เที่ยวไปตามทัวร์กับภารกิจตามหาผัดผักบุ้ง ณ เวียดนามกลาง (1)

เที่ยวไปตามทัวร์กับภารกิจตามหาผัดผักบุ้ง ณ เวียดนามกลาง (1)

โดย : YVP.T

Loading

“เวียดนามมีแต่ผัดผักบุ้ง!”  นี่คือสิ่งที่เคยได้ยินมาจากมารดามานานมากจนจำจำนวนปีไม่ได้ แต่ก็ทำให้ความคิดเที่ยวเวียดนามตกไปทุกครั้งที่นึกอยากท่องโลก แต่แล้วจู่ๆ ตั๋วเครื่องบินพร้อมทริปสั้นๆ ที่ เมืองดานัง เวียดนามกลางก็หล่นทับ เอาวะ! ถึงเวลาพิสูจน์คำกล่าวนี้แล้วสินะ

แน่นอนว่ากว่าจะไปตะลุยหาความจริง ฉันต้องปฏิบัติตัวเยี่ยงคนอื่นๆ ที่เดินทางไปเยือนต่างแดน นั่นก่อให้เกิดความประทับใจแรกของการเดินทาง นั่นก็คือความยาวของแถวและการรอคอยแสนยาวนานของ ตม. ดานัง ที่ทำให้ฉันได้ผูกมิตรกับเพื่อนร่วมทริปที่ไม่รู้จักฉันไม่รู้จักเธอมาก่อน แผนที่จะเที่ยวสักที่ก่อนกินข้าวกลางวันเลยต้องเปลี่ยนไป กลายเป็นปอบลงที่ร้านอาหารตามตารางทัวร์ซะงั้น

จากสนามบินดานังไปที่ร้านอาหาร ผ่านอาคารบ้านเรือนและความเป็นเมืองเวียดนามที่มอเตอร์ไซค์ไม่ได้มากมายอย่างในภาพข่าวที่เคยเห็น แต่สิ่งที่สะดุดตา และคงเป็นผลบุญจากความช่างสังเกตของฉัน ที่หลายคนบอกว่า นี่คือความสาระ…ส่วนตัวที่ทำให้ฉันพบเจออะไรใหม่ๆ ในแบบที่หลายคนอาจไม่สนใจ

ฉันพบว่า บ้านเรือนของที่นี่ส่วนใหญ่คล้ายๆ กันทั้งนั้น คือหน้าแคบ สูง ลึก และสร้างติดกันเป็นพืด อธิบายความตามคำบอกเล่าของไกด์หนุ่มเมีย 2 ลูก 3 นาม ‘โอเว่น’ ว่า ที่ดินที่นี่แพงมากๆ ความหนาแน่นของประชากรมีมากเมื่อเทียบกับพื้นที่ทั้งหมดของประเทศ ทำให้การสร้างบ้านส่วนใหญ่เป็นอย่างที่เห็น น้อยมากๆ ที่ในเมืองจะเห็นบ้านหลังใหญ่มีอาณาบริเวณหรือรั้วบ้านของตัวเอง  ซึ่งถ้าบังเอิญเจอ แปลว่าคุณได้เห็นบ้านคนรวยตัวจริงที่เวียดนาม

สิ่งที่สะกิดต่อมสาระ…ของฉันอีกอย่างคือ แทบจะทุกบ้านมีศาลเล็กๆ อยู่ที่ระเบียงบ้าน เมื่อสบโอกาสก็ยกมือถามไกด์ สรุปคือเป็นศาลบรรพบุรุษที่สร้างไว้สำหรับสมาชิกในบ้านที่ตายนอกบ้าน โดยที่ตัวศาลของแต่ละบ้านจะหันหน้าไปในทิศต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน แม้ว่าจะอยู่ในระนาบตึกเดียวกัน นั่นเพราะคนเวียดนามจะเอาดวงชะตาของเจ้าของบ้านมาเช็กดูแล้วจึงตั้งศาลให้หันหน้าไปตามทิศที่เข้ากับดวงเจ้าบ้าน

ส่วนในบ้านก็จะมีศาลเหมือนกัน เป็นศาลของเจ้าที่และสมาชิกที่ตายในบ้าน ส่วนหิ้งพระไม่มี เพราะคนที่นี่ไม่ได้นับถือศาสนาใดเป็นหลัก แต่ถ้าใครอยากมีที่ยึดเหนี่ยวใจก็ไม่ผิด และหากว่าเป็นการนับถือพุทธ ก็จะเป็นพุทธมหายาน

ความตื่นตาตื่นใจของฉันถูกจุดประกายขึ้นอีกครั้งเมื่อรถจอดที่หน้าร้านอาหาร อย่าเพิ่งคิดว่าฉันเจอเมนูผักบุ้งที่ตามหา แต่คือแผงขายลอตเตอรี่จ้า

บ้านเราต้องนั่งนับวันรอหวยออกทุก 15 วัน แต่ที่นี่ออกทุกวันและมีหวยประจำเมืองให้ได้ลุ้นกันทุกเย็น (อันนี้เรียกเองตามความรู้สึกล้วนๆ) จึงไม่แปลกที่มีคนบอกว่าอัตราการใช้กระดาษของที่นี่สูงมากๆ เพราะมีการพิมพ์ลอตเตอรี่ชุดใหม่ขายทุกวัน แถมถูกซะด้วย ราคา 6 ใบ 100 บาทไทย อย่างเมืองดานังหวยออกเวลานึง พอย้ายเมืองก็ออกอีกเวลานึง ดังนั้นลอตเตอรี่ที่พิมพ์ขายก็ต้องระบุด้วยว่าเป็นของเมืองไหน ถ้าซื้อเมืองนี้ เลขที่ออกไปตรงกับเมืองอื่นก็อดรางวัลนะจ๊ะ

รู้เรื่องหวยพอให้ได้ลุ้น กลับมาที่เรื่องมื้อกลางวันซึ่งเป็นมื้อแรกของการมาเที่ยวเวียดนามกันดีกว่า แน่นอนว่าฉันรีบหาคำตอบตามคำบอกเล่าของมารดาทันที แต่มื้อแรกมื้อนี้ผ่านไปโดยไม่มีผักบุ้งแม้แต่ต้นเดียว ที่อร่อยเด็ดอย่างไม่น่าเชื่อคือข้าวผัดสีเหลืองโอนเอนไปเกือบส้ม เพราะใส่ฟักข้าวเป็นเคล็ดลับ กับอีกเมนูที่หลังจากนี้ทุกมื้อฉันเจอตลอด 3 วัน นั่นคือเมนูหอยตลับใดๆ ที่เรียกแบบนี้เพราะอยากรวบรัดให้รู้ตอนนี้เลยว่า สองเมนูนี้ ฉัน… เจอ… ทุกที่และทุกมื้อ!

สำหรับคนเคยมาเวียดนามกลางคงรู้อยู่ว่ามีอะไรบ้างที่เป็นจุดขาย ซึ่งแน่นอนว่า ฉันได้สิทธิ์เยือนจุดขายนั้นเช่นกัน

หมุดหมายแรกเดาไม่ยาก นั่นคือ ‘Hoi An Ancient Town’ หรือ ‘เมืองโบราณฮอยอัน’ ที่เดิมเคยเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แล้วยูเนสโกก็นำไปขึ้นทะเบียนเขตเมืองเก่าว่าเป็นมรดกโลก ด้วยเหตุผลว่าเป็นตัวอย่างของเมืองท่าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15-19 ที่มีการผสมผสานศิลปะและสถาปัตยกรรมทั้งของท้องถิ่นและของต่างชาติไว้ได้อย่างมีเอกลักษณ์ ซึ่งแน่นอนว่าเหล่าอาคารต่างๆ ภายในเมืองก็ยังคงหน้าตาเดิมๆ เพราะได้รับการอนุรักษ์อย่างดี

สีหลักๆ ของอาคารคือสีเหลืองที่เรียกว่าเหลืองแบบไม่ซีด ตัดกับสีน้ำตาลของกรอบหน้าต่างไม้ได้ลงตัว แต่อาจเพราะที่นี่คือจุดท่องเที่ยวที่ใครมาดานังก็ต้องแวะมา ทำให้อาคารบ้านเรือนทั้งหลายที่เดิมอาจเป็นบ้านพักอาศัย ก็กลายเป็นร้านขายของที่ระลึกบ้าง แกลเลอรีบ้าง และไม่ต้องเดาก็รู้… คาเฟ่ต้องมี พร้อมเมนูกาแฟสไตล์เวียดนามทั้งแบบออริจินัลและโมเดิร์นตามเทรนด์โลก

ถ้าจะให้บอกว่าชอบอะไรในเมืองโบราณแห่งนี้ คงต้องบอกว่าชอบภาษาบ้านเกิด (ของฉัน) ที่คนเวียดนามพูดได้ชัดมาก เรียกว่าชัดจนบางแว่บแอบคิดว่านี่ฉันอยู่เวียดนามจริงๆ ใช่ไหม แล้วที่เลิฟสุดคือ ความเพลินในการต่อราคา ที่ทำตามสูตรไกด์แนะนำว่า ซื้อตั้งแต่ร้านแรกเปรียบได้กับคนจบปริญญาตรี ถ้าซื้อร้านถัดมาคือเป็นดอกเตอร์ แต่ถ้าอดใจไว้จนถึงร้านที่สามค่อยควักเงินจ่ายคือเป็นศาสตราจารย์ เพราะทุกร้านตั้งราคาเท่ากัน แต่ต่างที่อัตราการลดราคาแสนจะแรงจนคนต่อรู้สึกละอาย ก็อย่างกระเป๋าใส่เศษเหรียญ เริ่มต้นที่ใบละ 50 บาท ต่อไปต่อมาจนกลายเป็น 4 ใบ 100 บาท แต่ไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะเพื่อนร่วมทริปจะขยิบตาส่งสัญญาณว่า หยุดก่อนท่านดอกเตอร์!  ร้านถัดไป 5 ใบ 100!

ในเมืองโบราณฮอยอันไม่ได้มีแค่อาคารเก่าให้ถ่ายรูปแบบเก๋ๆ แต่มีศาลเจ้าอายุประมาณ 400 ปีให้สักการะ ด้านในมีเทวรูปเจ้าแม่หมาโจ่ว หรือองค์เจ้าแม่ทับทิม  เทพกวนอู และเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยะ บนเพดานศาลเจ้ามีการจุดธูปขดใหญ่ถวายเจ้าแม่ คิดราคาเป็นเงินไทยที่ขดละ 500 บาท ซึ่งธูปเหล่านี้จะอยู่ยาวถึง 30 วันจึงจะหมดขด

จริงๆ แล้วถ้าใครมาเที่ยวและมีเวลามากกว่านี้ ขอแนะนำให้เดินช้าๆ สัมผัสถึงสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในเมืองโบราณแห่งนี้มากๆ ก็จะพบว่า มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์แฝงอยู่ตามจุดต่างๆ ของที่นี่มากมาย ในยามค่ำคืน โคมเวียดนามที่ห้อยเรียงรายตามทางเดินจะส่องสว่างสะท้อนความสวยงามในลวดลายของโคมให้ได้สัมผัสอารมณ์ของเมืองไปอีกแบบ แต่ความที่มากับทัวร์ที่แสนจะระยะสั้นสุดๆ จึงต้องย้ายตัวไปตามแผนส่วนร่วมอย่างน่าเสียดาย

หมุดหมายตามตารางทัวร์ต่อไป เป็นอะไรที่ขึ้นชื่อลือชา และสร้างความเฮฮาได้พอตัว ทัวร์พามาหย่อนตัวที่หมู่บ้านกั๊มทาน กับการนั่งเรือกระด้ง เรือที่สานจากไม้ไผ่ รูปร่างกลมๆ ที่ฉันรู้สึกเหมือนถ้วยข้าวต้มยักษ์ที่ใส่คนลงไป 3 คน ถ้าพายเป็นคือดีงาม เพราะได้ล่องไปตามน้ำแบบสวยๆ แต่พายไม่เป็นคือเตรียมอ้วก เพราะเรือจะหมุนๆ เวียนหัวน่าดู แล้วคิดดูสิว่า 40 นาทีนั้นจะหรรษาแค่ไหน

ขอให้ความรู้ตามคำบอกเล่าของคนพายสักนิด เพราะนี่คือความภูมิใจเขาคนที่นี่ อันว่าเรือกระด้งนี้ เป็นเรือที่คนเวียดนามคิดค้นและใช้ในการทำประมงกันตั้งแต่ตอนที่ฝรั่งเศสปกครอง แรงกระตุ้นคือตอนนั้นภาษีเรือแพงสุดๆ คนเวียดนามจึงต้องหาทางรอดก็เลยสร้างเรือแบบนี้ขึ้นมา แต่ฝรั่งให้คำจำกัดความหน้าตาเรือว่า ต้องทรงยาวๆ รีๆ ไอ้ที่ยูสร้างกันมานี้มันคือกระด้ง! อ่ะๆๆ งั้นก็ใช้ไปเถอะ ไม่ต้องเสียภาษี เออ… ดีไปแฮะ

ตั้งแต่นั้นมา เรือกระด้งก็อยู่คู่คนเวียดนามเรื่อยมา พอบ้านเมืองผ่านยุคผ่านสมัย มีการเปิดตัวสู่โลกภายนอกมากขึ้น เรือกระด้งจึงกลายมาเป็นจุดขายให้การท่องเที่ยวเวียดนามด้วยประการฉะนี้

อีกสิ่งหนึ่งที่คนเวียดนามเอามาเป็นกิมมิกในการท่องเที่ยวคือชุดอ๋าวใหญ่ที่ใครมาต้องซื้อใส่ อย่างเมืองโบราณฮอยอันก็มีขาย ที่ริมฝั่งน้ำเรือกระด้งก็มีให้ช้อป ถามว่าราคาต่างกันไหม ก็ต่าง… คือที่เมืองโบราณแพงกว่า  80-100 บาท และถ้าจะให้สารภาพตามตรงแบบไม่โกงอายุคือ ครั้งแรกที่ได้ตั๋วหล่นทับทริปนี้ ฉันมีภาพของพี่แหม่ม-จินตหรา สุขพัฒน์ ในชุดอ๋าวใหญ่ลอยมา เพราะพี่แหม่มเคยเล่นหนัง Good Morning, Vietnam กับโรบิน วิลเลียมส์ จำได้ว่าชุดอ๋าวใหญ่ที่พี่แหม่มใส่เป็นชุดสีขาวๆ พอมาถึงถิ่นก็อยากใส่แบบพี่แหม่มบ้าง แต่ที่เห็นตรงหน้าคือสีสันจัดจ้านแถมมีการปักลายดอกไม้ทั้งเล็กใหญ่

เอ้า! ไม่เป็นไร จัดไป 1 ชุด 300 บาท แต่อย่าถามว่าใส่ตอนไหน ตอบได้คำเดียวว่า ไม่รู้ รู้แค่ว่าจะซื้อ! 

Don`t copy text!