ชื่อธีด้าชอบหาเรื่อง บทที่ 4 : ลักพาตัว
โดย : กวินนภา
ชื่อธีด้าชอบหาเรื่อง นวนิยายออนไลน์ โดย กวินนภา ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวรักโรแมนติกน่ารักของหญิงสาวผู้เป็นยูทูบเบอร์ชื่อดังกับชายหนุ่มผู้ที่โลกใบเก่าของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง…และเขาต้องเลือกว่าจะเปลี่ยนตัวเองไปตามโลกหรือทิ้งทุกอย่างเอาไว้เป็นเพียงอดีต
*************************
– 4 –
ก้อนพะอืดพะอมกระชากร่างหญิงสาวขึ้นมาจากเตียงนอนถลาเข้าห้องน้ำ กวินธิดานั่งกอดโถชักโครกจนหอบ เมื่อหมดไส้หมดพุงแล้วจึงค่อยคลานออกมา ปีนกลับขึ้นไปนอนต่อบนเตียง สักพักนึงพอได้สติก็ชำเลืองลอดหมอนใบที่หมกปิดหน้า ภาพแรกที่เก็บมาประมวลในสมองก็คือ…นี่เธออยู่ที่ไหน
ภาพสุดท้ายในความทรงจำเมื่อคืนนี้ คือการเอาคืนผู้ชายขี้นินทา โดยการถล่มสั่งเครื่องดื่มจนทางโน้นกระเป๋าฉีก ซึ่งก็สมควรแล้วที่เธอจะแฮ้งจัดได้ขนาดนี้ คนอื่นๆ ก็คงไม่น้อยหน้ากัน โดยเฉพาะพวกหนุ่มๆ ในทีม ส่วนคนที่สติดีที่สุด คอยเทกแคร์คนอื่นก็คือไจ๋ไจ๋ ผู้จัดการจำเป็นของทีม ซึ่งเป็นรูมเมตกับเธอด้วย…หุ้นส่วนสาวเรียกหาคนที่ดูเหมือนไม่แฮ้ง แต่ก็ไร้เสียงตอบ นี่มันเวลาไหนแล้ว แดดเข้าหน้าต่างแสงจัดขนาดนี้ ใครจะมัวแต่อยู่ในห้องหากไม่ได้เมาค้างเหมือนเธอ โน่นละมั้งป่านนี้คงต่อแถวตักบุฟเฟต์อาหารเช้า
ตอนนี้อยากได้กาแฟดำร้อนๆ สักแก้ว หรืออะไรสักขวดมาซดแก้เมาค้าง ส่งข้อความไปบอกทางไลน์เหมือนทุกที เดี๋ยวหุ้นส่วนสายจัดการก็คงนำมาให้เธอถึงเตียงเองแหละ สาวน้อยเลื้อยแขนออกมาจากใต้ผ้าห่มคลำหากระเป๋าสะพายตรงหัวเตียง จำไม่ได้หรอกว่าเอามาวางไว้ตรงนี้เมื่อไหร่ แต่เหลือบเห็นตอนกลับจากห้องน้ำ นั่นไง…วางอยู่จริงๆ สอดมือล้วงเข้าไปในกระเป๋าจนแตะเจอแท่งเย็นๆ ก็คว้าหมับติดมือมา กดปุ่มสั่งทำงาน ไฟหน้าจอสว่างแบตเตอรี่ยังเต็มเปี่ยม เมื่อวานนี้แทบไม่มีสัญญาณให้ใช้เลยสักขีด นี่ขนาดนั่งอยู่ในพื้นที่สปอนเซอร์สัญญาณมือถือแท้ๆ วันนี้ก็เช่นกัน สัญญาณแจ้งว่าโนเซอร์วิส…คิดจะมาเขี่ยเรา…ช่วยไปทำสัญญาณตัวเองให้ดีๆ ก่อนเหอะ ไอ้คลื่นห่วย เดี๋ยวฉันจะเขี่ยแกก่อน กลับไปรอบนี้ ย้ายค่ายเบอร์เดิมแน่ เธอคิด โอ๊ย แต่ตอนนี้…ปวดหัวจังเลย ไม่รู้ว่าแฮ้งหรือโกรธถึงได้เวียนเฮดได้ขนาดนี้ อย่ารอมันเลยกาแฟดำขอน้ำเปล่าก่อนละกัน
แม้จะยังเคลื่อนไหวได้เชื่องช้า กวินธิดาก็ยังพยุงตัวขึ้นจากเตียง หมายตาไปยังตู้เย็นน้อยในห้อง ซึ่งปกติจะต้องอยู่ตรงมุมมินิบาร์ แต่คราวนี้มีสิ่งผิดสังเกตเกิดขึ้น เพราะไม่เพียงไร้สิ่งที่เธอหามองหาเท่านั้น ภายในห้องหับของโรงแรมแห่งนี้ยังตกแต่งได้บ้านๆ มากที่สุด โต๊ะเขียนหนังสือที่มีหนังสือหนาๆ เรียงเป็นตั้ง ตะกร้าผ้าตรงมุมห้อง ราวแขวนผ้าใช้แล้ว แล้วยังมีเฟอร์นิเจอร์ที่ดูไม่เข้าชุดกัน หรือผู้จัดการกิตติมศักดิ์ของเธอจะจำกัดงบจองโฮมสเตย์ให้นอน หรือเพราะทุกคนแห่แหนกันมาเขาใหญ่พร้อมกันจนเต็มทุกโรงแรม อันที่จริงเธอค่อนข้างไม่พอใจถ้าหากเราเสียเงินค่าเช่าแล้วไม่คุ้มค่า แต่เธอก็ไม่อยากหงุดหงิดจนดูเป็นคนไร้เหตุผล จึงพยายามคิดหลายๆ ชั้น เพราะถึงอย่างไรก็มาอาศัยนอนแค่คืนเดียว เดี๋ยวก็กลับ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ดีที่สุดคือรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วไปรวมตัวกันที่รถ
แต่ทว่ากระเป๋าเป้บรรจุสัมภาระส่วนตัวไม่ได้อยู่แถวนี้
ตอนขามาจำได้ว่าเธอเอาของส่วนตัวลงเป้ ของที่ใช้งานอยู่ในกระเป๋าลาก…หรือใครจะหยิบผิดไป นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ เป้ใบนี้ธีด้าสะพายจนเป็นเอกลักษณ์ เป้ทหารสีเขียวขี้ม้า ใบเขื่อง แบกทีนึงยาวลงมาจากหลังจนมิดก้น ใบนี้เองที่พาเธอไปหัวหกก้นขวิดมาแล้วทุกที่ทั่วไทย งานหรูหรากิ๊บเก๋ก็ใบนี้ งานลุยก็ใบนี้ เห็นธีด้าออกงานที่ไหน ก็ต้องเห็นมันด้วย
หรือเอาไปวางไว้ห้องคนอื่น…เธอคิดพลางยกมือถือในมือขึ้นมาดูอีกทีว่าพร้อมใช้งานหรือยัง
“เนี่ย…สัญญาณก็ไม่มี แล้วจะติดต่อกันยังไง เออๆ ใช้ขาเดินไปก็ได้วะ” หญิงสาวบ่นพร้อมกับก้มสำรวจตัวเองก่อนว่าอยู่ในสภาพที่พร้อมมั้ย…ปรากฏว่าเธอยังอยู่ในชุดเดียวกับเมื่อวาน
“ลองไปเรียกมั่วๆ ดูตามห้อง ไม่เป็นไรหรอกมั้ง…สายขนาดนี้แล้ว”
นาฬิกาข้างฝาในห้องนอนที่เธออยู่ บอกเวลาว่าเลยสายมาครึ่งค่อนวันแล้ว กวินธิดาหยิบกระเป๋าสะพายติดมือมาด้วยเลย ไม่คิดจะย้อนกลับมาห้องนี้อีกแล้ว อย่างมากเจอเป้ของเธอที่ห้องไหน ก็อาบน้ำเปลี่ยนชุดมันเสียที่ห้องนั้นแหละ ก็ทำแบบนี้อยู่บ่อยไป เมื่อต้องระเห็จไปทำคลิปในถิ่นที่กันดารกว่านี้
หลังจากก้าวออกมาพ้นห้อง เธอปิดประตูอย่างเบามือ เอาแค่ปิดสนิทแต่ไม่ถึงกับล็อก แล้วค่อยๆ ย่องเท้าเปลือยเปล่าลงบนพื้นไม้ขัดมัน หญิงสาวหิ้วรองเท้าเดิน เพราะติดนิสัยไม่ใส่รองเท้าในบ้าน…ทำไมถึงรู้สึกคุ้นเคยราวกับเป็นบ้านตัวเองอย่างนี้นะ
กวินธิดามั่นใจว่านี่เป็นบ้าน โดยดูจากสภาพของทางเดิน พ้นจากประตูห้องที่เธอเพิ่งออกมา ก็เป็นทางลาดเชื่อมกับห้องนอนฝั่งตรงข้าม ประตูไม่ได้ตรงกันพอดี แต่เยื้องๆ สลับกัน หากเป็นโรงแรมหรือรีสอร์ต ฝั่งตรงข้ามมักจะได้จ๊ะเอ๋กับอีกห้อง เมื่อเดินมาจนถึงประตูของอีกห้อง เธอลองเคาะเรียกดู เพราะตามหลักการบุ๊คห้องนอน ก็ควรจะได้ห้องที่ติดๆ กันเป็นกรุ๊ปใครกรุ๊ปมัน
เงียบ…แล้วลูกบิดก็ไม่ได้ล็อก กวินธิดาจึงถือวิสาสะเปิดเข้าไปดู
ภายในห้องโล่ง ไม่มีใคร แต่สภาพดีกว่าห้องที่เธอนอนเยอะเลย เป็นห้องเตียงคู่ โต๊ะเครื่องแป้งแบบเข้าชุดกับเตียงทรงโบราณ ผ้าม่านทรงยุโรปยาวปิดบังหน้าต่างยาวถึงพื้น ผ้าคลุมอยู่ในสภาพเรียบตึงแสดงว่าไม่ได้มีใครมานอนค้างที่นี่ หรือไม่ก็จัดปัดกวาดถูเพิ่งเสร็จ
หญิงสาวจึงถอยหลังออกมา แล้วลองเดินไปอีกห้องหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ กัน หากสำรวจจากประตู บนชั้นนี้มีห้องนอนอยู่ทั้งสิ้นรวมสามห้อง รวมทั้งห้องเธอ ถ้ายังไม่เจอใครอยู่ในห้องสุดท้าย เธอคงต้องเดินลงไปถามพนักงานที่น่าจะรอบริการอยู่ข้างล่างแล้วละ
ห้องนอนสุดท้ายที่หญิงสาวหมายตาไว้ไม่ได้ล็อกจากด้านในเช่นกัน เมื่อแง้มประตูดูข้างในห้องก็ว่างเปล่า แต่ลักษณะอื่นๆ แสดงว่ามีคนอยู่ในนี้ มิได้เป็นห้องเปล่าๆ แบบห้องที่แล้ว
สักครู่หนึ่ง เธอได้ยินเสียงคนอาบน้ำ จึงมั่นใจว่านี่อาจจะเป็นห้องของคณะที่มาด้วยกัน ไม่คนใดก็คนหนึ่ง ดูจากกองข้าวของหลายชิ้น บัตรสตาฟฟ์ทีมงาน และขวดน้ำยี่ห้อสปอนเซอร์จากงานเมื่อคืน กองอยู่บนโต๊ะข้างๆ เตียงสองสามขวด
หญิงสาวจึงถึงวิสาสะเข้าไปหยิบน้ำขวดที่ยังไม่เปิดออกดื่มอย่างแสนกระหาย แล้วหย่อนตัวนั่งลงบนที่นอน รอให้คนในห้องน้ำออกมาเสียก่อน จะได้ถามหาเป้ของเธอ แล้วเคลื่อนตัวกลับกรุงเทพฯ กันเสียที
กริ๊ก! เสียงปลดล็อกจากด้านในของห้องน้ำดังขึ้นมา กวินธิดาคอยชำเลืองว่าใครจะออกมาจากหลังประตู
อึดใจเดียว ชายไร้อาภรณ์หุ่นกำลังงามก็เดินตัวเปียกออกมา
ไวเท่าไฟแดงแยกกล้วยน้ำไทไปพระโขนง ชายไร้อาภรณ์ก็รีบถอยหลังกรูดกลับเข้าไปในห้องน้ำ พร้อมกับปิดประตูดังปัง ทันทีที่เห็นสาวน้อยนางหนึ่งนั่งตาเบิกโพลงอ้าปากค้างอยู่บนเตียง
ส่วนกวินธิดาก็หลอนสุดจิต ตายละวา…นั่นไม่ใช่ใครเลยที่เธอรู้จัก ฉับพลันจึงคว้ากระเป๋าสะพายและขวดน้ำวิ่งกลับเข้าห้องตัวเองโดยมิได้ส่งเสียงกรี๊ดดังๆ อย่างนางเอกซีรีส์เกาหลีแต่อย่างใด
“อีตานักดนตรีชื่อภูเรือ…ดันมานอนค้างที่เดียวกับเรา ไหนว่าบ้านอยู่แถวนี้ ทำไมไม่ไปนอนบ้านตัวเองว้า…” กวินธิดากลับมานั่งตั้งสติอยู่ที่เดิม “แล้วนั่นน่ะ…ใครสอนให้อาบน้ำแล้วไม่ล็อกประตูห้อง นึกว่าเป็นบ้านตัวเองหรือไง ประเจิดประเจ้อที่สุด” ภาพเมื่อกี้กลับมาฉายซ้ำๆ ในหัว
หลบอายมาได้ครู่หนึ่ง กวินธิดาก็เลิกพึ่งพาตัวเอง กะว่าจะลงไปถามรีเซปชันให้รู้แล้วรู้รอดว่า ทีมงานคนอื่นๆ ของเธอพักอยู่ห้องไหนกันแน่ ไม่อยากจะเสี่ยงแบบเมื่อกี้อีกแล้ว แต่แล้วจู่ๆ ก็มีคนมาเคาะเรียกเธออยู่หน้าประตู
“เออๆ ตื่นแล้ว ไปละๆ” คนข้างนอกไม่ได้เอ่ยถามมาสักคำ แต่หญิงสาวก็ผูกเรื่องเองว่า ไม่ใครก็ใครคงมาตามดูว่าเธอฟื้นหรือยัง
แต่พอประตูเปิดออก กลิ่นสบู่อ่อนๆ โชยมา พร้อมกับใบหน้าคมผมเปียกประบ่าเป็นขอดๆ ที่ติดตาเธอมาเมื่อกี้ก็ยืนอยู่ตรงนั้น แต่คราวนี้มีเครื่องเครามากกว่าคราวก่อน ถึงจะเป็นเสื้อกล้ามกับยีนส์ซีดๆ ก็เถอะ กวินธิดาไม่รู้ว่าทำไมต้องมาเคาะเรียกกันด้วย…แต่คิดว่าไม่ดีแน่ ถ้าปล่อยให้เขาเข้ามาแล้วพบว่าเธออยู่เพียงลำพังในห้อง
เธอปิดประตูใส่เขาทันที แล้วตะโกนถามออกไปดังๆ ว่า
“มีอะไร…ถ้าจะมาทวงขวดน้ำคืน ฉันกินไปหมดแล้ว…เอาไว้ซื้อคืนให้”
“ไม่ใช่ครับ…คือเมื่อกี้ผมขอโทษที่…ที่ผมไม่ค่อยเรียบร้อย…คุณเป็นยังไงมั่ง…ปวดหัวมั้ย…”
อ่าว…ทำไมเขาถึงรู้…เธอคิด
“คุณตื่นก็ดีแล้ว…ผมจะมาตามไปทานข้าว แล้วก็จะไปส่งคุณ…อยากให้ไปส่งที่ไหนก็บอกเลยนะครับ”
ยิ่งฟังหญิงสาวก็ยิ่งงงในคำพูดของเขา อีตานี่ซ่อนความเพี้ยนไว้ใต้ใบหน้าหล่อๆ ซะมิด จู่ๆ จะพาเราไปส่ง ส่งที่ไหน…กรุงเทพฯ…ไม่จำเป็นมั้ง เรามีรถของเรามาเอง
“ทำไมต้องไปส่งฉันด้วย เพื่อนๆ ฉันรออยู่ข้างล่าง เดี๋ยวฉันกลับเองได้” เธอตะโกนบอกเขา
“ไม่มีนะครับ คุณมานี่คนเดียว…เพื่อนๆ คุณไม่ได้มาด้วย…เอ่อแล้วก็…”
คนข้างในกระชากประตูเปิดออกอย่างแรง ชักหงุดหงิดกับการพูดข้ามไปข้ามมา
“เป็นไปไม่ได้ ฉันมาเขาใหญ่พร้อมทีมงานอีกห้าคน ทุกคนคงนอนแฮ้งอยู่แถวนี้แหละ อีกเดี๋ยวฉันก็จะขับรถกลับกรุงเทพ คุณไม่ต้องไปส่ง เคลียร์มั้ย”
เธอจะปิดประตูใส่เขาอีก แต่ชายหนุ่มยันมันไว้แล้วจ้องหน้าเธอ บอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง กึ่งสำนึกผิด
“เมื่อคืนนี้ คุณมากับผม…แค่คุณคนเดียว…”