เปิดหู เปิดตา เปิดใจ ในศรีลังกา ตอนที่ 2 : จากความยิ่งใหญ่ สู่เรื่องราวที่แสนเศร้า
โดย : อรรถรัตน์ จันทรวรินทร์
ไม่ได้มีแค่ นิยายออนไลน์ ให้อ่าน ที่ อ่านเอา แต่เรายังมีบทความอ่านเอาสบายอีกเพียบ อย่างซีรี่ย์สารคดีท่องเที่ยวศรีลังกาจากมุมมองของตุ๊กตาบันนี่กระต่ายน้อยชุดนี้ โดย อรรถรัตน์ จันทรวรินทร์ ให้ได้ อ่านออนไลน์กันเพลินๆ
——————————————————
จองโรงแรมในเครือ Accor Hotels ทุกการเข้าพักและชำระเงิน
จะมียอดสนับสนุนเข้าสู่เว็บไซต์อ่านเอาของพวกเรา :)
และแล้วจุดหมายสำคัญจุดหมายหนึ่งของการเดินครั้งนี้ก็มาอยู่ตรงหน้า ‘สิคีริยา’ หรือภูเขาแห่งสิงห์ หนึ่งในเจ็ดของสถานที่สำคัญของประเทศศรีลังกาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก และเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องการจะแวะมาเยี่ยมเยียน
สิคีริยาตั้งอยู่ในเขตของเมืองมาตาเล (Matale) ซึ่งอยู่ในภาคกลางของประเทศศรีลังกา ลักษณะเป็นโบราณสถานที่ตั้งอยู่บนยอดเขา รายล้อมไปด้วยสวนหิน สวนน้ำพุ บ่อน้ำขนาดใหญ่ และซากปรักหักพัง ซึ่งยังมีเค้าโครงของความงดงามหลงเหลือให้เห็นอยู่ประปราย
นอกจากตัวสถานที่ซึ่งมีชื่อเสียงมากแล้ว ยังมีจิตรกรรมฝาผนังที่เรียกว่าเฟรสโก้ (Fresco) ซึ่งมีอายุมากกว่า 1,500 ปี จัดแสดงอยู่บนหน้าผาอีกด้วย ซึ่งผมขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยนะฮะ ว่าภาพเขียนที่เป็นรูปผู้หญิงชาวสิคีริยาดังกล่าวนั้นมีความงดงามเป็นอย่างมาก
เราจ่ายค่าเข้าชมสถานที่เป็นเงิน 30 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเกือบ 1,000 บาท เพื่อเข้าชมสิคีริยา ซึ่งในราคาดังกล่าวยังสามารถเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันอีกด้วย แต่พวกเราคำนวณจากเวลาที่เหลือแล้ว คิดว่ามุ่งหน้าสู่ยอดเขาสิคีริยากันอย่างเดียวดีกว่า จะได้ไปทันดูพระอาทิตย์ตกดิน และได้ดื่มด่ำกับสถานที่แห่งนี้ให้มากที่สุด
ระหว่างทางสู่ยอดเขาของสิคีริยา คุณลุงมหินทร์ยังรับหน้าที่เป็นผู้นำเที่ยวให้กับพวกเราอีกด้วย โดยคุณลุงเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่น่าสนใจทั้งเรื่องของประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และศิลปวัฒนธรรมของที่นี่ให้เราฟัง
ในตอนแรกผมก็ตื่นตาตื่นใจกับความยิ่งใหญ่มโหฬารของสิคีริยาเหมือนกับพี่ๆ อีกสองคน แต่หลังจากได้ฟังเรื่องราวของการก่อสร้างที่นี่แล้ว ความเศร้าก็เข้ามาแทนที่ความรู้สึกอื่นๆ ในหัวใจของกระต่ายน้อยสีชมพู
ลุงมหินทร์เล่าว่า ‘สิคีริยา’ ถูกสร้างขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ากัสสะปะ (King Kasyapa) พระองค์เป็นราชบุตรของพระเจ้าดธุเสนา (King Dhatusena) ซึ่งเกิดจากมเหสีองค์แรกที่เป็นหญิงสามัญชน ดังนั้นจึงมีศักดิ์ที่ต่ำกว่าพระอนุชาหรือน้องชาย ซึ่งก็คือเจ้าชายโมคคัลลานะ (Prince Mogallana) ซึ่งเป็นโอรสของมเหสีองค์ที่สองซึ่งเป็นเจ้าหญิง และได้รับการสถาปนาเป็นราชินีในภายหลัง
มาถึงตรงนี้ กระต่ายน้อยขออนุญาตเล่าแบบง่ายๆ แทนนะฮะ เพราะคิดว่าหากจะให้เล่าด้วยราชาศัพท์ทั้งหมด เรื่องราวของสิคีริยาอาจจะไม่จบลงง่ายๆ เป็นแน่
เมื่อเจ้าชายกัสสะปะ (ในสมัยนั้น) ทราบข่าวว่าพระบิดาจะแต่งตั้งน้องชายของตนให้ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ต่อไป ก็เกิดความไม่พอใจ จึงลงมือทำการปิตุฆาตพระบิดาของตนเอง ด้วยการจับพระองค์มัดมือมัดเท้า และโบกทับด้วยปูนติดกับกำแพง ทั้งๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ และฆ่าทุกคนที่เป็นฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็ทำการแย่งชิงบัลลังก์มาจากน้องชาย จนเป็นเหตุให้เจ้าชายโมคคัลลานะต้องหลบหนีไปอยู่ยังประเทศอินเดีย
เมื่อแย่งชิงบัลลังก์มาได้แล้ว ก็สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์และมีพระราชดำริที่จะก่อสร้างพระราชวังขึ้นมาใหม่แทนที่เมืองอนุราธปุระ โดยเลือกที่ที่ซึ่งพระองค์จะสามารถปกป้องตนเองจากข้าศึกรวมทั้งน้องชายได้ จึงเลือกที่จะสร้างพระราชวังแห่งใหม่บนยอดเขาหินสูง นามว่าสิคีริยาแห่งนี้
ในการก่อสร้างสิคีริยา พระองค์ได้มีการวางแผนไว้เป็นอย่างดี โดยด้านล่างนั้นรายล้อมไปด้วยกำแพงหิน หรือ Stone Garden รวมทั้งบารายหรือบ่อน้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบเอาไว้ นอกจากนั้นยังมี Water Garden และ Fountain Garden อีกด้วย
ผมยังนึกไม่ออกเลยนะฮะ ว่าผู้คนในสมัยนั้นมีความมานะอุตสาหะมากมายเพียงใด ที่จะก่อสร้างสถานที่อันน่าอัศจรรย์แห่งนี้ได้ จากบันไดหินนับร้อยขั้นระหว่างทางขึ้นเขตพระราชฐานซึ่งอยู่บนยอดเขา พระองค์มีดำริที่จะให้มีการวาดภาพเขียนของเหล่าสตรีชาวสิงหลด้วย ซึ่งคงไม่มีใครคาดคิดว่าอีก 1,500 กว่าปีต่อมา ภาพเขียนเหล่านั้นได้กลายมาเป็นมรดกที่สำคัญอีกชิ้นหนึ่งของชาวศรีลังกา และแน่นอนว่าเป็นมรดกที่สำคัญของโลกด้วย
คุณลุงมหินทร์เล่าเสริมขึ้นมาว่า เมื่อหลายปีก่อน มีกลุ่มคนที่ไม่หวังดี ได้พยายามทำลายภาพเขียนเหล่านี้ด้วยการนำสีดำซึ่งได้มาจากการเผายาง (ยางต้นไม้นะฮะไม่ใช่ยางรถยนต์) มาทาทับบนรูปภาพทั้งหมด แต่โชคดีที่รัฐบาลในสมัยนั้น ได้เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านเฟรสโก้จากประเทศฝรั่งเศสและอิตาลี ให้มาช่วยแก้ไขและลบคราบยางสีดำเหล่านั้นออกไปได้จนหมด โดยที่ไม่ทำให้ภาพเขียนได้รับความเสียหายมากนัก แต่น่าเสียดายที่บางส่วนนั้นได้รับความเสียหายและเลือนรางไปตามกาลเวลาบ้าง เราจึงได้เห็นภาพเขียนสวยๆ เหลืออยู่เพียง 19 ภาพเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอที่จะทำให้เรารู้ว่าชาวสิงหลโบราณ มีความสามารถทางด้านศิลปะมากมายเพียงไร
เมื่อผ่านจากบริเวณภาพเขียนเฟรสโก้แล้ว ก็มาถึงส่วนที่เรียกว่ากำแพงกระจก หรือ Mirror Wall ซึ่งเป็นการสร้างกำแพงที่ถูกขัดจนมีความเงาวาว และสามารถสะท้อนภาพซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามได้ แต่เสียดายว่าเมื่อตอนที่ผมไป ภาพเขียนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นได้เลือนหายไปจนหมดแล้ว
อย่างที่บอกไปนะฮะว่าพระเจ้ากัสสะปะทรงรอบคอบและวางแผนการก่อสร้างสิคีริยาไว้เป็นอย่างดี เพราะกว่าจะเดินทางมาถึงส่วนที่พักของข้าราชบริพาร ก็ใช้เวลาเดินด้วยเท้าไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว และผมเชื่อว่าในสมัยนั้นอาจจะใช้เวลามากกว่า เพราะในปัจจุบันได้มีการสร้างบันไดเหล็กเพื่อช่วยให้เดินง่ายขึ้น
เมื่อเราปีนป่ายสิคีริยาไปได้ครึ่งทาง ก็จะพบกับส่วนสำคัญที่เรียกว่า ‘ลานสิงหคีรี’ หรือ ‘ลานถ้ำสิงห์’ ซึ่งแกะสลักหินทั้งก้อนให้เป็นรูปของสิงโตที่กำลังนอนหมอบอยู่ โดยมีทางเข้าเพื่อขึ้นไปสู่พระราชฐานชั้นในซึ่งอยู่ด้านบน ตรงส่วนของปากสิงห์ แต่ในปัจจุบันส่วนต่างๆ นั้นสูญสลายมลายไปเกือบหมดสิ้นแล้ว เหลือหลักฐานเอาไว้แค่เพียงส่วนเท้าของสิงห์ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บริเวณสองข้างของบันไดทางขึ้น
และเมื่อเราปีนขึ้นไปอีกหน่อย (บันไดอีกหลายสิบขั้นที่ทำพวกเราเหงื่อแตกและหอบแฮกๆ) ก็จะพบกับซากของพระราชวัง ซึ่งในสมัยเมื่อ 1,500 กว่าปีนั้น ก็คือพระราชฐานของพระเจ้ากัสสะปะ
คุณลุงมหินทร์เล่าย้อนกลับมาถึงเรื่องราวของประวัติศาสตร์ว่า หลังจากที่พระเจ้ากัสสะปะขึ้นครองราชย์แล้ว เจ้าชายโมคคัลลานะซึ่งหลบหนีไปอยู่ประเทศอินเดีย ก็ได้สะสมกำลังคนและวางแผนการลับๆ ที่จะกอบกู้ราชบัลลังก์คืน และได้มีการส่งคนของพระองค์ให้เข้ามาเป็นไส้ศึกอยู่ที่สิคีริยาเป็นระยะๆ
และเมื่อเจ้าชายโมคคัลลานะตัดสินใจยกกองทัพมาที่สิคีริยา พระองค์จึงสามารถรบชนะพระเจ้ากัสสะปะได้ แต่พระเจ้ากัสสะปะผู้หยิ่งและทระนง ไม่มีวันยอมให้ฝ่ายตรงข้ามจับตัวได้ จึงตัดสินใจทำการปลงพระชนม์ตัวเอง ด้วยการใช้ดาบแทงพระองค์เองจนสวรรคต เมื่อรู้ว่าตนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
และเมื่อเข้ายึดครองสิคีริยาได้แล้ว เจ้าชายโมคคัลลานะ จึงตัดสินใจย้ายเมืองหลวงกลับไปยังอนุราธปุระเช่นเดิม และปล่อยให้สิคีริยากลายเป็นพระราชวังที่รกร้างว่างเปล่า และไม่มีค่าควรที่จะให้ผู้คนอาศัยอยู่อีกต่อไป
คุณผู้อ่านรู้สึกเหมือนผมไหมฮะ ว่าอำนาจและความยิ่งใหญ่ เมื่ออยู่ในมือคนผิด มันก็มักจะนำพาคนคนนั้นไปสู่ความหายนะในจุดหมายปลายทางเสมอ
ความประทับใจในการเดินทางมาสิคีริยาในวันนี้ พาให้พวกเราทุกคนได้นึกย้อนถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับสถานที่แห่งนี้เมื่อครั้งอดีต แต่กระต่ายสมาธิสั้นอย่างผมไม่อยากคิดอะไรเครียดๆ นานหรอกนะฮะ เพราะตอนนี้ผมรู้แต่ว่าผมหิวมาก และขาสั้นๆ ทั้งสองข้างก็โอดครวญแทบแย่แล้ว ว่าแล้วพวกเราทั้งสี่คน ก็มุ่งหน้าลงจากยอดเขาสิคีริยากันอย่างเงียบๆ โดยมีเสียงของผมโอดครวญเป็นระยะๆ เพื่อมุ่งหน้าสู่โรงแรมที่พักของพวกเรา
ทิปการเดินทางจากกระต่ายน้อย 🙂
- เวลาที่ศรีลังกาช้ากว่าบ้านเรา 1 ชั่วโมงครึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าจะรู้สึกว่าง่วงนอนไวกว่าปกติ ก็อย่าได้แปลกใจไป
- ภาษาของชาวสิงหลนั้นมีความคล้ายคลึงกับภาษาบาลี-สันสกฤตที่เราใช้ เพราะฉะนั้นหากลองฟังอย่างตั้งใจ เราอาจจะเข้าใจคำพูดของชาวศรีลังกาได้เหมือนกันนะ
- หากจะถ่ายภาพเขียนเฟรสโก้ ไม่ควรใช้แฟลชโดยเด็ดขาด เพราะแสงจากแฟลชมีส่วนทำลายสีสันและความงดงามของเฟรสโก้เหล่านั้น
– อ่านตอนต่อไป –