ตะวันชายน้ำ บทที่ 4 : ศรัทธากับ…ความรัก
โดย : วสุทิยา
ตะวันชายน้ำ นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๒ โดย วสุทิยา ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวของ ทวิชา ผู้ซึ่งมีบาดแผลในใจที่เกินกว่าจะเยียวยา แต่เมื่อได้เห็นภาพ ตะวันชายน้ำ ภาพเขียนสุดท้ายของพ่อกับเด็กหญิงวันใหม่ ย่าอะเคื้อและภาสุ ความคิดของทวิชาอาจเปลี่ยนไปกับแง่มุมที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยรับรู้มาก่อน
หญิงสาวลืมตาขึ้น กะพริบตาถี่ๆ พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเบาๆ หล่อนใช้แขนยันกายลุกขึ้นนั่ง เอนหลังพิงกับหัวเตียงไว้ หันหน้ามองรอบห้องอย่างช้าๆ
หล่อนฝัน…สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพียงความฝันเท่านั้น ทวิชาบอกตัวเองพลางยกมือขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อซึ่งผุดพรายขึ้นเต็มใบหน้า
“พ่อ…นนท์” หญิงสาวครางเสียงแผ่ว พลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ยังรื้นอยู่ตรงหางตา ก่อนจะสะบัดหน้าแรงๆ ไล่อาการมึนงงที่ติดค้างอยู่ในหัว แล้วจึงเอื้อมไปหยิบมือถือขึ้นมาดู…เหลือเวลาเพียงชั่วโมงครึ่งก็จะถึงเวลาที่นัดกับภาสุไว้ หล่อนจึงรีบลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวทันทีพร้อมกันนั้นก็พยายามไม่คิดถึงความฝันเมื่อคืนและให้เหตุผลกับตัวเองว่าอาจเป็นเพราะร่างกายอ่อนล้าบวกกับความเครียดที่สะสมมาตั้งแต่ถึงเมืองไทย จึงทำให้ฝันถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีกครั้ง หลังจากไม่ได้ฝันมาหลายเดือนตั้งแต่เข้ารับการรักษาอย่างจริงจังเพราะอาการนอนไม่หลับที่สร้างความทุกข์ทรมานให้หล่อนมาหลายปี
หญิงสาวใช้เวลาร่วมชั่วโมงในการอาบน้ำแต่งตัว ก่อนจะลงมารับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรมเพื่อรอเวลา แต่กระนั้นกินอะไรไม่ได้มากนอกจากกาแฟดำแก้วเดียวกับขนมปังไม่ถึงครึ่งชิ้น ความฝันเมื่อคืนยังวนเวียนอยู่ในหัวจนตื้อไปหมด ท้ายสุดเมื่อดูเวลาแล้วเห็นว่าใกล้ถึงเวลานัด หล่อนจึงตัดสินใจออกมายืนรอหน้าล็อบบี
ทวิชายืนรออยู่ไม่ถึงนาทีรถยนต์คันหรูราคาแพงระยับของภาสุก็เลี้ยวผ่านหน้าประตูเข้ามาจอดเทียบยังจุดเดิมที่เขามาส่งเมื่อคืน เมื่อเห็นชายหนุ่มกดกระจกลงพลางโบกมือทักทาย หล่อนจึงเปิดประตูแล้วเข้าไปนั่งข้างคนขับ
“เป็นไงครับเมื่อคืนหลับสบายดีมั้ย” สถาปนิกหนุ่มเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี ใบหน้าของเขายามนี้ดูสดใสขึ้นกว่าเมื่อวาน อาจเป็นเพราะเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่เขาสวมที่ช่วยขับให้ผิวขาวใสของเขาสว่างขึ้น
ทวิชาเงียบไปครู่ก่อนจะตอบเสียงเรียบ แล้วละสายตาจากพลขับหนุ่มมามองท้องถนนเบื้องหน้าแทน
“แล้วนี่ทานอะไรมาหรือยังครับ ให้ผมแวะซื้ออะไรให้ทานก่อนมั้ย”
“ฉันทานมาจากโรงแรมแล้ว ขอบคุณนะคะ”
ภาสุยิ้มรับก่อนจะเงียบเสียงลงไม่ถามอะไรอีก ด้วยไม่รู้ว่าจะชวนอีกฝ่ายคุยอะไรดี ท้ายสุดนึกถึงอีเมลจากคุณวิสาข์ที่ส่งมาขอบคุณเขาตั้งแต่เมื่อคืนจึงหันไปถามหล่อนว่า
“คุณวิสาข์อีเมลมาหาผมเมื่อคืน บอกว่าคุณตัดสินใจจะขายบ้านตะวันชายน้ำให้ผม?”
“แม่บอกคุณอย่างนั้นเหรอคะ”
“เธออีเมลมาขอบคุณผมน่ะครับ ส่วนเรื่องบ้านผมอีเมลกลับไปถามจึงได้รู้ว่าคุณตกลงที่จะขายให้ผมแล้ว”
“ฉันไม่อยากอยู่เมืองไทยนาน จะปล่อยทิ้งไว้ก็เสียดาย หากคุณต้องการซื้อฉันก็ยินดี เพียงแต่ข้อแม้ในพินัยกรรมของพ่อคุณคงจะรู้รายละเอียดแล้ว”
“เรื่องที่ห้ามทุบทำลายตัวบ้านกับขอให้ย่าเคื้อกับวันใหม่อาศัยอยู่ต่อน่ะเหรอครับ” ภาสุหันหน้ามาแวบหนึ่ง “ผมทราบแล้วก็ยินดีมาก ถ้าภาพตะวันชายน้ำเป็นผลงานมาสเตอร์พีซของอาจารย์มารุต บ้านตะวันชายน้ำหลังนั้นก็เป็นผลงานมาสเตอร์พีซของผมเหมือนกัน รับรองผมจะรักษาเอาไว้อย่างดีเลย ส่วนเรื่องราคาผมไม่เกี่ยงนะครับ คุณเสนอมาได้เลย”
“แล้วแต่คุณเถอะค่ะ”
ภาสุพยักหน้า ใช้หางตาชำเลืองมองหญิงสาวข้างกาย ใบหน้างดงามที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางไว้บางๆ นั้นยังเรียบเฉยเหมือนเมื่อวาน จนเขาอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ที่หล่อนดูไม่ได้ยินดียินร้ายกับอะไรเลย ทั้งการเสียชีวิตของบิดาหรือแม้แต่ทรัพย์สมบัติที่บิดาทิ้งไว้ให้ ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกว่าหล่อนกำลังพยายามวิ่งหนีหรือไม่ก็ซุกซ่อนอะไรบางอยู่ตลอดเวลา
ภาสุสลัดความคิดสงสัยนั้นทิ้งไป ก่อนจะมาเพ่งสมาธิกับการบังคับพวงมาลัยไปตามท้องถนนที่เริ่มมีรถราวิ่งสวนหนาตาขึ้น บรรยากาศภายในรถจึงกลับมาเงียบสงบ ทวิชาเบือนหน้าหันมาทอดสายตามองการจราจรขวักไขว่ ก่อนจะสะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแตรรถดังมาจากด้านนอก!
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ภาสุที่สังเกตเห็นมาสักพักอดไม่ได้ที่เอ่ยปากถาม
“คะ?” หล่อนหันมาทำหน้างง
“ผมเห็นคุณสะดุ้งทุกครั้งเลยที่ได้ยินเสียงคนแตรรถ ไม่สบายหรือเปล่าครับ”
ทวิชาส่ายหน้าช้าๆ แทนคำตอบ หล่อนเบือนหน้าหันมาด้านนอกอีกครั้ง โดยไม่ได้กลับไปมองเขาอีกเลย พยายามตั้งสติมิให้เผลอตกใจเสียงนั้นอีก นานเกือบครึ่งชั่วโมงกระทั่งสัมผัสได้ว่ารถคันหรูของภาสุค่อยๆ ชะลอความเร็วลงแล้วนั่นแหละ หล่อนจึงหันหน้ากลับมาอีกครั้ง
แล้วตอนนั้นเองที่ใจซึ่งเคยนิ่งสงบมาได้สักพักของหล่อนก็กลับมาเต้นโครมครามระส่ำไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง!
ทวิชาขยับตัวอย่างอึดอัด หล่อนหายใจไม่ออกราวกับมีมือของใครสักคนกำลังบีบรัดลำคอแน่น เมื่อภาสุนำรถเข้ามาจอดที่ลานกว้างด้านหน้าของสถานที่ซึ่งครั้งหนึ่งหล่อนเคยเรียกมันว่า ‘บ้าน’!
“คุณทิชาครับ…คุณทิชา!?”
ทวิชาสะดุ้งเฮือก เสียงเรียกของภาสุดึงหล่อนให้หลุดจากห้วงภวังค์
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ผมเรียกอยู่หลายครั้งก็ไม่ได้ยิน”
“ปละ…เปล่าค่ะ” หญิงสาวพยายามระงับอารมณ์ ครู่หนึ่งกว่าที่หล่อนจะตั้งสติได้พลางหันไปบอกเขาว่า
“ที่นี่…ไม่เปลี่ยนไปเลยนะคะ”
ภาสุหันมาส่งยิ้มให้หล่อน แววตาของเขากำลังบอกว่าตัวเองภูมิใจแค่ไหนกับผลงานปรับปรุงต่อเติมบ้านหลังนี้ที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์
“ตอนเริ่มลงมือออกแบบ โจทย์ของผมคือการรักษาสภาพเดิมของบ้านไว้ให้มากที่สุด โดยเฉพาะที่ชั้นบนจะมีต่อเติมบ้างก็นิดหน่อยเพื่อให้ใช้งานสะดวกขึ้นเท่านั้น ส่วนด้านล่างคุณพ่อของคุณท่านต้องการทำเป็นแกลเลอรีแสดงผลงานศิลปะ ผมตั้งใจกั้นผนังทำเป็นห้องโล่งๆ ตอนหลังท่านย้ายลงมาทำงาน ผมก็เลยทำเป็นห้องเล็กๆ แยกออกมาอยู่ด้านในฝั่งที่ติดกับศาลาริมน้ำน่ะครับ”
ทวิชาไม่ได้ฟังสิ่งที่ภาสุพูดเลยสักนิด สายตาของหล่อนยังคงจับจ้องสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าไม่วางตา บ้านทรงไทยครึ่งปูนครึ่งไม้ชั้นเดียว หลังคาเป็นทรงปั้นหยามุงด้วยกระเบื้องว่าวรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดที่นำมาเรียงต่อกันในแนวเส้นทแยงมุมอย่างเป็นระเบียบงดงาม เรื่อยลงมาเป็นหน้าต่างบานเกล็ดที่ตอนนี้ถูกเปิดกว้างไว้เพื่อรับลม
หญิงสาวไล่สายตาลงมาที่ชั้นล่างซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นใต้ถุนโล่งๆ มองเห็นแต่เสาก่ออิฐถือปูน แต่บัดนี้ถูกกั้นเป็นห้องด้วยไม้สีขาวครีมกลมกลืนไปกับตัวบ้าน มองจากด้านนอกจะเห็นหน้าต่างลูกฟักกระจกระบายอากาศ ด้านหน้ามีบันไดเชื่อมสู่ระเบียงชั้นบนซึ่งตกแต่งประดับเชิงชายด้วยไม้ฉลุลายสีเดียวกันรอบบ้าน
“สำหรับคนเป็นสถาปนิก ผมเชื่อนะครับว่าสิ่งก่อสร้างจะยิ่งใหญ่ได้ต้องอาศัย ‘ศรัทธา’ ฉันใด ‘ความรัก’ ก็จะทำให้สิ่งก่อสร้างงดงามขึ้นฉันนั้น แล้วผมก็มั่นใจว่าบ้านหลังนี้จะต้องสร้างมาจาก ‘ความรัก’ อย่างแน่นอน”
ทวิชาพูดอะไรไม่ออก ลำคอหล่อนตีบตันไปหมด ได้แต่ปล่อยให้ภาสุพูดไปเพียงลำพัง เมื่อภาพความทรงจำในวัยเยาว์พรั่งพรูหลั่งไหลออกมาจากกล่องความทรงจำที่หล่อนซุกซ่อนไว้อย่างโดดเดี่ยวมาหลายปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพของพ่อกับแม่และ…น้องชาย!
“ไปครับ เราเข้าไปในบ้านกันดีกว่า ป่านนี้ย่าเคื้อรอแย่แล้ว โน่นไง…พอพูดถึงก็ชะโงกหน้าลงมาพอดี คงได้ยินเสียงรถ”
หญิงสาวกะพริบตาเร็วๆ เมื่อได้ยินถ้อยคำเชิญชวนของภาสุ สัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นจากศีรษะไล่ลงมาถึงบ่าทั้งสองข้างไปจนถึงปลายเท้า เริ่มต้นจากเบาบางจากนั้นไม่นานนักก็ค่อยๆ ทวีความหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ
หล่อนรู้สึกวิงเวียนราวกับนั่งอยู่บนเรือที่กำลังถูกคลื่นลูกแล้วลูกเล่าถาโถมโจมตี แต่ก็ต้องกลั้นใจเปิดประตูรถตามภาสุไปอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง!
แต่แล้วทันทีที่ปลายเท้าสัมผัสกับผืนดิน ความเจ็บปวดวิงเวียนเหล่านั้นก็หายไปสิ้น เมื่อความมึนชาเคลื่อนเข้ามาแทนที่ หญิงสาวรู้สึกราวกับถูกขุมพลังอะไรบางอย่างยกร่างให้ลอยขึ้นเหนือพื้น ก่อนจะถูกปล่อยร่วงลงสู่ก้นเหวลึกที่ไม่อาจคาดเดา
ในช่วงเวลานั้น เสี้ยวหนึ่งของความคิด หล่อนหวนนึกถึง ‘ทิชานนท์’ ก่อนที่สติทั้งหมดจะดับวูบ!
ทวิชาลืมตาขึ้นช้าๆ ได้กลิ่นหอมฉุนบางอย่างรวยรินตรงปลายจมูก พร้อมกับเสียงของใครสักคนดังแว่วอยู่ข้างหู
“ฟื้นแล้ว หนูทิชาฟื้นแล้วลูก…ซัน”
หญิงสาวพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง เมื่อพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนโซฟาตัวยาวภายในห้องกว้างโล่งที่มีเครื่องเรือนสำหรับใช้สอยอยู่เพียงไม่กี่ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นอุปกรณ์วาดภาพซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นของพ่อวางอยู่อย่างเป็นระเบียบจนดูโล่งโปร่งสบาย
ก่อนที่ภาสุจะเดินเร็วๆ พร้อมถือแก้วใบหนึ่งในมือออกมาจากมุมห้องด้านในสุดซึ่งกั้นไว้เป็นครัวเล็กๆ แล้วมาทรุดตัวนั่งข้างหล่อน
“เป็นยังไงบ้างครับ ดีขึ้นมั้ย”
“ฉันเป็นอะไรคะ” หล่อนพูดเสียงแหบแห้ง
“อย่าเพิ่งถามเลยครับ กินยาก่อนดีกว่า” ชายหนุ่มพูดพลางยื่นแก้วน้ำในมือส่งมาตรงหน้า ทวิชารับมาถือไว้อย่างงงๆ พอก้มมองแล้วเห็นน้ำสีขุ่นคลั่กอยู่ก้นแก้วก็ลังเล
“ยาหอมน่ะลูก…ผสมกับน้ำลอยดอกมะลิ กลั้นใจกินซะหน่อยจะได้ชื่นใจ”
ทวิชาเงยหน้าขึ้นจึงเห็นหญิงสูงวัยคนหนึ่งรูปร่างสูงโปร่งนั่งหลังตรงบนเก้าอี้ตรงหน้า เส้นผมที่ซอยสั้นนั้นกลายเป็นสีเทาเงินเกือบทั้งศีรษะ ริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปมันนั้นกำลังส่งยิ้มให้หล่อนพร้อมกับ สายตาที่มองมาอย่างเอื้อเอ็นดู ข้างๆ กันนั้นเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ตาใสแป๋วที่กำลังเอามือเท้าคางจ้องมองหล่อนเขม็ง
ภาสุเมื่อเห็นหล่อนเอาแต่ก้มมองสิ่งที่ถืออยู่ในมืออย่างกล้าๆ กลัวๆ จึงบอกว่า “ถึงแม้มันจะดูไม่ค่อยน่ากินเท่าไหร่ แต่เรื่องสรรพคุณไว้ใจได้ รับรองว่าถ้ากินเข้าไปแล้วคุณจะหายมึนหัวเป็นปลิดทิ้งเลย จริงมั้ยวันใหม่” ท้ายประโยคเขาหันมาแหย่เด็กหญิงที่เอาแต่ส่ายหน้าหวือ
“วันใหม่ไม่ชอบยาหอมของย่า”
หญิงสาวหันมองคนโน้นทีคนนี้ที และอาจเป็นเพราะสายตาคะยั้นคะยอพร้อมกับให้กำลังใจอยู่ในทีของทั้งอะเคื้อกับวันใหม่ หล่อนจึงหลับตาปี๋กลั้นใจรีบกระดกยาหอมในมือทันที…แล้วก็ได้ผลเพราะนอกจากจะหายมึนหัวเป็นปลิดทิ้งอย่างที่ภาสุบอกแล้ว ตอนนี้อาการอิดโรยอ่อนล้าที่เคยมียังหายสิ้น
“เป็นไงคะ…ดีขึ้นมั้ย” วันใหม่ถามพร้อมกับชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ทวิชาทำหน้าแหยๆ ก่อนจะรีบดื่มน้ำเปล่าตามไปอีกหลายอึก
“ฉันเป็นอะไรไปคะเนี่ย จำได้ว่าครั้งสุดท้ายกำลังเปิดประตูตามคุณไป แล้วหลังจากนั้นภาพมันก็
ดับเลย”
“คุณเป็นลมน่ะครับ”
“เป็นลม…ฉันเนี่ยนะคะ”
“คงเหนื่อยสะสมมาหลายวัน เมื่อวานก็เดินทางมาครึ่งค่อนโลกยังไม่ได้พักก็ต้องมาจัดการธุระที่โรงพยาบาลมาจนถึงที่วัด จะเป็นลมไปก็ไม่แปลกหรอกจ้ะ นี่ยังดีนะที่ซันเขาไปรับไว้ทัน ไม่อย่างนั้นถ้าล้มหัวฟาดพื้นไปละแย่เลย”
ทวิชายื่นแก้วเปล่าในมือส่งคืนให้คนที่ช่วยรับหล่อนไว้ กล่าวขอบคุณเบาๆ ก่อนจะมายิ้มให้กับแววตาใสซื่อของเด็กหญิงที่พูดเจื้อยแจ้วอยู่ข้างกาย
“พี่ทิชาสวยกว่าในรูปอีกนะคะเนี่ย”
“รู้จักพี่ด้วยเหรอจ๊ะ”
“รู้จักค่ะ” วันใหม่ตอบทันที หน้าตาจริงจัง “คุณลุงเคยเอารูปให้ดูบอกว่าเป็นลูกสาวของคุณลุงชื่อพี่ทิชา ตอนนั้นพี่ทิชายังตัวเล็กอยู่เลย แต่วันใหม่จำได้”
ทวิชายิ้มหันไปมองภาสุเหมือนจะขอคำยืนยัน ก่อนอีกฝ่ายจะพูดแนะนำเสียงขรึม
“วันใหม่ครับ…เด็กผู้หญิงที่ผมเคยเล่าให้ฟัง” เขาพูดพลางเอื้อมมือมาโยกศีรษะของเด็กหญิงเบาๆ ไม่ทันที่ภาสุจะกล่าวจบ อะเคื้อก็แทรกเสียก่อนว่า
“ส่วนย่าชื่ออะเคื้อ…ความจริงไม่ต้องแนะนำก็ได้…ย่ารู้จักหนูทิชาดีถึงแม้ว่าเราจะเคยเจอกันไม่กี่ครั้งก็ตาม” หญิงชราพูดติดตลก พอเห็นสีหน้าสงสัยของทวิชาจึงอธิบายต่ออย่างใจเย็น
“ย่าเป็นเพื่อนกับรำไพ…คุณย่าของหนู ถ้าจำไม่ผิดตอนเด็กๆ เราน่าจะได้เคยเจอกันอยู่ครั้งสองครั้งได้มั้ง ตอนมารุตเขาพาครอบครัวไปเที่ยวที่เชียงราย แต่พอหนูย้ายไปอยู่อังกฤษเราก็เลยไม่ได้เจอกันอีก”
“ฉัน…” หล่อนลังเล ไม่รู้ว่าควรใช้สรรพนามอะไร ความห่างจากที่นี่ไปนานทำให้ไม่คุ้นชินกับการนับญาติอย่างคนไทย “ขอโทษนะคะที่ฉันจำอะไรไม่ได้เลย”
“ทิชาจะเรียกย่าว่าย่าเคื้อเหมือนซันก็ได้ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกันแต่ย่าก็เป็นเพื่อนสนิทกับย่าของหนู แถมยังเห็นพ่อของหนูมาตั้งแต่เด็ก ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ”
“ค่ะ…ย่าเคื้อ” หญิงสาวรับคำ “ทิชาจำอะไรตอนนั้นไม่ได้เลย”
“หนูยังเล็กมาก สองสามขวบเองกระมัง จำไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอก”
ทวิชายิ้มเซียวๆ ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก หล่อนพยายามขุดค้นภาพความทรงจำในอดีต เพียงแต่ค้นหาเท่าไรก็ไม่เคยปรากฏภาพความทรงจำอย่างที่อะเคื้อพูดถึงเลยสักนิด
หญิงสาวจำได้เพียงว่าสำหรับหล่อนแล้วคำว่า ‘ครอบครัว’ มีเพียงพ่อที่เป็นจิตรกรธรรมดาซึ่งในตอนนั้นยังไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมายนัก แต่ก็พอมีรายได้จากการวาดภาพหรือสอนหนังสือในมหาวิทยาลัยมาจุนเจือดูแลครอบครัวอย่างไม่เดือดร้อน ในขณะที่แม่ของหล่อนเป็นพนักงานบัญชีเล็กๆ ของบริษัทแห่งหนึ่ง ทุกเช้าหลังจากแม่ขับรถยนต์คันเก่าออกไปทำงาน ทวิชาจะต้องวิ่งเข้าไปขลุกอยู่กับพ่อในห้องทำงานแทบทั้งวัน ด้วยการเฝ้ามองพ่อวาดรูปอยู่เงียบๆ อย่างไม่รู้เบื่อ บางครั้งก็จะปีนขึ้นไปนั่งบนตักเพื่อให้พ่อสอนจับพู่กันละเลงสี หลังจากนั้นหล่อนก็จะรอจนแม่กลับมาบ้านในช่วงเย็นซึ่งช่วงเวลาที่ทวิชามีความสุขมากที่สุดของวัน นั่นคือการไปนั่งตรงระเบียงบ้านซึ่งติดกับแม่น้ำสายใหญ่เพื่อเฝ้ารอเวลาที่พระอาทิตย์ดวงกลมโตจะค่อยๆ ลับขอบฟ้าตรงชายน้ำพร้อมกัน
ดังนั้นโลกของหล่อนในตอนนั้นจึงมีเพียงบ้านหลังนี้ ห้องทำงานของพ่อและระเบียงริมน้ำเท่านั้น ไม่เคยมีญาติผู้ใหญ่ที่ไหนให้ไปเยี่ยมเยียน นอกจากคุณยายที่เสียชีวิตไปนานแล้วโดยเฉพาะคุณปู่คุณย่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะหล่อนไม่เคยได้ยินพ่อเอ่ยถึงเลยสักครั้ง เด็กหญิงทวิชาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและเสียงหัวเราะในทุกวัน
จนกระทั่งวันหนึ่ง…เสียงหัวเราะและความสุขเหล่านั้นก็ได้เลือนหายไปพร้อมกับลมหายใจของทิชานนท์…น้องชายคนเดียวของหล่อน!
ความคิดของทวิชาสะดุดลงแค่นั้นเมื่อได้ยินภาสุพูดขึ้นว่า “คุณอยู่ที่นี่ให้ย่าเคื้อพาสำรวจบ้านไปก่อนนะครับ เดี๋ยวผมขอตัวกลับไปหาปู่สักครู่ แล้วเดี๋ยวเย็นๆ พวกเราค่อยไปวัดพร้อมกัน”
พูดเสร็จชายหนุ่มก็หันหลังแล้วเดินออกจากห้องไป ทวิชามองร่างสูงกับขายาวๆ ของเขาที่กำลังก้าวเดินเป็นจังหวะสม่ำเสมอค่อยๆ ห่างออกไปทีละนิด หล่อนเห็นเขาเดินไปเปิดประตูรถคันหรูของตัวเอง ก้มตัวลงไปควานหาอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยปิดประตู กดล็อก ก่อนจะหันกลับมาโบกมือให้หล่อนกับวันใหม่ซึ่งเดินมาส่งตรงหน้าประตู แล้วเดินเลี่ยงไปทางซ้ายมือมิใช่หน้าประตูอย่างที่ควรจะเป็น ไม่ทันจะเอ่ยถามอะเคื้อซึ่งเดินมายืนซ้อนอยู่ด้านหลังก็ไขข้อสงสัยของหล่อน
“ตอนออกแบบแปลนต่อเติมบ้าน พ่อของทิชาเขาให้ทำประตูเล็กๆ เชื่อมระหว่างบ้านเรากับบ้านของคุณศัลย์ จะได้ไม่ลำบากอ้อมไปอ้อมมาตอนเดินไปมาหาสู่กัน…อ่อ…ทิชาคงไม่รู้จักคุณศัลย์สินะ”
ทวิชาส่ายหน้าช้าๆ แทนคำตอบ
“คุณศัลย์…เขาเป็นปู่ของซัน เพิ่งมาซื้อบ้านต่อจากเจ้าของคนเก่าเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วเห็นจะได้ ทำเป็นโฮมออฟฟิศเปิดบริษัทรับออกแบบบ้าน เป็นสถาปนิกเหมือนกันทั้งปู่และหลาน”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งไม่ได้พูดหรือซักไซ้อะไรต่อ อะเคื้อจึงเอื้อมมือมาแตะเบาๆ ตรงข้อศอกก่อนจะเอ่ยคำที่สะท้อนวาบเข้าไปในอกของผู้ฟัง
“ไปลูก…ขึ้นไปดูข้างบนกัน ความจริงทิชาไม่ต้องนอนที่โรงแรมก็ได้ ย่าเตรียมห้องไว้ให้แล้ว ห้องนอนเดิมของทิชานั่นแหละ พ่อเขายังรักษาทุกอย่างเอาไว้เหมือนเดิม เพราะคิดว่าสักวันทิชาจะได้กลับมานอนอีกครั้ง ถ้าตอนนี้มารุตยังมีชีวิตอยู่ เขาคงดีใจมากที่เห็นหนูกลับมาบ้าน!”