หากโลกนี้ไม่เคยมีผี

หากโลกนี้ไม่เคยมีผี

โดย : Lalinnova

Loading

แม้เทคโนโลยีในโลกปัจจุบันจะพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา แต่ตราบใดที่บนโลกนี้ผู้คนยังมีเรื่องให้ทุกข์ใจ ความหวังจะยังคงเป็นที่ยึดเหนี่ยวให้ผู้คนสามารถก้าวเดินต่อไปได้ เรื่องลี้ลับอย่างเรื่องผีก็ยังมีคนมากมายที่ยังคงเชื่ออยู่ ซึ่งค่อนข้างตรงข้ามกับหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีน้อยลงแทบทุกที ในยุคที่มีกล้องวงจรปิดและโทรศัพท์เต็มบ้านเต็มเมือง ภาพผีที่ดูจะเชื่อถือได้กลับแทบจะไม่มีให้เห็น

ตัวฉันที่ยังอ่อนต่อโลกนี้มากนัก มักจะชอบให้คุณแม่เล่าถึงเรื่องราวในสมัยก่อน มันเหมือนกับสามารถนั่งไทม์แมชชีนย้อนเวลากลับไปสัมผัสถึงวิถีชีวิตของผู้คนในยุคสมัยเมื่อประมาณ 30-40 ปีที่แล้ว ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสานของประเทศไทย นับเป็นภูมิภาคที่พบกับสภาวะแห้งแล้งบ่อยกว่าส่วนอื่นๆ ความลำบาก และขาดแคลนอาหาร ส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรม ศรัทธา และความเชื่อของผู้คน

ในคืนหนึ่งของเดือนธันวาคม ความแห้งแล้งในช่วงฤดูหนาวที่กำลังต่อเนื่องถึงฤดูร้อน ปากของชาวบ้านที่ไม่ได้อิ่มท้อง ทำให้ตอนกลางคืนนั้นหนาวยะเยือกมากขึ้นกว่าเดิม หนุ่มสาววัยแรกรุ่นอายุราวสิบกว่าแอบลุกจากที่นอนและมารวมกลุ่มกันผิงไฟ แม่ของฉันเป็นหนึ่งในนั้น หัวโจกที่เป็นพี่ใหญ่เห็นน้องๆ มีใบหน้าเศร้าสร้อยด้วยความหิว จึงตัดสินใจที่จะไปเอาไก่ตัวใหญ่หลังบ้านมาต้มเป็นซุปร้อนๆ และจะยอมโดนผู้ใหญ่ลงโทษในเช้าวันพรุ่งนี้ หัวโจกคนนั้นหายไปคนเดียวในความมืดราวๆ ยี่สิบนาที จู่ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบและวังเวง เด็กๆ ตรงนั้นได้ยินเสียงกรีดร้อง และเห็นสภาพตัวเปื้อนเลือดของหัวโจกที่เหมือนวิ่งหนีอะไรซักอย่างมา ใบหน้าซีดเผือด สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เสียงร้องนั้นดังจนทำให้ผู้ใหญ่ในบ้านตื่น รีบวิ่งเข้ามาหาลูกๆ ด้วยความตกใจ พ่อของแม่หรือตาของฉันก็เช่นกัน แม่ยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่โชคดีที่ตาไม่ใช่คนที่ใจร้ายอะไร ตากอดปลอบและรีบพาแม่กลับเข้าไปนอน พร้อมทั้งกล่าวว่าปล่อยเรื่องนี้ให้ผู้ใหญ่จัดการ

เช้าวันถัดมา หลังจากถูกพวกผู้ใหญ่เค้นเอาความจริงอย่างหนัก หัวโจกเล่าว่าในตอนที่เขาเดินไปถึงที่เล้าไก่ เขาได้กลิ่นสาปฟุ้ง และเห็นรอยเลือดยาวไปเป็นทาง เขาเดินตามรอยนั้นไปด้วยความหวาดกลัว เพราะถึงจะกลัวสักเพียงไหน แต่หากไก่โดนสัตว์ร้ายจับไปกินหมด ความอดอยากนั้นคงจะน่ากลัวเสียมากกว่า เขาเริ่มเห็นเงาดำๆ ของมันรางๆ พร้อมกับเสียงเคี้ยวที่น่ารังเกียจ แต่เมื่อเขาส่งเสียงขับไล่มัน สายตาที่มองกลับมานั้นกลับไม่ใช่ของสัตว์ แต่เป็นของหญิงชรา ตัวลีบผอม ไม่สวมเสื้อผ้า ในมือถือซากไก่พร้อมกับใบหน้าที่ปากเปื้อนเลือดเต็มไปหมด หัวโจกช็อกและแทบจะอ้วกออกมาทันทีกับสิ่งที่เห็น หญิงคนนั้นมีท่าทีเหม่อลอย เมื่อเธอเห็นหัวโจก เธอเดินเข้ามาอย่างช้าๆ จับศพของไก่กวาดลงบนใบหน้าของหัวโจก ลากยาวลงมาจนถึงมือ ปล่อยมันไว้บนนั้น และเดินจากไปอย่างช้าๆ สิ่งที่ทำให้หัวโจกช็อกมากที่สุดนั่นก็คือ ใบหน้านั้นไม่ใช่ใบหน้าที่เขาไม่คุ้นเคย แต่คือใบหน้าของ ‘ยายใบ’ หญิงอาวุโสของหมู่บ้านที่ทุกคนรู้จักกันดี

‘ผีปอบ’ ไม่ใช่เรื่องแปลกนักสำหรับคนแถบนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในชนบทที่ห่างไกล แม่กล่าวอย่างติดตลกว่า ในหมู่บ้านหนึ่งจะมีคนที่เป็นปอบอย่างน้อยหนึ่งคน โดยลักษณะคนที่ชาวบ้านมองว่าเป็นปอบในแต่ละที่ก็มีความคล้ายกัน คนที่ไม่สุงสิงกับผู้อื่น กลางวันเป็นอย่างหนึ่ง กลางคืนเป็นอีกอย่าง หลังจากพวกผู้ใหญ่ได้ยินเรื่อยายใบจากหัวโจก ก็มีการลงความเห็นอย่างเป็นเอกฉันท์ว่ายายใบคือปอบ และต้องตามหมอผีมากำจัด แม่ในตอนนั้นรู้สึกแปลกใจมาก เพราะยายใบที่แม่และคนอื่นๆ ก็รู้จัก เป็นคนที่ใจดี แม้จะไม่ชอบพูดคุยกับผู้คน แต่ก็ชอบแอบทำขนมไทยให้เด็กๆ กินเสมอ ถึงกระนั้น ผลโหวตจากชาวบ้านที่แทบจะเป็นทั้งหมด ก็ยังคงจะดำเนินการเรื่องนี้ต่อไป

หมอผีจากต่างอำเภอถูกเชิญมาทำพิธีในหมู่บ้าน ทุกคนทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่เข้าไปรุมล้อมรอบบ้านของยายใบ ที่ถือว่าตั้งห่างจากครัวเรือนหลังอื่นๆ หมอผีเริ่มให้ผู้ช่วยเตรียมการ สายสิญจน์ถูกพันล้อมรอบมือที่มีแต่รอยเหี่ยว ในตอนกลางวันนี้ ยายใบดูไม่ได้มีท่าทีที่น่ากลัวหรือเป็นอันตรายต่อใคร อีกทั้งยังงุนงงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ยายใบหันไปถามผู้ใหญ่บ้านด้วยแววตาที่น่าสงสารว่าเกิดอะไรขึ้น และจะทำอะไรกับตน หมอผีรีบเข้ามาเตือนให้ทุกคนถอยห่างและอย่าเชื่อคำพูดที่ออกมาจากปากยายแก่คนนี้ หลังจากมัดมือและเท้าเรียบร้อย หวายยาวที่ดูน่ากลัวก็เริ่มฟาดลงไปบนร่างยายใบอย่างรุนแรง ยายร้องด้วยความเจ็บปวด หมอผีพร่ำถามด้วยน้ำเสียงที่แข็งกร้าวว่า “มึง จะออกมั้ย” ยายใบก็กล่าวตัดพ้อว่าตนไม่รู้ว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร หัวโจกก็รีบตะโกนขึ้นว่า ก็เรื่องที่ยายเป็นปอปแล้วมาฆ่าไก่ในเล้าชั้นจนหมดยังไงล่ะ ยายใบร้องไห้และพร่ำบอกว่าตนเองไม่ใช่ปอบ ตนเป็นเพียงหญิงแก่ธรรมดาคนนึง และไม่รู้เรื่องที่หัวโจกพูดถึง การลงหวายของหมอผีดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง สติของยายใบเริ่มเลือนราง ในจังหวะที่หมอผีถามอีกครั้งว่าจะยอมจากไปหรือไม่ ยายใบกล่าวยอมรับ แม่ในวัยสิบกว่าที่ยังไม่รู้ประสานัก ก็ยังเข้าใจได้ว่าภาพที่เห็นช่างน่าหดหู่

หลังจากเรื่องราวทั้งหมด ฉันถามแม่ว่า ตกลงแล้ว บทสรุปของเรื่องนี้คืออะไร ยายใบเป็นปอบจริงหรือเปล่า แม่ตอบด้วยความสัตย์จริงว่าทุกวันนี้แม่ก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ายายใบเป็นปอบจริงมั้ย หลังจากนั้นยายใบก็ถูกกีดกันออกจากสังคม ไม่มีผู้ใดอยากข้องเกี่ยวด้วย หรือนี่อาจจะเป็นแค่เรื่องราวของหญิงแก่ที่เลอะเลือน ละเมอในตอนกลางคืน และกระทำแบบนั้นลงไป สภาวะขาดแคลนอาหารและน้ำอาจทำให้เกิดปัญหาเรื่องสุขภาพและส่งผลต่อสภาวะทางจิตหรือไม่ ชาวบ้านซึ่งยึดถือความเชื่อดั้งเดิมที่สืบต่อกันมา จนเลือกไปสู่หนทางที่น่าเศร้าเช่นนี้ หากผีมีจริงแล้ว ทำไมสมัยนี้ ปอบจึงไม่มีให้พบเห็น หรืออาหารการกินที่หาง่ายมากยิ่งขึ้น ทำให้ไม่ต้องไปขโมยไก่ของใคร

โรคทางจิตเวชที่ได้รับการยอมรับจากแต่ก่อน ส่งผลให้ไม่ต้องมีใครตกเป็นจำเลยของความเชื่อแล้วหรือไม่ หรือไม่อย่างนั้น ผีต่างๆ อาจจะปรับตัวแฝงอยู่กับผู้คน เรื่องของผีอาจจะทั้งเคยและไม่เคยมีอยู่จริงก็เป็นได้

Don`t copy text!