Tomorrow, Yesterday  พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้ บทที่ 3 : 26 กุมภาพันธ์ (เสาร์)…เมื่อวานของเมื่อวาน

Tomorrow, Yesterday พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้ บทที่ 3 : 26 กุมภาพันธ์ (เสาร์)…เมื่อวานของเมื่อวาน

โดย : ภาณินี

Loading

พบกับนวนิยายรักโรแมนติก “Tomorrow, Yesterday พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้” รางวัลชนะเลิศโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๓ โดย ภาณินี กับนวนิยายที่จะตั้งคำถามมากมายให้คุณได้ครุ่นคิด นวนิยายที่จะติดตรึงในความทรงจำของคุณตลอดกาล…

วรธันย์ลืมตาตื่นมา ฟ้าสว่างแล้ว เขาลุกขึ้นไปดูห้องนอนของน้องชายฝาแฝด แม้จะเกิดห่างกันแค่ไม่กี่นาที แต่เขาก็รู้สึกมาตลอดว่าเขาคือพี่ ไม่ใช่เพราะแค่เกิดก่อน แต่เขาแข็งแรงกว่า รวดเร็วกว่า ในขณะที่วรวรรธ์ไม่ค่อยแข็งแรง ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกตลอดมาว่าการเกิดมาพร้อมกันไม่ใช่เพียงแค่ร่างกาย แต่ดวงจิตมีอะไรบางอย่างที่ร้อยรัดกันไว้ เขาสนุกที่จะทำอะไรด้วยกัน ไปไหนไปกัน เขาพร้อมที่จะรอ หรือทำทุกวิถีทางที่จะพาน้องไปผจญภัยในที่ต่างๆ แต่ส่วนใหญ่พ่อกับแม่มักจะไม่ยอมให้น้องไปด้วย แรกๆ เขาก็ไม่พอใจ แต่เมื่อน้องยืนยันว่าขอรออยู่ที่บ้าน และพอใจที่จะคอยฟังเขากลับมาเล่าโน่นเล่านี่ให้ฟังเสมอ เขาก็ยอมรับ

ถึงอย่างนั้นก็ยังเรียนด้วยกัน ห้องเดียวกัน คบเพื่อนกลุ่มเดียวกัน และเชื่อว่าจะมีกันและกันไปตลอด มันเป็นเช่นนี้เรื่อยมา แต่จู่ๆ เมื่อต้นปีก่อน ตอนใกล้จะจบชั้น ม.6 น้องกลับบอกว่าไม่ต้องการเช่นนั้นอีกแล้ว

‘จบ ม.6 เราจะไปเรียนดนตรี’

‘ก็ได้นะ เราเรียนด้วย’ จำได้ว่าบอกน้องไปอย่างนั้น โดยไม่ได้คิดว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบ เอาจริงๆ เขาไม่เคยคิดหรือฝันอยากทำอะไรมาก่อน แต่ที่แน่ๆ ไม่เคยคิดว่าจะต้องแยกกัน

‘เราว่าไม่เหมาะกับนายหรอก’

‘เฮ้ย นายเรียนเราก็เรียน’

‘นายไม่จำเป็นต้องมาเรียนตามเราก็ได้ นายควรมีชีวิตของนายเอง’

‘อะไรวะ’

‘เราพูดจริงๆ เราไม่จำเป็นต้องเกาะติดกันตลอดเวลา เราไปสมัครเรียนไว้แล้วด้วย นายไปเรียนอย่างอื่นเถอะ’

เขาโกรธจัด อยู่ๆ คนที่อยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตก็อยากตัดขาดกันขึ้นมา โมโหถึงขั้นขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านโดยไม่มีเงินติดตัวสักบาท ซ้ำยังกินเหล้าเมามายโดยที่ไม่มีเงินจ่าย โชคดีที่เจ้าของร้านใจดีให้ทำงานชดเชย และเขาก็ตัดสินใจในตอนนั้นว่าจะออกมาทำงาน จนทะเลาะกับพ่อใหญ่โต จากวันนั้นเหมือนโลกหมุนเปลี่ยนทิศ จากครอบครัวที่เคยอบอุ่นกลับมีแต่ความหมางเมิน เขามักจะออกบ้านแต่เช้า กลับจนดึกดื่น หลบเลี่ยงที่จะเจอหรือพูดคุยกับคนในครอบครัว

จนเช้าวันนั้นวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เขาทะเลาะกับพ่อ ด้วยเรื่องเดิมๆ เรื่องไม่เรียนต่อ เรื่องหมกตัวอยู่แต่ร้านเหล้า วรวรรธน์พยายามมาห้าม แต่สิ่งที่เขาสะท้อนกลับไปคือ

‘ทั้งหมดมันก็เพราะนายนั่นแหละ ถ้าไม่มีนายอะไรๆ มันคงดีกว่านี้’ เขาตะโกนใส่น้อง ก่อนจะผลุนผลันออกจากบ้านไปโดยไม่คิดว่านั่นจะเป็นประโยคสุดท้าย แล้วบ่ายวันนั้นเขากลับได้รับข่าวร้าย ว่าน้องประสบอุบัติเหตุระหว่างซ้อมดนตรี แผงไฟเวทีแสดงหล่นลงมา แล้วน้องก็จากไป จากไปแบบไม่มีวันหวนคืนกลับมา คืนนั้นเขาขี่มอเตอร์ไซค์ไปเมาหลับที่ร้าน ก่อนจะตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่ที่บ้านและทุกอย่างเป็นเพียง…ความฝัน การแสดงยังไม่เกิดขึ้น เขาไม่ได้ทะเลาะกับพ่อ และไม่ได้พูดจาร้ายกาจแบบนั้น แต่เขาก็ไม่มีคำตอบให้กับตัวเองว่ารอยแผลที่มือนั้นมาได้อย่างไร รอยแตกที่ข้อนิ้วทั้งสี่ ตรงกับรอยที่เขาซัดหมัดใส่ผนังที่โรงพยาบาล

ไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แค่คิดว่าต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อไม่ให้ความฝันบ้าๆ นั้นเป็นจริงขึ้นมา ติดตามไปดูน้องซ้อมดนตรี โดยไม่สนใจว่าน้องจะว่าอย่างไร ขอไปตรวจสอบเวที ไม่สนใจว่าครูคนนั้นจะมองเขาด้วยสายตาแบบไหน แล้วภาพของแผงไฟที่หล่นลงมาก็ยิ่งตอกย้ำ มันไม่ใช่ฝันธรรมดา เขาอาจจะกลายเป็นคนมีสัมผัสวิเศษที่มีญาณหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าไปแล้วก็ได้ ถ้าเล่าให้ฟังใครๆ ก็คงคิดว่าเขาบ้าไปแล้วหรือไม่ก็คงดูหนังมากไป นึกมาถึงตรงนี้ภาพของดวงตากลมโตนั้นก็ซ้อนทับขึ้นมา ยัยคนนั้นฝันเหมือนที่เขาฝัน ยังจะผู้หญิงคนนั้นอีก…ไม่ว่ามันจะคืออะไรก็ตาม เขาได้แก้ไขมันแล้ว และวันนี้จะไม่มีอุบัติเหตุใดๆ เกิดขึ้น…

 

เปิดประตูเข้าไปโดยไม่ได้เคาะ ห้องนั้นว่างเปล่า เลยเดินออกมาชั้นล่าง ออกมานอกบ้าน เห็นคนเกิดมาพร้อมๆ กัน ยืนนิ่งอยู่ที่หน้าแป้นบาส หลับตา…นิ่ง…ชูตลูกบาสลอยเข้าห่วงอย่างแม่นยำ เมื่อสองวันก่อนเขาก็เห็นมันยืนนิ่งชูตบาสอยู่อย่างนี้ แต่วันนั้นเขาเลือกจะเดินผ่านขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปอย่างรำคาญใจ แต่ฝันเมื่อคืนก่อนทำให้วันนี้เขาไม่อาจเดินผ่านไปได้

พุ่งตัวออกไปแย่งลูกจากมือ มันมองมายิ้มๆ เหมือนรู้ว่าเขายืนดูอยู่นานแล้ว ทำท่าจะเข้ามาแย่งลูกจากมือ แต่เขาเลี้ยงหลบและกระโดดชูต ถึงจะกระโดดเกือบถึงแป้น แต่ลูกบาสกลับชนขอบห่วงกระเด็นออกนอกแป้น แล้วไอ้หมอนั่นก็ได้ลูกไป มันยืนนิ่งแค่ไม่กี่วินาทีก็ชูตลงห่วงอย่างง่ายดาย

มองลูกบาสที่ถูกชูตลงห่วงไปอีกหลายรอบ ใช่ ถึงร่างกายของไอ้หน้าจืดนี่มันจะอ่อนแอ แต่ข้างในมันเข้มแข็งกว่าเขามากนัก ที่สำคัญมันชัดเจน พุ่งตรงเป้าเสมอ ไม่เหมือนเขาที่ชอบบุกตะลุย แต่ชูตไม่เคยลงสักครั้ง

หอบเหนื่อยกันทั้งคู่ก่อนจะมาพักนั่งลงที่สนามหญ้า วรวรรธย์หอบหนักกว่าเขาเยอะ ทั้งๆ ที่เคลื่อนไหวน้อยกว่า

“วันนี้ฝนท่าจะตก” มันว่า

“ทำไม”

“ก็นายมาเล่นบาสกับเรา”

“ก็อยากเล่น”

“หึ หายโกรธแล้ว?”

“ก็คงงั้น”

“อย่างนี้ฝนตกแน่ๆ ปกตินายไม่เคยยอมรับเลยว่าโกรธ”

“หึ” ได้แต่หัวเราะในลำคอ เหมือนบทสนทนานี้จะเกิดขึ้นแล้ว ก็เมื่อวานตอนที่เขาบอกว่าจะไปดูซ้อมดนตรี มันก็พูดจาทำนองนี้

“ไม่เถียงด้วย อาจถึงขั้นมีพายุใหญ่เลยก็ได้นะเนี่ย”

“หึ ถ้าฝนตกจริง การแสดงนายก็ล่ม”

“เราแสดงในหอประชุม ฝนตกก็แสดงได้”

“อ้าว ก็ตกลงย้ายมาที่ต้นฉำฉาแล้วนี่”

“นายไปรู้มาจากไหน”

“ก็เมื่อวานพวกนายตกลงย้ายแล้ว แผงไฟเวทีมันหล่นลงมา ก็เลยต้องย้ายไง” คนข้างตัวขมวดคิ้ว

“ไม่นะ…เมื่อวานเราก็ไปซ้อมที่โรงเรียนครูกรตามปกติ แผงไฟเวทียังติดไม่เสร็จเลย เราจะไปซ้อมได้ไง นายไปทำงานที่ร้านจะมารู้อะไร”

“เมื่อวานเราไปทำงานที่ร้าน?”

“ใช่”

“เมื่อวานเราไปดูนายซ้อมดนตรี”

“นี่นายเพี้ยนหรือฝันไปรึเปล่า”

“ก็…เดี๋ยวนะ…วันนี้นายแสดงจริงแล้วใช่ไหม”

“วันแสดงจริงอีก 2 วัน”

“อีก 2 วัน”

“ใช่ แสดงวันที่ 28”

“ก็วันนี้ไง”

วรวรรธน์ทำเสียงหึในลำคอพร้อมกับส่ายหัว ก่อนจะบอก “วันนี้วันที่ 26”

“26?”

“ใช่”

“26 กุมภาพันธ์?”

“เออ” คำตอบนั้นทำให้เขาถึงกับสบถ

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย!”

 

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!”

ชามาพึมพำกับตัวเอง เมื่อมองดูตัวเลขที่ระบุวันเวลาในโทรศัพท์มือถือ ‘26 กุมภาพันธ์’ นี่เธอตื่นมาพบกับเมื่อวานอีกแล้วหรือ ไม่ใช่แค่เมื่อวาน แต่เป็นเมื่อวานของเมื่อวานเข้าไปอีก เหมือนชีวิตกำลังเดินถอยหลัง…

เดินออกมาที่หน้าบ้าน ภาพของยายที่เธอเรียกติดปากว่าจูลี่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้ในชุดจั๊มสูทแขนกุดสีเหลืองคือสิ่งยืนยัน จุรีพรจะไม่ใส่เสื้อผ้าซ้ำกันในสัปดาห์เดียว อย่างน้อยชุดเดิมจะวนกลับมาในรอบสองสัปดาห์หรือหนึ่งเดือน แต่ชุดนี้เธอจำได้ ยายใส่มันเมื่อสองวันก่อน วันที่ 26 กุมภาพันธ์

ก้มมองที่มือตัวเอง รอยกัดเล็บยังอยู่ ชามามั่นใจว่าเธอได้คำตอบแน่นอนแล้วว่าทั้งหมดไม่ใช่ความฝัน แต่มันคือการย้อนเวลากลับมาอดีต เธอไม่ได้ดูหนังมากไป หรืออ่านนิยายมากไป แต่ทุกอย่างคือเรื่องจริง

เช้าวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ยายมาเคาะห้องเธอตอนสาย

‘ยายว่าเราต้องคุยกันนะมา’ เมื่อไรที่ยายแทนตัวเองด้วยคำว่ายาย เรื่องนั้นเป็นเรื่องจริงจัง และเรื่องจริงจังที่ว่าก็คงไม่พ้นเรื่องที่เธอทะเลาะกับแม่เมื่อสองคืนก่อนหน้านั้น ยายนัดแม่มากินข้าวเย็นที่บ้าน จำได้ว่าวันนั้นเธอบอกปัดยายไปแข็งๆ ว่าไม่ว่าง ก็ภาพเมื่อวันก่อนยังติดตา ภาพผู้ชายที่แม่พามาบ้านและทำอะไรกันในแบบที่คนอย่างแม่ไม่น่าจะทำได้ แล้วจะให้เธอมานั่งปั้นหน้ากินข้าวด้วยน่ะเหรอ ไม่มีทาง วันนั้นเธอเลยออกจากบ้านไปแต่เช้าและกลับเข้าบ้านเมื่อดึกมากแล้ว แต่ปรากฏว่าแม่ยังรออยู่ อยู่รอที่จะหาเรื่องทะเลาะแล้วก็กลับไป คืนนั้นเธอโกรธมาก โกรธทั้งแม่ โกรธทั้งยาย โกรธที่รู้สึกว่าไม่มีใครต้องการเธอจริงๆ เลยสักคน

วันต่อมาวันที่ 27 เธอไม่คุยกับยายเลยตลอดทั้งวันออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้าและกลับเมื่อยายหลับไปแล้ว เช้าวันที่ 28 เรื่องที่ยายจะขอคุยก็คงเป็นเรื่องนี้นี่เอง ความโกรธกรุ่นขุ่นเคืองยังอัดแน่นอยู่เต็มไปหมด เมื่อยายมาบอกว่ามีเรื่องต้องคุยกัน เธอกลับตอบยายไปว่า

‘มาไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น เราต่างคนต่างอยู่ไปเลยดีกว่า มาอยู่เองได้ ไม่ต้องมีแม่ ไม่ต้องมีจูลี่มาก็อยู่เองได้’ บทสนทนาจบลงตรงนั้น นาทีนั้นเธอรู้สึกสะใจอย่างบอกไม่ถูก จะได้เลิกยุ่ง เลิกผลักให้เธอไปอยู่กับคนนั้นคนนี้สักที มารู้สึกตัวก็เอาเมื่อตอนสาย สายตายายก่อนเดินออกจากห้องไปมันเจ็บปวดและผิดหวังมากมาย เธอควรจะรู้ว่ายายรักเธอแค่ไหน ควรจะรู้ว่าไม่มีทางหรอกที่ยายจะผลักไสเธอไปให้คนอื่น ยายก็แค่อยากให้เธอกับแม่เข้าใจกันก็เท่านั้น เธอควรจะรู้ แต่ยายออกจากบ้านไปแล้ว ความรู้สึกผิดค่อยๆ กัดกินจิตใจจนไม่อาจนิ่งเฉยรอยายกลับมาได้ ตัดสินใจอาบน้ำแต่งตัวเตรียมจะไปดูยายแสดง ตั้งใจว่ายายแสดงเสร็จจะไปขอโทษกับความปากดีพูดไม่คิด แต่ไม่ทันจะออกจากบ้าน เธอก็ได้รับโทรศัพท์ มีคนแจ้งว่ายายประสบอุบัติเหตุระหว่างการซ้อมดนตรี เหมือนโลกถล่มลงต่อหน้า ยิ่งคิดได้ว่าประโยคสุดท้ายที่เธอพูดกับยายคือ ‘ไม่มียาย…มาก็อยู่ได้’ ก็ยิ่งเจ็บปวดเหมือนมีคนเอาแส้มาฟาดตีเธอให้ตายทั้งเป็น

แล้วยายก็ไม่อยู่จริงๆ โลกทั้งโลกของเธอพังทลายไปแล้ว แล้วเธอจะมีชีวิตต่อไปอย่างไรเมื่อไม่มียาย ไม่มีใครเป็นแสงนำทางในชีวิต กลับมาบ้าน ทิ้งตัวนอนบนเตียงของยาย กอดผ้าห่มของยายสะอื้นไห้จนสั่นไปทั้งตัว ได้แต่ร่ำร้องอธิษฐานให้เรื่องราวทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน…

 

…แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในบ้านด้วยเสียงเรียกของยายอีกครั้ง ในเช้าวันที่ 27

‘มา…มา….ตื่นลูก เป็นอะไร ร้องเสียงดังออกไปข้างนอก’ เธอลืมตาเห็นยายนั่งอยู่ข้างเตียง โผเข้ากอดโดยไม่สนใจว่ายายจะอยู่หรือตายจากไปแล้ว สะอึกสะอื้นอยู่กับอ้อมกอดนั้น

‘ฝันร้ายละสิลูกเอ๊ย’

‘ฝันเหรอ…มาฝันไปใช่ไหม’

‘ก็นอนหลับตาโวยวายแบบนี้ ฝันแน่นอน’

‘ฝันไม่ดีเลย ฝันน่ากลัว’

‘ไม่มีอะไรหรอกลูก ก็แค่ฝัน ฝันร้ายจะกลายเป็นดี คนโบราณเขาว่าไว้ ถึงจะไม่ใช่คนหัวโบราณ แต่จู

ว่าเรื่องนี้เชื่อแล้วดี’

ชามาเช็ดน้ำหูน้ำตา เป็นฝันที่น่ากลัวเกินไป เหมือนจริงเกินไป แต่ในเมื่อยายยังอยู่ตรงนี้ ยังโอบกอดและปลอบขวัญเธออยู่ตรงนี้ ทั้งหมดก็คงเป็นเพียงแค่ความฝันจริงๆ

‘ไม่มีอะไรแล้วคนเก่ง’

‘มาขอโทษยายนะ ขอโทษที่พูดไม่ดีกับยายกับแม่’ ยายมองตรงมา ยิ้มเอ็นดู

‘ไม่เป็นไรลูก เรื่องมันผ่านไปแล้ว เอาไว้เราเริ่มกันใหม่นะ’ แค่นั้นเอง ไม่มีคำต่อว่าซ้ำเติม มีแต่ความเข้าใจและให้อภัย

‘มารักยายนะ รักยายที่สุด มาไม่อยู่กับใคร จะอยู่กับยายคนเดียว ยายอย่าทิ้งมาไปไหนนะ’ ยายชะงักไป แต่แล้วก็ยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน

‘ยายไม่ไปไหนหรอก ยังไงยายก็อยู่กับมาเสมอ เลิกร้องไห้ได้แล้ว แล้วก็เลิกเรียกยายด้วย’ เธอกอดยายอีกครั้ง ก่อนจะดึงตัวออก พยายามเช็ดน้ำตา

‘เดี๋ยวจูจะไปซ้อมดนตรีแล้วนะ หนูมีแผนจะไปไหนไหม’

‘วันนี้แค่ซ้อมเหรอคะ ยังไม่ใช่วันแสดง?’

‘จ้ะ แสดงจริงวันพรุ่งนี้’

‘งั้นมาขอไปกับจูลี่นะ’ จุรีพรเลิกคิ้วแปลกใจ แต่ก็พูดติดตลก ‘สงสัยฝันร้ายจะกลายเป็นดีจริงๆ’

 

ที่ลานต้นฉำฉา เมื่อทุกคนโอบกอดลำต้นสูงใหญ่นั้นเพื่อขอพร เธอก็พลอยหลับตาขอพรกับปู่ฉำฉาไปด้วย เธอขอให้ทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน แต่ที่ทันทีที่เห็นผู้หญิงคนนั้น…กุลญาดา กับผู้ชายคนนั้น…วรธันย์ เพียงแวบเดียว ความเชื่อที่ว่าทุกอย่างคือความฝันก็สั่นคลอน ก็ในเมื่อไม่เคยเจอกันมาก่อน ทำไมทุกคนถึงจดจำกันได้ ถึงนายนั่นจะไม่ยอมรับ แต่แววตามันหลอกกันไม่ได้ ไหนจะแผลตรงมือขวาที่เกิดจากการชกกำแพงที่โรงพยาบาล เหมือนกับรอยแผลตรงปลายนิ้วอันเกิดจากการที่เธอกัดเล็บจนเลือดซึม ทุกอย่างบ่งชี้ว่ามันไม่ใช่แค่ฝันธรรมดา แต่มีร่องรอยบางอย่างปรากฏให้เห็นอยู่

แล้วทุกอย่างก็ยิ่งชัดเจนเมื่อแผงไฟเวทีพังครืนลงมา นึกมาถึงตรงนี้เธอก็ขนลุก ทั้งหมดคือลางบอกเหตุที่ให้เธอกลับไปแก้ไขอย่างแน่นอน

เมื่อคืนเธอขอนอนกอดยาย บอกรักและหอมแก้มไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ยายได้แต่หัวเราะ เธอตั้งใจว่าเมื่อตื่นเช้ามาเธอจะประกบติดไม่ให้ยายคลาดสายตาแม้เพียงวินาทีเดียว จะไม่มีการจากลาใดๆ เกิดขึ้น เรื่องทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงไป เหตุการณ์เลวร้ายได้ถูกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว

แต่นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน แทนที่เธอจะตื่นมาพบกับพรุ่งนี้ เธอกลับตื่นมาพบกับเมื่อวานของเมื่อวานไปอีก เธอย้อนอดีตถอยหลังมาอีกวันแล้ว ทำไม เพื่ออะไรกัน!

 

ละอองน้ำสะท้อนไอแดดยามเช้า ยายยังแต่งตัวสดใสเหมือนเดิม ชุดสีเหลือง ผมสีดอกเลาหยิกฟู ถูกมัดรวบขึ้นไปง่ายๆ ทุกอย่างเหมือนเดิม มีแต่ความรู้สึกของเธอเท่านั้นเองที่ไม่เหมือนเดิม ในชั่วแวบเธอรู้สึกว่ายายดูบางเบาโปร่งแสงเหมือนจะหายไปในละอองไอแดด แทบจะลอยไปหายาย อยากจะกอดยายไว้ กลัวเหลือเกินว่ายายจะหายไป

ยายไม่ได้ตกใจที่เธอเข้าไปสวมกอด แค่หันมามองแล้วก็ยิ้ม สายตานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ในขณะเดียวกันก็มีแววกังวลเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด เป็นแววตาเดียวกับที่สองวันก่อนเธอไม่สังเกตเห็น ด้วยอคติบังตา ด้วยความขุ่นเคืองใจ แต่วันนี้เมื่อมีสัญญาณมาเตือน ไม่ว่ามันจะเรียกว่าอะไรก็ตาม มันทำให้เธอได้ลบความขุ่นเคือง และมองเห็นความรู้สึกที่ฉายออกมาในแววตานั้นได้อย่างแจ่มชัด

“อ้อนแต่เช้าเชียว”

“ก็มารักจูลี่”

“แน่ะ มีแววต้องหมดตัวแน่ๆ คราวนี้”

“จูลี่อะ” ยายหัวเราะก่อนจะเอ่ยถาม “วันนี้ไปไหนไหม”

คำถามเดียวกับที่ถามเมื่อสองวันก่อน สองวันก่อนที่เธอย้อนกลับมาในตอนนี้ คราวนั้นเธอหงุดหงิดนักหนา และปฏิเสธอย่างไม่ไยดี

“จูชวนแม่เรามากินข้าวเย็นที่บ้าน ไม่ได้กินด้วยกันนานแล้ว”

“ได้สิ” ครั้งนี้เธอตอบรับง่ายๆ จนยายแปลกใจ

“แย่แล้วฟ้าจะถล่ม แผ่นดินจะทลายไหมเนี่ย”

“แต่วันนี้จูลี่ไปซ้อมดนตรีใช่ไหม มาไปด้วยนะ” ยายเลิกคิ้วอย่างแปลกใจขึ้นไปอีก เหมือนเมื่อวานไม่มีผิด เมื่อวานที่เป็นพรุ่งนี้ ชามาเริ่มงงแล้วว่าเธอจะลำดับวันเวลาในหัวอย่างไรดี

“นึกยังไงอยากไป”

“ก็อยากไปดู”

“แน่ๆ แล้ว ฟ้าต้องถล่มแผ่นดินต้องทลายแน่ๆ แต่ช่างเถอะ ช่างฟ้าช่างดิน ไปเลยรีบไปแต่งตัว เดี๋ยวจูจะเปิดตัวแฟนให้รู้จัก” ชามาได้แต่หัวเราะ ทายได้เลยว่าคนที่ถูกเหมาเป็นแฟนคงไม่พ้นหนุ่มหน้าใสคนนั้นแน่ๆ

 

เสียงเปียโนแผ่วพลิ้วไปตามจังหวะของปลายนิ้วที่เต้นระบำอยู่บนคีย์บอร์ด สอดประสานด้วยเสียงเชลโลทุ้มนุ่มอบอุ่น ก่อนที่ไวโอลินจะผสานรับและพาเร่งจังหวะและพุ่งทะยานอย่างสนุกสนาน

วันนี้ทุกคนซ้อมกันที่ห้องแสดงใหญ่ในโรงเรียนสอนดนตรีของเขมกร ห้องกระจกกว้าง เพดานสูงเท่ากับตึกสองชั้น ดูรวมๆ น่าจะจุคนได้สักเกือบร้อยคน

“ทำไมถึงไม่แสดงที่นี่ล่ะฮะ” วรธันย์เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าสถานที่นี้เหมาะสมลงตัวทุกอย่าง

“ตอนแรกก็ตั้งใจว่าอย่างนั้น แต่พอเปิดขายตั๋วปรากฏว่าจำนวนคนดูมากกว่าที่คิด ทางเจ้าของโรงพยาบาลเลยเสนอให้ไปแสดงที่หอประชุม เพราะรายได้ทั้งหมด สามคนนั้นเขาตั้งใจมอบให้กับกองทุนดูแลผู้ป่วยของทางโรงพยาบาล” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มาไกลกว่าที่เขมกรคิดไว้มาก จากเดิมที่แก้วขวัญ วรวรรธน์ และจุรีพร รวมตัวกันตั้งวงขึ้นเล่นด้วยกันสนุกๆ ซึ่งเขาเห็นว่าเล่นประสานลงตัวกันได้อย่างรวดเร็ว จนเริ่มมั่นใจในฝีมือ เลยอาสามาเล่นที่โรงพยาบาลที่เขารับเคสอยู่ เล่นให้คนที่มานั่งรอตรวจ หรือญาติคนไข้ที่มาส่งได้ฟัง เป็นที่ชื่นชอบของบรรดาหมอ พยาบาล คนไข้ที่รักษาตัวอยู่นานๆ หรือมารักษาบ่อยๆ จนมีแฟนคลับประจำ

ปกติทุกวันเกิด เขาจะพาลูกไปทำบุญตามที่ต่างๆ ปีนี้ จู่ๆ แก้วขวัญก็เสนอว่าอยากเล่นเปิดหมวกเพื่อระดมทุนช่วยผู้ป่วยที่โรงพยาบาลในวันเกิดตัวเอง เขาตอบรับและเมื่อคุยกับเพื่อนร่วมวงและบรรดาแฟนคลับ ที่มีทั้งระดับผู้บริหารโรงพยาบาล หมอ พยาบาล และคนไข้ จากการเล่นเปิดหมวกจึงขยายกลายเป็นคอนเสิร์ตระดมทุนขึ้นมา และพอเปิดขายบัตรก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจนต้องหาที่แสดงใหม่ที่รองรับคนได้มากขึ้น

“ก็เพิ่มรอบเอาไม่ได้เหรอครับ ผมว่าห้องนี้ปลอดภัยกว่าห้องใหญ่นั่นเสียอีก”

“ผมว่าคุณยังไม่เคยเห็นห้องแสดงจริงนะ”

“ผมหมายถึงที่นี่ก็ดูปลอดภัยดีแล้ว”

“ผมรับรองว่าที่นั่นก็ปลอดภัยไม่แพ้กัน”

“งั้นผมขอไปตรวจดูความปลอดภัยของเวทีแสดงหน่อย”

“วันนี้ช่างกำลังติดตั้งไฟ พรุ่งนี้ถึงจะซ้อมกับเวทีได้”

“อะไรกัน มีเวลาซ้อมกับเวทีแค่สองวัน แล้วจะรู้ได้ไงว่าปลอดภัย”

เขมกรเขม้นตามอง พยายามทำความเข้าใจเด็กหนุ่มตรงหน้ากับน้ำเสียงกร้าวกระด้างนั้น ไม่ได้ดูก้าวร้าวเสียทีเดียว หากมันอัดแน่นไปด้วยความห่วงกังวลจนกลายเป็นโกรธกรุ่น คงมีอะไรสักอย่างที่ผลักดันให้ความเป็นห่วงกลายเป็นความโกรธ  สำหรับเขมกรเขาไม่รู้ตัวเลยว่าเหตุการณ์คล้ายๆ นี้เกิดขึ้นไปแล้ว และเขาก็ยังคงรู้สึกเห็นใจเด็กหนุ่มตรงหน้านี้อยู่เช่นเดิม

แต่สำหรับวรธันย์ มันเกิดขึ้นไปแล้ว เขาโกรธ โกรธที่ต้องมาแก้ในเรื่องที่แก้ไขแล้ว ก็เขาแสดงให้เห็นไปแล้วว่าเวทีนั้นไม่ปลอดภัย ถึงขั้นต้องเสี่ยงชีวิต มีการตกลงตัดสินใจย้ายที่แสดงไปแล้ว แต่ทุกอย่างกลับต้องมาเริ่มใหม่หมด เขาโกรธ…โกรธใครก็ตามที่บันดาลให้เรื่องบ้าๆ นี่เกิดขึ้นกับเขา

“เอาเป็นว่า…ถ้าช่างติดตั้งไฟเสร็จเราไปตรวจดูด้วยกันก็ได้ แต่ขอผมคุยกับฝ่ายสถานที่ก่อนนะ” สุดท้ายเขมกรก็ตอบรับมาง่ายๆ เหมือนเมื่อวาน แววตาเต็มไปด้วยความเข้าอกเข้าใจ ไม่ได้ซักถามหรือหาเหตุผลมาหักล้างให้เขาหลังชนฝา อะไรบางอย่างในท่าทีนั้นทำให้เขารู้สึกวางใจและนับถือ คำพูดที่ปกติไม่ได้พูดได้บ่อยๆ กลับหลุดปากออกไปง่ายๆ

“ขอบคุณ” ฝ่ายนั้นเลิกคิ้ว เหมือนจะแปลกใจเล็กๆ แต่แล้วก็ยิ้มไม่ว่าอะไร

 

กุลญาดานั่งคุยกับชามาอยู่นานแล้ว ตอนที่วรธันย์เดินมาสมทบ ทั้งคู่เปิดใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กันฟัง และต่างก็ยอมรับว่ากำลังเผชิญชะตากรรมเดียวกันอยู่

“นายไม่ได้ฝัน เหมือนที่ฉันกับพี่กุลไม่ได้ฝัน” ชามาพูดขึ้น เมื่อเขาเดินมาใกล้

ชั่วแวบเขาอยากจะหันหลังหนี จะฝันหรือไม่ฝันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องพูดกับคนพวกนี้ พูดไปก็เท่ากับยอมรับเรื่องบ้าๆ ที่เกิดขึ้น แต่สุดท้ายเขาก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น ถ้าเรื่องเกิดขึ้นกับเขาคนเดียวคงจะพอบอกตัวเองได้บ้างว่ามันเป็นแค่ฝัน แต่พอมีอีกสองคนมายืนยันมันก็ทำให้เชื่อเช่นนั้นได้ยากเต็มที ทำไมถึงต้องเป็นเขากับผู้หญิงสองคนนี้ด้วย

“คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนสบายๆ ไม่เคยได้ยินรึไง” เจ้าหล่อนพูดเหมือนได้ยินความคิดของเขา

“สามคนน่ะดีแล้ว มีอะไรช่วยกันคิดปรึกษากัน เผื่อจะหาทางออกได้ คิดเองคนเดียวปวดหัวตาย”

“…”

“การที่เราสามคนย้อนอดีตมาพร้อมกันแบบนี้ มันต้องมีเหตุผลอะไรบางอย่าง ถ้าเราไม่ร่วมมือกัน เราจะหาทางออกได้ยังไง”

“ก็ทำไปแล้วไง แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ต้องกลับมาเริ่มใหม่ ทำใหม่อีก เหมือนคนบ้า” ชามายิ้มเจ้าเล่ห์เหมือนเด็กได้ของถูกใจ

“ยอมรับแล้วละสิ”

วรธันย์อ้าปากค้าง ไม่นึกว่าจะถูกหลอกล่อเอากับยัยผมเขียวคนนี้

“พี่ขอบคุณธันย์มากนะที่พยายามจะแก้ไขเหตุการณ์ร้ายๆ เมื่อวานก็เสี่ยงชีวิต”

“จริงๆ มันพรุ่งนี้ต่างหากล่ะพี่กุล” ชามาแก้

“จริงด้วยสิ พรุ่งนี้ของคนอื่น แต่เป็นเมื่อวานของเราสามคน”

“หึ นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย” เขาสบถออกมาจนได้

“พี่เห็นด้วยกับมานะ ว่าการที่เราสามคนย้อนอดีตถอยหลังกลับมามันต้องมีเหตุผล ถ้าเราหาเจอเราอาจจะแก้ไขสิ่งที่จะเกิดในอนาคตได้”

“มาว่าที่เราทำแบบเมื่อวานโอเคแล้วนะคะ ช่วยกันกล่อมให้ย้ายสถานที่แสดง น่าจะดีกว่าการต้องไปตรวจสอบเวที ถ้าไม่มีเวทีก็ไม่มีอุบัติเหตุ”

“แล้วจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราตื่นมาแล้วย้อนไปเมื่อวานอีก สิ่งที่เราทำวันนี้ ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเป็นไง” เขาพูดห้วนๆ ทุกคนเลยได้แต่เงียบไป ใช่แล้ว ถ้าตื่นมาย้อนเมื่อวานไปเรื่อยๆ ก็ไม่มีทางรู้เลยว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น

“แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรไม่ใช่เหรอ” ชามาพูดขึ้นในที่สุด ซึ่งเขาเองก็ไม่รู้ว่ามันดีกว่าจริงหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็คงไม่อาจอยู่เฉยโดยไม่ทำอะไรได้…

 

มันเป็นบรรยากาศที่ไม่ควรเรียกได้ว่าครอบครัว คนแปลกหน้าก็ไม่ใช่ คนคุ้นเคยก็ไม่เชิง มีแต่ยายที่พูดนั่นทำนี่ แต่ระหว่างชามากับแม่นั้น ทุกอย่างดูผิดที่ผิดทาง ประดักประเดิด ก็ในยามปกติทุกครั้งที่เอ่ยปากไม่เคยพ้นเรื่องทะเลาะโต้เถียงกัน พออยากจะคุยกันดีๆ เลยกลายเป็นความเงียบที่น่าอึดอัด

หลังจากซ้อมดนตรีเสร็จและรอจนเย็นมากแล้วแต่ช่างก็ยังต่อแผงไฟไม่เสร็จทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับ ยายนัดแม่มากินข้าวเย็นที่บ้าน ลงมือทำกับข้าวเองอย่างนึกสนุก ทั้งที่ปกติจะออกไปกินข้างนอกมากกว่า

ชามาเติบโตมากับยาย ยายที่แนะนำตัวกับใครๆ ว่าชื่อจูลี่ และเธอก็เรียกเช่นนั้นมาจนติดปาก ในวัย 72 ยายแสนจะซาบซ่า ตั้งแต่เล็กจนโต ชามาเข้าใจว่าเธอคือลูกที่แม่ไม่ต้องการ และผลักไสให้มาอยู่กับยาย ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุด ยายเป็นทั้งยาย เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ ที่สำคัญยายเป็นเพื่อนที่ทำให้เธออบอุ่นและสบายใจเสมอเมื่ออยู่ใกล้

ต่างจากแม่ที่มีแต่ความห่างเหิน เย็นชา ที่ผ่านมาต่างคนต่างก็พยายามหลีกเลี่ยงที่จะต้องเจอกัน เธอคิดว่าในชีวิตเธอมีแค่ยายก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีแม่เลยสักนิด แม่เองก็ไม่เคยมายุ่งเกี่ยวอะไร นานๆ จะมาเยี่ยมยายสักที และแทบจะมีปากเสียงกับเธอทุกครั้งที่เจอกัน

พักหลังมานี่เองที่ยายเริ่มพยายามดึงแม่เข้ามาในชีวิต พยายามจะเชื่อมประสานรอยร้าวที่มีมาเนิ่นนาน เธอไม่รู้ว่ายายทำทำไม แค่มียายก็เพียงพอแล้ว แต่ยายก็ยังพยายามจะนัดแม่มาเจอบ่อยๆ เป็นเหตุให้เธอเริ่มหมางเมินกับยายไปด้วย คอยหลบหน้าหลบตา และออกไปหาอะไรทำนอกบ้านมากขึ้น แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่ตัวเองทำให้อยู่ทำให้ยายเป็นทุกข์และไม่สบายใจ แต่เธอก็ไม่พร้อมที่จะสานสัมพันธ์กับแม่เลยจริงๆ

จนฝันร้ายนั้นเอง ที่ทำให้เธอต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ ทำเพื่อให้ยายสบายใจ เป็นครั้งแรกในการพยายามที่จะเปิดโอกาสให้แม่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตกันและกัน มันเลยดูประดักประเดิดอย่างไรชอบกล

 

จุรีพรมองบรรยากาศของสองแม่ลูกด้วยความรู้สึกยากจะบรรยาย เป็นความผิดของเธอเองหรือเปล่าที่ไม่ได้พยายามให้สองแม่ลูกพบเจอเพื่อสานสัมพันธ์กัน เธอคิดว่าเมื่อถึงเวลาคนสองคนจะมาบรรจบพบกันเอง เมื่อถึงเวลาสายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกจะเชื่อมเข้าหากันเอง มันสายไปไหมที่เธอจะมาเริ่มเอาตอนนี้ ตอนที่สายใยนั้นบางเบาจนแทบมองไม่เห็น ความต่างทางนิสัยที่แยกห่างกันมากขึ้น ช่องว่างระหว่างวัยที่กว้างขึ้น และความเชื่อของโลกที่หมุนวนกันไปคนละทิศละทาง จะมีอะไรเชื่อมสองแม่ลูกนี้เข้าหากันได้บ้างหนอ ตัวเธอเองล่ะ พอจะเป็นสายใยที่เชื่อมได้หรือเปล่าในเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหลานก็แนบแน่นจนแทบไม่มีช่องว่างให้ใครสอดแทรกเข้ามา ในขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลูกก็ห่างเหินเต็มที

วางน้ำพริกปลาทู ผัดผักบุ้ง ไข่ชะอม ลงบนโต๊ะอาหาร

“โอ้โห ของโปรดทั้งนั้นเลย” คำพูดนั้นของชามา ทำให้จุรีพรหันไปมองชมจันทร์ลูกสาวคนเดียวที่เหลืออยู่ ก่อนจะบอก

“ของโปรดของแม่เราด้วยเหมือนกัน” ทำไมจุรีพรจะไม่รู้ สองแม่ลูกชอบกินอะไรเหมือนกันไม่มีผิด ถึงจะไม่ได้เลี้ยงมาแต่เธอก็รู้ว่าลูกชอบกินอะไร จริงๆ สองแม่ลูกก็มีอะไรที่เหมือนกันอยู่บ้าง อย่างน้อยก็เรื่องกิน

จุรีพรแต่งงานกับชายหนุ่มผู้เคร่งขรึม เคร่งครัด ความต่างเคยดึงดูดคนสองคนเข้าหากัน แต่เมื่อต้องใช้ชีวิตและมีลูกด้วยกัน ความต่างกลับกลายความขัดแย้งที่นับวันจะถ่างกว้างขึ้น จนในที่สุดเธอกับเขาก็แยกทางกัน แยกกันแม้จะมีลูกสาวถึงสองคน…ชมจันทร์กับชมดาว ทั้งคู่อายุห่างกันแค่ปีเดียว ชมจันทร์ 7 ขวบ ส่วนชมดาว 6 ขวบ ชมจันทร์อยู่กับพ่อ เป็นลูกพ่อโดยสมบูรณ์แบบ ความมีวินัย เจ้าระเบียบ ตรงไปตรงมา ในขณะที่ชมดาวอยู่กับแม่ แหกทุกกฎเกณฑ์ เที่ยวเล่นสนุกสนานและใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีไม่ต่างกับเธอ

แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก เมื่อพ่อของเด็กทั้งสองอายุสั้น จากไปด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลันในวัยที่ชมจันทร์เพิ่งเรียนจบใหม่ๆ ปีต่อมาชมดาวประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต จึงเหลือแต่เธอกับลูกสาวที่ไม่อาจใช้ชีวิตร่วมกันได้อีก

“จริงๆ ทั้งดาวทั้งจันทร์ชอบกินมาก พ่อของจันทร์ทำอร่อย เป็นกับข้าวอย่างเดียวที่พ่อสอนให้แม่ทำ”

“พ่อไม่เคยสอนจันทร์เลย เอาไว้จันทร์มาหัดทำกับแม่บ้างนะคะ”

“ได้สิ สบายมาก”

“งั้น มาเรียนด้วย” จู่ๆ ชามาก็หลุดปากออกไปแบบนั้น เรียกประกายวิบวับในดวงตาของคนเป็นยายขึ้นมาได้ เอาเถอะ…ชามาบอกกับตัวเอง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อย ณ ตอนนี้ยายก็คงรู้สึกดีขึ้นมาบ้างที่ได้ทำให้เธอกับแม่ประสานรอยร้าวกันได้

มื้ออาหารผ่านไปอย่างผ่อนคลายขึ้น เกือบสามทุ่มตอนที่เธออาสาเดินไปส่งแม่ที่หน้าบ้าน

“มา เรื่องวันนั้น…”

“มาไม่อยากพูดถึงมันอีก”

“แต่…”

“ทำไมแม่ถึงทำแบบนี้” เธอถามเมื่อเดินมาถึงประตู

“ทำอะไร เรื่องผู้ชายคนนั้นน่ะเหรอ”

“ไม่ใช่ เรื่องที่เหมือนเราพยายามทำดีใส่กันให้จูลี่สบายใจ”

“แม่ไม่ได้…ช่างเหอะ…แล้วเราล่ะมา…ทำทำไม”

“มามีเหตุผลของมา อธิบายไปแม่ก็ไม่เข้าใจ”

“งั้นแม่ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มาเข้าใจเหตุผลของแม่เหมือนกัน” นั่นไง พอไม่มียายอยู่ตรงนี้ บรรยากาศของสองแม่ลูกก็กลายเป็นความไม่ลงรอยเช่นเดิม

“งั้นตกลงเราจะเป็นกันแบบนี้ใช่ไหม” ชมจันทร์เลิกคิ้ว แทนคำถามว่า ‘แบบนี้น่ะแบบไหน’

“ก็ดีกันต่อหน้าจูลี่ แต่ก็…กะ…ไม่ถูกกันเหมือนเดิม” เกือบไปแล้ว เกือบจะพูดคำว่า ‘เกลียด’ ออกไปแล้ว

“แม่ไม่เคยเกลียดมา” ชามานิ่งไป ไม่คิดว่าแม่จะรู้ว่าเธอกำลังคิดจะพูดอะไรออกมา แม่ย้ำทุกคำช้า ชัด ไม่ได้พูดผ่านๆ แบบขอไปที และเธอสัมผัสได้ถึงความจริงในถ้อยคำนั้น เป็นความจริงจากใจของแม่ ไม่ใช่แค่เพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น

“แต่ก็ไม่ลงรอยกันรอยกันอยู่ดี” ได้ยินเสียงแม่ถอนหายใจก่อนจะบอก

“งั้นถ้าเราจะทำให้มันลงรอยกันขึ้นล่ะ”

“เพื่ออะไรคะ ถ้าเพื่อจูลี่ มาก็อยากรู้เหตุผลของแม่”

“แล้วถ้าเพื่อเราล่ะ”

“มาไม่คิดว่าเคยมีคำว่า ‘เรา’ มาก่อน” เห็นแววตาเจ็บปวดนั้นแล้ว ชามาก็อยากกัดปากตัวเอง แล้วบทสนทนาก็จบลงแค่นั้น แม่กลับไปแล้ว เหมือนไม่มีอะไรดีขึ้น เพราะความปากดีของเธอเอง

‘แม่ไม่เคยเกลียดมา’ คำพูดนั้นวนกลับมาในความคิด ไม่ได้เกลียด แปลว่ารักได้ไหมนะ แล้วเธอเองล่ะ รัก…หรือเกลียด หรือแค่ไม่ลงรอยอย่างที่บอกไป กลับเข้าห้องอาบน้ำ ก่อนจะไปเคาะห้องยาย

“มาขอนอนกับจูลี่ได้ไหม อยากกอด” จุรีพรมองตานั้น สองแม่ลูกคุยกันอยู่นาน คงมีบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างแม่ลูกอยู่บ้าง เปิดอ้อมแขนให้หลานสาวเข้ามาซุกตัว แขนขายาวเก้งก้างของเด็กสาวอายุสิบแปด ไม่ใช่เด็กเล็กๆ อีกต่อไปแล้ว

“มารักจูลี่นะ” หลานสาวอ้อน “เมื่อก่อนเราบอกรักกันทุกวันเลยเนอะ”

“แล้วแม่ล่ะมา มารักแม่ไหม” เงียบไปพัก ปกติชามาจะโวยวายถ้าเธอเอ่ยถึงแม่ ‘จูลี่จะพูดถึงเขาให้ได้อะไรขึ้นมา เสียบรรยากาศหมด’ แต่ครั้งนี้กลับตอบคำง่ายๆ

“ไม่รู้สิ แต่ไม่เกลียด”

“แม่เขารักมานะ”

แทนคำตอบเธอกอดยายให้แน่นขึ้น ความรักของแม่จำเป็นสำหรับเธอไหม ตอนนี้เธอไม่อยากหาคำตอบ แต่รักของยายทำให้เธอมีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้

“มารักยาย”

จุรีพรหัวเราะและกอดตอบ ไม่ได้พยายามคาดคั้นอะไรอีก แค่นี้ก็ดีมากแล้ว

ชามากอดยาย ในใจก็หวนนึกนึกแม่ เธอคิดว่าวันนี้เธอเริ่มต้นได้ดี แม้จะจบไม่สวยนัก พรุ่งนี้อะไรๆ คงจะต่อเนื่องได้ดีขึ้น พรุ่งนี้เธอจะพยายามให้มากขึ้น ถ้าเธอจะตื่นมาพบกับพรุ่งนี้น่ะนะ

 



Don`t copy text!