ชื่อธีด้าชอบหาเรื่อง บทที่ 3 : นายแท่น

ชื่อธีด้าชอบหาเรื่อง บทที่ 3 : นายแท่น

โดย : กวินนภา

Loading

ชื่อธีด้าชอบหาเรื่อง นวนิยายออนไลน์ โดย กวินนภา ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวรักโรแมนติกน่ารักของหญิงสาวผู้เป็นยูทูบเบอร์ชื่อดังกับชายหนุ่มผู้ที่โลกใบเก่าของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง…และเขาต้องเลือกว่าจะเปลี่ยนตัวเองไปตามโลกหรือทิ้งทุกอย่างเอาไว้เป็นเพียงอดีต

*************************

– 3 –

ถ้าตาไม่ฝาด คนที่ยืนคุมการแสดงตรงเวทีกองฟางซึ่งป็อปมากในเวลานี้ ก็คือพี่นายแท่น

กวินธิดาจำกางเกงทรงเดฟ กับแว่นทรงจอห์น เลนนอนของเขาได้ไม่เคยลืม แล้วพยานบุคคลที่ยืนยันได้อีกชัดแจ๋วก็คือผู้ชายอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ พี่จ้อน หรือจอห์นนี่ ผู้จัดการผลประโยชน์ของช่องเราเอง

ใบหน้าของน้องสาวนักจัดการซีดเป็นกระดาษขึ้นมาทันใด เมื่อจับได้ถึงการแปรพักตร์ของพี่ชาย…นี่ถึงขนาดแฉความลับทางธุรกิจของน้องสาวให้คู่แข่งรู้เชียวหรือนี่  ไจ๋ไจ๋พยักพเยิดเรียกพี่ชายให้ออกมาคุยกันเป็นการส่วนตัว ส่วนเขานั้นก็ตอบรับด้วยอาการประหลาดใจแบบไม่มาก

“ยายไจ๋…นึกแล้วว่าต้องมา”

“แล้วพี่ล่ะ มานี่ได้ไง ทำไมถึงมาอยู่กับทีมเก๋าสยาม พี่รู้ตัวมั้ยว่าพี่ทำอะไรอยู่”

“รู้สิ ก็พี่เคยบอกแล้วไง ว่าเป็นคอนเซาต์ให้เก๋าสยาม จำไม่ได้เหรอเราอะ”

“เรื่องนั้นน่ะรู้แล้ว…แต่พี่จะทำแบบนี้ไม่ได้นะ มันผิดกติกา”

“ผิดยังไง ไหนลองว่ามาสิ”

“พี่ทำงานให้ช่องธีด้ามาเนี่ยนแล้วพี่จะทำควบให้เก๋าสยามอีก อย่างนี้พอมีความลับอะไรรั่วไหล เขาก็โทษไจ๋อะสิ ว่าเอาความลับไปขาย”

“โธ่…นึกว่าเรื่องอะไร” พี่ชายยักไหล่ทำท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวใส่น้องสาว “ความลับอะไร ไม่เห็นต้องมีเลย รายการแกดูง่ายจะตาย มามุกนี้ เดี๋ยวก็มาอีกซ้ำๆ คนเขาจับทางได้หมดแล้ว…นี่เห็นมั้ย พี่ยังรู้เลย ว่าเดี๋ยวต้องมาโผล่ในงานเฟสอีดีเอ็ม…เก่งมั้ยล่ะ”

“พี่กำลังทำให้ไจ๋ลำบากใจนะ”

“ไม่เอาน่า อย่าคิดมาก…พักเรื่องงานก่อน เป็นวัยรุ่นอย่าไปเครียด…นี่มาฟังเพลงยุค 70’s กันดีกว่า เห็นมั้ย คนดูตรึม อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าป่วนจริง…นี่ไอเดียพี่เอง แต่พี่นายแท่นเป็นเลือกแนวเพลง”

ไจ๋ไจ๋มองไปที่เวทีกองฟาง ยอมจำนนด้วยไอเดียจริงๆ แม้ตนเองจะเป็นคนไอเดียบรรเจิดมาตลอดก็ยังคิดสู้ครั้งนี้ไม่ได้

ในงานเทศกาล EDM หรือที่ย่อมาจากอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์มิวสิก ส่วนใหญ่มีเวทีหลายขนาด ต่างคอนเซปต์กันไป ส่วนมากเวทีส่วนกลางจะใหญ่สุดและจะถมดีเจไว้ที่นี่พร้อมระบบแสงสีเสียงเต็มอัตรา เรียกว่าใช้พลังรถปั่นไฟคราวนึงเท่ากับใช้ทั้งอำเภอเพื่อเธองานเดียวนะรู้มั้ย โดยจริตแล้วงานลักษณะนี้จะเป็นแหล่งรวมวัยรุ่น วัยทำงานตอนต้น ที่มาอวดทรวดทรง อวดหนังหน้า แล้วก็ปล่อยลีลาดีดแดนซ์กันกระจาย พร้อมๆ กับเสพของมึนเมาไปด้วยในคราวเดียว เมื่อต่างคนต่างเมา ก็นอนแผ่กองกันอยู่ตามพื้น ไม่ต้องกระเสือกกระสนกลับบ้านให้เมื่อยตุ้ม แล้วพอวันรุ่งขึ้นฟื้นได้สติก็กลับมาดีดดิ้นกันใหม่ วนอยู่อย่างนี้สองวันสองคืนบ้าง สามวันบ้าง หรือบางรายการจัดกันยาวๆ ถึงสี่ห้าวัน

ว่าแต่ว่างานลักษณะนี้ มีอะไรให้ช่องยูทูบชั้นนำสนใจนักหรือ

ตอบเลยว่า ไม่ เพราะไม่ว่าจะกี่รายการก็มีอยู่แค่นี้ เปิดเพลง เมาๆ กระโดดๆ กรี๊ดๆ

แต่สำหรับกวินธิดา และนายแท่น ต่างก็ไม่คิดอย่างนี้

นายแท่นนั้น ลอกรูปแบบรายการ ธีด้ามาเนี่ยนจนสามารถจับแนวทางของตนเองได้แล้วว่า หากเป็นช่องเก๋าสยาม เขาควรสร้างคอนเทนต์ (หรือเนื้อหา) อย่างไร จึงจะมัดใจคนดูให้อยู่กับช่องไปนานๆ

ต้องเสนอแบบขัดแย้ง ผิดที่ผิดทางสิ คนดูชอบ…เขาคิดเหมือนกวินธิดาเข้าให้แล้ว!

ภายหลังจากทำการบ้าน โดยไม่ต้องหาข้อมูลจากไหนมากมาย นายแท่นถามตนเองในวัยสามสิบกว่าๆ ว่าวัยรุ่นในยุคก่อน EDM เขาคลั่งสิ่งใดกันหนอ

กดปุ่มเวลาย้อนไป คำตอบอยู่ที่กรอบแว่นตาทรงลุงจอห์นของเขานั่นเอง ไล่เรียงไปยุคนั้นน่าจะใกล้เคียงกับช่วงเวลาโด่งดังของ สมัย ‘จอห์น เลนนอน แห่งวงเดอะ บีเทิลส์’ นายแท่นกดเข้าไปหาอ่านในวิกิพีเดีย คำตอบก็เด้งขึ้นมาว่า

ปู่ทวดของงานเทศกาลดนตรีน่าจะมาจาก ‘กลุ่มฮิปปี้ หรือ บุปผาชน’ คำว่าฮิปปี้ มาจากคำว่า ฮิปสเตอร์ในภาษาอังกฤษ เกิดมาจากการเคลื่อนไหวของหนุ่มสาว เริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาก่อน แล้วแพร่ไปทั่วโลก ตั้งแต่ปี 1960 งานเทศกาลที่โด่งดังมากในช่วงนั้นก็อย่างเช่นซัมเมอร์ออฟเลิฟ ทางฝั่งตะวันตกของอเมริกา และเทศกาลวูดสต็อก ทางฝั่งตะวันออก บรรยากาศภายในงานนั้นไม่ควรมาสาธยายในยุคนี้ เพราะมอมเมากว่ากันเยอะ

ชายหนุ่มในแว่นตาทรงกลมสะดุดความคิดตรงคำว่า ‘บุปผาชน’ หากว่า…เขานำปู่ทวดของงานเทศกาลดนตรีมาโชว์ตัวในงานรุ่นหลานอย่างงาน EDM ได้ คอนเทนต์ในช่องของเขาก็จะดูมีคุณค่าความเก๋าขึ้นมาอีกเป็นกอง

แต่ยุคนี้ พ.ศ.นี้ เขาจะไปหาคนดนตรีในแบบบุปผาชนมาจากไหน แต่ละคนคงอยู่ในวัยตำน้ำกินกันหมดแล้ว หรือไม่ก็คงร้างลาวงการไปประกอบอาชีพอื่น ตามวัฏจักรแฟชั่นของผู้คนตามยุคตามสมัย

ครั้นอีกสามวันก่อนงานเทศกาลดนตรีนี้จะเริ่ม เขาก็ได้ข่าวดี…

“ศิลปินอินดี้ฮิปปี้ๆ คันทรีหน่อยๆ ตรงตามสเปกเป๊ะ เล่นอยู่ผับที่เขาใหญ่นั่นแหละพี่นายแท่น” สายรายงานมาจากกลุ่มช่างภาพสารคดีที่เคยร่วมงานกับเขา เมื่อครั้งที่สำนักพิมพ์ของครอบครัวยังรุ่งเรือง

ชื่อว่านายแท่นนี้ ก็มีชื่อจริงว่านายแท่นมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กชายนายแท่น เวลาต่อบัตรประชาชน เขามักต้องอยู่เคลียร์เรื่องกรอกเอกสารผิดกับเจ้าหน้าที่เขตเป็นประจำ เพราะความที่คิดว่า ‘นายแท่น’  นั้นชื่อแท่นเฉยๆ

‘นายแท่นครับ นายแท่น มีคำว่านายสองที สะกดภาษาอังกฤษ เอ็น-เอ-ไอ- ที-เอ-เอ็น’

‘ชื่ออะไรต้องนายซ้ำๆ ด้วย เข้าใจยากจริง’ เจ้าหน้าที่เขตค้อนให้ขวับนึงก่อนจะแก้ทำบัตรให้ใหม่

‘ชื่ออุปกรณ์หากินที่บ้านครับ แปลว่า เป็นนายแห่งแท่นพิมพ์ คือที่บ้านบังเอิญเปิดโรงพิมพ์อะครับ’

ประวัติเรื่องชื่อมีให้เล่าอีกยืดยาวอีกหลายวงเหล้า แม้จะทำให้ชีวิตปั่นป่วน แต่นายแท่นก็รักในชื่อนี้ ด้วยความหมายและสิ่งผูกพันแต่วัยเยาว์

ที่สำนักพิมพ์ของบ้านนั้น ก่อตั้งกันมาตั้งแต่รุ่นอากงของอากง หากว่าเขาหน้าตาฝรั่งกว่านี้หน่อย นายแท่นแอบคิดเล่นๆ ว่าเขาอาจเป็นเชื้อสายหมอบรัดเลย์ นายแพทย์ผู้เป็นบิดาแห่งการพิมพ์ของประเทศไทย ก็เป็นได้  ตัวแกจึงได้หลงรักสิ่งพิมพ์อย่างหัวปักหัวปำ เลือกเรียนก็ยังเลือกวารสารศาสตร์ อยู่กินนอนกับโรงพิมพ์ตั้งแต่เป็นเด็กฝึกงาน จนเป็นบรรณาธิการ จนเจ๊งคามือ

ในช่วงขาลงของสื่อออฟไลน์ บรรดาเพื่อนร่วมอาชีพค่อยๆ ตายไปทีละหัว นายแท่นเองแบกภาระไว้กับตัวไม่ไหว จำต้องปิดกิจการไปอีกหนึ่งรายด้วยเช่นกัน ภายใต้ความเห็นดีเห็นงามของพ่อแม่ ด้วยเห็นว่ายุคดิจิทัลรุกล้ำมาขนาดนี้ หากฝืนไป เราก็เท่ากับทวนกระแสโลกมีแต่เสียกับเสีย

‘หาอะไรที่มันเดิ้นๆ ทำดีกว่าลูก…’ แม่พิมพ์ มารดาของนายแท่นเคยบอกไว้อย่างไม่นึกเสียดายในกิจการของบรรพบุรุษที่รับช่วงมา

“เราอยู่ในยุคต้องปรับตัว ไม่งั้นเขาจะหาว่าเราเป็นไดโนเสาร์…” นางย้ำ ก่อนจะเลื่อนปัดหน้าไอแพด อวดแอปพลิเคชันอีบุ๊กที่ตนเพิ่งโหลดมาให้ดู

“อ่านเอาในนี้ แม่ว่าก็ดี ไม่เปลืองกระดาษดีด้วยนะลูก อ่านที่ไหนเมื่อไหร่ ไม่ต้องพกหนังสือไปให้มันหนัก”

“ครับแม่ แท่นเห็นด้วย…แต่” นั่นแหละ เขายับยั้งคำพูดไว้เพียงเท่านั้น เพราะถือคติว่า การกระทำสำคัญกว่าคำพูด  วันนี้เมื่อต้านกระแสไม่ไหว เขาจะลองเต้นแทงโก้ไปกับมันสักเพลง พอให้ปลดหนี้สินแล้วเริ่มตั้งหลักใหม่ เพราะในใจลึกๆ นั้นเขามั่นใจว่า หนังสือของจริงย่อมให้คุณค่าทางการอ่านได้ครบรสสัมผัสมากกว่ากระดานสะท้อนแสงเป็นไหนๆ ทุกวันนี้นายแท่นเพียงแต่ยอมรับกับการเปลี่ยนไปของโลก ย้ายจากสื่อสิ่งพิมพ์มานำเสนอเรื่องราวในสื่อออนไลน์แทน แต่ความรู้สึกรับผิดชอบต่อเรื่องราวที่นำเสนอ ก็ยังแฝงไปด้วยคุณค่าสาระตามอุดมการณ์ของตนเอง

“น้าว่าเจอตัวศิลปินแล้ว…เหรอครับน้าเจ้ย อยู่ที่ไหนครับ หรือขอเบอร์มาก็ได้ เดี๋ยวผมโทรไปทาบทาม”

“ไม่ต้องโทรทาบทามหรอก เขาอยู่กับน้าเนี่ยแหละ พี่แท่นจะคุยด้วยมั้ย น้าจะล็อกตัวไว้ให้…รอเขาเล่นจบเพลงนี้นะ…อะลองฟังดูก่อน แซมเปิ้ลๆ…” น้าเจ้ยหันหน้าโทรศัพท์มือถือไปจ่อกับนักดนตรีที่กำลังสัมผัสกีต้าร์อยู่อย่างพลิ้วไหว นายแท่นตั้งใจฟังจากทางปลายสาย  กำลังเคลิ้มอยู่ดีๆ น้าเจ้ยก็พูดใส่ไมค์กระชากอารมณ์

“พอแค่นี้ก่อน เปลืองค่าโทร สนมั้ยล่ะ”

“ก็พอได้น้า แล้วหน้าตาล่ะ เสื้อผ้าหน้าผม เป็นยังไง”

“วู๊ยยย อย่าให้เล่า น้าเห็นนังพวกชะนีนั่งเกาะขอบเวที น้ำลายยืดจนจะท่วมร้าน เอาละเดี๋ยวถ่ายรูปให้ดู เพื่อความซาบายจาย ส่งทางไลน์นะ รอสักคี่”

คืนนั้นแมวมองอย่างน้าเจ้ยคงเมาได้ที่แล้ว จึงลืมส่งรูปศิลปินมาให้ดู กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง ต้องรอให้สร่างเมาก่อน นายแท่นจึงต้องตามไปถึงเขาใหญ่ในวันรุ่งขึ้นเพื่อให้แมวมองพาไปชี้เป้า เสร็จสรรพเจรจาต่อรอง ขับรถเทียวไปเทียวมากรุงเทพฯ เขาใหญ่ก็พอดีทันวันงาน โชคดีที่มีพื้นที่ของสปอนเซอร์เคยเอ่ยปากจะยกให้เขาอยู่ติ่งนึง ประมาณสามคูณสามเมตร เขาจึงวางแผนออกเวทีการแสดงย่อมๆ ขึ้นมา เน้นการใช้วัสดุท้องถิ่น ประเภทฟ่อนกองฟางจากละแวกนั้นมาก่อทำเวทีเก๋ๆ เป็นที่นั่งแนวคันทรี  ขึ้นป้ายช่องเก๋าสยาม…พอถึงเวลางานทุกคนถูกบังคับให้ต้องเดินผ่านโซนสปอนเซอร์ ก็เลยเป็นโอกาสให้คนมากระจุกตัวกันอยู่แถวนี้ก่อน ทีแรกวัยรุ่นสาวๆ สาวก EDM ก็คิดว่าเป็นฉากให้ถ่ายรูปเข้ากับบรรยากาศ จนถึงเวลาปล่อยตัวศิลปินขึ้นเวที สาวก EDM ส่วนหนึ่งถึงกับย้ายฐานเชียร์มานั่งจ่อหน้าเวทีกองฟาง ล้นหลามไปจนถึงลานหญ้า เสียงกรี๊ดดังมาเป็นระยะๆ บาดหูใครคนหนึ่ง

“ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยอะ…” กวินธิดากระฟัดกระเฟียดออกมาจากเวทีกองฟาง เมื่อเห็นชัดๆ ว่าตรงนั้นได้รับความนิยมสูงมาก

“เราก็ยังถ่ายของเราได้นี่นา จะไปสนลุงเขาทำไม” ไจ๋ไจ๋ให้กำลังใจเพื่อน

“นี่ยังไม่เข้าใจกันอีกเหรอ…” เสียงฉุนออกมาจากเรียวปากชมพู แก้มสุกปลั่งของกวินธิดาแสดงถึงความโกรธจัด

“ใจเย็นๆ นะด้า…เราว่ายังถ่ายต่อได้ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ”

“ไจ๋แกดู…แกเห็นนั่นมั้ย คนดูแบบนั้น การแสดงแบบนั้นแหละ ที่เราอยากได้ในช่องเรา แต่อีลุงมาทำตัดหน้าไปแล้ว ถึงเราถ่ายไป ใครก็หาว่าเราลอกเขา”

“ไม่เห็นเป็นไรเลย เราก็ชิงปล่อยคลิปก่อนสิ เรามีเจเจอิดิเตอร์ร้อยเมตรชายอยู่ทั้งคน อุปกรณ์เราก็พร้อมกว่า ตัดต่อปั๊บส่งออนไลน์ปุ๊บ”

“ไจ๋ แกยังไม่เก็ต…ถ้าส่งออกไปแบบนั้น ก็เท่ากับเราเสมอกัน เสมอคือแพ้ ตามนั้นแหละ…จะว่าไปไอเดียมาที่นี่มันก็งั้นๆ แหละ ไม่ดงไม่ดู ไม่ถ่ายมันแล้ว แหวะ ห่วย”

แม้จะปากแข็งว่าไม่อยากสนใจ แต่กวินธิดาก็แอบส่องพฤติกรรมการทำงานของทีมเก๋าสยามอย่างประชิดตัว โดยเหตุบังเอิญที่ว่า พื้นที่ส่วนเวทีของนายแท่น เป็นพื้นที่โคสปอนเซอร์ประเภทน้ำเมา ติดกันนั้นเป็นพื้นที่ของโคสปอนเซอร์ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ซึ่งสนับสนุนช่องธีด้ามาเนี่ยนอยู่ โดยผูกสัญญากันเป็นรายปี ทีมงานจัดสถานที่ให้ยูทูบเบอร์คนดัง มานั่งเรียกแขกไปในตัว กวินธิดาจึงอาศัยปักหลักอยู่ตรงนั้นรอเซลฟีกับฝูงชน เวลานี้ถือว่างานยกเลิกทุกคนจึงล้อฟรีปล่อยตัวตามสบาย โดยเฉพาะกวินธิดา แม้ไม่ได้ถ่ายทำคลิปใหม่ แต่ก็ถือว่าได้มาโชว์ตัวเรียกเรตติ้งละกัน นานๆ ทีเธอถึงจะเดินเข้าไปในลานคอนเสิร์ตด้วยบัตรผ่านเข้าได้ทุกที่ที่คล้องคอไว้ แต่ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ก็มีแต่คนพูดถึงเวทีคันทรีไม่ขาดปาก

“นักดนตรีฮิปๆ ตรงนั้นโคตรหล่อเลยมึง พลาดละ ถ้าไม่มาดู”

“นั่นดิ เพลงอะไรกูฟังไม่รู้เรื่องหรอกนะ กูนั่งเสพหน้าพี่เขากูก็ฟินละ”

“น้ำเดินเลยค๊าอีดรวก”

บรรดาผู้ชมต่างลงคะแนนให้เขาด้วยเสียงกรี๊ด จับกีตาร์ขึ้นวางบนหน้าขาก็กรี้ด เหน็บผมที่สยายลงมาปิดใบหน้าก็กรี๊ด ถกแขนเสื้อขึ้นมาเฉยๆ ก็ยังกรี๊ด นายแท่นยืนมองผลงานการปั้นของตัวเอง แม้จะดูเหมือนฟลุก แต่ก็นับเป็นไอเดียของเขาล้วนๆ

“พี่ว่าคนนี้น่าปั้นว่ะจอห์น” พี่นายแท่นกระซิบเสียงดังใส่หูพี่จ้อน

“นั่นดิพี่แท่น ผมว่าเรียกมาอัดคลิปในสตู แล้วปล่อยเป็นเพลงๆ ทำเป็นเอ็มวีให้แกยังไหว คนอะไรวะ โคตรหล่อ เล่นกีตาร์ก็โคตรเทพ”

“ฟังออกด้วยเหรอเราอะ”

“โถ่พี่ เห็นผมยังงี้ผมก็เลือกฟังนะคร้าบบบบ คนนี้ฝีมือจริง ยอมรับ หล่ออีกต่างหาก ตัวขายเลยอย่างนี้”

 

สาวกอย่างกวินธิดาได้ผละจากความเครียดไปได้ช่วงหนึ่งเมื่อเทพแพนด้ามาปรากฏตัวบนเวที ครั้นหมดเวลาของโชว์ เจ้าหล่อนก็กลับมาปักหลักจมจ่อมกับเรื่องแพ้ชนะอยู่ที่โต๊ะเดิม

“คุณธีด้าครับ…คุณผู้ชายทางโน้นให้ยกมาเสิร์ฟครับ” บริกรในชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์วางถาดเครื่องดื่มลงบนกลางโต๊ะของทีมช่องธีด้ามาเนี่ยน ฝูงชนที่เข้ามาเซลฟีด้วยคนสุดท้ายเพิ่งถอยหลังออกไปเมื่อกี้นี้  ทีมงานสองสามคนที่นั่งอยู่ข้างๆ เผื่อรอคำสั่งจากบอสสาว รีบตะปบน้ำในถาดคนละแก้วสองแก้วขึ้นมาซด เจเจยกแก้วขึ้นมาคนแรก ชูไปทางสปอนเซอร์สองนายที่นั่งอยู่มุมตรงข้าม ค้อมหัวลงเล็กน้อยแสดงความขอบคุณก่อนจะกระดกทีเดียวจนเกลี้ยง ฟองขาวเกาะขอบปากเป็นวง ทางโน้นก็ตอบกลับมาด้วยท่าทางเหมือนกัน กวินธิดาเมินหน้าทำเป็นไม่เห็น

“เจเจ แกเบาๆ หน่อยมั้ยวะ ออกพ้นเขตบ้านก็คึกอย่างนี้ทุกที” ไจ๋ไจ๋ปรามเพื่อนร่วมทีม

“เราดื่มให้ธีด้าว่ะ…ดูออกว่าเพื่อนเครียด…เอ๊าโช้น…อย่าเครียดๆ”

คนที่ถูกกล่าวหาว่า ‘เครียด’ ไม่สนุกด้วย มองเมินออกไปนอกวง ไจ๋ไจ๋เป็นงานพอตัว เธอดูออกว่ากวินธิดากำลังรู้สึกเสียหน้าที่โดนแย่งความสนใจ เป็นปกติของสาวน้อยร้อยล้านวิว ที่กำลังจะเสียแชมป์ให้กับคนรุ่นโบราณอย่างพี่นายแท่น คนที่เป็นไม้เบื่อไม้เบาคอยลอกเลียนแบบงานกันมาจนโด่งดัง

“เราไปสืบมาแล้วนะ นักร้องคนนั้นชื่อนาย ‘ภูเรือ’ เป็นคนแถวนี้เองแหละ คนของพี่นายแท่นไปเจอในผับเก่าๆ เลยจ้างมาเล่นเดี่ยว…พี่จ้อนก็แบไต๋มาแล้วว่าหนุ่มฮิปคนนี้ยังไร้ค่าย ไร้สังกัด แต่ดูเหมือนเขาจะเล่นตัวน่าดู ไม่ยอมรับงานอะไรต่อด้วย เหมือนกับว่าที่มารับงานนี้เพราะรับปากผู้ใหญ่ที่นับถือเอาไว้…ซึ่งถ้าอยากแก้เกม เราก็ไปตัดหน้าเอาตัวคนคนนี้มาอยู่กับเราให้ได้…ดีมั้ยด้า…เดี๋ยวเราจัดการเอง…นี่ฟังอยู่รึเปล่า”

ในเวลาเช่นนี้กวินธิดายังตื้อๆ หัวไม่แล่นพอให้คิดอะไรได้ จึงได้แต่ ‘อืม’ เบาๆ ออกมาจากลำคอ

“ได้ยินมาว่า สปอนเซอร์เราก็สนใจเขาอยู่เหมือนกันนะ ถ้าเขามาทางเราได้ก็เพอร์เฟกต์เลย”

มิใช่เพียงสาวนักจัดการอย่างไจ๋ไจ๋เพียงคนเดียวที่รู้ว่าสปอนเซอร์หลักกำลังจะเทใจไปข้างเก๋าสยาม ตัวเธอเองก็แอบไปได้ยินบทสนทนานี้มาแล้วกับหู ตอนที่สปอนเซอร์สองนายคุยกันใกล้ๆ สุขาหญิงเคลื่อนที่

“ช่องนี้มาแรงว่ะ เราว่ากระโดดไปเซ็นกับเขาดีมะ”

“เก๋าสยามใช่มะ ผมชอบคอนเทนต์เขานะ ใช้ได้เลย จับกลุ่มหลายกลุ่มดี”

“งั้นกลับกรุงเทพไปเรียกเก๋าสยามมาคุย ขอดูแผนงานเขา ถ้ามีคลิปดีๆ อย่างพี่นักร้องคันทรีมาเสนอ เราก็ย้ายช่อง”

“พอดีเลย จะได้มีเหตุผลไม่ต่อสัญญาช่องธีด้า…ไม่ไหว ช่วงหลังๆ เละเทะมาก มีดีอยู่อย่างเดียวเลย หน้าตาดี”

แอบนินทาเขาลับหลัง แล้วยังมีหน้าจะมาเลี้ยงเครื่องดื่มเขาอีก เวลานี้ในใจกวินธิดาเดือดปุดๆ เหงื่อขี้อิจฉาผุดเหนือดั้งจมูก แม้อากาศโดยรอบกำลังเย็นสบายเพราะรายล้อมไปด้วยขุนเขา

ประเด็นไม่ได้อยู่ที่สปอนเซอร์ดีๆ จะถอน

แต่มันคือศักดิ์ศรีมากกว่า

เราอยู่ในโลกโซเชียลมาตั้งแต่ฟันแท้ยังขึ้นไม่ครบ จู่ๆ อีลุงก๊อบเกรดเอจะมาปาดกันแบบนี้ มันไม่ง่ายเกินไปหน่อยเหรอ

คิดแค้นใจไปพลาง สาวอารมณ์เสียก็ยกแก้วแอลกอฮอล์ขึ้นกระดกรวดเดียว แล้วทำนิ้ววนๆ ขอยังงี้มาอีกเรื่อยๆ “เช็กบิลที่เจ้ามือเลยนะ” เธอสั่ง



Don`t copy text!