Tomorrow, Yesterday  พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้ บทที่ 4 : 25 กุมภาพันธ์ (ศุกร์) …ไม่มีพรุ่งนี้อีกต่อไป?

Tomorrow, Yesterday พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้ บทที่ 4 : 25 กุมภาพันธ์ (ศุกร์) …ไม่มีพรุ่งนี้อีกต่อไป?

โดย : ภาณินี

Loading

พบกับนวนิยายรักโรแมนติก “Tomorrow, Yesterday พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้” รางวัลชนะเลิศโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๓ โดย ภาณินี กับนวนิยายที่จะตั้งคำถามมากมายให้คุณได้ครุ่นคิด นวนิยายที่จะติดตรึงในความทรงจำของคุณตลอดกาล…

 

คิดไว้อยู่แล้ว

ทั้งกุลญาดา ชามา และวรธันย์ ต่างคิดอย่างนั้น เมื่อตื่นมามองดูวันเวลาในมือถือแล้วระบุว่ามันคือวันที่ 25 กุมภาพันธ์

มีความชัดเจนให้ต้องยอมรับอยู่ในใจ ว่าตัวเองย้อนเวลาถอยหลังกลับมาเมื่อวานของเมื่อวานอีกแล้ว ถอยหลังไปสู่อดีตเรื่อยๆ เหมือนฝันซ้ำซากไม่ตื่นมาพบกับความจริงเสียที แต่แผลที่มือจากรอยบาดของเศษแก้วยังปรากฏอยู่ที่มือซ้ายของกุลญาดา เช่นเดียวกับแผลที่มือขวาของวรธันย์ และรอยกัดเล็บของชามา แม้แผลจะค่อยๆ สมานตัว แต่มันก็ยังอยู่ราวกับเป็นการย้ำเตือนว่าเรื่องราวทั้งหมดไม่ใช่ความฝัน

คำถามเดิมวนกลับมาอีก ทำไม เพื่ออะไร สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มีใครหรืออะไรอยู่เบื้องหลัง

คำถามต่อมาคือ จะเป็นอย่างนี้ไปถึงเมื่อไร จะมีวันที่ตื่นมาพบกับพรุ่งนี้บ้างหรือไม่ หรือจะไม่มีพรุ่งนี้อีกต่อไปแล้ว

คิดแค่นี้กุลญาดาก็ปวดมวนในท้อง แล้วชีวิตมันจะเดินไปอย่างไร ในเมื่อมันควรก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่ใช่ถอยหลังไปอดีตมิใช่หรือ

ทุกเช้าเธอจะกลับมานอนที่ห้องตัวเอง ทั้งๆ ที่ตอนนอนเธอหลับไปในห้องลูก แล้วเสียงโทรศัพท์ก็จะดังในเวลาเดิม เลขาฯ จะต้องโทร.มาเพื่อทบทวนกำหนดการในแต่ละวัน เพิ่งรู้ตัวว่าที่ผ่านมาเธอคุยกับเลขาฯ มากกว่าคนในครอบครัวเสียอีก ช่วงเวลาของอาหารเช้าที่ควรจะเป็นเวลาของครอบครัว เธอกลับจมอยู่กับหน้าจอ ดูงานที่ต้องเตรียมนำเสนอบ้าง เตรียมประชุม เตรียมพบลูกค้า แต่ละวันที่งานมากมายหลั่งไหลมาไม่เคยหมด ไม่เคยมีวันหยุด นานเท่าไรแล้วที่มันวนเวียนอยู่แบบนี้ เผลอแป๊บเดียวเธอทุ่มชีวิตให้กับงานมาเกือบสิบปี ทุ่มเท…เพื่อที่จะถูกปฏิเสธตัวตนอย่างไม่ไยดี อดคิดไม่ได้ว่าถ้าไม่เกิดเรื่องราวประหลาดนี้ขึ้น ชีวิตเธอจะเดินต่อไปทางไหนกันนะ

บอกลางานกับเลขาฯ เหมือนเช่นเคย ซึ่งฝ่ายนั้นก็รับปากไปแบบงงๆ เป็นเรื่องแปลกประหลาดในร้อยวันพันปีที่เธอไม่เคยลางาน เช่นเดียวกับเมื่อออกมาที่ครัว ทั้งเขมกรและแก้วขวัญก็จะต้องตื่นเต้นดีใจกับการที่เธอลางาน และขอติดตามแก้วขวัญไปซ้อมดนตรี

“วันนี้แก้วไปโรงเรียนค่ะแม่ วันนี้วันศุกร์ แก้วไปซ้อมดนตรีตอนเย็น”

“ผมก็มีงานทั้งวันเลย”

ทุกคนต่างก็มีชีวิตของตัวเอง หรือเธอควรไปทำงาน แค่คิดอาการปวดมวนในท้องก็กลับมา ความรู้สึกว่างานคือทุกสิ่งในชีวิตมันเหือดหายไปหมดแล้ว

“งั้นกุลขอไปกับกรได้ไหม” เขาเลิกคิ้วแปลกใจ

“ไปกับกร ไปทำงานน่ะนะ”

“อืม อยากรู้ว่าวันๆ กรทำอะไร”

“เอ…เหมือนโดนจับผิดยังไงไม่รู้แฮะ” แก้วขวัญหัวเราะคิก

“แม่สงสัยว่าพ่อมีกิ๊กใช่ไหมคะ จับให้มั่นคั้นให้ตายเลยค่ะแม่”

“เป็นงั้นไป แก่แดดจริงๆ ยัยแก้ว กิ๊กกั๊กอะไร มีที่ไหน พ่อก็มีแม่อยู่คนเดียวนั่นแหละ รักเดียวใจเดียวมาสิบกว่าปีแล้ว” เขาบอกรักเธอง่ายๆ แล้วเธอก็หน้าแดงขึ้นไม่รู้ตัว แก้วขวัญชอบใจหัวเราะใหญ่ เป็นเสียงหัวเราะที่เธอไม่ได้สัมผัสรับรู้มาเนิ่นนาน

เช้านั้นเธอไปส่งลูกพร้อมกับเขา จริงๆ เธอเคยมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยสังเกต ไม่เคยสนใจ ส่งแล้วก็เร่งรีบออกไปทำงาน ไม่เคยรู้ว่าชีวิตในโรงเรียนลูกเป็นอย่างไร เหมือนเธออยากจะทำความรู้จักชีวิตลูกนับตั้งแต่ตอนนี้

“กรต้องเข้างานกี่โมง”

“10 โมง”

“งั้นขอกุลดูลูกอยู่ตรงนี้ได้ไหม อยากรู้ว่าลูกอยู่ที่โรงเรียนเป็นยังไง”

“อืม ได้สิ เข้าไปดูข้างในก็ได้”

เขมกรเลี้ยวรถเขาไปในโรงเรียน เขาเดินไปเจรจากับครูเวร เพื่อขอนั่งอยู่ที่ศาลาซ้อมดนตรี โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่เขามาสอนดนตรีด้วยเช่นกัน เขาเลือกโรงเรียนนี้ให้ลูกเพราะเป็นโรงเรียนที่ให้ความสำคัญกับศิลปะในชีวิต เด็กเรียนดนตรีไม่ใช่เพื่อแข่งขันหรือเพื่อความเป็นเลิศ แต่เล่นดนตรีเพื่อสร้างสมดุลในชีวิต และดูแลอารมณ์ความรู้สึกที่เปลี่ยนผ่านในแต่ละช่วงวัย ให้เสียงดนตรีช่วยประคับประคอง กล่อมเกลาอารมณ์ความรู้สึกของเด็กๆ

เด็กๆ ที่นี่เรียนเครื่องสายเมื่อขึ้น ป.4 ปีนี้ เขากับครูประจำชั้นเห็นตรงกันว่า แก้วขวัญเหมาะกับไวโอลิน ซึ่งลูกก็ชอบและมีพรสวรรค์ เพียงแค่เริ่มต้นแก้วขวัญก็เล่นเพลงยากๆ ได้ ในเวลาไม่นาน

กุลญาดานั่งลงตรงศาลามุงคานั้น เห็นหลังลูกไวๆ เคลื่อนไหวรวดเร็ว ลูกถือไม้กวาดทางมะพร้าวมากวาดใบไม้ที่ร่วงเกลื่อนตามพื้นทราย เด็กบางคนตัดหญ้า บางคนทำความสะอาดอยู่ในห้อง มีเสียงหัวเราะพูดคุย กิจกรรมเหล่านั้นเกิดขึ้นราวๆ ครึ่งชั่วโมง แก้วขวัญเห็นเธอแต่ก็ไม่ได้วิ่งมากอดหรือพูดคุย เพียงแต่โบกมือเป็นครั้งคราวยามเดินผ่าน เหมือนรู้ว่าเวลานี้หน้าที่ของตนเองคืออะไร

เหมือนเขมกรเคยบอกว่าเขาเลือกโรงเรียนที่ไม่เน้นการเรียนหนักๆ ให้ลูก แต่เลือกโรงเรียนที่สอนให้ลูกรู้จักชีวิต รู้จักตนเอง ตอนนี้เธออาจไม่เข้าใจว่าการเรียนแบบนี้จะทำให้รู้จักตนเองยังไง แต่เท่าที่เห็นลูกมีความสุข และรู้จักหน้าที่ของตัวเอง

แล้วเธอล่ะ รู้จักตัวเองหรือยัง ณ ตอนนี้ค้นพบตัวเองหรือยัง

ทำเวรเสร็จ เด็กๆ แยกย้ายกันเข้าห้องเรียน ได้ยินเสียงดนตรีแว่วมาจากชั้นเรียนแทบทุกชั้น บ้างเสียงขลุ่ย บางเสียงไวโอลิน บ้างเสียงเชลโล คงมีเสียงไวโอลินของแก้วขวัญแทรกอยู่ด้วย แค่นิ่งฟังหัวใจก็สงบ น้ำตารื้นออกมาไม่รู้ตัว สามวันที่ผ่านมานี้ เธอรู้เลยว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนละคน เหมือนประสาทสัมผัสทั้งมวลเพิ่งพร้อมจะเปิดรับความงดงามของโลกใบนี้ เหมือนเพิ่งได้หัวใจกลับคืนมา…

“ขอบคุณมากนะกรที่เลือกแต่สิ่งดีๆ ให้ลูก”

“ยัยแก้วก็ลูกกรนี่นนา ไม่เห็นต้องขอบคุณเลย”

“นั่นสิ ต้องขอบคุณกรมากกว่าที่ไม่เคยต่อว่าอะไรกุลเลย ทั้งๆ ที่กุลไม่เคยทำหน้าที่แม่ที่ดี ไม่ได้ทำหน้าที่ภรรยาที่ดีด้วย”

เขมกรยิ้ม มองตรงมา ไม่ได้ส่งสายตาซาบซึ้งใจที่เธอกล่าวขอบคุณ หรือภาคภูมิใจในความเป็นพ่อที่ดีของตัวเอง มีแต่ความเข้าใจ และแม้ไม่ได้เอ่ย สายตานั้นก็บอกออกมาดังๆ ว่า ‘ไม่เป็นไร’

นึกย้อนทวน อะไรกันที่หล่อหลอมให้เธอกลายเป็นคนที่กระโจนตัวเองเข้าไปในงานจนลืมตัวเองและคนรอบข้างไปจนหมด จำได้เธอเคยมีวัยเด็กที่อบอุ่น พ่อทำงานเป็นนักโฆษณา พ่อคิดงานเจ๋งและเป็นที่ต้องการตัวของคนในวงการ พ่อเจรจางานกับคนมากหน้าหลายตา บางครั้งก็จะเก็บตัวเงียบคิดงาน แต่ไม่นานพ่อจะออกมาอย่างร่าเริง และงานก็มักผ่านได้อย่างสบายๆ

เธอมีความสุข แม่เองก็ทำงานเคียงคู่ เป็นคู่คิด เป็นเพื่อนร่วมงานร่วมชีวิต ที่เธอมองว่ามีแต่ความสมบูรณ์แบบ จนกระทั่ง…ตอนนั้นเธอน่าจะอยู่มหาวิทยาลัยปีหนึ่ง พ่อแม่ของเธอถูกฟ้องเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ เหมือนพ่อกับแม่ไปก๊อบปี้งานของคนอื่นมา พ่อแม่ไม่ได้เล่าอะไรให้เธอฟังมากนัก ทั้งคู่มีแต่ความเคร่งเครียด เธอถูกกันออกมาจากปัญหา พ่อแม่วิ่งขึ้นศาลอยู่ 2 ปีเต็ม สุดท้ายก็แพ้คดี พ่อเส้นเลือดในสมองแตกเสียชีวิต และแม่ก็เป็นซึมเศร้าก่อนจบชีวิตตัวเอง จากชีวิตที่สมบูรณ์แบบ กลับกลายเป็นความเคว้งคว้างว่างเปล่าไม่เหลือใครเลย ผู้คนรอบข้างต่างมองเธอแล้วก้มหน้าไม่สบตา แต่ก็ซุบซิบคุยกันทั้งๆ ที่เธอยังไม่คล้อยหลังดีด้วยซ้ำ

แต่แทนที่กุลญาดาจะหดหู่สิ้นหวัง ไม่รู้อะไรที่ทำให้เธอยืนหยัดอยู่ได้ เธอไม่สนว่าใครจะมองอย่างไร เธอไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงของพ่อกับแม่ในเรื่องคดีคืออะไรกันแน่ ด้วยอายุ ด้วยความอ่อนต่อโลก เธอไม่มีกำลังพอที่จะอุธรณ์หรือรื้อฟื้นคดีขึ้นมาได้ เธอได้แต่มุ่งมองตรงไปข้างหน้า สิ่งที่จดจำและประทับไปแล้วคือพ่อของแม่เธอเก่ง และเธอก็จะเก่งให้ได้อย่างนั้น ใครจะพูดจะว่าอะไร กุลญาดาไม่เคยสนใจ เธอตั้งใจเรียน และมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จให้ได้อย่างที่พ่อเคยทำ เธอตัดสินใจสมัครเป็นพนักงานเสิร์ฟของร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่ง เพราะรู้ว่าเขาเป็นคนเก่งเรื่องงานโฆษณา เธอหวัง…จะได้เรียนรู้งานจากเขา

ที่นั่นเองที่เธอได้พบเขมกร เขามาเล่นดนตรีกลางคืน ในสังคมเด็กเสิร์ฟไม่มีใครสนิทกับใคร บางคนมองเธอด้วยสายตาเวทนา คิดว่าเธอตกอับจนต้องมาทำงานเสิร์ฟ บางคนเสียดสีเย้ยหยันทั้งต่อหน้าและลับหลัง สิ่งที่ทำให้เธอยืนหยัดอยู่ได้ คือการเชิดหน้าและมองทุกอย่างเป็นเพียงภาพมายา ไม่ให้ค่า ไม่สนใจ คงเริ่มจากจุดนี้เองที่ทำให้เธอกลายเป็นคนแห้งแล้ง และไม่ใส่ใจคนรอบข้าง มีเพียงเขมกรคนเดียวที่เข้าหาเธออย่างจริงใจ เขาพูดคุยกับเธออย่างปกติ ไม่มีสายตาเวทนาหรือเย้ยหยัน เขาเปิดรับเธออย่างเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง ไม่มีแม้กระทั่งในเชิงชู้สาว แต่เธอก็ไม่ได้ทำตัวสนิทสนมอะไรกับเขามากมาย แค่พูดคุยตามมารยาท จะคุยเล่นบ้างก็เวลาที่อยากแกล้งพวกเด็กเสิร์ฟสาวๆ คนอื่นที่หมายปองหนุ่มนักดนตรีให้แน่นอกบ้างเท่านั้นเอง

แล้ววันที่เธอรอคอยก็มาถึง เมื่อต่อภพเจ้าของร้านเรียกเธอไปพบ เขามองเธอแบบประเมิน เธอคิดว่าเขารู้ว่าเธอมาทำงานที่นี่ด้วยจุดประสงค์อะไร

‘พี่รู้จักพ่อแม่กุลนะ’

‘ค่ะ’ เธอตอบรับนิ่ง รอว่าเขาจะพูดว่าอะไร

‘แต่พี่ก็เป็นรุ่นน้องที่ห่างมากๆ …พี่รู้ว่ากุลมาทำงานที่ร้านพี่เพราะสนใจงานโฆษณาใช่ไหม ผู้จัดการเขาบอกพี่มา’

‘ค่ะ’

‘แต่กุลเพิ่งเรียนปี 4’

‘กุลถึงมาสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟไงคะ’

‘ทำไมถึงไม่ไปฝึกงานกับเพื่อนๆ ของพ่อแม่กุลล่ะ’

‘พี่ต่อก็น่าจะรู้ ไม่มีมิตรแท้ในวงการนี้หรอกมั้งคะ คงไม่มีใครกล้าที่จะยอมรับเด็กที่พ่อแม่มีประวัติไม่ดีเข้าทำงานหรอก’

‘แล้วทำไมถึงคิดว่าพี่จะรับ’

‘ก็แค่ลองดู แล้วกุลก็มาสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟ ไม่ใช่ครีเอทีฟ’

‘แล้วกุลจะได้อะไรจากการเป็นเด็กเสิร์ฟ’

‘ก็ได้เงินไงคะ’

‘กุลไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินพี่รู้’ ใช่ พ่อแม่เธอจัดการกันเงินส่วนหนึ่งไว้ ไม่ถูกยึดไปหลังจากแพ้คดี ให้เธอเป็นทุนการศึกษาและใช้จ่ายได้อย่างสบายไปอีกหลายปี จนกว่าจะเรียนจบและหางานทำได้อย่างมั่นคง

‘ค่ะ กุลสนใจงานโฆษณา และรู้ว่าพี่ต่อทำงานโฆษณา’

‘แล้ว?’

‘การอยู่ใกล้ๆ คนที่ทำงานด้านนี้ กุลคิดว่ากุลคงได้เรียนรู้อะไรบ้างไม่มากก็น้อย’ อย่างเช่นการจัดร้าน การดึงดูดลูกค้าเข้าร้าน การโฆษณา ร้านนี้มีจุดเด่นและแตกต่าง ที่คิดมาอย่างดีที่ไม่ใช่การโฆษณาแบบขายตรง หรือเน้นแค่นักดื่มมึนเมา แต่คนที่มาคือมาด้วยไอเดียทุกอย่างที่ร้านจัดวางไว้แล้ว

‘แล้วไม่กลัวเหรอว่าพี่จะไม่รับ’

‘พี่ต่อก็รับนี่คะ กุลก็ทำงานมาเกือบเดือนแล้ว’ เขาหัวเราะ

‘โอเค ขอพี่ดูสักระยะ ถ้ามีงานอะไรที่พี่คิดว่ากุลจะทำได้ พี่จะบอก’

‘ขอบคุณค่ะ’ เขาบอกเรียบๆ และเธอก็ตอบรับเรียบๆ ไม่ได้กระโดดตบมือดีใจ จนเขาออกจะแปลกใจในความนิ่งของเธอ

เอาจริงๆ วันนั้นเธอก็ดีใจอยู่ไม่น้อย ในโอกาสที่เปิดแง้มที่จะกู้ตัวตนในใจเธอคืนกลับมา แต่ก็ไม่อยากจะแสดงออกจนเกินไป บังเอิญที่เขมกรอยู่ตรงนั้น และเธอก็นึกอยากแชร์เรื่องนี้กับใครสักคน เมื่อเขาชวนเธอไปนั่งดื่มกาแฟต่อที่ร้านกาแฟ 24 ชั่วโมง เธอจึงตอบรับคำชวนของเขา

‘เจ๋งไปเลย’ เขาพูดหลังจากตั้งใจฟังเธอจนจบ

‘พี่ต่อน่ะเหรอ’

‘ใครว่า กุลต่างหาก ตอนแรกกรก็ทึ่งนะที่กุลมาทำงานโดยไม่สนใจว่าใครจะว่ายังไง แต่พอรู้ว่ากุลคิดอะไรไว้ กรก็ยิ่งทึ่งขึ้นไปอีก’

‘กุลไม่ได้คิดว่ามันเจ๋งอะไร กุลก็แค่ทำเพื่อความฝันของกุล คนจะมองยังไงก็ช่าง กุลมองไปข้างหน้าแล้วก็อยากทำฝันของตัวเองให้ดีที่สุด…ก็แค่นั้น’

กุลญาดารู้สึกได้ว่าสายตาของเขมกรเปลี่ยนไปตั้งแต่วินาทีนั้น มันมีความลึกซึ้งบางอย่างเกิดขึ้น แล้วเขาก็เล่าให้เธอฟังถึงความกังวลที่พ่อแม่อยากให้เขาสานต่อธุรกิจที่บ้าน ในขณะที่เขาชอบทางดนตรีมากกว่า

‘ไม่รู้สิ ถ้ากรคิดว่ารักก็ทำเลย ไม่เห็นต้องสนใจเลยว่าคนจะมองยังไง กุลว่าพ่อแม่เขาต้องเข้าใจในสิ่งที่กรทำอยู่แล้ว’ แนะนำเขาในสิ่งที่เธอเชื่อ

…จากวันนั้นเหมือนสองคนจะคุยกันมากขึ้น แลกเปลี่ยนความคิด ความฝัน เขมกรแสดงออกชัดเจนว่าเขาคิดยังไงกับเธอ เธอแค่รับรู้แต่ยังคงขีดเส้นไว้ที่คำว่าเพื่อนเหมือนเดิม ซึ่งเขมกรก็ยอมรับและไม่ได้พยายามให้เธอเปลี่ยนอะไร

ไม่นาน…ต่อภพก็ให้เธอลองออกแบบงานเล็กๆ น้อยๆ พร้อมกับค่าตอบแทนนิดหน่อย โดยยังไม่ได้ให้เครดิต ซึ่งเธอก็ยอมรับ จนวันหนึ่งเขายกให้เธอทำทั้งโปรเจกต์ เขาแค่บรีฟให้เธอฟังสั้นๆ

‘อยากลองไหม’

‘อยากลองค่ะ’

‘ดี งั้นก็ลุยเลย’

‘พี่ต่อคะ’

‘หือ’

‘งานนี้…ถ้าผ่าน กุลจะได้เครดิตใช่ไหมคะ’

‘แน่นอน ให้มันผ่านก่อนเถอะน่า’ เขาตอบรับแบบรีบๆ แล้วก็จากไป ตอนนั้นเธอกลัวโอกาสจะหลุดลอย คิดเสียว่าอย่างไรที่ผ่านมาเขาก็เชื่อใจได้ จึงตั้งใจออกแบบงานอย่างเต็มที่ และสุดท้ายมันก็ผ่าน ผ่านในแบบที่ต่อภพไม่ต้องแก้งานอะไรเธอเลยแม้แต่น้อย แต่มันกลับไม่มีชื่อเธออยู่ในโปรเจกต์งานนี้

‘พี่ให้กุล 40%’ เขาบอกเมื่อเธอทวงสัญญา

‘พี่ต่อก็รู้ว่ากุลไม่ได้ต้องการเงิน กุลควรมีชื่ออยู่ในโปรเจกต์’

‘ก็เขาติดต่อมาให้พี่ทำงาน ถ้าพี่บอกว่าให้กุลทำ พี่ก็เสียหมาสิกุล’

‘เป็นชื่อร่วมก็ได้นี่คะ เป็นผู้ช่วยก็ได้’

‘กุล’ เขาทำเสียงหนักใจ ‘กุลก็รู้พ่อแม่กุลตายสนิทในวงการนี้ไปแล้ว ถ้าชื่อกับนามสกุลของกุลโผล่ออกมา คิดเหรอว่างานนี้จะผ่าน’ ที่แท้ก็อย่างนี้ ที่แท้เขาก็ไม่ได้มองพ่อแม่เธอดีกว่าคนอื่นๆ และก็แค่หลอกใช้เธอเท่านั้นเอง

‘กุลเข้าใจแล้วค่ะ งั้นกุลขอลาออกนับตั้งแต่วินาทีละกันนะคะ’

‘ไม่เอาน่ากุล เรื่องแค่นี้เอง กุลยังไปได้อีกไกล’

‘ไปได้อีกไกล โดยต้องแบกพี่ต่อไปด้วยน่ะเหรอคะ’

‘อย่าผยองไปหน่อยเลยกุลญาดา ก็แค่งานเล็กๆ งานเดียว’

‘ก็แค่งานเล็กๆ งานเดียว ทำไมต้องมาให้เด็กอย่างกุลคิด แล้วก็บอกว่าเป็นงานตัวเอง พี่ต่อไม่อายบ้างเหรอที่มาหลอกใช้เด็กทำงาน กุลคิดงาน กุลใช้สมอง ใช้จิตวิญญาณของกุลทำงาน กุลต้องการให้ทุกคนรู้ ต้องการให้โลกนี้รู้ว่านี่คือผลงานของกุล ไม่ใช่ทำงานรับใช้คนเห็นแก่ตัว เอาเปรียบคนอื่นอย่างพี่ต่อ’

‘จะมากไปแล้วนะกุล’

‘ไม่มากไปหรอกค่ะ ตอนแรกกุลก็ไม่แน่ใจนะคะว่าพ่อกับแม่โดนรังแกรึเปล่า โดนเพื่อนหักหลังหรือเปล่า แต่ต้องขอบคุณพี่ต่อ ที่ยืนยันให้กุลเห็นว่าในโลกนี้มันมีคนเหี้ยๆ ที่ทำอะไรก็ได้เพื่อผลประโยชน์ตัวเองจริงๆ’

เพียะ! กุลญาดาชาไปทั้งหน้า ก่อนจะรู้ตัวว่าเกิดอะไร ใช่ เขาตบเธอ และเหมือนจะตรงเข้ามาทำอะไรต่ออีก ถ้าเขมกรไม่เข้ามากันไว้เสียก่อน

‘อย่านะพี่ต่อ ทำคนไม่มีทางสู้ มันยิ่งกว่าเหี้ยอีกนะ’

‘เออ กูเหี้ย แต่ถามตัวเองนะกุลญาดา อะไรทำให้มึงแน่ใจ ว่าพ่อแม่มึงจะวิเศษวิโสกว่ากู พ่อแม่มึงอาจจะเหี้ยกว่ากูก็ได้ อย่าคิดว่าตัวเองเลิศเลอกว่าใครนักเลยว้า ใครๆ เขาก็ทำกันแบบนี้ทั้งนั้นแหละ พวกมึงออกไปเลย ออกไปทั้งสองตัวเลย แล้วอย่ามาให้กูเห็นหน้าอีก’

กุลญาดานิ่งชาไปตอนนั้น นั่นสิ พ่อกับแม่เธออาจจะเป็นหนึ่งในคนจำพวกเดียวกับต่อภพก็เป็นได้ อะไรทำให้เธอมั่นใจว่าพ่อแม่เธอจะถูกรังแก เพราะลึกๆ แล้วก็หวังมาตลอด หวังและเชื่อหมดหัวใจว่าพ่อแม่เธอถูกใส่ร้าย แต่เอาเข้าจริง ก็ไม่มีอะไรจะพิสูจน์ได้ ไม่มีใครพยายามหรือจะเข้ามายืนยันอะไรให้เธอรู้ได้เลยว่าพ่อกับแม่เธอบริสุทธิ์…

กุลญาดาประกาศกับตัวเอง ณ วันนั้น ช่างมัน…ไม่ว่าที่ผ่านมาจะคืออะไร ใครจะผิดใครจะถูก เธอจะต้องเติบโตขึ้นมาด้วยตัวเองให้ได้ เธอจะสู้ทุกวิถีทาง เธอจะทำให้โลกรู้ว่าโลกนี้คนเก่ง คนจริงต้องอยู่ได้! แต่พอชื่อของต่อภพวนกลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง ก็ทำให้เธอเสียสูญจนเกือบจะสูญเสียทุกอย่างไปแล้ว…

 

เด็กคนนั้นบรรเลงเปียโนด้วยความรู้สึกหลากหลาย เหมือนไม่ได้ตั้งใจเล่นให้เพราะ แต่แค่อยากระบายอะไรบางอย่างออกมา เด็กนั่งเล่นอยู่ในห้องกระจก ส่วนเขมกรกับแม่ของเขานั่งอยู่ด้านนอก

“ดีขึ้นมากเลยค่ะครู จากที่เวลาโกรธเขาจะทำลายข้าวของ ตะโกน ตั้งแต่มาเล่นเปียโน เหมือนเขาอารมณ์เย็นลง ไม่โกรธแรง หลายครั้งที่เขาพยายามอธิบายความรู้สึก แต่พอพูดไม่ได้ เขาก็ไปเล่นสักเพลง แล้วก็กลับมาบอกสั้นๆ เมื่อกี้มันอึดอัด แต่ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว” คนเป็นแม่บอกเล่า แววตาที่มองมายังคนที่เป็นครูของลูกมีแต่ความซาบซึ้งใจ

“ดีใจที่มาเจอครู ไม่งั้นป่านนี้คงแย่แล้วทั้งแม่ทั้งลูก มีอะไรให้แม่ช่วยครูบอกมาได้เลยนะคะ แม่ช่วยเต็มที่ คอนเสิร์ตน้องแก้วขวัญ แม่ก็ซื้อบัตรแล้วนะคะ ชวนเพื่อนๆ มาซื้อด้วยค่ะ”

“ขอบคุณครับคุณแม่ จริงๆ แค่น้องดีขึ้นผมก็ดีใจแล้วครับ จากนี้คุณแม่ก็ค่อยๆ ถามเขาว่าเขารู้สึกยังไง อาจจะถามเขาสั้นๆ ว่าโกรธใช่มั้ย น้อยใจใช่มั้ย หรือผิดหวัง ถ้าเขาอธิบายความรู้สึกออกมาได้ ความอึดอัดในใจก็จะคลายลงได้บ้าง ที่สำคัญคุณแม่รับฟังเขาอย่างตั้งใจ แค่นี้เขาก็รับรู้ได้แล้วครับ”

“ค่ะครู”

เสร็จจากสองแม่ลูก เป็นอีกครอบครัวหนึ่ง คราวนี้มาพร้อมกันทั้งพ่อแม่ลูก เด็กชายตัวเล็กอายุน่าจะใกล้เคียงกับแก้วขวัญ กุลญาดานั่งอยู่หลังเขมกรอยู่ห่างๆ เห็นเขาทักทายเด็ก ส่งลูกบอลให้เด็กยื่นมือขวามารับ ส่งอีกลูกไปให้ที่มือซ้าย แต่เด็กกลับไม่ยอมยื่นมือมารับ

“มือข้างนี้ใช้ไม่ได้ มันเสีย” เด็กบอกเสียงเบา เขายิ้มก่อนจะบอก

“ขอครูดูหน่อยได้ไหม” เด็กคนนั้นพยักหน้า เขาค่อยๆ ยื่นไปจับมือข้างซ้าย บีบเบาๆ พลิกไปพลิกมาช้าๆ

“โอเค ซ่อมได้” เขมกรบอกสั้นๆ ง่ายๆ แต่กุลญาดามองเห็น…ทันที่ที่เขาบอกว่า ‘ซ่อมได้’ ดวงตาของเด็กคนนั้นก็เกิดประกายแห่งความหวังขึ้นมา มีรอยยิ้มน้อยๆ ยามมองที่มือข้างซ้ายของตัวเองด้วยแววตาที่เปลี่ยนไป…

เกือบเที่ยง ครอบครัวของเด็กคนนั้นก็กลับไป กุลญาดาเดินเอาน้ำเย็นไปให้เขา

ที่ผ่านมาเธอคิดว่าเขาเป็นแค่นักดนตรี และครูสอนดนตรีธรรมดาเท่านั้นเอง เพิ่งเข้าใจวันนี้ว่าเขาทำหน้าที่เหมือนจะบำบัดรักษาด้วย

ปกติยามอยู่ด้วยกัน เขาดูไม่ต่างอะไรกับเมื่อสิบปีก่อน แต่ยามนี้…มีอะไรบางอย่างที่ดูแปลกตาไป

“ทำไมมองกรแบบนั้น”

“ก็แค่…ไม่นึกว่ากรเป็นหมอด้วย”

“กรไม่ใช่หมอหรอก ถ้าหมอต้องวินิจฉัยได้ กรแค่รับเคสต่อมาจากหมอเท่านั้นเอง อย่างเคสเช้าเป็นสมาธิสั้นเทียม เกิดจากการที่ดูสื่อมาตั้งแต่เล็กๆ ทำให้ไม่มีสมาธิจดจ่อ แล้วก็มีภาวะ…ยังไงดีล่ะ พูดง่ายๆ ก็คือควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ สื่อสารไม่ได้ เลยแสดงออกด้วยความรุนแรง แม่เขาพามาหาจิตแพทย์เด็ก แพทย์เขาวินิจฉัยว่าเสียงเปียโนน่าจะช่วยให้เด็กผ่อนคลายขึ้น แล้วการเล่นเปียโนก็น่าจะช่วยให้เขามีสมาธิจดจ่อมากขึ้นได้ ก็เลยส่งเคสต่อมาที่กร ส่วนอีกคนนั่นเคยชักมาก่อน กล้ามเนื้อมือซ้ายเลยมีปัญหา เขาเลยไม่ค่อยยอมใช้งาน ต้องกระตุ้นให้ขยับบ่อยๆ พาร้องเพลง ให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายที่เคยหดเกร็งจากการชัก ค่อยๆ คลายตัวลง ให้กล้ามเนื้อได้เคลื่อนไหวไปตามเสียงเพลง เดี๋ยวก็ดีขึ้น”  เขาอธิบายยืดยาว ดวงตาเป็นประกาย ภูมิใจกับงานที่ตัวเองทำ เหมือนที่เขาทำให้เด็กคนนั้นมีประกายแห่งความหวังขึ้นมา

อยู่ๆ ก็เหมือนตกหลุมรักขึ้นมาง่ายๆ ภาพวันที่เขามองเธอเปลี่ยนไปในวันนั้นย้อนกลับมา เขาหลงรักเธอเพราะเธอมุ่งมั่นกับเป้าหมายในชีวิต วันนี้ดูเหมือนเธอจะตกหลุมรักเขา เมื่อเขามีความสุขกับงานที่ตัวเองทำ…

 

เขมกรรับรู้ได้ว่ามีบางอย่างเปลี่ยนไปในแววตาที่กุลญาดาส่งมาให้ จนเขาอดคิดไม่ได้ว่านี่เขาฝันไปหรือเปล่า ถ้าฝันเขาก็ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาเลย ตั้งแต่เช้ามาแล้วที่อยู่ๆ กุลญาดาก็ลางาน นั่งกินข้าวโดยไม่ทำงานไปด้วย ตั้งใจฟังทุกอย่างที่แก้วขวัญเล่า กอดหอมลูกอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ตามไปส่งลูกที่โรงเรียน ตามมาดูเขาทำงาน และยังจะตามไปดูลูกซ้อมดนตรี เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ต่างจากพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก

เขารู้ดีว่าการที่กุลญาดาแต่งงานกับเขาก็เพราะความจำเป็น ความพลั้งเผลอทำให้เธอตั้งท้อง เขาขอให้เธอเก็บเด็กไว้ และยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง กุลญาดาตอบตกลง ทั้งๆ ที่ต้องละทิ้งความฝัน ทิ้งอนาคตที่ตั้งหวังไว้ เขาขอให้เธอเลี้ยงลูกใน 2 ปีแรก และชดเชยด้วยการรับดูแลแก้วขวัญต่อจากนั้น เขาปล่อยให้เธอทำงานให้เต็มที่ และยินดีที่จะดูแลทุกอย่างในบ้าน เลือกออกมาอยู่คอนโดฯ เพื่อการจัดการที่ง่าย ทำทุกอย่าง ไม่ใช่เพื่อให้เธอรักเขา แต่เพื่อให้เธอได้ใช้ชีวิตได้แบบที่ตั้งหวังไว้ เขามีความสุขที่ได้เห็นกุลญาดาได้ทำในสิ่งที่มุ่งหวังอย่างตั้งใจ แม้ลึกๆ จะเป็นห่วงกลัวว่าความมุ่งมั่นกับงานจะหันกลับมาทำร้ายตัวเธอเอง แต่เขาก็หวังว่าสิ่งที่เขาทำทุกอย่างจะช่วยให้เธอมองเห็นชีวิตในแง่มุมอื่นบ้าง

และอย่างไม่คาดฝัน วันนี้ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเหมือนอย่างที่เขาเฝ้ารอมาตลอด ทั้งดีใจ แต่ก็แปลกใจ ที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปฉับพลันทันทีราวกับฝัน หรือถ้าเป็นความฝันเขาก็ยินดีที่ขอฝันต่อไปให้นานอีกสักนิด…

 

ตกเย็นทุกคนพากันมาซ้อมดนตรีเหมือนเคย กุลญาดา ชามา และวรธันย์แยกไปนั่งปรึกษาหารือกัน หลังจากที่วรธันย์กับชามาเข้าไปเจรจาเรื่องตรวจสอบเวที และเขมกรก็รับปากเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

เขมกรมองดูสามคนที่คุยกันห่างออกไปด้วยความรู้สึกแสนแปลก ไม่ใช่แค่กุลญาดาคนเดียวที่แปลกไป แต่ชามากับวรธันย์ก็แปลกไปด้วย ใจหนึ่งเขาก็ดีใจในเมื่อคนที่ทั้งแก้วขวัญ วรวรรธน์ และจุรีพรรัก ต่างก็พากันมาให้กำลังใจ แต่ความห่วงใยจนเกินพอดี ความกังวลเรื่องเวที กับความสนิทสนมกันเกินกว่าคนเพิ่งเจอกันครั้งแรกของสามคนนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ยาก เหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้น บางอย่างที่เหมือนจะรู้กันอยู่แค่สามคน…

“คุณกุลเขาแปลกไปใช่ไหม” จุรีพรเข้ามาถาม สายตาจับจ้องไปตรงที่สามคนนั้นนั่งคุยกันอยู่

“ครับ แปลก อยู่ดีๆ ก็ขอลางาน แล้วก็ตามมาดูผมทำงาน มาดูยัยแก้วซ้อมดนตรี”

“ยัยมาก็เหมือนกัน อยู่ดีๆ ก็ขอตามมาด้วย แล้วอ้อนเหมือนตอนเป็นเด็กๆ”

“หรือว่าแกรู้เรื่องแล้ว”

“ไม่น่าใช่ ถ้ารู้ต้องโวยวายมากกว่านี้ แต่นี่ทำเหมือน…รู้สึกผิดอะไรบางอย่าง”

“จริงๆ ถ้าเราไม่คิดมาก มันก็น่าจะเป็นเรื่องดีนะครับ”

“ก็ไม่รู้สินะ คิดแบบนั้นก็สบายใจดี ว่าแต่สามคนนั้นเขาไปสนิทกันตอนไหน ก็น่าจะเพิ่งเจอกันวันนี้” เป็นคำถามที่เขาก็ถามตัวเองอยู่เหมือนกัน

“ว่าไงวรรธน์รู้ไหม ว่าแฝดเราเขาไปสนิทกับยัยมากับคุณกุลตอนไหน” จุรีพรถามเด็กหนุ่ม เมื่อวรวรรธน์กับแก้วขวัญเดินเข้ามาร่วมวงคุยด้วย

“ผมก็งงอยู่เหมือนกันฮะ จะว่าไปวันนี้นายธันย์ก็แปลกๆ เหมือนกัน”

“จะคิดอะไรกันเยอะคะ สนิทกันก็ดีแล้ว วันนี้แก้วมีความสุขที่สุดเลย ที่แม่มาอยู่ตรงนี้ มาอยู่ดูแก้วแสดง” เด็กน้อยคิดแค่นั้นจริงๆ เขมกรเอ็นดูจนอดโยกศีรษะลูกสาวเล่นไม่ได้ ใช่…การที่กุลญาดาทิ้งงานมาอยู่กับลูก นับเป็นของขวัญชิ้นใหญ่สำหรับแก้วขวัญจริงๆ และมันก็เป็นเรื่องดีที่เขารอคอยมาเสมอ แต่ในใจก็อดกังวลไม่ได้ว่ามันมีเหตุผลอะไรบางอย่างผลักดันอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า

 

ตอนนี้เรามั่นใจว่าเราจะไม่ตื่นมาเจอกับวันพรุ่งนี้อีกแล้ว เราจะตื่นมาเจอกับเมื่อวานไปเรื่อยๆ” ชามาสรุป

“ทำไม”  เป็นคำถามที่ไม่มีใครตอบได้

“มาคิดว่าบางทีใครสักคนอาจจะอยากให้เราได้แก้ไขอดีต”

“แก้แล้วยังไง ในเมื่อเราก็ไม่รู้ว่าแก้แล้วจะเป็นยังไง เราไม่รู้ผลของสิ่งที่เราแก้ไขไปด้วยซ้ำ ยังต้องตื่นมาเจอกับปัญหาเดิมๆ ที่เราแก้ไขไปแล้ว” เหมือนเขาจะบ่นมากกว่าต้องการคำตอบ

“ก็ไม่รู้เหมือนกัน มันก็คงต้องแก้ไปเรื่อยๆ”

“หรือเราแก้ไม่ถูกจุด ที่ผ่านมาเราแก้แค่ไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ แต่จริงๆ นั่นอาจไม่ใช่ต้นเหตุที่ทำให้เราต้องกลับมาอดีตแบบนี้ก็ได้”

“ถ้าไม่ป้องกันให้เกิดอุบัติเหตุ เราจะย้อนกลับมาเพื่ออะไร”

ต่างก็นิ่งเงียบไป

“บางทีถ้าเรานึกได้ว่าเมื่อวานเราทำอะไรไปบ้าง แล้วเราก็เตรียมแก้ไขให้มันดีขึ้น ถ้าเราแก้ถูกจุด เราก็อาจจะตื่นมาเจอกันวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้”

ใช่ เมื่อนึกย้อน ทุกคนต่างทำให้คนที่รักเสียใจในทุกวัน

“เมื่อวานมาก็ออกจากบ้านโดยไม่คุยกับจูลี่สักคำ”

“พี่ก็ทำงานทั้งวัน กลับดึก ไม่ได้เจอยัยแก้วเลย”

“หรือเราย้อนเวลาเพื่อที่จะใช้เวลากับคนที่รักให้คุ้มค่า”

“หมายความว่า…ไม่ว่ายังไงทุกคนก็จะ…”

“ไม่หรอก มันไม่ควรจะมีเหตุผลแค่นั้น เราต้องแก้ไขอะไรได้ มันต้องมีสักจุด ที่เราต้องหาให้เจอ”

เหมือนบทสนทนาจะจบลงเช่นเดิมอีกแล้ว ไม่มีใครมีคำตอบ มีแต่ความกังวลเป็นก้อนหนักๆ ที่ไม่อาจคลี่คลายอะไรได้

สุดท้ายคืนนั้นทุกคนต่างหลับไปโดยพยายามคิดว่าเมื่อวานเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพื่อที่จะแก้ไขให้เหตุการณ์ให้มันดีขึ้น ในวันพรุ่งนี้ ที่เป็นเมื่อวานนี้…

 



Don`t copy text!