อุมาวสี บทที่ 5 : เหมือนอยู่ในถ้ำเสือ
โดย : ตรี อภิรุม
อุมาวสีหิ้วถุงผลไม้ขึ้นรถประจำทาง ผู้โดยสารค่อนข้างจะแออัด หลายคนยืนโหนราว เด็กสาวยอมเป็นส่วนหนึ่งของจำนวนนั้น ไม่มีทางอื่นเลือก
เสียงรถเมล์วิ่ง ผสมผสานกับยวดยานบนท้องถนน กลิ่นคาร์บอนมอนออกไซด์และคาร์บอนไดออกไซด์คละเคล้า ร้อนอบอ้าว ตั้งแต่พ้นจากหิมพาลัยนคร ไม่เคยเจออากาศเย็นสบาย ยกเว้นอยู่ในห้องแอร์
จ่ายเงินค่าโดยสารแก่กระเป๋ารถที่มาเก็บ รับตั๋ว บังเอิญหญิงวัยกลางคนลงรถเมล์ อุมาวสีทรุดกายลงนั่งที่ว่าง จิตที่สงบสัมผัสกระแสแห่งความโลภของผู้คนอยากได้โน่นอยากได้นี่ ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอพียง เพิ่มความปรารถนาขึ้นเรื่อยๆ แต่งเติมสีสันพรรณรายวิจิตร
สรุปแล้วเป็นได้แค่โลกสมมุติ
ชายแก่ยักแย่ยักยันขึ้นรถโหนราว บังเอิญใกล้ตัว ดรุณีผู้เฉิดโฉมลุกขึ้นยืน สละที่นั่ง
“ขอบคุณครับ” แกกล่าวเสียงสั่นเครือ หย่อนกายลงแทนตำแหน่ง
นึกขบขัน ว่ากันตามจริง ท่านผู้เฒ่าอายุไม่มากไปกว่าหล่อน มัวแต่คิดถึงสภาพแวดล้อม เผลอแผล็บเดียวถึงป้ายจอดไม่ทันเสียแล้ว ต้องกดออดไปลงป้ายหน้า
บัดนี้ อุมาวสีก้าวลงเหยียบฟุตบาท กวาดสายตาสำรวจทิศทาง
“เดินไกลหน่อย ทำไงดีล่ะ”
ไม่อยากใช้วิชาเดินเร็วกึ่งล่องหน เอาไว้คราวจำเป็นสุดขีด เมื่ออยู่ในโลกมนุษย์ ก็ควรเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ พลันเหลือบพบวินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
หล่อนสืบเท้าเข้าไปหาชายหนุ่มวัยเบญจเพส ไต่ถามสนนราคาส่งที่บ้านตึกซอยถัดไป ได้ความว่าห้าสิบบาท
“เอ๊ะ ไม่สวมหมวกกันน็อกหรือคะ”
“เข้าซอย ไม่ต้องครับ”
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ซ้อนท้ายจักรยานยนต์ ตื่นเต้นพอสมควร ระวังไม่ให้ทรวงอกแนบหลังนักบิด อุมาวสีนั่งตัวเกร็ง ยื่นมือจับเหล็กโค้งด้านหลังอาน อีกมือหิ้วถุงพลาสติกแกว่งโตงเตง
มอเตอร์ไซค์วิ่งฉิว ผ่านไปตามซอยคดเคี้ยว เพื่ออ้อมไปทะลุอีกซอย โดยไม่ผ่านถนนเมน อำนาจจิตอันทรงพลังสัมผัสความคิดของฝ่ายตรงข้าม
‘เอ๊าะๆ สวยฉิบเป๋ง ถูกสเปกเรา’
นักบิดทรชนแอบแฝงบึ่งมอเตอร์ไซค์ออกนอกเส้นทาง มุ่งสู่ตึกร้าง
นั่นปะไร!
สถานที่ค่อนข้างเปลี่ยว ตึกร้างทรุดโทรมแฝงอยู่ในดงวัชพืช นักข่มขืนเรียงคิวพูดลอยๆ
“ผมขอแวะใช้ห้องน้ำแป๊บเดียวครับ”
ชะลอความเร็วจอด ก้าวลงจากเบาะจักรยานยนต์ เขาเหลียวมองเด็กสาววัยขบเผาะ
คุณพระช่วย!
ปราศจากร่องรอย ไม่ทราบว่าผู้โดยสารโฉมงามลงจากรถตั้งแต่เมื่อใด
“เสียเที่ยว ซวยฉิบ…”
มันสบถต่อท้ายคำหยาบ ตบมือให้สัญญาณช้าๆ สามเปาะ
ทันใดนั้น สามหนุ่มลุยฝ่าดงวัชพืชสวบสาบ หน้าตาเหี้ยมเกรียมส่อสันดานดิบ
อุมาวสีปรากฏร่างโคนต้นจามจุรีเบื้องหลัง แก๊งทรชนเห็นผู้หญิงเป็นเหยื่อจะต้องให้บทเรียนเสียหน่อย
เพ่งสายตาที่มอเตอร์ไซค์จอด แผ่กระแสอานุภาพแรงสูง
บัดดล รถเจ้ากรรมลอยขึ้นจากพื้นดินกว่าสามสิบเมตร หล่นโครมดังสนั่นไม่ต้องสงสัยว่าจะไม่พังยับเยิน
“เหวอ เป็นยังงี้ได้ยังไงโว้ย”
ทรชนหัวโจกร้องลั่นสติแตก
ร่างพิลาสพิไลเลือนสลายแวบ อีกสองนาทีก็โผล่ขึ้นกลางซอย ห่างจากคฤหาสน์ประมาณสองร้อยเมตร เดินทอดน่องตามสบาย สังเกตทิวทัศน์สองฟากทางในตัว
พีรวรรณขับยานพาหนะคันหรู เหลือบพบน้องสะใภ้ระดับรากหญ้า ชะลอล้ำหน้านิดเดียว เบรกกึก เลื่อนกระจกลง
“ขึ้นรถจ้ะ อุ”
อุมาวสีเปิดประตูรถ ก้าวขึ้นไปนั่งเคียงคู่ พนมมือไหว้อย่างแช่มช้อย แต่คู่กรณีเห็นว่าดัดจริต แสร้งทำไร้เดียงสา ทั้งที่ความจริงล้นเดียงสา ใช้มายาสวาทผูกมัดน้องชายจนดิ้นไม่หลุด
ในที่สุด ยานพาหนะประจำตัวก็เคลื่อนเข้าไปจอดในโรงรถคฤหาสน์ ต่างฝ่ายต่างก้าวลงเหยียบพื้นคอนกรีต พีรวรรณยื่นสัมภาระให้ถวิลที่มารอรับ
“พี่แนนชอบทานชมพู่ทับทิมไหมคะ อุจะแบ่งให้”
“ฉันไม่ชอบจ้ะ” พร้อมกันหล่อนก็ตั้งข้อสังเกต “ระยะทางจากปากซอยไกลพอประมาณ อุน่าจะซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์รับจ้าง”
เด็กสาวยิ้มเจื่อน เพิ่งจะผ่านการผจญภัยหยกๆ พยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่กล่าวเท็จ
“ระยะทางแค่นี้เอง ที่เมืองหิมพาลัยถือว่าใกล้มาก อุชอบเดินค่ะ”
“ประหยัดก็บอกมาเถอะน่า”
“ทำนองนั้นด้วย” อุมาวสีสารภาพ “อุไม่มีรายได้ส่วนตัว เงินทุกบาททุกสตางค์เอามาจากพี่โหน่ง”
“เอาไหม เผื่อฉันจะหางานให้เธอ”
“อุไม่กล้ารับปาก ต้องถามพี่โหน่งดูก่อนค่ะ”
พีรวรรณพยายามเจาะลึกถึงปัญหาส่วนตัว เผื่อจะเป็นช่องทางสู่เป้าหมายสูงสุด
“เธอใช้โทรศัพท์มือถือหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ ไม่จำเป็น อุไม่ทราบว่าจะไปโทรถึงใคร แค่โทรศัพท์บ้านก็มากเกินพอแล้ว”
“รู้หรือเปล่าว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม” หญิงสาวสาธยายเป็นคุ้งเป็นแคว “เราไม่สามารถจะอยู่คนเดียวในโลก ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม โทรศัพท์มือถือเป็นสินค้ามวลชนยอดฮิต ใครไม่มีถือว่าตกรุ่น…เชยแหลก ถ้าเธอพกไว้สักเครื่อง รับรองว่าจะได้เพื่อนเยอะ มันให้อะไรเรามากกว่าโทรเข้าโทร.ออก”
“ไม่อยากรบกวนเงินพี่โหน่งค่ะ”
“อย่าห่วง ฉันจะช่วยเหลือเธอเอง”
ลูกสาวคนโตของคุณนายนุชนารถแยกขึ้นคฤหาสน์ น้องสาวที่ลอบจับตามองตั้งกระทู้ทันที
“ต๊าย…พี่แนนญาติดีกับลอเยแล้วหรือคะ”
“ใครบอกล่ะ”
ครั้นแล้ว พี่สาวก็เปิดเผยแผนลับเฉพาะ ต่อท้ายว่า
“แนทก็ควรเปลี่ยนบทบาทใหม่ สัมพันธ์ใกล้ชิดกับลอเย”
พิณทิพย์ทำหน้าดุจเคี้ยวมะนาวทั้งลูก
“พี่แนนแสดงออกแนบเนียนแลดูเป็นธรรมชาติ แต่แนทไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้กะทันหัน สมมุติว่าติดต่อสัมพันธ์กับหล่อนขณะนี้ ก็คงจะอดไม่ได้ที่จะกระทบกระเทียบเปรียบเปรย กระแนะกระแหน”
พีรวรรณไม่ว่ากระไร รู้ว่าน้องสาวใจร้อน ยามเกลียดชังใครรุนแรง มักจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ แสดงออกทางวาจา เผ็ดร้อนหรือบางเบาขึ้นอยู่กับสถานการณ์
“งั้นเธอรอไว้ทัพหลัง เมื่อปรับเปลี่ยนได้แน่นอนแล้ว ตอนนี้ดูบทบาทพี่ไปพลางๆ ก่อน”
“คุณแม่ล่ะคะ”
นัยน์ตาของพิณทิพย์ฉายแววสงสัยคลางแคลง ผู้ร่วมสกุลใช้สติปัญญาลุ่มลึก
“ท่านเป็นผู้ใหญ่ คงไม่ถึงขั้นพาลูกสะใภ้ขยะออกไปโชว์ตัว”
ขณะนั้นอุมาวสียืนเกาะขอบหน้าต่าง หลับตานิ่ง ทำสมาธิจิตว่างกิเลส ได้ยินเสียงพี่น้องคุยกันทางมโนทวาร
อนาถ พีรวรรณหวังดีจอมปลอม เปรียบเหมือนตนอยู่ในถ้ำเสือ ต้องระวังตัวทุกอิริยาบถ ไม่รู้ว่าวันไหนจะถูกขย้ำ
O O O O
พิชญ์นอนเขลงบนเตียง ฟังเพลงสากลจากเครื่องเสียงดิจิทัล สายตาจับจ้องภรรยาสาวรุ่นที่นั่งโต๊ะเล็ก ก้มหน้าก้มตากับปากกาลูกลื่นและสมุด
“ฝึกเขียนภาษาไทยคล่องหรือยัง”
อุมาวสีเหลียวมายิ้มหวานแฉล้ม
“ยังเลยค่ะ พี่โหน่ง ลายมือยึกยักโย้เย้ไม่ค่อยตรงบรรทัด”
“มันต้องค่อยเป็นค่อยไป อาศัยเวลาและความพยายาม ไม่นานก็จะเชี่ยวชาญขึ้นตามลำดับ” ชายหนุ่มอธิบายอาศัยตรรกะ “เท่าที่น้องอุฝึกได้แค่นี้ก็นับว่าเก่งกว่าคนอื่นเยอะ อ่านล่ะจ๊ะ”
“สะกดได้แต่ละคำ อ่านตะกุกตะกักค่ะ”
คราวนี้เขาหยิบหนังสือพิมพ์ชูขึ้น ชี้คำพาดหัว เตือนให้คู่สวาททดสอบความสามารถ
“ประ-หวัด-ติ-สาด”
“อ้า…ถูกต้อง”
ต่างฝ่ายต่างเงียบ อุมาวสีขลุกอยู่กับการเขียนตัวบรรจง ไม่นานนัก พิชญ์ก็ชวนคุย
“พรุ่งนี้พี่จะเริ่มไปฝึกงานที่ร้านสาขาย่อยในห้างชานเมือง อยากจะชวนอุไปด้วย เธอนั่งรอในฟู้ดเซ็นเตอร์หรือเดินเล่นชมสินค้าก็ได้ เปลี่ยนบรรยากาศเสียบ้าง จะได้ไม่เงียบเหงา พี่ต้องอยู่จนกว่าร้านจะปิดประมาณสามทุ่ม หากอุเบื่อเมื่อไหร่จะนั่งรถแท็กซี่กลับก่อนก็ได้นะ”
ดรุณีผู้เลอโฉมขบริมฝีปากไตร่ตรอง เหตุผลของชายหนุ่มถูกต้องเกือบทุกประการ ส่วนต่างมีเพียงเล็กน้อย
“อุขอนั่งรถเมล์ได้ไหมคะ สังเกตถนนหนทางทัศนศึกษาในตัว แท็กซี่วิ่งเร็วบางทีมองอะไรไม่ถนัด”
“ทำไมจะไม่ได้เล่า แล้วเผื่อน้องอุหลงทาง”
“ถามคนที่ป้ายรถเมล์ เชื่อว่าเขาจะอำนวยความสะดวก”
ชายหนุ่มครุ่นคิดทบทวน สมัยที่อยู่หิมพาลัยนคร อุมาวสีเก่งฉกาจไหวพริบสูง ไม่แพ้ผู้ชายอกสามศอก กอปรด้วยสวมแหวนเงินของบรรพบุรุษ คาดว่าจะได้รับความปลอดภัยที่กรุงเทพฯ
“ตามใจอุ เผื่อกลับไม่ถูก โทรศัพท์หยอดเหรียญที่ตู้สาธารณะ ผ่านเข้ามือถือของพี่”
เว้นช่วงเวลาชั่วประเดี๋ยว พิชญ์ฮัมเพลงคลอตามเพลงสากลที่ฮิตติดอันดับ
“ใครอยู่บ้างจ๊ะ”
เสียงเรียกชั้นล่าง จำได้ว่าพี่สาวคนโต
“ผมอยู่ข้างบน พี่แนน”
“ลงมาข้างล่างทั้งสองคนจ้ะ”
น้องชายสปริงตัวลุกขึ้นนั่งรวดเร็ว อุมาวสีเก็บสมุดและปากกาลูกลื่นไว้ในลิ้นชัก เดินคลอเคลียตามกันลงบันไดตึก
พีรวรรณนั่งรอที่โต๊ะอเนกประสงค์ พร้อมด้วยกล่องสี่เหลี่ยมใส่ถุงพลาสติก นึกอิจฉาในใจลึกๆ พิชญ์ครองคู่แล้ว ตนเองยังเป็นโสดค้างเติ่งใกล้วาระขึ้นคานทองนิเวศน์
“ซื้อโทรศัพท์มือถือมาฝากอุ นี่ไง้”
พลางดึงกล่องกระดาษแข็งยื่นให้ น้องสะใภ้พนมมือไหว้ขอบคุณอย่างนอบน้อม หล่อนอธิบายประกอบ
“รุ่นนิยมจอสี โหน่งไปหาซิมใส่เอาเอง สำหรับคนที่ไม่ค่อยจะได้โทรออก ใช้ระบบเติมเงินก็ไม่เลว นี่เป็นรุ่นธรรมดาเริ่มต้นหรือก้าวแรก ไม่ใช่แบบสมาร์ตโฟน”
หนุ่มหล่อชื่นชมความปรารถนาดีของพี่สาว แกะกล่องเครื่องเปล่าน่ารักกะทัดรัด พร้อมอุปกรณ์ต่างๆ ครบถ้วนเช่น หนังสือคู่มือภาษาไทย สมอลทอล์ก สายชาร์จแบตเตอรี่ เป็นต้น มันเป็นโทรศัพท์เคลื่อนที่ยี่ห้อยอดนิยมขายดีที่สุด
“รุ่นเบสิก พี่แนนน่าจะซื้อจอขาวดำ ราคาถูกกว่านี้แยะ”
“อย่างนั้นมันกระจอก เราเขยิบสูงขึ้นมาหน่อย สีสันสวยงาม โฉบเฉี่ยว เก๋ไก๋ไม่เบา ใครที่ตาไม่ถึง อาจจะคิดว่าราคาแพง”
อุมาวสีฟังสองพี่น้องสนทนาตอบโต้ ตนเองไม่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี จึงไม่ออกความคิดเห็นใดๆ ทั้งสิ้น
ใช่แต่เท่านั้น ยังหยั่งรู้ว่านี่เป็นเหยื่อฝังเบ็ด หล่อนจะไม่กระดี๊กระด๊าเหิมเกริมเห่อวัตถุจนลืมคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์
สมัยที่อยู่หิมพาลัยนครใช้โทรจิต ใช่ว่าจะอยู่ใกล้ไกลแค่ไหนติดต่อถึงกันตลอด สัญญาณไม่เคยขาดๆ วิ่นๆ พลังจิตสูงย่อมอยู่เหนือวัตถุ
“เอาละจ้ะ พี่จะกลับไปแต่งตัว ประมาณชั่วโมงนึง กุลณัฐจะมารับไปชมละครเวทีเรื่องลูกเจ้าคุณ”
พีรวรรณลุกขึ้นยืน สองสามีภรรยาตามไปส่งที่ขั้นบันไดเฉลียง พี่สาวก้าวเท้าฉับๆ ไปตามทางเท้าค่อนข้างจะเร่งรีบ
ที่คฤหาสน์ คุณนายนุชนารถนั่งเคียงพิณทิพย์ ทันทีที่ลูกสาวคนโตปรากฏตัว คำถามก็พรั่งพรู
“ได้มือถือเป็นของขวัญ แม่เจ้าประคุณดีใจเนื้อเต้น ใช่ไหมจ๊ะ”
“เท่าที่แนนสังเกต เจ้าหล่อนควบคุมสติอารมณ์ ไม่ค่อยจะตื่นเต้นยินดีสักเท่าไหร่”
พิณทิพย์ยิ้มเยาะ ทอดสายตาไปทางตึกขาวที่แมกไม้กำบังส่วนหนึ่ง
“ลอเยเล่นละครเก่ง ป่านนี้คงยกโทรศัพท์มือถือขึ้นจูบหลายฟอด คืนนี้คงเอาวางไว้ข้างหมอน”
สามแม่ลูกถูกวิพากษ์วิจารณ์สะใภ้ต่างเมือง เหยียดหยามแง่ลบทั้งสิ้น มั่นใจว่าแผนอันซับซ้อนซ่อนเงื่อนจะทำให้อุมาวสีแตกเปลี่ยว เตลิดออกนอกเส้นทาง พิชญ์ทนไม่ไหวตัดหางปล่อยวัด
พีรวรรณเลี่ยงขึ้นห้องนอนส่วนตัวชั้นบน เหลือแต่มารดากับลูกสาวคนกลาง
นางมณีวงศ์เดินต้วมเตี้ยมขึ้นคฤหาสน์ทายาท คุณนายนุชนารถกระซิบข้างหูทายาท
“ห้ามนินทาลอเยให้คุณยายฟัง”
“แนททราบค่ะ”
สตรีปัจฉิมวัยหย่อนกายลงบนเก้าอี้นวม เอ่ยเสียงแหบแห้ง
“แนนซื้อโทรศัพท์มือถือมาฝากอุ โหน่งเอามาอวด แม่ชอบความเอื้อเฟื้ออารีอารอบ ไม่ถือเขาถือเรา ครอบครัวจะได้สันติสุข”
หลานสาวขบริมฝีปาก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า นางมณีวงศ์เริ่มเอนเอียงเป็นฝ่ายอุมาวสี มิได้กินแหนงแคลงใจเยี่ยงแต่ก่อน คุณนายผู้เจ้ายศเจ้าศักดิ์ผสมโรง
“อุทำตัวน่ารักน่าสมเพช”
“คุณยายไม่หาโทรศัพท์มือถือไว้ใช้สักเครื่องหรือคะ”
“ยายอายุจนปูนนี้แล้ว ไม่นึกอยากได้เลยจนนิดเดียว” ท่านส่ายหน้าเนิบ “ใช้ไม่เป็น เดี๋ยวกดมั่วเครื่องพัง”
เสียงรถเก๋งแล่นมาจอดหน้าประตูรั้ว พิณทิพย์นึกรู้ว่ากุลณัฐมารอรับพี่สาว
O O O O
มันเป็นวันแห่งความตื่นเต้นแปลกใหม่ ได้สังเกตภูมิทัศน์ผังเมืองในตัว พิชญ์พาอุมาวสีเข้าห้างดิสเคาน์สโตร์ ตั้งแต่ยังไม่เปิดเต็มรูปแบบ สั่งให้ภรรยาสาวรอที่ฟู้ดเซ็นเตอร์ เขาเองช่วยพนักงานเปิดร้านเครือข่ายของบริษัท รับบริการเกี่ยวกับการสื่อสารสนเทศเกือบทุกประเภท
เพิ่งจะเก้าโมงเช้าผู้คนยังบางตา พวกที่เคลื่อนไหวมีแต่พ่อค้าแม่ค้าที่เช่าบูธ หรือพนักงานของห้าง
ครู่ใหญ่ ลูกค้าเริ่มหนาตาขึ้นเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะเดินช้า สำรวจบูธสินค้าระหว่างโถงทางเดิน
“นี่ไง โทรศัพท์มือถือใช้ได้แล้ว มือถือมีแบตเหลือสองขีดอุใช้ไปก่อนนะ หลังจากนั้นเราจะไปชาร์จกระตุ้นแบตที่บ้านจนกระทั่งเต็ม เครื่องจะได้ใช้ได้นานๆ”
พิชญ์อธิบายสรุป หลังจากที่นั่งข้างดรุณีแรกรุ่น อุมาวสีคลี่ยิ้ม หยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นพินิจพิจารณา เขาจดหมายเลข ยื่นให้เก็บไว้ท่อง แนะนำวิธีกดรับและวางหู
“อุไม่รู้ว่าจะโทรถึงใครค่ะ”
“งั้นสักครู่พี่จะโทรถึงอุ”
กล่าวเท่านั้น พิชญ์ก็แยกไปปฏิบัติภารกิจในร้านเครือข่ายโทรคมนาคม
นั่งนานจำเจน่าเบื่อ อุมาวสีลุกขึ้นเดินตรวจอาณาบริเวณ จิตสัมผัสกระแสความโลภและหลงของบรรดานักช็อป
ปี๊บ-ปี๊บ!
ริงโทนแว่วดังกังวาน เดาว่าเป็นรายการตามนัด เด็กสาวล้วงหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋ากางเกง กดปุ่ม ยกมันขึ้นแนบข้างแก้มด้วยอาการเคอะเขิน
“พี่โหน่งเองน่ะแหละ เสียงชัดเจนดีไหม”
“ไม่ค่อยชัดค่ะ อุได้ยินเสียงอื่นแทรกซ้อน”
“คุยกันในห้างก็ยังงี้แหละ ธรรมดา ตอนกลางวันเราทานข้าวด้วยกันนะอุ”
ดรุณีร่างงามระหงรับปาก เก็บโทรศัพท์มือถือ รู้สึกว่ามันเป็นวัตถุชิ้นหนึ่ง วิวัฒนาการทางโลก ขืนติดยึดมัวเมาจะทำให้คุณธรรมเสื่อม
ขึ้นบันไดเลื่อน ตรวจตราสำรวจบริเวณ ไม่สู้จะตื่นตาตื่นใจเท่าใดนัก เพราะบรรยากาศเช่นนี้เคยผ่านมาแล้วจากห้างอื่น
เด็กหนุ่มบางคนมองหล่อนกะลิ้มกะเหลี่ย สายตาจาบจ้วงล่วงเกิน บางรายหลิ่วตาข้างหนึ่ง อุมาวสีเฉยเสีย ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ โต้ตอบ
ปี๊บ-ปี๊บ!
เอ๊ะ! ใครหนอ คาดว่าจะไม่ใช่พิชญ์
นั่นปะไร!
หมายเลขแปลกไม่คุ้นเคยปรากฏที่จอ เด็กสาวกดปุ่มบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ
“ขอโทษ ใครคะ”
“ฉันถามเบอร์โทรจากโหน่ง ก็เลยลองโทรมาคุย ตอนนี้พกมือถือแล้ว ก็นับว่าอุไม่ตกรุ่น”
“นับว่าเป็นความกรุณาของพี่แนนค่ะ”
“หมายเลขของฉัน อุเซฟไว้ในเครื่องด้วยนะ”
“เซฟแปลว่าอะไรคะ”
“หลายความหมายขึ้นอยู่กับบริบท ตามสำนวนนี้แปลว่าสงวนหรือรักษา วานโหน่งเขาทำให้เธอเถอะ”
เพียงเท่านั้น สัญญาณก็หลุดไป แสดงว่าพีรวรรณวางหู
เวลาผ่านไปจนเลยเที่ยง สองสามีภรรยารับประทานอาหารที่ฟู้ดเซ็นตอร์คุยกันกะหนุงกะหนิงหวานแหวว ไม่สนใจเสียงรบกวนต่างๆ รอบทิศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตู้เกม
“หลังจากอาหารมื้อนี้ อุจะกลับก่อนก็ได้นะ ไม่ต้องแกร่วรอพี่โหน่งจนเลิกงาน”
“ตกลงค่ะ”
“เผื่อยังไงอย่าลืมโทรติดต่อ”
อุมาวสีรับปาก ยังไม่มีโอกาสรู้ว่า ใครคนหนึ่งลอบมองประสงค์ร้าย