เราคือใคร

เราคือใคร

โดย : ปัญณ์วลี

Loading

ผมเป็นใครกันแน่

เมื่อมองชนบทผ่านสายตาของคนเมือง เป็นยังไงผมไม่รู้ แต่ถ้ามองแบบผมมันก็ดูขาดคุณภาพ ไร้การศึกษา ขาดตกบกพร่อง

ช่วงหนึ่งของชีวิตผมกลายเป็นขี้เหล้าหลังจุฬาฯ แถวตลาดสวนหลวง ผมเคยเจอแม่ค้าขายผลไม้บนรถกระบะ เธอบอกว่านี่ก็จบจากจุฬาฯ เหมือนกัน ผมเคยเห็นรุ่นน้องที่เรียนคณะวิทย์ฯ กีฬา มีเงินเดือนจากการเป็นกัปตันทีมฟุตบอลสโมสรจามจุรียูไนเต็ดแต่ยังต้องขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างส่งเสียตัวเองเรียน

ผมเคยโดนเด็กอักษรฯ เอกญี่ปุ่น หน้าหมวยใส่แว่นมาขอบุหรี่ “พี่คงอึ้งว่าเด็กหน้าตาเรียบร้อยอย่างหนูก็สูบบุหรี่… แต่หนูจะบอกว่าเมื่อคืนหนูไปเที่ยวผับมาด้วยแหละ ยังไม่ได้นอนเลย” ผมเคยนั่งหลบฝนหน้าห้องสมุดใหญ่ที่สุดของจุฬาฯ ที่เรียกกันว่าหอกลาง จู่ๆ ก็มีผู้หญิงแปลกหน้าแต่งตัวได้สุภาพมากสวมสูทกับกระโปรงสั้นเหนือหัวเข่าเล็กน้อยอย่างถูกระเบียบ มาขอบุหรี่ไปสูบ… ไร้บทสนทนาใดใด ไม่มีคำกล่าวขอบคุณ มันราวกับว่าเธอต้องสูบมันให้ได้เดี๋ยวนั้น

ผมเคยนั่งดื่มกับพี่แท็กซี่คนอีสานผู้สอนให้ผมรู้จักประหยัดเงิน เพื่อมาดื่มสักเป๊กสองเป๊กก่อนเข้าห้องเช่านอนหลับพักผ่อน ผมรู้จักนักรักผู้มีเบาหวานเป็นโรคประจำตัว มานั่งดื่มแต่น้อยเฝ้าแอบรักเจ๊เจ้าของร้านขายของชำ ซึ่งดูๆ แล้วมีแต่ของมึนเมาทั้งนั้น ที่ได้รับมรดกตกทอดมาจากแม่สามี

ผมเมา เน้นว่าเมาทุกคืนด้วยเบียร์ยี่ห้อที่ขึ้นชื่อว่าดีกรีหนักสุดของไทย วันละไม่ต่ำกว่าสามขวดไร้น้ำแข็ง ไร้กับแกล้ม มีแต่บุหรี่สีแดงคู่ใจ กับบทสนทนาทั้งคนในและนอกจุฬาฯ และเอาเข้าจริงแล้วผมก็ไม่รู้ว่าผมเป็นคนที่ไหนกันแน่

ผมดื่มยันเช้า เช้าสวนทางกับพระที่ออกบิณฑบาต กับคนที่รีบไปเรียนหรือไปทำงาน ผมมีแต่ธีสิสที่ยังไม่ได้ทำ ผมหิวสุดๆ ตอนที่ดื่มเมามายเต็มพิกัดอย่างแย่สุดๆ ผมก็แค่กลับหอในไปต้มมาม่ากินสองห่อใหญ่ๆ อย่างเลวๆ รองลงมาก็สั่งกับข้าวหอใน หลากหลายรูปแบบไปยัดห่าข้างบนหอในตึกจำปีแทนที่จะกินในโรงอาหาร ผมไม่เคยรีบนอนแม้ว่าจะต้องนอนได้แล้วในขณะที่คนอื่นตื่นไปเรียนกันหมด

แต่ที่ผมเทิดทูนในบรรดาอาหารเช้าก่อนเข้านอนของผมทั้งหมดก็คือ อาหารที่ขายอยู่หน้าแคมป์ก่อสร้างซึ่งขายอยู่ริมถนนข้างนอกรั้วจุฬาฯ แต่คนงานนั้นนอนอยู่เพิงพักภายในจุฬาฯ คนขายเคยเป็นอดีตแรงงานก่อสร้างตอนนี้เขยิบฐานะมาเป็นแม่ค้ามีรถเข็นขายกับข้าวแล้ว ผมเคยยืนคุยไม่อายสายตาใคร ผมชอบกินแจ่วบอง กินปลาดุกย่าง ส้มจิ้น อะไรต่อมิอะไรที่ไม่คุ้นลิ้น แต่อร่อยฉิบหายเลย และผมทำตัวเป็นกันเองกับพวกเขา และบางทีก็แก่งแย่งเมนูที่พวกเขาควรจะได้มากกว่าผมในฐานะผู้ใช้แรงงานอย่างเช่นโครงกระดูกไก่ย่าง แหม! มันอร่อยจริงๆ

ผมใช้ชีวิตแบบนั้นมาตลอดสองสามปีหลังอกหักจากแฟนคนแรกในชีวิต เธอไม่ผิดหรอก ในวันที่หัวข้อธีสิสผมผ่านแล้ว และมันคงต้องเขียนให้จบอย่างเร็วสุดก็สองปี แต่ผมไม่คิดจะทำห่าอะไรเลย ตั้งแต่ผมบอกเลิกเธอที่โต๊ะอาหารหอในแห่งนั้น ผมไม่มีเงินติดตัวสักบาท เดินตรงปรี่ไปที่ร้านเจ๊ดาว หลังจุฬาฯ เหมือนไข่ย้อยเดินกลับกรุงเทพฯ ทันทีที่ได้ยินดากานดาพูดว่า “แกมาบอกอะไรเอาป่านนี้” ผมหน้าด้านไปขอเชื่อเจ๊ดาวสูบบุหรี่กับดื่มเบียร์ ประทังชีวิตและจิตใจก่อนที่ภายหลังผมจะพบว่ามันเป็นสิ่งยื้อเวลาชีวิตผมไว้ไม่ให้ฆ่าตัวตายเหมือนเพื่อนร่วมรุ่นผมคนหนึ่งซึ่งเป็นโรคซึมเศร้าแต่เขาเลือกที่จะกินยาแทน

ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมแค่นึกถึงคนงานแคมป์ก่อสร้างคนหนึ่งที่ตกนั่งร้านตายในจุฬาฯ หลังเรือนไทย แทนที่เขาจะได้ไปลอยกระทงกับแฟนของเขาในวันนั้น อาจจะเป็นแรงงานข้ามชาติด้วยซ้ำ อาจเป็นสุภาพบุรุษกว่าผมที่เคยเบียดเสียดแย่งซื้อกับข้าวกันในยามเช้าวันหนึ่ง

ในวันที่ผมยืนอยู่บนระเบียงชั้น 14 ชั้นที่สูงสุดของหอใน มองลงไปยังจุดเล็กๆ ที่เคยเป็นคราบเลือดของเขา ถามตัวเองข้างในว่าเราเป็นใคร มาทำอะไรที่นี่ และเพื่ออะไรกัน

Don`t copy text!