Tomorrow, Yesterday พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้ บทที่ 1 : 28 กุมภาพันธ์ (วันจันทร์)…หากย้อนเวลากลับไปได้
โดย : ภาณินี
พบกับนวนิยายรักโรแมนติก “Tomorrow, Yesterday พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้” รางวัลชนะเลิศโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๓ โดย ภาณินี กับนวนิยายที่จะตั้งคำถามมากมายให้คุณได้ครุ่นคิด นวนิยายที่จะติดตรึงในความทรงจำของคุณตลอดกาล…
‘เพล้ง!’ หญิงสาวนอนอยู่บนที่นอน ดวงตายังปิดสนิท หัวคิ้วย่น ใบหน้ากระสับกระส่าย เสียงในหัวสมองดังก้องไปมาไม่ปะติดปะต่อ
‘เป็นแค่สะใภ้ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่รู้จะประจบแม่ผัวไปถึงไหน’
‘ไม่เห็นจะเก่งกาจอะไร ดีแต่เอาใจเก่ง นี่ถ้าไม่เอาตัวเข้าแลกก็ไม่ได้มาลอยหน้าลอยตาเป็นผู้บริหารแบบนี้หรอก’
‘ทำตัวเหมือนฉลาด ไม่รู้ตัวเล้ย…ว่าโง่ให้เขาหลอกใช้งาน ทำงานงกๆ ส่วนลูกเจ้าของบริษัทเหรอ คนโตไปเล่นดนตรีก๊องแก๊งไม่เป็นโล้เป็นพาย ส่วนคนน้องจบนอกฟอกตัวมา เดี๋ยวก็มารับตำแหน่ง ทำงานเช้าชามเย็นชาม สะใภ้ทำงานเป็นบ้าเป็นหลังไม่ได้อะไรเลย’
‘ก็อาจจะเก่งแหละ แต่เก่งแล้วไง ก็โง่ให้เขาหลอกใช้ไปวันๆ อยู่ดี’
‘กุลก็รู้ พ่อแม่กุลตายสนิทในวงการนี้ไปแล้ว ถ้าชื่อกับนามสกุลของกุลโผล่ออกมา คิดเหรอว่างานนี้จะผ่าน’
จากเสียงที่เหมือนนินทาลับหลัง เสียงที่คนอื่นพูดกับเธอ กลายเป็นเสียงเธอเอง
‘กรเอาแต่เล่นดนตรีไปวันๆ จะเข้าใจอะไร’
‘กรมีทุกอย่าง ชื่อเสียงเงินทอง ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องพยายามอย่างที่กุลพยายาม’
‘เราไม่ได้รักกันเลยด้วยซ้ำ มันผิดมาตั้งแต่ต้น ผิดมาตลอด’
‘ทุกอย่างคือความผิดพลาด เพราะยัยแก้ว กุลถึงต้องมาผูกติดกับกรอยู่แบบนี้’
‘ถ้าตอนนั้นเอาออกไปซะ…’
‘ทำไม…กุลจะพูด กุลเกลียดกร เกลียด…เกลียด…เกลียด’
เพล้ง!
แก้วใบใสถูกกระแทกลงบนโต๊ะ มันปริร้าวและแตกสลายเพียงเสี้ยววินาที มือนั้นไม่ได้กระถดหนี แต่กำแน่นและปล่อยให้คมแก้วทิ่มแทงลงบนผิวเนื้อบางๆ จนเลือดสีแดงสดไหลหยดลงมาตามร่องนิ้ว…
กุลญาดาสะดุ้งตื่น รู้สึกหนักไปทั้งเนื้อทั้งตัว ในหัวสมองหนักอึ้งราวกับมีหินก้อนใหญ่ทับไว้ เธอต้องใช้พยายามอยู่นานกว่าจะเปิดเปลือกตาได้สำเร็จ เพดานห้องสีขาวสว่างจ้า มีเงาของกิ่งไม้ทอดตัวอยู่บนนั้น พยายามทบทวนถึงเสียงต่างๆ ที่วิ่งวนอยู่ในสมองเมื่อครู่ เสียงแก้วแตกยังดังก้องอยู่ในหัว มองมือตัวเอง ที่มือซ้ายมีผ้าพันแผลพันไว้อย่างดี ลองขยับเบาๆ ก็เจ็บแปล๊บจนเผลอร้องออกมา เสียงและภาพที่เกิดขึ้นในหัว ไม่ใช่ความฝัน…ทุกอย่างเกิดขึ้นจริง!
ยันกายลุกขึ้น ห้องทั้งห้องว่างเปล่า ชุดปฐมพยาบาลวางอยู่ข้างหัวเตียง คงเป็นเขานั่นเองที่ทำแผลให้ พยุงตัวเดินออกมา ร่างสูงนอนอยู่ที่โซฟากลางห้องรับแขก หลับสนิท ผมที่เคยเสยไว้สบายๆ ยามนี้ปรกหน้าปรกตา ใบหน้านั้นดูเหนื่อยอ่อน คิ้วขมวดมุ่น กุลญาดาบอกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าตลอดสิบปีที่อยู่ด้วยกันมา เธอเคยรักเขาไหม แต่ที่แน่ๆ ไม่เคยมีสักครั้งที่จะเกลียด
เกลียด!
คำคำนี้ยังสะท้อนก้องไปมาอยู่ในหัว ขนาดเธอพูดยังรู้สึกเจ็บ เขาคนฟังจะเจ็บสักแค่ไหน…
แก้วเครื่องดื่มวางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ ที่พื้นโต๊ะมีเศษแก้วเกลื่อนกระจาย เศษแก้วที่เธอทำมันแตกด้วยมือเธอเอง…เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาดื่มจนหลับไปแบบนี้ มองไรหนวดสีเขียวจางๆ ที่ข้างแก้ม ขับให้ใบหน้าที่ปกติอ่อนโยนอยู่เสมอ กลายเป็นเคร่งขรึมดูแปลกตากว่าที่เคย อดเอื้อมมือไปลูบไม่ได้แล้วก็ต้องสะดุ้ง เมื่อเขาผวาตื่น…คว้ามือเธอไว้แน่นเสมือนนักรบระวังภัยศัตรู สบตากัน ความตกใจสลายไปแล้วทั้งคู่ แปรเปลี่ยนเป็นตัดพ้อ เหนื่อยหนัก จนเกือบจะกลายเป็นเย็นชา นี่เรากลายเป็นศัตรูกันไปแล้วหรือเปล่า…
สิบปีที่อยู่ด้วยกันมา ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะมองกันด้วยสายตาแบบนี้ ตั้งแต่รู้จักกันมาเขามีแต่สายตาที่เปี่ยมด้วยความรักและเชื่อมั่นส่งมาให้ เขาแสดงออกอย่างมั่นคงมาเสมอว่ารัก…ต่างกับเธอที่ไม่เคยแม้แต่จะพูดคำว่ารัก ใช่…เธออาจจะไม่ได้รักเขาแบบที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรักผู้ชายคนหนึ่ง แต่เขาก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่เธอมี เป็นคนที่ช่วยให้เธอผ่านพ้นคืนวันร้ายๆ มาได้ ความสนิท ความวางใจ ทำให้พลั้งเผลอเกินเลยจนเธอตั้งท้องกับเขา จากเพื่อนเลยกลายมาเป็นพ่อของลูกโดยไม่ทันตั้งตัว ในวัยที่เพิ่งเรียนจบ ยังไม่ทันรับปริญญาเลยด้วยซ้ำ…
ดึงมือออกจากเขา รู้สึกลำคอแห้งตีบตัน เจ็บปวดกับสายตาที่เขามองกัน จนต้องเลี่ยงเดินออกมา บางทีถ้าได้น้ำเย็นๆ สักแก้วคงจะเรียกสติกลับมาได้บ้าง
เดินผ่านห้องลูก ชั่วแวบเหมือนมีบางอย่างดึงดูดสายตา จนต้องเดินย้อนกลับมา กระดาษแผ่นบางแปะอยู่หน้าประตู มีลายมือที่เขียนด้วยดินสอเรียงเป็นระเบียบอยู่บนนั้น หัวใจที่เหนื่อยหนักอยู่แล้ว เหมือนจะมีบางอย่างกดทับลงมาอีก เอื้อมมือดึงกระดาษนั้นออกมาอ่าน
พ่อจ๋าแม่จ๋า
แก้วไม่อยากเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันเลย
ถ้าเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะแก้ว แก้วขอโทษจริงๆ
อย่าทะเลาะ อย่าเกลียดกันเพราะแก้วเลยนะคะ
เรื่องนี้น่าจะมีทางออก ขอแก้วไปคิดก่อนนะคะ ว่าจะทำยังไงดี
แก้วรู้ดีว่าพ่อรักแก้ว แก้วก็รักพ่อค่ะ
ส่วนแม่ อย่าเกลียดแก้วเลยนะคะ แก้วจะพยายามไม่ให้แม่ต้องเหนื่อยอีก
รักพ่อกับแม่มากๆ
แก้วขวัญ
มือที่ถือกระดาษสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ ลูกได้ยินอะไรบ้าง เข้าใจอะไรแค่ไหน ถ้อยคำรุนแรงที่พูดไปโดยขาดสตินั้นไม่มีทางเลยที่เด็กสิบขวบจะรับได้ ยังไม่ทันจะคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น กระดาษก็ถูกดึงออกไปจากมือ เขามายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ดวงตาแดงก่ำมองมาอย่างมีคำถาม ก่อนจะไล่สายตาไปตามตัวหนังสือบนกระดาษ เมื่อเลื่อนมาถึงบรรทัดสุดท้าย เขาก็ลดมือลง กำกระดาษแผ่นนั้นแน่น สบตากันอีกครั้ง ตาที่แดงก่ำอยู่แล้วเริ่มมีน้ำใสๆ…เอ่อคลอ เขาเงยหน้าขึ้นราวกับจะไม่ให้น้ำตาไหลรินลงมา
เหมือนเขาจะตั้งสติได้ก่อน วจึงหันไปคว้าโทรศัพท์
“สวัสดีครับ ลุงทศเหรอครับ ผมกรห้อง xxx ครับ ลุงเห็นยัยแก้วออกนอกคอนโดไปไหมครับ…เหรอครับ กี่โมงครับ…ช่วง 7 โมงกว่าๆ…เห็นสะพายกระเป๋าไวโอลินไปด้วยเหรอครับ คงไปซ้อมดนตรี ครับ ขอบคุณมากครับลุง”
เขากดวางสาย เหลือบตามองนาฬิกาบนผนัง เข็มสั้นชี้ตรงที่เลขแปด ลูกออกจากบ้านไปเกือบชั่วโมงแล้ว จากสายหนึ่งต่อไปอีกสายหนึ่ง
“ครับจูลี่ ยัยแก้วไปหาคุณที่บ้านไหมครับ แกออกบ้านไปตั้งแต่ 7 โมง…ไม่ได้ไปเหรอครับ…ครับ มีปัญหาที่บ้านนิดหน่อย…ขอบคุณครับ ฝากด้วยนะครับ”
“วรรธน์ ยัยแก้วไปหานายหรือเปล่า…ไม่ได้ไปเหรอ น้องออกจากบ้านไปตั้งแต่ 7 โมง…ใช่ๆ ครูฝากตามหน่อยนะ”
“ครับ ครูน้ำ ยัยแก้วไปที่โรงเรียนไหมครับ…ครับ ออกจากบ้านไปตั้งแต่ 7 โมงครับ มีปัญหานิดหน่อย …ครับ ฝากด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”
เขาโทร.หาใครต่อใครมากมาย เดินวนไปทั่วห้อง แล้วก็เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ คว้าเสื้อแจ็กเก็ต กุญแจรถ ติดบลูทูธ กึ่งวิ่งออกนอกประตูไปราวกับเธอไม่ได้อยู่ตรงนั้น
กุลญาดาปลุกตัวเองให้ตื่นในวินาทีนั้น คว้าเสื้อคลุมแล้ววิ่งตามเขาไป ตามมาทันที่ลานจอดรถพอดี เธอเปิดประตูรถและขึ้นไปนั่ง เขามองเธอด้วยสายตาแบบนั้นอีกแล้ว สายตาที่ทำให้เจ็บปวดกว่าคำพูดร้ายๆ เป็นล้านเท่า
‘จะไปทำไม สะใจเธอแล้วรึยัง นี่ใช่ไหมที่เธอต้องการ’ ไม่ได้มีคำพูดอะไรเหล่านั้นออกมาจากปากเขา มีเพียงสายตาของเขา กับความคิดของเธอที่ทิ่มแทงตัวเอง เขาออกรถโดยปล่อยให้เธอนั่งไปด้วย ในขณะเดียวกันก็พยายามต่อสายหาคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยๆ ใครในชีวิตลูกที่เธอแทบไม่เคยรู้จัก ลูกอาจจะเคยเล่า อาจจะเคยเจอกัน แต่ไม่เคยเลยที่เธอจะเก็บเรื่องราวและผู้คนเหล่านั้นมาใส่ใจ
เกือบชั่วโมงที่วนรถตามหา รอบแล้วรอบเล่า…เพื่อจะพบกับความผิดหวัง ไม่มีเงาของลูกอยู่ที่ไหนเลย สุดท้ายเขาจอดรถข้างๆ สวนสาธารณะที่พาลูกมาวิ่งเป็นประจำ เปิดมือถือไล่ดูข้อความเป็นรอบที่เท่าไรไม่รู้ ก่อนจะฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย คงยังไม่มีใครติดต่อมา…
มีเพียงความเงียบที่เหมือนจะกดดัน ซ้ำเติมให้บรรยากาศหดหู่สิ้นหวัง เธออยากจะปลอบใจเขา แม้จะยังไม่รู้ว่าจะปลอบใจตัวเองอย่างไรดี เอื้อมมือไปแตะไหล่เขาเบาๆ พอดีกับเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขาลนลานกดรับ
“ครับ” เขานิ่งฟังปลายสาย ก่อนจะยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
“ขอบคุณมากครับจูลี่ ขอบคุณมากๆ…ได้ครับ…ครับ…ได้ ผมรอได้ ขอแค่แกยอมคุยกับผม ผมอยากอธิบายว่าทุกอย่างไม่ใช่อย่างที่แกได้ยิน…ครับๆ ผมจะรอ…ครับ …อีกสองชั่วโมงเจอกันที่เวทีครับ…ขอบคุณอีกครั้งครับ”
เขากดวางสาย ทิ้งศีรษะกับพนักพิง เช็ดน้ำหูน้ำตา ผ่อนลมหายใจยาว ก่อนจะหันมาสบตากับเธอ ดวงตาของเขายังแดงก่ำและเปียกชื้น ต่างกับดวงตาของเธอที่แห้งสนิท ไม่มีน้ำตาแม้สักหยด…
“ยัยแก้วอยู่กับจูลี่” เขาบอกหลังจากที่เงียบไปนาน “ปลอดภัยดี แต่ก็ยัง…ร้องไห้ไม่หยุด” เธอพยักหน้ารับรู้ ผ่อนลมหายใจเมื่อรู้ว่าลูกปลอดภัย
“จูลี่ขอเวลาให้ยัยแก้วได้พักก่อน และนัดเราไปเจอที่เวทีแสดงอีกสองชั่วโมง” จริงสิ เธอลืมไปแล้วว่าวันนี้ลูกจะแสดงดนตรีเป็นครั้งแรก และลูกก็เลือกแสดงในวันเกิดครบสิบขวบของตัวเอง วันเกิดที่น่าจะเป็นวันที่มีแต่ความประทับใจ กลับกลายเป็นวันเกิดที่คงเป็นแผลในใจไปอีกนานแสนนาน เพราะความไร้สติของเธอเอง เขาถอนหายใจยาวก่อนจะบอกในสิ่งที่เธอก็เห็นด้วย
“เราต้องคุยกันก่อน…กุลญาดา”
ผืนน้ำนิ่งสงบ ไม่มีสายลมพัดแม้เพียงแผ่วเบา แดดจ้าสะท้อนผิวน้ำเป็นประกายจนต้องหยีตามอง เขายืนหันหลังมองผืนน้ำ เธอยืนอยู่ข้างเขา
“เมื่อวานนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กุล” เขาถาม สายตายังคงมองตรงไปยังสายน้ำนั้น
คำถามนั้นทำให้รู้สึกในหัวสมองมีก้อนหินหนักๆ กดทับลงมาอีกครั้ง ถ้อยคำในความฝันวิ่งวนกลับมา เธอเองก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องราวมันเริ่มจากตรงไหน บางทีมันอาจไม่ใช่แค่เมื่อวาน แต่มันสะสมมาเนิ่นนานโดยที่เธอกลบฝังมันไว้ อาจจะนานก่อนที่เธอจะมาใช้ชีวิตกับเขาด้วยซ้ำ
ความพยายามที่จะพิสูจน์ตัวเอง ถีบตัวเองให้คนยอมรับ เธอวาดหวังว่าเรียนจบจะหางานทำเพื่อพิสูจน์ตัวเองให้ได้ แต่อยู่ๆ ทุกอย่างก็พังทลายเมื่อมีชีวิตน้อยๆ เกิดขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ เธอทิ้งความฝันและอดทนเลี้ยงลูกอยู่ 2 ปี ก่อนจะขอออกมาทำงาน เขมกรเสนอให้เธอทำงานกับบริษัทที่บ้านเขา แม้จะตะขิดตะขวงใจที่เข้ามาทำงานในฐานะสะใภ้ ไม่ใช่ด้วยความสามารถของตัวเอง แต่ตลอดเกือบสิบปีมานี้ เธอทุ่มเททั้งกาย ทั้งใจ ทั้งจิตวิญญาณ เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของทุกคน เธอไม่ได้สนใจเสียงซุบซิบนินทาของคนอื่นๆ มั่นใจด้วยว่าเธอเต็มที่กับงานที่ทำ ทุกคนควรจะยอมรับเธอที่ทำงานได้ดี ไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นสะใภ้ ไม่ใช่เพราะว่าเธอแต่งงานกับเขา
แต่เหตุการณ์เมื่อวานทำให้ทุกอย่างสูญสลาย สิ่งที่เคยเชื่อว่าทำดีมาตลอดกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เมื่อแผนโฆษณาและภาพยนตร์โฆษณาตัวอย่างที่ทุ่มเทวางแผนจัดทำมาร่วมเดือน กลับถูกปฏิเสธอย่างไม่ไยดี ไม่ใช่แค่การปฏิเสธงาน แต่เธอรู้สึกเหมือนถูกปฏิเสธตัวตนทั้งหมดของด้วย
‘แม่ว่ามันยังไม่ค่อยลงตัว ไม่เหมาะกับภาวะเศรษฐกิจสังคมช่วงนี้ด้วย แม่อยากได้บรรยากาศใหม่ๆ บ้าง นัสว่าไงลูก’ เขมิกา ประธานบริษัท แม่ของเขมกร หันไปถามเขมต์มนัส หลังจากที่เธอนำเสนอแผนโฆษณาห้างในไตรมาสต่อไปในที่ประชุมเมื่อวาน
‘อืม ผมว่าถ้าเราใส่ความมีชีวิตชีวา ความสนุก บรรยากาศของครอบครัว ความเอื้ออาทรดูแลกันในยามวิกฤติ น่าจะทำให้มู้ดมันอบอุ่นขึ้นนะครับ พอดีผมทำตัวอย่างสั้นๆ มา’ เขาเปิดคลิปสั้นสองนาที แล้วทุกคนก็พากับชื่นชอบ
‘ดี แม่ชอบไอเดียนี้ กุลว่าไงลูก’
‘เอ่อ’
‘ไม่ใช่ผมไม่ยอมรับงานพี่กุลนะครับ แต่อยากเปลี่ยนมู้ดแอนด์โทนของห้างดูบ้าง มันซ้ำๆ เดิมๆ มาเกือบสิบปีแล้ว และผมว่าเทรนด์มันก็เปลี่ยนไปแล้วด้วย พอดีเพื่อนผมแนะนำนักโฆษณาเจ๋งๆ มาให้ด้วย แต่ผมยังไม่ได้ดูงานเขานะ แค่คิดว่าถ้าเราจ้างมืออาชีพมาช่วย ทีมเราก็ไม่ต้องเหนื่อยกันเอง’
‘ใครล่ะลูก’
‘ชื่อต่อภพครับ พี่กุลรู้จักไหม’
ชื่อนั้นทำให้คำพูดทั้งหมดถูกกลืนหายไป จริงๆ เธอเกือบจะลุกหนีไปตั้งแต่คำว่าเอามืออาชีพมาทำงานนั่นแล้ว มันบ่งบอกว่าเขาคิดว่าเธอไม่ใช่มืออาชีพใช่ไหม อยู่ๆ ความรู้สึกสิ้นหวังก็เข้าถาโถม ราวกับทุกอย่างที่ทำมาไร้ค่าไร้ความหมาย ไม่มีใครสนใจว่าเธอจะทำงานหนักแค่ไหน ทุ่มเทแค่ไหน สุดท้ายคำซุบซิบนินทา คำสบประมาทปรามาสที่พบเจอมาตลอดก็ย้อนกลับมาทำร้ายทิ่มแทงจนไม่สามารถเชิดหน้าหยัดยืนได้เหมือนเคย ไม่ใช่แค่เวลาร่วมเดือนกับโปรเจกต์นี้ แต่เวลาเกือบสิบปีที่ทำมาสูญเปล่าไปทั้งหมด
ออกจากที่ประชุมโดยไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกว่าโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แก้วขวัญกับเขมกรคงหลับไปแล้วตอนที่เธอกลับถึงห้อง ทิ้งตัวลงบนโซฟาและเอาแต่ดื่ม ไม่รู้ว่าดื่มไปเท่าไรแล้วตอนที่เขาออกมาเจอ
‘เกิดอะไรขึ้นกุล ทำไมถึงได้ดื่มขนาดนี้’
‘ก็กุลจะดื่ม ดื่มให้กับความโง่งม ความไร้ค่า ทุ่มเทแทบตาย แต่สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย’
‘กุล กุลเมาแล้ว’
‘กรรู้ไหม แม่กรก็ไม่ต่างอะไรกับพี่ต่อหรอกที่หลอกใช้กุล แต่ไม่เคยให้ค่า สุดท้ายก็ยกย่องคนอื่น’
‘กรว่ากุลไปพักก่อนดีกว่า’
‘แม่กรหักหน้ากุล อยู่ๆ ก็ยกงานของกุลให้นัสทำ จะเขี่ยกุลทิ้ง จะเอาไอ้พี่ต่อมาทำงานด้วย’
‘พี่ต่อ’
‘ใช่’
‘ใจเย็นๆ กุล กรว่าต้องมีเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ๆ ให้กรคุยกับแม่ก่อน’
‘ไม่ใช่ ไม่ใช่แบบนั้น มันไม่เกี่ยวกับกร มันเป็นเรื่องของกุล เป็นเรื่องที่แม่กรควรจะฟังกุล เชื่อในตัวกุล เขาควรจะยอมรับกุลในสิ่งที่กุลทำ ยอมรับในผลงานของกุล ไม่ใช่มองแค่ว่ากุลคือเมียกร เป็นแม่ยัยแก้ว กรเข้าใจไหม กุลทำงานกุลก็ต้องการการยอมรับ’
‘กรรู้’
‘กรไม่เข้าใจหรอก กรเอาแต่เล่นดนตรีไปวันๆ จะเข้าใจอะไร’
‘…’
‘กรมีทุกอย่าง ชื่อเสียงเงินทอง ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องพยายามอย่างที่กุลพยายาม’
‘กรว่าเราคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วละกุล’
‘เราไม่เคยคุยกันรู้เรื่องหรอกกร เพราะเราไม่เหมือนกันเลย เราไม่ได้รักกันเลยด้วยซ้ำ มันผิดมาตั้งแต่ต้น ผิดมาตลอด’
‘กุล’
‘ใช่ มันผิด…ทุกอย่างคือความผิดพลาด เพราะยัยแก้ว กุลถึงต้องมาผูกติดกับกรอยู่แบบนี้ ให้แม่กรหลอกใช้ เห็นกุลเป็นอีโง่ที่ทำงานงกๆ สุดท้ายก็ถีบหัวส่ง’
‘…’
‘ถ้าไม่มียัยแก้ว ถ้าตอนนั้นเอาออกไปซะ…’
‘กุล! อย่าพูดอะไรที่จะทำให้ตัวเองเสียใจไปตลอดชีวิต!’
‘ทำไม…กุลจะพูด กุลเกลียดกร เกลียด…เกลียด…เกลียด’
เพล้ง!
เธอกระแทกแก้วลงบนโต๊ะ มันปริร้าวและแตกสลายเพียงเสี้ยววินาที
“กุลเคยรักกรบ้างไหม” เขาเอ่ยถามหลังจากที่นิ่งเงียบกันไปนาน สายลมยังนิ่งสนิท ไอแดดเริ่มร้อนแรงขึ้นทุกที เธอยังคงมีเพียงความเงียบเป็นคำตอบให้กับเขา ความรู้สึกมันมากมายจนไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน เขาละสายตาจากไอแดด หันมาสบตากับเขา มันดูสิ้นหวัง เขาคงสิ้นหวังกับเธอเสียแล้ว
“แล้วลูกล่ะกุล…กุลเคยรักลูกบ้างไหม” เธอได้แต่ยืนนิ่ง ไม่รู้จะเอ่ยคำใด
“บางทีทุกอย่างมันอาจจะผิดมาตั้งแต่ต้น…กรไม่เคยรู้เลยว่าการที่มีแก้ว แล้วทำให้กุลต้องมาฝืนทนอยู่กับกร ถ้ากุลต้องการ กรจะคืนอิสระให้กับกุล” เขาพูดก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่รถ ดูเหมือนเขาไม่อาจรอคอยคำตอบจากเธอได้อีกแล้ว เธอได้แต่ก้มหน้าเดินตามเขาไป รู้ว่ามันน่าอึดอัด รู้ว่าไม่ใช่สิ่งปกติที่เธอเป็น แต่ยามนี้ทุกอย่างมันแตกสลายไปหมดแล้ว เธอไม่รู้ว่าเธอจะกอบเก็บและประกอบร่างความรักความหวังขึ้นมาได้อีกหรือเปล่า ทุกอย่างมันแหลกสลายไปแล้วพร้อมกับแก้วใบนั้น…
เขารอจนเธอขึ้นรถ จึงติดเครื่อง และขับมาจนถึงสถานที่แสดง
“ยังไงขอให้ผ่านการแสดงวันนี้ไปก่อนได้ไหมกุล ช่วยโอบกอดลูกไว้ให้เขาผ่านวันนี้ไปก่อนได้ไหม แล้วกรจะไม่ขออะไรกุลอีก” สบตาเขา พยักหน้ารับ แค่นั้น…ที่เธอทำได้
“ขอบคุณ” เขาเอ่ยเรียบๆ ไม่สบตาเธออีกต่อไปแล้ว ก่อนจะลงรถตรงไปยังห้องแสดง
ทันทีที่เข้าไปให้ห้องแสดง เสียงดนตรีสอดประสานไพเราะดั่งต้องมนตร์ บนเวทีมีนักดนตรีอยู่สามคน คนหนึ่งนังบรรเลงเพลงอยู่หลังเปียโนตัวใหญ่ คนหนึ่งมีเชลโลอยู่ในอ้อมแขน ส่วนอีกคนนั้นแสนจะคุ้นตา เด็กหญิงตัวน้อยในชุดกระโปรงลูกไม้สีขาว ดูสว่างเปล่งประกายอยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านช่องแสงลงมา ไวโอลินแนบสนิทอยู่ที่บ่าราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย
‘แล้วลูกล่ะกุล…กุลเคยรักลูกบ้างไหม’
คำถามนั้นพาเธอย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน ในวัยแค่ยี่สิบ เธอไม่มีความพร้อมในการจะเป็นแม่คนเลยแม้แต่น้อย แต่เด็กตัวเล็กๆ แสนจะบอบบาง มือน้อยๆ ไขว่คว้าสะเปะสะปะ เนื้อตัวตัวอุ่นที่ซุกอยู่กับอก อ้อมกอดสายใยอบอุ่นนั้นก็ผูกพันลึกซึ้งอยู่ในหัวใจ มันมากกว่าความรัก…ถ้ามองย้อนกลับไป เวลานั้นอาจเป็นช่วงเวลาที่เธอมีค่าที่สุดก็เป็นได้ ช่วงเวลาที่ได้มอบชีวิตให้ใครอีกคน ช่วงเวลาที่คนคนนั้นต้องการเธอมากที่สุด
สองปีที่เธอใช้เวลาเลี้ยงลูกเต็มเวลา เขมกรขอร้องให้เธออยู่กับลูกสองปี ก่อนจะยอมให้เธอไปทำงาน และเขาเข้ามารับหน้าที่ดูแลลูกเต็มเวลาต่อจากนั้น ช่วงแรกๆ ที่เริ่มไปทำงาน เธอยังเผลอคิดถึงลูกบ่อยๆ ทุกครั้งที่เลิกงานเธอยังโผไปหาลูก นอนกอด เล่านิทานให้ฟังก่อนนอน เมื่อไรกันนะที่สายใยนั้นห่างออกไปเรื่อยๆ เมื่อไรกันนะที่เธอเริ่มปฏิเสธที่จะกอดลูก เมื่อไรกันนะที่เธอเอาแต่จมตัวเองอยู่กันหน้าจอ วางแผนงานอยู่ในหัวตลอดเวลา เมื่อไรกันที่หัวใจเธอด้านชา และมุ่งหวังจะพุ่งทะยานไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว เพียงเพื่อจะพบกับความว่างเปล่า…
‘ใช่ มันผิด…ทุกอย่างคือความผิดพลาด…ถ้าตอนนั้นเอาออกไปซะ…’ เธอพูดสิ่งนั้นออกไปได้อย่างไร แค่น้ำเมา หรือเป็นสิ่งที่ซ่อนลึกอยู่ในหัวใจ แค่คิดก็เกลียดตัวเองขึ้นมา อะไรคือคุณค่าความหมายสำหรับชีวิตกันแน่ อ้อมกอดของลูก หรือการยอมรับจากคนอื่น สายไปแล้วหรือเปล่าที่เธอจะเริ่มต้นใหม่ บางทีเธออาจไม่เหมาะที่จะเป็นแม่คนด้วยซ้ำ
เสียงไวโอลินกรีดสูง เจ็บปวดเหมือนมีลูกธนูพุ่งตรงเข้าสู่หัวใจ มันเจ็บปวด จนกุลญาดาต้องใช้มือประคองหน้าอกข้างซ้ายไว้ น้ำตาที่กักเก็บมาตั้งแต่เมื่อวานทะลักทลายออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ กอดตัวเองแน่นขึ้น เพิ่งรู้ตัวตอนนี้ว่าสิ่งที่เธอควรทำคือกอดลูก ขอโทษกับคำพูดที่ขาดความยั้งคิด ขอโทษที่มองไม่เห็นความรักที่มีอยู่ บางทีมันอาจจะไม่เป็นไร ช่างความผิดพลาด ช่างความแหลกสลาย เริ่มต้นกันใหม่ กอบประคองกันขึ้นมาใหม่ ได้ไหมนะ เธอยังมีโอกาสนั้นอยู่อีกไหมนะ…
“ครูครับ!” เสียงคนวิ่งกระหืดกระหอบมาอยู่ด้านหลัง แซงหน้าเธอไปหาเขา “ผมโทรหาครูไม่รับ เลยส่งข้อความบอกครูแต่เช้า”
“มีอะไรครับ พอดีผมยุ่งๆ”
“เวทีมีปัญหาครับ ผมว่าครูให้ทุกคนลงมาก่อนดีกว่า มันไม่ปลอดภัย เดี๋ยวนี้เลยครับครู”
“แล้วทำไมไม่ติดป้ายห้ามขึ้น” เขาสบถและรีบวิ่งไป เพราะเข้ามาซ้อมก่อนเวลานัดหมายโดยไม่ได้แจ้งก่อน ไม่มีทีมงานคนอื่นอยู่ตรงนั้น ไม่มีวออยู่ในมือเหมือนอย่างเคย เสียงผู้ชายคนนั้นพึมพำ “ก็ผมส่งข้อความบอกแล้ว”
ฉับพลันนั้นเองทุกอย่างก็มืดดับ เสียงโลหะขนาดใหญ่กระทบพื้นดังสนั่น เสียงไวโอลินขาดหาย มีแต่เสียงหวีดร้อง เสียงคนโหวกเหวกโวยวาย ในใจของกุลญาดาดับสลายไปพร้อมกับแสงไฟนั้น…
ไฟโรงพยาบาลสว่างไสว แต่กลับดูหม่นมัวในความรู้สึก กุลญาดาไม่รู้ว่านำพาตัวเองมาถึงที่นี่ได้อย่างไร ด้วยวิธีไหน ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและดูวุ่นวายเหมือนฉากในละคร เธอแค่อยู่ตรงนั้น และเลื่อนไหลไปตามสัญชาตญาณ เมื่อคนเจ็บถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉิน ทุกอย่างภายนอกก็หยุดนิ่ง ราวกับบรรยากาศรอบตัวพากันกลั้นหายใจ
ยาวนานจนน้ำตาเหือดแห้งไปแล้ว นักดนตรีทั้งสามคนบาดเจ็บสาหัส ถูกแยกเข้าห้องฉุกเฉินกันคนละห้อง น่าแปลกทั้งๆ ที่เหมือนล่องลอยอยู่ในความฝัน แต่สายตากลับรับรู้และมองเห็นการเคลื่อนไหวของคนรอบตัว
ห้องหนึ่งเป็นของเด็กหนุ่มคนนั้น เจ้าของเสียงเชลโลทุ้มนุ่มราวกับโอบกอดผู้คนไว้ทั้งโลก อายุคงไม่เกินยี่สิบปี พ่อแม่ของเขากอดกันร้องไห้ ในขณะที่เด็กหนุ่มอีกคนเดินวนไปมาอยู่หน้าห้อง ทุบหมัดและพึมพำกับตัวเอง
อีกห้องคือหญิงสูงวัย คงจะเป็นจูลี่ที่เขมกรพูดถึง เจ้าของเสียงเปียโนที่แสนสนุกและอบอุ่น ห้องนั้นอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ ที่เก้าอี้หน้าห้อง มีหญิงวัยกลางคนนั่งอยู่ ข้างๆ กันนั้น เด็กสาววัยไล่เลี่ยกับเด็กหนุ่มนั่งกอดเข่า กัดเล็บ โยกตัวช้าๆ ราวกับปลอบประโลมตัวเอง
ทุกอย่างดำเนินไป มีเพียงเสียงฝีเท้าของเด็กหนุ่ม ที่เหมือนเสียงกลองสั่นระทึกอยู่ในหัวใจ สอดสลับเสียงสะอื้นไห้ของคนเป็นแม่ที่พาให้หัวใจปวดร้าวและพร้อมจะแหลกสลายได้ทุกเมื่อ
แล้วประตูก็เปิดออก ห้องของเด็กหนุ่มคนนั้น ทั้งสามคนผวาเข้าหาหมอ เพื่อที่จะพบกับความกับสูญเสีย…
“ญาติคุณวรวรรธน์ หมอเสียใจด้วยนะครับ คนไข้สิ้นใจแล้วครับ” เท่านั้นเอง ง่ายๆ เช่นนั้นเอง
เสียงคนเป็นแม่ร่ำไห้ แม้จะอู้อี้อยู่ในอกของสามี แต่กลับดังก้องสะท้อนอยู่ในความรู้สึก
“โธ่โว้ย!” เด็กหนุ่มกระแทกหมัดใส่ผนังก่อนจะพุ่งตัวออกจากไปตรงนั้น ในชั่วแวบเธอสบตากับเขา มันรวดร้าวจนยากจะอธิบาย จนเขาเดินผ่านเลยไป เธอหันมาสบตากับสาวน้อยที่นั่งฝั่งตรงข้าม เหมือนตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน ใครจะเป็นคนต่อไป…
ความอึดอัดรวดร้าวทิ้งตัวอยู่ไม่นาน ประตูห้องฝั่งตรงข้ามก็เปิดออก เด็กสาวนั่งอยู่ที่เดิม ห่อตัวเล็กลงไปอีก เหมือนอยากกลืนหายไปจากโลกนี้ เล็บถูกกัดจนเลือดซึมออกมา มีเพียงหญิงกลางคนคนนั้นที่ลุกไปหาหมอ
“ญาติของคุณจุรีพร เสียใจด้วยครับ” เพียงเท่านั้นเด็กสาวก็ซบหน้าลงกับฝ่ามือ สะอื้นไห้ไปทั้งเนื้อทั้งตัว…
ตอนนี้กุลญาดาไม่มีเรี่ยวแรงอีกต่อไป ความหวังที่พยายามก่อร่างสร้างตัวขึ้น ดูเหมือนจะเลือนรางจางหาย ความหนาวเย็นคืบคลานจากปลายเท้าถึงศีรษะ อยากกุมมือใครสักคนที่คอยให้กำลังใจ แต่คนที่เคยกุมมือเธอมาตลอด ยามนี้นั่งอยู่ที่เก้าอี้อีกตัว เว้นเก้าอี้ตรงกลางไว้ คงไม่อาจต่อติดกันได้อีกแล้ว
‘แม่ขอแก้วกอดหน่อย’ นึกถึงสิ่งที่ลูกร้องขออยู่ทุกวัน เธออยากกอดลูกเหลือเกิน
จดจ้องไปที่ประตูบานสุดท้าย และวอนขอในใจไม่ให้ประตูนั้นเปิดออกมา…สวนทางกับคำขอ ประตูเปิดออกทันทีนั้น หากคนที่เดินออกมาไม่ใช่หมอ แต่เป็นพยาบาล เขมกรโผเข้าหา
“ลูกผมเป็นยังไงบ้างครับ”
“คุณหมอยังรักษาคนไข้อยู่ค่ะ คุณพ่อใจเย็นๆ ก่อนนะคะ” พยาบาลเดินหายไปตรงมุมห้อง แล้วก็เดินย้อนกลับเข้าห้องรักษา จังหวะเปิดประตูเข้าไป แว่วเสียงข้างใน
“คุณหมอคะ คนไข้หัวใจหยุดเต้นค่ะ” เพียงเท่านั้นสติก็วูบหาย โลกมืดดับลงอีกครั้ง…
- READ Tomorrow, Yesterday พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้ บทที่ 5 : 24 กุมภาพันธ์ (วันพฤหัส)...แผลจากเมื่อวาน
- READ Tomorrow, Yesterday พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้ บทที่ 4 : 25 กุมภาพันธ์ (ศุกร์) ...ไม่มีพรุ่งนี้อีกต่อไป?
- READ Tomorrow, Yesterday พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้ บทที่ 3 : 26 กุมภาพันธ์ (เสาร์)...เมื่อวานของเมื่อวาน
- READ Tomorrow, Yesterday พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้ บทที่ 2 : 27 กุมภาพันธ์ (วันอาทิตย์)...ฝันหรือจริง?
- READ Tomorrow, Yesterday พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้ บทที่ 1 : 28 กุมภาพันธ์ (วันจันทร์)...หากย้อนเวลากลับไปได้