เข็มสั้นเลข 3 เข็มยาวเลข 12

เข็มสั้นเลข 3 เข็มยาวเลข 12

โดย : ก้อ มิซูฟูกะ

Loading

เมื่อสักประมาณเกือบ 40 ปีมาแล้ว ตอนนั้นยังเป็นนักเรียนชั้นม.ต้น ได้มีโอกาสไปทำบุญที่วัดแห่งหนึ่งไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เป็นวัดชื่อดัง และมีคนไปร่วมงานนับแสน ที่บ้านโดยเฉพาะเด (พ่อ) นับถือที่นี่มาก เราจึงไปกันที่วัดนี้

ไปกันตั้งแต่เช้า ตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อขึ้นรถก่อน 6 โมงเช้า เป็นรถบัส คนเนืองแน่นมาก ไปถึงวัดก็ทำพิธีต่างๆ ตามที่ทางวัดจัดให้

จำได้ว่าช่วงบ่ายเป็นช่วงสำคัญ มีพิธีที่หลวงพ่อจะนำทำพิธี ตอนนั้นศาลาต่างๆ ยังสร้างไม่เสร็จ พื้นศาลาจึงยังเป็นดินที่ไถกลบไว้เป็นก้อนๆ เราได้รับแจกเป็นแผ่นพลาสติกบางๆ ปูนั่งกันเลอะ แต่ไม่ช่วยในเรื่องความแข็งของดิน นั่งไปทีจะเจ็บก้นมาก

ด้านบนเป็นสายสิญจน์โยงกันไว้ เป็นเหมือนช่องๆ ตาข่ายใหญ่ๆ ทุกคนต้องหาที่นั่งกันเอง เราจำได้อีกว่านั่งอยู่กับที่บ้านแล้ว แต่รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำ จึงรีบวิ่งไป พอกลับเข้ามาพิธีกำลังเริ่ม และสายสิญจน์ด้านบนค่อยๆ ลดระดับลงมาเหมือนกับจะครอบตัวคนแต่ละคนไว้ เราค่อยๆ ก้มตัวเดิน แต่ไปไม่ถึงเดกับแม่ จึงนังลงกับชาวบ้านแถวนั้น

เราพนมมือ หลับตาทำสมาธิตามที่หลวงพ่อบอก ได้ยินเสียงว่าตอนนี้สายบุญกำลังหลั่งไหลไป ให้นึกถึงคนที่เรารัก ให้ได้รับบุญนี้พร้อมกันกับเรา เราก็นึกถึงเน่กับกง (ย่ากับปู่) ที่ล่วงลับไปแล้ว และอื่นๆ ตามเท่าที่จะนึกได้ พร้อมกับทำสมาธิตามที่เคยได้ร่ำเรียนมาไปด้วย

ความรู้สึกตอนนั้นเบาสบาย และรู้สึกว่าตัวลอยได้ เพราะไม่มีสัมผัสความแข็งของดินตรงที่เรานั่ง มันเหมือนมีอากาศแทรกอยู่ระหว่างตัวเรากับพื้นดินแข็ง ทำให้นั่งสมาธิได้ดีและนิ่งนาน เป็นอย่างนั้นจนพิธีจบ สายสิญจน์ที่ลดระดับไว้ ก็ค่อยๆ เลื่อนขึ้นไป เราเลยรีบเดินกลับไปหาเดกับแม่ พร้อมขอบคุณป้าๆ แถวนั้นที่ให้เรานั่งด้วย

ด้วยจำนวนคนเรือนแสน กว่าจะได้กลับ กว่ารถจะออกจากวัดได้ ก็ใช้เวลาพอสมควร เราเริ่มรู้สึกเพลีย และเหมือนจะเป็นไข้ พอกลับถึงบ้านซึ่งน่าจะประมาณ 6 โมงครึ่ง เราก็บอกเดว่าขอขึ้นไปนอนก่อนนะ เดยังทักเลยว่าวันนี้นอนเร็ว

ห้องนอนเราอยู่ติดถนน เป็นห้องพัดลม เราเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ให้ลมเข้าเสมอ เป็นห้องที่ได้ยินเสียงต่างๆ จากภายนอกชัดเจน เราหลับแทบจะทันที

จากนั้นภาพตัดมาที่ถนนในซอยบ้าน บ้านเราเป็นซอยลึกร่วม 7 กิโลเมตร ที่ทะลุไปซอยอื่นๆ ได้ แต่เนื่องด้วยบ้านเราอยู่ใกล้ปากซอยแค่ 100 เมตร เราจึงเข้าบ้านจากหน้าปากซอยเสมอ ไม่เคยต้องมาจากในซอยลึกแบบที่กำลังเดินอยู่นี้

ฝั่งที่เราเดินคือด้านซ้าย มีต้นอ้อขึ้นสูงท่วมหัวท่วมหู เป็นต้นไม้ที่เราชอบเด็ดทั้งต้นมาเล่น มันอ่อนช้อยสวยงาม แต่วันนี้เราไม่ได้เด็ดเล่น แต่เรากำลังเดินออกจากในซอยเพื่อกลับบ้าน

ที่แปลกคือมีแต่เรากับเพื่อนที่เดินออกไปปากซอยกันแค่ 2 คน นอกนั้นเดินสวนทางกับเราเข้ามาในซอยทางด้านขวามือ เป็นคนจำนวนนับร้อยนับพัน เดินกันเหมือนออกมาจากโรงหนัง คือเป็นแพ เป็นกลุ่มเป็นก้อน แต่เป็นระเบียบ และในแต่ละช่วงของคนพวกนั้นจะมีคนที่เป็นลักษณะเหมือนผู้คุมเดินประกบมา

ในกลุ่มคนพวกนั้นมีเด็กคนนึงเดินอุ้มน้องหมามาด้วย เราผู้ที่ชอบเล่นกับหมาจึงรีบปรี่เข้าไปเล่นด้วย น้องเด็กคนนั้นก้มหน้าอยู่ พอเห็นเราเข้าไปหาก็เงยหน้ามา แต่หน้าของน้องคนนั้นเละไปทั้งหน้า เราตกใจมาก และรู้ได้ทันทีว่าไม่ใช่คน เรากลัวจึงนึกอยากจะกลับให้ถึงบ้านไวๆ

นึกแค่นั้นก็มาอยู่หน้าบ้านทันที แต่แถวคนเดินนับร้อยนับพันนั้น ก็ยังเดินกันอยู่อย่างเนืองแน่นถนนอีกฝั่ง แต่ไม่เลยมาฝั่งทางออกไปปากซอยที่เรายืนอยู่

เราจึงรีบเดินเข้าไปในบ้าน บ้านเราเป็นตึกแถวห้องเดียว เป็นร้านขายของจิปาถะ ด้านซ้ายและขวา เป็นตู้ไม้แต่มีกระจกกันฝุ่น แบบร้านขายของโบราณสมัยก่อน มีผู้หญิงคนหนึ่งมายืนอยู่หน้าตู้ตรงนั้น ซึ่งเป็นที่ประจำของพวกเราที่จะยืนขายของ เราจึงถามไปว่ามาทำอะไรในบ้านเรา

ผู้หญิงคนนั้นไม่ตอบ แต่ทำท่ายืนกรานจะยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมขยับ ไม่ยอมไป เราเลยพูดขึ้นมาว่า ไปเรียกแม่มาเลยว่าบ้านนี้ใครเป็นลูก ผู้หญิงคนนั้นก็ยังไม่ยอมไป เราโมโห เลยเข้าไปผลักอกอย่างแรง ผู้หญิงคนนั้นกระเด็นไปตามแรงผลัก ตัวเขาชนตู้ด้านหลัง ตู้ไม่แตก แต่ตัวเขายุบเข้าไป แล้วเด้งกลับออกมาได้

เราตกใจมาก ทำให้รู้เลยว่าผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ใช่คน คิดได้แค่นั้นก็เห็นว่าผู้คุม 2 คน ที่เดินอยู่ด้านนอก ได้เข้ามาในบ้าน มาจับมือผู้หญิงคนนี้คนละข้าง ผู้หญิงพยามดิ้นหนีการจับกุม แต่ดิ้นไม่หลุด ผู้ชาย 2 คนนั้นก็ลากผู้หญิงคนนี้เข้าไปรวมแถวกับคนอื่น เราได้แต่ยืนตะลึงมองอย่างตกใจมากๆ จริงๆ

เสียงคนเดินจำนวนนับร้อยนับพัน ที่เป็นเสียงรองเท้าลากกับพื้นดังแซ่ดๆๆ จนเราลืมตาตื่น เสียงนั้นก็ยังดังก้องถนน จนอีกสักพักเสียงนั้นก็ค่อยๆ ซา เหลือแต่ความเงียบสงัดเข้ามาแทน

เราที่นอนตัวแข็งทื่อ สติกลับมาแล้วถึงระลึกได้ว่า นี่เราฝัน หรืออะไร? เราฝันจริงๆ หรือ? ทำไมทุกอย่างถึงชัดเจนมาก เสียงนั้นยังดังชัดในหู ในหัวเรา หันไปมองนาฬิกา เป็นเวลาที่เข็มสั้นชี้ไปที่เลข 3 ส่วนเข็มยาวชี้ไปที่เลข 12 พอดีเป๊ะ

เรานอนตัวแข็งอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าขยับ กลัวถึงขีดสุด จนสักพักใหญ่ทนไม่ไหวแล้ว จึงเอื้อมมือไปเปิดไฟที่หัวเตียง แล้วไม่กล้าปิดไฟอีกเลยจนเช้า

เช้ามาเดมาถามว่าทำไมเปิดไฟนอน เลยได้เล่าให้เดฟัง เดบอกว่าให้ไปทำบุญให้พวกเขา น่าจะเพราะเราเพิ่งไปทำบุญใหญ่มา แล้วเรานั่งสมาธิได้ดี พวกเขาเลยมาขอส่วนบุญจากเรา (มากันซะเยอะเลยนะ)

ส่วนพี่ที่อยู่ในฝันกับเรา เรามารู้ทีหลังว่าพี่เขาเพิ่งไปปฏิบัติธรรมที่วัดป่าแถวอุบลมาเหมือนกัน เลยมาอยู่ในฝันกับเราได้ ก็เป็นอะไรที่มหัศจรรย์

เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมีตอนต่อเป็นการตอกย้ำเรื่องราวให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก

คืนต่อมา เราก็เข้านอนตามปกติ แล้วก็หลับฝันไป ในฝันเราไปไหนสักที่ เป็นที่ที่เรารู้จักดี แต่วันนี้มันไม่ค่อยปลอดโปร่งใจ มันมืดๆ สลัวๆ ทั้งๆ ที่เป็นถนนใหญ่ ที่ปกติต้องมีไฟเจิดจ้า เราเกิดความรู้สึกกลัว เกิดความไม่สบายใจขึ้น พอไม่สบายใจเรามักนึกถึงบ้าน เราอยากกลับบ้าน ก็กลับมาที่บ้าน

เราเข้าบ้านมา อย่างที่บอกบ้านเราเป็นตึกแถว มันก็จะเป็นห้องยาวๆ มองตรงไปจะเห็นประตูหลังบ้าน แล้วที่หลังบ้านเรามีต้นมะม่วง ใต้ต้นมะม่วงมีโต๊ะม้าหิน แบบมีเก้าอี้หินสี่เหลี่ยม 4 ตัววางล้อมกันไว้ เรายืนอยู่ในบ้าน แล้วเห็นว่าที่โต๊ะม้าหินมีคน 2 คน มานั่งอยู่ เขาคุยกันประหนึ่งไม่ได้รู้เลยว่าเรายืนฟังอยู่ในบ้าน

เขาพูดกันถึงเรื่องที่เราฝันเมื่อคืนนี้ และพูดคุยอะไรกันหลายอย่าง จนสุดท้ายมีคนนึงพูดขึ้นมาว่า “ดี จะได้รู้ซะบ้างว่าเรื่องแบบนี้มันมีอยู่จริง”

เราได้ยินเท่านั้น บอกตรงๆ ว่าขนหัวลุกมาก นี่ถึงขั้นมายืนยันให้เราชัดเจนกับสิ่งที่เจอเข้าไปอีก คือเท่านี้ก็แทบไม่ไหวแล้ว ยังจะมาย้ำเพื่อออออ

คิดได้เท่านั้นเราก็ตื่นลืมตา สิ่งแรกที่ทำคือหันไปมองนาฬิกา และแวบแรกที่คิดในหัวคือ อย่านะ อย่าบอกว่า…

ใช่แล้ว เข็มสั้นชี้เลข 3 เข็มยาวชี้เลข 12 พอดีเป๊ะ เวลาเดียวกันกับเมื่อคืนพอดี

แล้วจะให้คิดอะไรได้อีก? ตี 3 ย้ำชัดว่า รับรู้ไว้เถอะว่า… เรื่องแบบนี้… มันมีอยู่จริง

Don`t copy text!