เท้าปุยตะลุยท่องโลก (บันนี่พาเที่ยว) ตอน : ล่องเรือไหว้พระกับนักเขียนคนโปรด

เท้าปุยตะลุยท่องโลก (บันนี่พาเที่ยว) ตอน : ล่องเรือไหว้พระกับนักเขียนคนโปรด

โดย : อรรถรัตน์ จันทรวรินทร์

Loading

ไม่ได้มีแค่ นิยายออนไลน์ ให้อ่าน ที่ อ่านเอา  แต่เรายังมีบทความอ่านเอาสบายอีกเพียบ อย่างคอลัมน์นี้ ‘เท้าปุยตะลุยท่องโลก (บันนี่พาเที่ยว)’ ที่นายบันนี่…กระต่ายตัวน้อยของพี่กรู๊ฟ ขอเป็นผู้เล่าเรื่องการท่องเที่ยวสนุกๆ ให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์กันเพลินๆ

——————————————————

 จองโรงแรมในเครือ  Accor Hotels ทุกการเข้าพักและชำระเงิน 

จะมียอดสนับสนุนเข้าสู่เว็บไซต์อ่านเอาของพวกเรา :)

สวัสดีฮะคุณผู้อ่านชาวอ่านเอาที่น่ารัก เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา บันนี่มีโอกาสติดสอยห้อยตามพี่กรู๊ฟและพี่ฮูก รวมถึงพี่ๆ ทีมงาน นักเขียน และนักอ่านชาวอ่านเอาทั้งหลาย ไปล่องแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อไหว้พระเสริมสิริมงคลกันมาฮะ วันนี้เลยนำเอาบรรยากาศในวันงานมาเล่าให้ฟัง เผื่อคนที่พลาดโอกาสในครั้งนี้ จะได้สนุกไปกับพวกเราด้วย

เช้าวันที่สิบเอ็ด พี่กรู๊ฟปลุกบันนี่ตั้งแต่พี่ไก่ยังไม่ได้ขัน โอ๊ย อะไรจะตื่นเช้าขนาดนั้น

นอนต่ออีกนิดไม่ได้เหรอพี่กรู๊ฟ นี่เพิ่งจะหกโมงเช้าเองนะบันนี่โอดครวญ

ไม่ได้นะนายบันนี่ ตื่นมาอาบน้ำแปรงฟันได้แล้ว นี่สายแล้วนะ เราต้องไปถึงที่ท่าเรือสาทรไม่เกินแปดโมงพี่กรู๊ฟส่งเสียงเข้มมาจากห้องแต่งตัว พร้อมให้เหตุผลว่า วันนี้เราไปเป็นทีมงาน ดังนั้น เราจึงต้องไปให้ถึงก่อนเพื่อนๆ นักอ่าน เข้าใจไหม

โอเค เข้าใจก็ได้กระต่ายน้อยตอบเสียงอ่อยๆ แต่ก็ยอมลุกขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว

เมื่อแต่งตัวเสร็จ บันนี่ พร้อมด้วยพี่กรู๊ฟ พี่กุ๊ และพี่หมอโอ๊ต ก็พร้อมออกเดินทางไปยังท่าเรือสาทร จากบ้านของพวกเรา ขึ้นทางด่วนไปแป๊บๆ ก็ถึงแล้ว

พี่กรู๊ฟจอดรถที่ลานจอดข้างวัดยานนาวา ซึ่งเจ้าหน้าที่ของบริษัทเรือได้แนะนำไว้ ค่าจอดแค่ 60 บาท เหมาจ่ายตลอดทั้งวัน แล้วพวกเราก็ช่วยกันขนอุปกรณ์ซึ่งประกอบไปด้วยถุงผ้าอ่านเอาที่เรานำมาแจก ใบลงทะเบียน และอุปกรณ์สำหรับทำกิจกรรมอื่นๆ

เมื่อเดินไปถึงบริเวณจุดนัดหมาย บันนี่เห็นเหล่าคุณพี่ๆ ผู้หญิงใส่เสื้อลายดอกสีสันสดใสส่งยิ้มมาให้แต่ไกล พี่กรู๊ฟบอกว่านัดแนะให้ทุกคนใส่เสื้อลายดอก ฮาวาย หรือสีสวยๆ เพราะจะได้หากันง่ายๆ และถ่ายรูปออกมาสวยงาม… ซึ่งก็จริงแฮะ พอเรามายืนรวมกันเยอะๆ แล้วก็สวยจริงๆ ดอกไม้บานสะพรั่งไปทั่วท่าเรือสาทรเลย

พี่ๆ นักอ่านทั้ง 60 ท่าน ต่างก็ทยอยเดินทางกันมา และเริ่มลงทะเบียน หลายคนมาด้วยกัน บางคนก็มาคนเดียวแต่ก็มารู้จักเพื่อนใหม่ที่นี่ เห็นแล้วรู้สึกดีจริงๆ มิตรภาพของนักอ่านเบ่งบานเหมือนเสื้อลายดอกไม้ที่แต่ละคนใส่มา

เมื่อลงทะเบียนครบ พี่เอกตากล้องก็ขอถ่ายรูปหมู เอ้ย รูปหมี เอ้ย… รูปหมู่ เป็นที่ระลึกกันหน่อย แล้วเราก็ได้ภาพการเริ่มต้นทริปแห่งความสนุกสนานอย่างที่เห็น


จากนั้นพี่ปิงซึ่งเป็นไกด์ประจำทริปของเราในวันนี้ ก็พาเราทุกคนไปขึ้นเรือ

เรือจากบริษัทเรือด่วนเจ้าพระยาที่ให้บริการเราในวันนี้ โอ่โถง ใหญ่โต แล้วก็สะดวกสบายมาก ตอนแรกที่พี่กรู๊ฟบอกว่าจะพาไปล่องเรือไหว้พระ บันนี่ยังนึกแหยงๆ บอกว่าไม่เอา ไม่ไป กระต่ายน้อยกลัวน้ำ… แต่พอได้เห็นภาพเรือ จนมาได้เห็นของจริง บันนี่ถึงได้ยิ้มออก เพราะเรือลำใหญ่ รู้สึกปลอดภัยจริงๆ นะฮะ

เมื่อเรือออกจากท่า เหล่าๆ พี่ๆ นักเขียนอย่าง พี่เอียด-ปิยะพร ศักดิ์เกษม, พี่ปุ้ย กิ่งฉัตร และ พี่หมอโอ๊ต พงศกร ก็เริ่มแนะนำตัวกับเพื่อนๆ นักอ่านที่เป็นเพื่อนร่วมทริปในวันนี้ แล้วก็แนะนำพี่ปิง ไกด์ของเรา รวมถึงแนะนำ พี่กรู๊ฟ พี่กุ๊ พี่บอล พี่ป่าน พี่เอก ซึ่งเป็นทีมงานอ่านเอา… ขาดแต่เพียงพี่โก้ที่ไม่ได้มาร่วมงานในวันนี้ เพราะติดภารกิจสำคัญ

หลังจากแนะนำตัวเสร็จ เราก็เริ่มกิจกรรมเซอร์ไพรส์กันก่อนเลย

พี่หมอโอ๊ตบอกให้ทุกคนลองเปิดถุงผ้าอ่านเอาที่เรามอบให้ ใครเจอกระดาษที่มีชื่อของ ปิยะพร ศักดิ์เกษม’ ‘กิ่งฉัตรและ พงศกรก็ออกมารับรางวัลได้เลย พี่ๆ ทั้งสามคนเตรียมของขวัญพิเศษมาให้จากบ้าน

พี่เอียดมีซองใส่ของที่ระลึกมากมาย เช่น พวกที่คั่นหนังสือที่ได้มาจากต่างประเทศ และที่คั่นหนังสือของตัวเองที่หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วมาฝากกัน

พี่ปุ้ยมีถุงวิเศษ ซึ่งข้างในมีปากกากับสมุดโน้ต รวมถึงหนังสือเล่มเล็ก สาวน้อยขบูร กับปริศนาถุงเงินที่เขียนร่วมกับพี่หมอโอ๊ต มาให้ด้วย เรียกเสียงกรี๊ดกร๊าดจากคนที่พลาดโอกาสได้ไม่น้อย

ส่วนพี่หมอโอ๊ตมีตุ๊กตาหมีแม่หญิงพุดซ้อน ตัวที่พี่หมอโอ๊ตได้รับจากสำนักพิมพ์ GROOVE เมื่อครั้งที่ผลิตแจกนักอ่าน ตัวนี้เป็นตัวเดียวที่พี่หมอโอ๊ตมี ยอมเสียสละมอบให้กับนักอ่านเลยเชียวนะ ใครได้ไปก็ถือว่าโชคดีมากๆ

ทำกิจกรรมไปไม่ทันไร เราก็เดินทางมาถึงวัดแรก คือวัดราชาธิวาสวรวิหาร พี่ปิง ไกด์คนเก่ง พาพวกเราเดินดิ่งตรงไปยังอุโบสถของวัด เพื่อร่วมกันไหว้พระเสริมสิริมงคล และได้นิมนต์หลวงพ่อมาสวดให้พรพวกเราทุกคนอีกด้วย

ภายในอุโบสถของวัดราชาธิวาสฯ (ขอเรียกสั้นๆ นะ) นั้นสวยงามมากเลยนะ บันนี่เองก็เรียกไม่ถูกว่าอะไรเป็นอะไร ด้วยเพราะไม่ค่อยได้มาวัดเท่าไรนัก ก็พี่กรู๊ฟน่ะสิฮะ ชวนไปแต่ร้านอาหาร ไม่เคยพามาวัดกะเค้าบ้างเลย

พอสอบถามจากพี่โอ๊ต เลยได้ความมาว่า …วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร นั้นเป็นวัดที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาจากวัดสมอราย’ ได้รับการปฏิสังขรณ์ต่อเนื่องตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 3 จนถึงในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ทรงปฏิสังขรณ์ใหม่ แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า ‘วัดราชาธิวาสวิหาร’ ซึ่งมีความหมายว่า ‘วัดอันเป็นที่ประทับของพระราชา’ พระอุโบสถของวัดเป็นทรงขอมคล้ายนครวัด ภายในแบ่งเป็นห้องสามตอนคือ ห้องหน้าเป็นระเบียง ห้องกลางเป็นห้องพิธี มีพระสัมพุทธพรรณีเป็นพระประธาน และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในแสดงเรื่องพระเวสสันดรชาดก ซึ่งสวยงามมากๆ

พอพวกเราได้รับพรจากพระคุณเจ้าแล้ว ก็ออกมาถ่ายรูปกันด้านนอกอุโบสถ บันนี่ก็เลยถือโอกาสนี้ตีสนิทกับพี่ๆ ร่วมทริปทุกคนด้วยซะเลย

จากนั้นพี่ๆ ทีมงานอ่านเอาก็ชวนพวกเราขึ้นเรือ เพื่อเดินทางต่อไปยังวัดที่สอง ซึ่งก็คือวัดเทวราชกุญชร

วัดนี้มีช้างเหรอพี่กรู๊ฟบันนี่จำได้ว่าถามออกไปอย่างนั้น เพราะชื่อวัดมีคำว่ากุญชร บันนี่จำได้ว่าแปลว่าช้าง หากแต่คำตอบของพี่กรู๊ฟซึ่งกำลังทำหน้าพริ้มรับลมเย็น ที่ตอบมาสั้นๆ ว่า ไม่รู้ก็ทำให้บันนี่แน่ใจว่า ถึงจะถามอะไรต่อไปก็คงไม่ได้คำตอบอยู่ดี ดังนั้น รีบวิ่งไปหาพี่โอ๊ตน่าจะดีกว่า

วัดเทวราชกุญชร นามเดิมว่า ‘วัดสมอแครง เป็นวัดเก่าแก่โบราณที่สร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเลยนะพี่โอ๊ตเริ่มต้นแบบนั้น ก่อนที่จะเล่าต่อเท่าที่เคยอ่านพบ เห็นว่าสร้างมาก่อนสร้างกรุงรัตนโกสินทร์เลยล่ะ และพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชได้ทรงสถาปนาใหม่ ต่อมาเจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรี พระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ จากนั้นกรมพระพิทักษ์เทเวศร (ต้นสกุลกุญชร ณ อยุธยา) พระนามเดิมว่าพระองค์เจ้ากุญชร’ พระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์ต่อ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พระองค์ทรงรับเป็นพระอารามหลวงและพระราชทานนามว่า ‘วัดเทวราชกุญชร วรวิหาร’ พระองค์ทรงนำคำว่า เทวราช มานำหน้าพระนามของพระองค์เจ้ากุญชร ซึ่งเป็นพระนามเดิมของกรมพระพิทักษ์เทเวศรผู้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดนี้ยังไงล่ะ

บันนี่ได้ฟังคำตอบแล้วก็ได้แต่พยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับคิดในใจว่า โห วัดนี้สร้างมานานมากเลยนะ แต่สิ่งที่ทำให้กระต่ายน้อยตื่นเต้น ไม่ใช่แค่เพียงประวัติของวัด แต่กลับเป็นสถาปัตยกรรมและจิตรกรรมภาพวาดภายในพระอุโบสถด้วย

เพราะจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถนั้นสวยงามมาก ด้านข้างทั้งสองด้านเหนือช่องหน้าต่างเขียนภาพเหตุการณ์เหล่าเทพยดามาชุมนุมกัน ขณะที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนจิตรกรรมที่ผนังตอนล่างระหว่างช่องประตูหน้าเป็นภาพทศชาติ เรื่องสุวรรณสาม และด้านหลังเป็นภาพวัดเทวราชกุญชรเดิมก่อนที่จะมีการสร้างพระอุโบสถหลังนี้

และที่สำคัญที่พี่ฮูกและทีมงานอ่านเอาพาเรามาเยี่ยมชมวัดนี้ ก็เพราะว่านิยายเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหน้าปกนิยายเรื่อง กุหลาบเกี่ยวใจ ของกิ่งฉัตรอยู่นิดหน่อย

พี่ปุ้ยเฉลยว่า ตอนทำปก กุหลาบเกี่ยวใจ นึกถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ ในกรุงเทพฯ ซึ่งนางเอกของเรื่องที่เป็นไกด์ จะพากลุ่มนักท่องเที่ยวคนจีนจากสหรัฐอเมริกามาเที่ยว แล้วก็นึกถึงอาคารทรงเรือนปั้นหยาของวัดนี้ เลยออกแบบปกให้มีภาพอาคารในลักษณะเดียวกันสำหรับเรื่อง กุหลาบเกี่ยวใจ นั่นเอง

จากนั้นพี่ปิง ไกด์หนุ่มของเรา ก็พาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์สักทอง ซึ่งตั้งอยู่ภายในวัด ด้านในมีรูปปั้นของสมเด็จพระสังฆราชตั้งแต่พระองค์แรกจนถึงพระองค์ปัจจุบันให้เราได้ดูด้วย

หลังจากชมพิพิธภัณฑ์เสร็จ พวกเราก็เตรียมขึ้นเรือเพื่อไปต่อยังวัดถัดไป

ระหว่างที่เดินกลับไปขึ้นเรือ บันนี่ได้ข่าวว่าที่ท่าน้ำของวัดเทวราชกุญชรนี้มีปลาชุมนัก เลยรีบกระโดดดึ๋งๆ ไปที่นั่น แล้วก็ได้เจอพี่ปุ้ยกับพี่โอ๊ตกำลังเหมาอาหารปลามากระสอบใหญ่ เพื่อแบกแจกจ่ายให้กับผู้ร่วมทริป ได้ร่วมทำบุญให้อาหารปลากันอย่างทั่วถึง… น้องปลาอิ่มแล้ว เมื่อไหร่บันนี่จะได้กินข้าวบ้าง กระเพาะอาหารและท้องกลมๆ ของกระต่ายน้อยเริ่มงอแงแล้วนะ

เมื่อให้อาหารปลาเสร็จ พวกเราก็รีบขึ้นเรือเพื่อไปต่อยังวัดที่สาม เห็นว่าวัดนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับ เจ้าสีเกดในนิยายเรื่อง สาปภูษา ของพี่หมอโอ๊ตด้วยนะ ว่าแต่… ผีเจ้าสีเกดคงไม่ออกมาหลอกกระต่ายน้อยกลางวันแสกๆ แบบนี้ใช่ไหมฮะ

วัดคฤหบดี คือจุดหมายต่อไปของพวกเรา

พี่ปิง ไกด์หนุ่มเดินนำหน้าเพื่อไปยังอุโบสถของวัดคฤหบดี ระหว่างนั้น พี่หมอโอ๊ตก็เล่าความเป็นมาของวัดนี้ ที่ตัวเองได้แรงบันดาลใจแล้วนำไปใส่เป็นฉากในนิยายเรื่อง สาปภูษา ด้วย

พี่หมอโอ๊ตเล่าไป บันนี่ก็ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง เพราะมัวแต่มองซ้ายมองขวา ก็กลัวเจอเจ้าสีเกดนี่นา แต่ก็จับใจความได้ว่า วัดคฤหบดีเป็นวัดเป็นวัดที่พระยาราชมนตรีบริรักษ์ (ภู่) เป็นผู้สร้างในปี พ.ศ. 2367 โดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระแทรกคำที่ได้มาจากเวียงจันทน์ให้เป็นพระประธานด้วย เนื่องจากบริเวณบางยี่ขันนี้เป็นชุมชนที่ชาวลาวซึ่งอพยพ (ถูกกวาดต้อนจากสงคราม) มาอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นจำนวนมาก และพี่หมอโอ๊ตเลยสร้างฉากให้วัดนี้ เป็นวัดที่เจ้าสีเกดมาประจำยังไงล่ะ

จากนั้นพวกเราก็เดินตามพี่ปิงเพื่อไปสักการะพระแซกคำ ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในอุโบสถ ก่อนที่จะแยกย้ายกันถ่ายรูป แล้วก็รีบกลับขึ้นไปบนเรือ ด้วยเพราะอาหารอร่อยๆ กำลังรอเราอยู่ยังจุดหมายถัดไป

“รีบๆ เดินเลยฮะ” บันนี่ส่งเสียงเรียกลูกทัวร์ที่ยังคงปักหลักถ่ายภาพกันตรงนั้นตรงนี้

ก็บันนี่ร้อน บันนี่หิว บันนี่เหนื่อย เดินไม่ไหวแล้ว.. แต่สวรรค์ก็เข้าข้าง เพราะขณะที่บันนี่เริ่มงอแงนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นพี่นักอ่านสะพายถุงผ้าอ่านเอาเดินมาใกล้ๆ ว่าแล้วบันนี่ก็เลยกระโดดแอบเข้าไปแอบอยู่ในนั้น พี่เค้าจะรู้ตัวไหมน้า… แฮ่… สบาย ไม่ต้องเดินแล้วเรา

หลังจากล่องเรือต่อมาอีกสักพัก เราก็มาถึงร้านอาหาร ครัวคุณกุ้งซึ่งตั้งอยู่ในราชนาวีสโมสร มีคนหันมาถามว่าคุณกุ้งเป็นใคร บันนี่ก็ไม่รู้จักหรอกฮะ รู้แต่ว่าพี่กุ๊ ทีมงานของอ่านเอาซึ่งรับผิดชอบเรื่องการหาร้านอาหารบอกว่าร้านนี้อร่อย รับรองว่าทุกคนจะต้องถูกใจ… แหม แต่ให้เชื่อง่ายๆ ได้ยังไงกันล่ะ ของแบบนี้ต้องลองชิมเองถึงจะรู้เนอะ

เมื่อมาถึงที่ร้าน ทีมงานนกฮูกก็พาพวกเราเข้าไปยังห้องอาหารที่จองไว้เป็นส่วนตัวสำหรับคณะของเรา บันนี่เห็นพี่ๆ พนักงานร้านอาหารเตรียมนำอาหารมาวางในไลน์บุฟเฟต์แล้วก็อยากจะกระโดดดึ๋งๆ ไปเปิดดูทันที

ไม่ได้นะนายบันนี่เสียงพี่กรู๊ฟรีบเอ็ดมาแต่ไกล เราเป็นทีมงาน ต้องกินทีหลัง อีกอย่างรอทำกิจกรรมเล่นเกมก่อนถึงจะกินได้
โหย กระต่ายน้อยหิว อยากกินเดี๋ยวนี้นี่นาบันนี่ก็ได้แต่โอดครวญ แต่ก็ยอมอดทนรอตามที่พี่กรู๊ฟบอก

ก่อนจะรับประทานอาหาร พ่อหมอโอ๊ตและพี่จานหวัด (อ.ศุภสวัสดิ์) วิทยากรพิเศษของเราก็มาชวนทุกคนเล่นเกม ซึ่งก็เป็นเกมบิงโกที่ง่ายมากและสนุกด้วย แต่ต่างจากบิงโกทั่วไปที่เป็นตัวเลข เพราะบิงโกของเรานี้ เป็นชื่อของนักเขียน, ชื่อนิยาย และชื่อของตัวละคร
เล่นกันไปสักพัก ลุ้นกันอีกสักหน่อย เราก็ได้ผู้ชนะหนึ่งท่านที่บิงโกก่อนใครเพื่อน ซึ่งก็ได้รับรางวัลเป็นหนังสือ 3 เรื่อง จาก ปิยะพร ศักดิ์เกษม, กิ่งฉัตร และ พงศกร พร้อมลายเซ็นพี่ๆ ทั้งสามท่าน เรียกเสียงฮือฮาด้วยความอิจฉาจากเพื่อนๆ ร่วมทริปได้ไม่น้อย… แต่ไม่ต้องเสียใจไปครับ เดี๋ยวรับประทานอาหารเสร็จ พี่หมอโอ๊ตบอกว่ายังจะมีกิจกรรมหรือเกมให้เล่นอีก และยังมีรางวัลมาแจกอีกเพียบ

จบกิจกรรมแจกหนังสือกันแล้ว ก็ถึงเวลาของการกินข้าวแล้ว เย่ๆ

เมนูในวันนี้มีหลากหลายมาก ตั้งแต่แกงส้มผักรวม, ไก่ผัดน้ำแดง, ทะเลผัดฉ่า, กุ้งฟู, ไข่เจียวหอยนางรม และยังมีขนมหวานและผลไม้ ซึ่งอร่อยมากๆ ทุกเมนูเลย… บันนี่หิวมาก ตักข้าวมาพูนจาน ตอนแรกกะว่าจะกินแค่จานเดียว แต่ด้วยความอร่อย สุดท้ายต้องลุกไปตักเพิ่ม

กินอิ่มแล้วก็ง่วงสิฮะ พี่หมอโอ๊ตเห็นท่าลูกทัวร์แต่ละคนเริ่มตาปรือ เลยชวนเล่นเกมต่อ

เกมที่สองนี้เราต้องเล่นกันเป็นหมู่คณะฮะ แต่เนื่องจากบันนี่เป็นทีมงาน พี่กรู๊ฟเขาเลยไม่ให้เล่นด้วย ได้แต่ยืนมองตาปริบๆ ฮือ กระต่ายน้อยอยากเล่นบันนี่โอดครวญ แต่ไม่มีใครสนใจ

พี่จานหวัดคิดเกมนี้มา เป็นการเติมคำในช่องว่าง แต่แหม มาทริปกับนักเขียนทั้งที เกมเราก็ต้องเกี่ยวกับนิยายสิเนอะ… ดังนั้น การเติมคำในช่องว่าง จึงเป็นการเติมคำจากโปรยปกหลังของนิยาย 3 เรื่อง

โหย ท่าทางจะยาก… บันนี่ได้ยินพี่เอียดกับพี่ปุ้ยคุยกันว่า ขนาดพี่ยังจำโปรยปกหลังนิยายตัวเองไม่ได้เลย

แต่เชื่อไหมฮะ เล่นกันไปยังไม่ทันถึง 5 นาที เราก็ได้ผู้ชนะเรียบร้อยแล้ว… อะไรกัน นี่ต้องเป็นแฟนพันธุ์แท้กันแน่ๆ เลยใช่ไหม ถึงจำโปรยปกหลังนิยายได้แม่นยำขนาดนี้… โอเค ในเมื่อพวกนายเก่งขนาดนี้ ก็มารับรางวัลกันยกกลุ่ม เป็นนิยายของพี่ๆ คนละ 1 เล่มได้เลย

เล่นเกมกันไปแล้ว กินข้าวก็อิ่มแล้ว พี่ปิงก็ชวนพวกเรากลับไปลงเรือต่อ เพื่อที่จะได้เตรียมไปเที่ยวยังวัดถัดไป

ล่องเรือรอบบ่าย บันนี่เห็นสายตาผู้ร่วมทริปแต่ละคนเริ่มปรือ… จนพี่ๆ ทีมงานต้องชวนทุกคนคุยก่อนที่จะมีใครหลับไปเสียก่อน คุยกันไปสักพัก เราก็มาถึงยังวัดที่สี่ ซึ่งก็คือวัดระฆังโฆสิตราม ซึ่งวัดนี้มีความเกี่ยวข้องกับนิยายเรื่อง กิ่งไผ่ใบรัก ของ พี่เอียด-ปิยะพร ศักดิ์เกษม

พี่เอียดบอกว่า จะเรียกว่าเกี่ยวก็ไม่เชิง เพราะเมื่อทีมงานอ่านเอาให้โจทย์ไปว่า ให้หาว่านิยายของตัวเองเรื่องไหน มีความเกี่ยวข้องกับทริปของเราครั้งนี้ ตอนแรกคิดว่าจะพาไปดูจุดที่ลูกศร ตัวละครในเรื่อง ทรายสีเพลิง ขับเรือมาชนจนจมน้ำตายก็คงไม่เหมาะ แฮะๆ เลยพามาวัดระฆังนี้แทนดีกว่า เพราะเป็นวัดที่พระเอกนางเอกเขามาพบกันที่ริมกำแพงวัด …แค่นั้นล่ะ

โอเคฮะ เกี่ยวก็เกี่ยว แต่ไม่เป็นไร ถึงจะไม่เกี่ยวกับนิยายเรื่องไหนเลย ทีมงานของพี่ฮูกเขาก็อยากพามาวัดนี้กันอยู่แล้ว

วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หรือ วัดระฆัง หรือที่บางคนเรียกว่าวัดหลวงพ่อโตนั้นก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาเลยเชียวนะ เมื่อมาถึงที่ท่าน้ำ กระต่ายน้อยเห็นผู้คนมากมายมายืนทำอะไรกัน… อ๋อ มายืนให้อาหารนกและปลานั่นเอง… อิจฉาพี่นกพิราบและพี่ปลาทั้งหลายเนอะ อยู่ๆ ก็มีคนหาอะไรมาให้กิน นี่ถ้าบันนี่ไม่อิ่มมากจากอาหารแสนอร่อยมาก่อนนะ จะกระโดดดึ๋งๆ ลงไปแย่งพี่ๆ เขากันมั่ง

ถ้าถามว่ามาวัดระฆังต้องไปดูอะไรมั่ง พี่กรู๊ฟซึ่งเดินตาลอยมาแต่ไกลเพราะทั้งอิ่มทั้งง่วง ก็ยังใจดีอุตส่าห์ช่วยตอบ… ก็ไปดูหอไตร หรือหอพระไตรปิฏก ไปดูหอระฆัง มีพระปรางค์สวยๆ อยู่ตั้งนั้น แล้วก็กราบไหว้หลวงพ่อโต
พี่กรู๊ฟสรุปย่อมาให้อย่างสั้นๆ แต่บันนี่ก็ทำตามทั้งหมดเลยนะ กระโดดดึ๋งๆ ฝ่าผู้คนมากมายไปตรงนั้นตรงนี้จนเหนื่อย ก่อนที่พี่ๆ นักเขียนและนักอ่านผู้ร่วมทริปจะมายืนออกันหน้าโรงเรียนสตรีวัดระฆังเพื่อถ่ายรูปร่วมกันเป็นที่สนุกสนาน ก่อนที่ทั้งหมดจะลงเรือเพื่อเดินทางไปต่อยังวัดสุดท้าย

วัดสุดท้ายที่เรามาในวันนี้ เป็นวัดที่เราไม่ค่อยได้ยินชื่อบ่อยนัก นั่นก็คือวัดกัลยาณมิตร แต่พอบอกว่า ซัมปอกงบันนี่และพี่กรู๊ฟก็ร้องอ๋อออกมา และพูดพร้อมกันว่า วัดที่มีขนมกุฎีจีนใช่ไหม

ใช่แล้วฮะ วัดซัมปอกง หรือวัดกัลยาณมิตร หรือบางทีก็เรียกสั้นๆ ว่าวัดกัลยาณ์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ฝั่งใต้ ซึ่งมีหลวงพ่อโตองค์ใหญ่และเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูง นอกจากนั้นสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือการที่มีขนมกุฎีจีนจำหน่าย ว่ากันว่าขนมนี้สืบทอดต้นตำรับมาจากท้าวทองกีบม้า หรือ นางมารี กีมาร์ เลยเชียวนะ

เมื่อบันนี่ไหว้พระเสร็จ ก็ขอสตางค์พี่กรู๊ฟเพื่อไปซื้อขนม แต่ยังไม่ทันจะจ่ายเงินเลย อยู่ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก จนบันนี่และพี่ๆ ชาวคณะต้องวิ่งหาทีหลบฝนกันจ้าละหวั่น

ท่ามกลางสายฝนและลมแรงอย่างกับกำลังเข้าฉากเอ็มวียุค 90s อยู่ๆ พี่คนนึงก็เอ่ยขึ้นมา คิดเสียว่าได้รับน้ำมนต์จากฟ้าก็แล้วกันเอ่อ… เข้าท่าดีแฮะ ตอนแรกบันนี่คิดว่าพวกพี่ๆ เขาจะเซ็ง ที่อยู่ๆ ฝนก็ตกลงมา ทำให้ไม่ได้ดื่มด่ำกับการเที่ยววัดซัมปอกงนี้เท่าไร แต่กลายเป็นทุกคนพากันจับกลุ่มพูดคุย แบ่งขนมและน้ำดื่มที่เพิ่งซื้อมากันอย่างสนุกสนาน เป็นภาพที่น่าประทับใจมากๆ เลยฮะ

ระหว่างที่เรากำลังยืนรอฝนหยุดตกนั้น พี่ปิง ไกด์ใจดีของเราก็เดินเข้ามาถามพี่กรู๊ฟ บอกว่ายังพอมีเวลาเหลือ งั้นเราแถมให้อีกวัดหนึ่งก็แล้วกัน นั่นก็คือวัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ‘วัดแจ้ง’

พี่กรู๊ฟเลยตะโกนถามผู้ร่วมทริปว่ายังอยากไปกันอีกไหม เพราะตอนนี้ฝนก็ยังไม่หยุดตก บางคนก็เปียกไปเกือบทั้งตัว แถมบางคนก็อิ่มจนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น แต่เสียงตอบรับส่วนใหญ่ร้องเฮ บอกว่าไป… เอ้า งั้นเราก็ไปกัน ดังนั้น พี่ปิงจึงพาทุกคนวิ่งฝ่าสายฝน กลับไปลงเรือ แล้วมุ่งหน้าต่อไปยังจุดหมายสุดท้าย นั่นก็วัดอรุณฯ

บันนี่สารภาพตามตรงว่าถึงจุดนี้ กระต่ายน้อยโดดดึ๋งๆ ไปไหนไม่ไหวแล้ว พอเรือมาเทียบท่าที่ท่าน้ำวัดอรุณฯ ฝนก็ตกกระหน่ำลงมาอีกครั้ง จนหลายคนถอดใจบอกว่าให้เดินตากฝนคงไม่ไหวแน่ๆ

แต่แล้วฟ้าฝนก็เป็นใจ เรือของเราจอดเทียบท่าอยู่ไม่ถึง 5 นาที อยู่ๆ ฝนที่ตกลงมาก็ซาลงอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น พี่ปิงและพี่ๆ ผู้ร่วมทริปอีกหลายคนจึงตัดสินใจเดินลงไปเที่ยวชมวัดอรุณกัน

บันนี่และพี่กรู๊ฟรวมถึงผู้ร่วมทริปอีกส่วนหนึ่งจึงขออยู่โยงเฝ้าพระอินทร์ เอ้ย ไม่ใช่… ขออยู่เฝ้าเรือให้ก็แล้วกัน คือกระต่ายน้อยกลัวเรือหาย กลัวไม่ได้กลับบ้านนี่ฮะ เลยเสียสละอยู่บนเรือให้

นั่งมองพระปรางค์วัดอรุณฯ จากกลางน้ำนี่ก็สวยงามดีเหมือนกันแฮะ เพราะเรือต้องถอยออกมาจากท่า เพื่อให้เรือลำอื่นได้เข้ามาจอดเทียบบ้าง

เรือลำใหญ่ของเราลอยลำอยู่กลางน้ำ มีฉากหลังเป็นพระปรางค์สีขาว งามสง่า… แล้วตาของกระต่ายน้อยก็เริ่มปรือ และปิดลงในที่สุด…..

 

“ตื่นได้แล้วกระต่ายอ้วน” เสียงพี่หมอโอ๊ตเรียกให้บันนี่หลุดออกจากภวังค์ อะไรกัน นี่เช้าวันใหม่แล้วหรือ ทำไมหลับสบายอย่างนี้

อ้าว ไม่ใช่นี่นา กระต่ายน้อยยังอยู่บนเรือ… และพี่ๆ ทั้งหมดที่ลงไปเที่ยววัดอรุณฯ ก็กลับขึ้นเรือมากันหมดแล้ว… ถึงเวลาที่ต้องอำลากัน พี่ๆ นักเขียนทั้งสามก็ผลัดกันมากล่าวขอบคุณผู้ร่วมทริปที่น่ารักของเรา…

สำหรับบันนี่ ทริปนี้จะเป็นทริปที่กระต่ายน้อยจะคงความประทับใจไว้ไม่รู้ลืม… การได้ท่องเที่ยวล่องเรือไหว้พระกับพี่ๆ นักเขียนและพี่นักอ่าน ท่ามกลางบรรยากาศแห่งมิตรภาพของคนรักการอ่านและการเขียน เป็นประสบการณ์ที่ดีที่กระต่ายน้อยประทับใจมากฮะ

แล้วพบกันใหม่กับ ‘เท้าปุยตะลุยโลก’ ซึ่งบันนี่จะพาคุณผู้อ่านไปเที่ยว ไปกิน ไปช้อปกันใหม่นะฮะ วันนี้ขอตัวลาไปก่อน

บ๊ายบาย

บันนี่ 🙂

 

Don`t copy text!