย โดยเฉพาะเมื่อกระบะจอดนิ่งริมถนน สองหนุ่มต่างเชื้อชาติเดินเข้าร้านขายของชำในเวลาค่ำ
“ทีหลังไม่รอแล้วนะ” ศรีนางหน้ามุ่ย ปากคว่ำเป็นรูปสระอิ หญิงสาวยืนกอดอกหน้าประตูบานเฟี้ยมเตรียมปิดร้าน แต่ที่ยังไม่ปิดเพราะรอสารินกับเบนจามิน
“โซ ซอรี ยังเลดี” เบนจามินยิ้มอวดฟันขาว นักวิจัยชาวอังกฤษเดินทางมาถึงเมื่อไทยเมื่อสองวันก่อน และโดนศรีนางผูกขาดร้านค้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ขอบใจที่เปิดร้านรอ” สารินปล่อยเพื่อนน้าเลือกมื้อเย็น ซึ่งหนีไม่พ้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกับปลากระป๋อง
“พรุ่งนี้ไม่รอแล้ว”
“คุณเบนทำงานพร้อมแสง…เริ่มตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงดวงอาทิตย์ตก ถ่ายรูป จดบันทึก สัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ ชาวบ้าน ไม่เสร็จไม่เลิก ก็เลยลงมาช้า”
“ซื้อเก็บไว้สิ พรุ่งนี้นุ้ยไม่รอจริงๆ นะ”
“คุณเบนติดเบียร์เย็นๆ ต้องจิบวันละขวด” สารินเห็นว่าสาวน้อยร้านชำยังทำหน้าบึ้งตึง จึงเดินย้อนไปที่รถแล้วยื่นถุงกระดาษให้ศรีนาง
“อะไร”
“นิยายจีน…ฤทธิ์มีดสั้นของโกวเล้ง พี่ยังไม่ได้อ่านเลยนะ ให้นุ้ยอ่านก่อน”
“จริงเหรอคะ” ศรีนางรีบเปิดถุงกระดาษ เห็นหนังสือแล้วตาเป็นประกาย ใช้ปลายนิ้วลูบๆ คลำๆ บนปกแข็งก่อนเงยหน้าถามคนตัวสูงกว่า “เล่มหนึ่งเหรอพี่ริน เอ๋…มีทั้งหมดกี่เล่ม”
“หกเล่ม”
“พี่รินมีครบทั้งหมดไหม” ศรีนางกระตือรือร้น คืนนี้เธออ่านทันที “นุ้ยอ่านเร็วค่ะ แป๊บเดียวจบ พรุ่งนี้พี่รินเอาเล่มสองมาให้นุ้ยนะ นุ้ยจะเปิดร้านรอ”
“เอ่อ…” สารินทำท่าจะพูดว่าเขาหยิบหนังสือฤทธิ์มีดสั้นมาแค่เล่มหนึ่ง
“เฮ้ ริน…” ตอนนั้นเองที่เบนจามินตะโกนมาจากในร้าน ในมือถืออะไรบางอย่าง พร้อมทำหน้างง “What’s this”
“ยาหม่อง” สารินส่ายหน้าช้าๆ ริมฝีปากคลี่เป็นรอยยิ้มบางๆ ส่งให้ใบหน้าเกรียมแดดอ่อนโยน “ตราถ้วยทอง…Golden Cup Balm”
ศรีนางฟังสำเนียงรื่นหูของสารินด้วยความรู้สึกบางอย่าง ทั้งชื่นชมและชื่นชอบ เธอชอบพูดคุยสนทนากับคนที่มีความรู้ ความกระหายอยากเต้นเร่าอยู่ภายใน หญิงสาวคิดและจินตนาการถึงโลกภายนอก มีสักวิธีไหมให้เธอได้ออกไปสัมผัส
“อ่านเล่มหนึ่งให้จบก่อนเถอะ” สารินส่งยิ้มเอ็นดูให้สาวน้อย
“นุ้ยอ่านเร็ว คืนนี้ก็จบ”
“ไม่ต้องรีบอ่านก็ได้”
“รีบ” ศรีนางแย้ง เธอโตเป็นสาวแล้วก็จริงไม่มีจริตอย่างสาวแรกรุ่นทั่วไป เจ้าตัวไม่คิดเรื่องคู่ครองหรือคนรัก ส่วนหนึ่งเพราะหวาดกลัวการพลัดพราก จำได้ว่าตอนพ่อจากไปแม่เจ็บปวดเพียงใด “นุ้ย…นุ้ยไม่รู้ว่าต้องกลับเมื่อไหร่”
“อ้าว นุ้ยจะไปไหน” หัวคิ้วสารินย่นเข้าหากัน
“นุ้ยไม่ได้อยู่ที่นี่ค่ะ แค่มาช่วยเจกจ๋ายขายของ นี่ก็มาหลายวันแล้ว”
“บ้านนุ้ยอยู่ไหน”
“ไกลค่ะ ริมคลองอิปันโน่นเลย พี่รินเคยได้ยินเรื่องจ้าววังโนราห์หรือเปล่า” ศรีนางกระซิบกระซาบ “จระเข้กินคน”
“ไม่เคยครับ”
“คลองเดียวกัน แต่บ้านนุ้ยอยู่ต้นน้ำ ไม่มีจระเข้ มีแต่ปลาเป้า…ตัวนี้กัดเนื้อหลุดเหมือนกัน”
สารินเพียงยิ้มกับเรื่องเล่าของเด็กสาว พอใจอยู่ลึกๆ ที่เธอเป็นคนใฝ่รู้ รักการอ่าน และกระตือรือร้นอยากรู้อยากเรียน
“พี่รินสอนภาษาอังกฤษหน่อยนะ นุ้ยอยากคุยกับเบนบ้าง เขาพูดเร็ว พูดอยู่ในคอ นุ้ยฟังไม่ทัน ฟังไม่รู้เรื่อง”
“สำเนียงลิเวอร์พูลน่ะ ฟังค่อนข้างยาก”
“ลิ…ลิเวอร์พูลเหรอ นุ้ยเคยได้ยิน เจกจ๋ายพูดถึงบ่อยๆ”
“คนไทยน่าจะรู้จักลิเวอร์พูลเพราะทีมฟุตบอล ปีที่แล้วเพิ่งเกิดโศกนาฏกรรมเฮย์เซล เป็นข่าวดังมากๆ”
“พี่รินเคยได้ยินเรื่องเรือไททานิกไหม” ศรีนางถามเมื่อเห็นว่าสารินรอบรู้
“อืม…ไททานิกเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลกขณะนั้น ออกจากท่าเรือที่เมืองเซาแธมป์ตันไปนิวยอร์ก ก่อนชนภูเขาน้ำแข็ง” เมื่อเห็นตาโตเบิกกว้าง สารินจึงพูดต่อ “เรือล่มในมหาสมุทรแอตแลนติก”
“พี่รินเก่งจัง ถามอะไรตอบได้หมดเลย”
เป็นอีกครั้งที่ดวงตาของศรีนางเป็นประกาย และประกายวิบวับในตาของสาวน้อยชาวบ้านเปล่งแสงอบอุ่นในแววตาชายหนุ่มเมืองกรุง ทว่าความรู้สึกนั่นเจือจางบางเบาจนไม่รู้ตัว
“อยากเรียนภาษาอังกฤษจริงๆ เหรอ”
“จริงค่ะ”
“งั้นพรุ่งนี้เตรียมสมุดปากกาไว้นะ พี่จะสอนศัพท์ง่ายๆ ภาษาน่ะไม่ใช่แค่ท่องจำไวยากรณ์ แต่ต้องใช้ ต้องพูด เราโชคดีที่มีเบน”
สองหนุ่มสาวเห็นไปมองชายชาวอังกฤษซึ่งกระดกเบียร์จนแก้มแดงและพยายามเปิดฝายาหม่องอย่างเอาเป็นเอาตาย ภาพนั้นทำสองหนุ่มสาวหัวเราะออกมาพร้อมกัน
ทว่า ความสุข ความสนุกของศรีนางอายุสั้นเหมือนวงจรชีวิตผีเสื้อ
เช้าวันรุ่งขึ้น เด็กสาวต้องเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าในขณะที่ขอบตาแดงก่ำ เมื่อยายจันทร์กับป้ารุ่งนั่งรถประจำทางมารับเด็กสาวกลับบ้านไปช่วยทำงาน
ศรีนางไม่มีโอกาสได้ร่ำลาสารินกับเบนจามิน ทำได้เพียงฝากหนังสือกำลังภายในคืนเจ้าของ โอกาสท่องยุทธภพผ่านตัวอักษรจบลงแล้ว
เชิงอรรถ :
(1) หมายถึงคุณ มักใช้เรียกคนที่อาวุโสกว่า