Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก บทที่ 1 : คุณพรหมลิขิต…งั้นเหรอ

Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก บทที่ 1 : คุณพรหมลิขิต…งั้นเหรอ

โดย : แสนแก้ว

Loading

Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก นิยายออนไลน์ของ แสนแก้ว เรื่องราวของ ‘ลูกไม้’ นักกีฏวิทยาสาวที่บังเอิญต้องเข้าไปเป็นสมาชิกเว็บไซต์โสดเสงี่ยมเลี่ยมทองและได้พบกับชายในฝัน เธอต้องทำทุกวิถีทางให้เขาเห็นเธออยู่ในสายตาและรับเธอเข้าไว้ในหัวใจ ปฏิบัติการทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ยอมให้เขาทุ่มในสังเวียน! #นิยายสนุกๆ มีให้อ่านที่อ่านเอา

**************************

– 1 –

เสียงรถกระบะทรงพลัง เครื่องยนต์ร้อยเก้าสิบแรงม้ากระหึ่มก้อง พลันแสงไฟหน้าก็สว่างพรึ่บสาดส่องให้เห็นเส้นทางเบื้องหน้าอันเป็นดินลูกรังผสมกรวด ขนาบข้างด้วยเงาไม้ใหญ่น้อยรกชัฏ ท้องฟ้าเริ่มมืดลงจนกลายเป็นสีครามเข้ม ๆ และอีกไม่นานก็จะมืดมิดสนิทเป็นสีดำ

เพลงพนัสซึ่งนั่งประจำที่คนขับเหลียวมองกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่เบาะหลัง กระเป๋าเอกสาร และกระเป๋าคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่านำของทุกอย่างที่จำเป็นมาครบแล้วจริง ๆ ไม่ได้หลงลืมอะไรไว้เพราะความรีบร้อนกระวนกระวายใจจนอาจเกิดปัญหาภายหลัง หญิงสาวถอนหายใจอีกครั้งอย่างหนักหน่วงเพื่อรวบรวมสติ ลูบพวงมาลัยรถยนต์คันเก่งประจำตัวราวกับขอฝากขวัญและกำลังใจ ใช่แล้ว… จากนี้เธอจะซิ่งไปกรุงเทพมหานครให้เร็วที่สุด ดุจขี่เมฆไปเลยทีเดียว

จากบ้านพักนักวิจัยบนป่าเขาในอำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เลี้ยวเลาะไปตามถนนคดเคี้ยวแนบหน้าผาและเนินสูงชันด้วยความเร็วรถที่ค่อนข้างมากจนเสี่ยงอันตราย แต่หญิงสาวผู้ขับก็ไม่หวั่น เหยียบเร่งเครื่อง ถอนคันเร่ง แล้วเบรกหนัก ๆ สลับกันไป โค้งหักศอกหรือโค้งอันตรายผ่านไปโค้งแล้วโค้งเล่า อาศัยความใจกล้าและค่อนข้างชินเส้นทางก็ผ่านมันไปได้

ความมืดมิดรอบกายไม่ได้ทำให้หัวใจของเธอหวั่นเกรง เพราะตราบใดที่ยังมีแสงสว่างจากไฟหน้าส่องทางสองสามเมตรข้างหน้า อีกไม่นานก็ต้องไปถึงปลายทางได้แน่ เธอเริ่มเข้าสู่ตัวอำเภอเมืองกาญจนบุรี วิ่งไปตามถนนเลี่ยงเมือง รถคันอื่น ๆ ที่ร่วมทางเดียวกันต่างแล่นฉิว ขนาดเธอเหยียบไปร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงแล้ว ยังต้องอยู่ชิดเลนซ้าย

พอเข้าเขตเมืองหลวงซึ่งมีอาคารบ้านเรือนเรียงไม่เป็นระเบียบค่อนข้างหนาตา แซมด้วยตึกสูง ๆ หนาแน่น รถราก็เริ่มติด เพลงพนัสเริ่มร้อนใจ ขับมาถึงกรุงเทพฯ แล้วแท้ ๆ แต่ก็ไม่อาจไปหาธัชชัยได้สักที ไม่รู้ว่าป่านนี้ชายหนุ่มจะเป็นอย่างไรบ้าง เธออยากไปยืนตรงหน้าเขาเหลือเกิน ดูให้เห็นกับตาว่าเขาเพียงแค่เมามายฟูมฟายอยู่ในห้องพัก ไม่ได้คิดสั้นหรือทำอะไรบ้า ๆ อย่างที่พูด

‘แก เขาไม่รักฉัน เขาไม่เคยรักฉันเลย’

เพียงแค่ประโยคแรกที่ผ่านมาทางโทรศัพท์ เพลงพนัสก็รู้ว่านายธัชชัย เพื่อนชายที่สนิทที่สุดกำลังขาดสติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

‘ที่ผ่านมามันคืออะไรวะ ฉันไม่เคยมีค่าในสายตาเขาสักนิดเลยเหรอวะ เป็นแค่ฝุ่นละออง ลอยผ่านไปผ่านมา เขาไม่เคยมองเห็น เหมือนเป็น… เหมือนเป็นแค่ขี้หมาว่ะ หึ เหยียบติดรองเท้า เคาะ ๆ ออกแล้วเขาก็ไป’

‘แกเมามากแล้วนะไอ้ธัช ใจเย็น ๆ ก่อนนะเว่ย หยุดกินเหล้าได้แล้ว’  แม้จะพูดไป แต่เพลงพนัสรู้ดีว่าในเวลานี้ไม่มีคำพูดใดเข้าไปในหูของธัชชัยได้หรอก

‘ฉันมันโง่ ฉันมันก็แค่ไอ้งั่งที่ไม่มีใครสนใจ น่าจะตาย ๆ ไปซะจะได้ไปเกิดใหม่เป็นคนหล่อ ๆ รวย ๆ กับเขาบ้าง’

‘ไอ้ธัช! แกหยุดพูดแบบนี้ซะที ฉันใจคอไม่ดี ฉันจะไปหาแกเดี๋ยวนี้แหละ แกรอฉันก่อน’

‘ฉันอยากตายว่ะลูกไม้ มันเจ็บเหมือนจะตาย เจ็บจนไม่อยากอยู่ต่อแล้วว่ะ’

น่าแปลกที่ประโยคสุดท้ายไม่ได้มีสำเนียงอ้อแอ้อย่างคนเมา มันเบาหวิวและเลือนรางราวกับจะจางหายไปจากสัญญาณโทรศัพท์ ในยามนั้นหญิงสาวขนลุกเกรียว พยายามตะโกนชื่อเพื่อนซ้ำแล้วซ้ำอีก พลางกระโจนไปหยิบกระเป๋าเป้ออกมา โกยเสื้อผ้าเท่าที่หยิบได้ใส่ลงไปแล้วโยนเข้ารถกระบะ กุญแจรถยนต์ที่แขวนไว้ข้างฝาลอยหวือติดมือมาอย่างรวดเร็ว

ไอ้ธัช หรือธัชชัย ไอ้เพื่อนจอมกะล่อนของเธอไม่เคยมีอาการแบบนี้ ไม่รู้เลิกกับแฟนอีท่าไหนถึงได้อาการหนักจนถึงขั้นคิดอยากฆ่าตัวตาย  ที่ผ่านมาไม่มีวี่แววเลยสักนิด ไม่มีวี่แววกระทั่งว่าไอ้เพื่อนบ้าจะมีแฟนด้วยซ้ำ แล้วนี่ไปคบกับใคร คบกันเมื่อไร แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงได้เลิกรากันอย่างรวดเร็วแต่หนักหนาเช่นนี้

คำถามมากมายพุ่งพล่านอยู่ในใจ ผลักดันให้เท้ายิ่งเหยียบคันเร่งจนไม่สนใจเข็มไมล์ว่าจะชี้ไปที่เลขใด แล้วในที่สุดเธอก็เข้ามาในเขตคอนโดมิเนียมขนาดกลางของเพื่อนหนุ่มจนได้ เธอจอดรถแล้วแทบกระโจนเข้าลิฟต์เพื่อขึ้นไปหาเพื่อนรักในทันที

 

“ไอ้ธัช! ฉันมาแล้ว ธัช เปิดประตู” เพลงพนัสเคาะประตูห้องรัว ๆ ก่อนจะพบว่าห้องไม่ได้ล็อก เธอพุ่งตัวเข้าไปอย่างรวดเร็ว

ในห้องอันมืดสลัว เงาใครคนหนึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนคอพับพิงโซฟา มีแก้วและขวดเหล้าตั้งอยู่ข้างกาย น้ำจากถุงน้ำแข็งเจิ่งนองบนพื้นไม้เทียม หญิงสาวกลั้นใจจับตัวเพื่อนชายเขย่าอย่างแรงพลางตะโกนเรียกชื่ออย่างขวัญเสีย ร่างทั้งร่างนั้นคลอนไปหมดแต่ไม่มีท่าทีจะรู้สึกตัว หัวใจของคนเป็นเพื่อนหล่นวูบ กลั้นใจค่อย ๆ รอนิ้วมืออันเย็นเฉียบที่ปลายจมูก พอสัมผัสได้ถึงลมร้อน ๆ เพียงแผ่วเบาก็น้ำตาไหลออกมา นึกขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้เพื่อนรักของเธอยังมีชีวิตอยู่

เมาหลับไปแล้ว… พอคิดได้ดังนั้นเพลงพนัสก็แข้งขาอ่อน ทิ้งร่างทรุดนั่งบนพื้นพรม พอหัวใจซึ่งเต้นโครมครามมาตลอดสี่ชั่วโมงบนท้องถนนค่อยสงบลงแล้ว ก็จัดแจงให้เพื่อนได้นอนในท่าสบาย เก็บกวาดแก้วเหล้ากับสารพัดขวดซึ่งวางระเกะระกะไปไว้ในครัวเสีย แต่ยังเก็บไม่ทันเสร็จก็ได้ยินเสียงไอคอกแคกดังมาจากร่างสันทัดที่นอนคว่ำหน้าอยู่ เธอวางทุกอย่างลงแล้วถลาเข้าไปหา

“ธัช แกเป็นไงบ้าง รู้สึกดีขึ้นบ้างไหม”  เพลงพนัสจะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเพื่อนหนุ่มผู้ซึ่งกำลังค่อย ๆ พลิกกายนอนหงาย แต่ดวงตาอันบวมช้ำของเขาทำให้ชะงักมือไว้ ไม่กล้าแตะต้องด้วยกลัวว่าจะสร้างความบอบช้ำไปมากกว่านี้

“อะ… ไอ้ลูกไม้ แกมาจริง ๆ เหรอเนี่ย”

“ใช่ ฉันเอง” เธอยิ้มออกมาพลางกรีดน้ำตาที่เอ่อมากบตา “ฉันมาหาแกแล้วธัช”

สิ้นคำพูดอันอบอุ่นอ่อนหวาน ธัชชัยก็โผเข้าสวมกอด ปล่อยเสียงร่ำไห้โฮ น้ำหนักตัวที่โถมลงมาทำให้ร่างบางของหญิงสาวเซถอย แต่เธอก็ขืนกายเพื่อกอดกระชับร่างของเพื่อนไว้

“ไม่เป็นไรแล้วนะธัช ฉันอยู่นี่แล้ว มาอยู่ข้าง ๆ แกแล้วนี่ไง”

ทว่าคำปลอบโยนของเธอคล้ายจะทำให้เขาร้องไห้หนักขึ้น เสียงทุ้มเปล่งออกมาปนสะอื้นว่า “ฉันไม่เหลือใครแล้วว่ะ  ฉันไม่เหลือใครอีกแล้ว”

“ไม่จริง ธัช แกยังมีฉันอีกทั้งคนนะเว่ย” เธอตอบทันใด แล้วดันร่างของชายหนุ่มซึ่งยามนี้ช่างอ่อนเปลี้ยออกมาเพื่อสบตากันอย่างแน่วแน่ “แกบอกฉันมาว่ามันเกิดอะไรขึ้น  ใครมันกล้าทำให้แกร้องไห้ ฉันจะไปเอาเรื่องมันเอง”

ใบหน้าอันเต็มไปด้วยคราบน้ำตาส่ายไปมาอย่างอ่อนแรง “แกอย่าไปยุ่งกับเขาเลย ฉันมันผิดเอง ฉันมันโง่เอง มันโง่ ๆๆ”

เขาขึ้นเสียงจนแทบคำราม พูดตอกย้ำพร้อมกับกำหมัดทุบพื้นรัว ๆ เพลงพนัสรีบตะครุบกำปั้นนั้นแล้วขืนไว้สุดแรง

“ธัช แกใจเย็นก่อน!” เห็นอาการเพื่อนแล้วเธอก็เจ็บปวดตาม มือบอบบางที่กำหมัดของเพื่อนหนุ่มไว้กลายเป็นบีบแน่น “แกบอกฉันมา แฟนแกเป็นใคร อยู่ที่ไหน ฉันจะไปลุยให้เอง”

“แฟน?”

“ใช่ แฟนคนที่ทิ้งแกไปนี่ไง ฉันจะไปถามมันว่ากล้าดียังไงมาทำกับแกแบบนี้ จิตใจทำด้วยอะไรถึงทิ้งคนดี ๆ อย่างแกไปได้”

“แฟนที่ทิ้งฉันไป?”

“ก็ใช่น่ะสิ  ผู้หญิงตาต่ำที่ทำให้แกเจ็บเจียนตายอย่างนี้ ฉันจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดเลย คอยดูสิ”

“เดี๋ยวนะ แกเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า”

“หืม… เข้าใจผิดอะไร”  เธอจ้องเพื่อนหนุ่มอย่างงุนงง ไฟแค้นในใจที่ลุกโชนโชติช่วงกลับหรี่ลงราวกับใครมาหรี่เตาแก๊สเป็นไฟอ่อน

“เขาไม่ใช่แฟนฉัน เป็นคนที่ฉันชอบเฉย ๆ ใครไปบอกแกตอนไหนว่าเป็นแฟนฉัน”

“อ้าว…” หญิงสาวอุทานยาว ศีรษะที่มีผมยาวเลยบ่าเหมือนจะหงายเงิบไป “ไม่ใช่แฟน แล้วแกจะเฮิร์ตทำไมตั้งมากมายวะ”

“ก็ฉันชอบเขามากนี่หว่า ตามจีบมาเป็นปี ทำทุกอย่างแล้วแต่เขาก็ไม่สนใจฉันเลยสักนิด ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ฉันชวนไปกินข้าวดูหนังเขาก็ปฏิเสธอีกตามเคย ฉันกินแห้วซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทนไม่ไหวก็เลยกินเหล้า ก็แค่นั้นเอง”

“ก็แค่นั้นเอง!”  เพลงพนัสร้องเสียงสูง “ที่ฉันบึ่งรถมาเกือบสามร้อยกิโลมาหาแกเนี่ย มันพูดว่า ‘ก็แค่นั้นเอง’ ได้อย่างงั้นเหรอวะ”

“ก็…” ธัชชัยเกาศีรษะแกรก ๆ “ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เป็นเรื่องใหญ่นี่ พูดอะไรไปบ้างก็จำไม่ได้แล้วด้วย”

หญิงสาวตาแทบเหลือก “จำไม่ได้!  แกยังมีหน้ามาพูดว่าจำไม่ได้เหรอวะไอ้ธัช!”

“ก็มันจำไม่ได้จริง ๆ นี่หว่า” เขาตอบเสียงอ่อย

“ดี งั้นจะบอกให้นะ แกพูดว่าแกอยากตาย แกพูดเหมือนกำลังจะฆ่าตัวตาย จนฉันต้องบึ่งลงเขามืด ๆ ค่ำ ๆ มาหาแกนี่ไงเล่า” เธอชี้หน้าธัชชัย “จำไว้เลยนะ ต่อไปนี้ฉันจะไม่สนใจคำพูดบ้าบอของแกอีก แล้วอย่าหาว่าฉันทิ้งแกก็แล้วกัน”

จบคำเพลงพนัสก็ลุกพรวด ตรงดิ่งไปที่ประตูห้อง แต่ติดที่มือของไอ้เพื่อนจอมป่วนคว้าแขนไว้ก่อน

“ฉันขอโทษ แกอย่าโกรธฉันเลยลูกไม้ อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนนะ”

ธัชชัยโอดครวญเหมือนทุกทีที่มันมาง้อ แต่ครั้งนี้เธอจะไม่ใจอ่อนอย่างเด็ดขาด

“ไม่ ไม่อยู่แล้ว! ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับแกแล้ว ไอ้กะล่อนเอ๊ย!” เธอสะบัดแขนออก แต่เขาก็อ้อมมาดักหน้าไว้

“แต่ฉันยังอยากเป็นเพื่อนกับแกนี่ ยังไงแกก็เป็นเพื่อนฉันนะเว่ย”

“เฮอะ…” เพลงพนัสเบือนหน้าไปทางอื่น “แกบอกว่าแกโง่ แต่รู้ไหมว่าคนที่โง่จริง ๆ คือฉันต่างหาก”

“ไอ้ลูกไม้…” ธัชชัยร้องคราง แล้วปล่อยมือออกจากแขนเธอ “แกคิดว่าฉันหลอกแกมาหรือไง คิดว่าที่ฉันเสียใจจะเป็นจะตายเป็นเรื่องเสแสร้งงั้นเหรอ จริงอยู่ว่าฉันกับผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เป็นอะไรกัน เขาแทบไม่คุย ไม่แยแสฉันเลยด้วยซ้ำ แต่ความรู้สึกของฉัน ความเสียใจที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องจริงนะเว่ย”

ความเงียบปกคลุมทั่วทั้งห้องอยู่ชั่วอึดใจ แล้วธัชชัยก็เอ่ยขึ้นว่า “แต่ถ้าแกคิดว่าฉันโกหกละก็ จะกลับก็ได้ ฉันจะไปกินเหล้าต่อ”

พูดจบเขาก็เดินผ่านเธอกลับเข้าไปข้างใน แล้วสุดท้ายก็กลับกลายเป็นตัวเธอเองที่อดรนทนไม่ไหว ต้องตามเข้าไปห้ามอีกจนได้

“พอแล้ว ไอ้ธัช หยุดซะทีเถอะ” หญิงสาวถลาไปแย่งแก้วเหล้ามาถือไว้ “ฉันเชื่อแกแล้ว ฉันขอโทษ”

เพลงพนัสไล่ให้ไอ้เพื่อนขี้งอนไปอาบน้ำชำระความเน่าที่หมกไว้กับร่างตลอดช่วงเวลาอกหัก เมื่อเขากลับออกมาจากห้องน้ำก็ดูสดใสขึ้น ชายหนุ่มเช็ดผมซึ่งเพิ่งสระเสร็จด้วยผ้าขนหนูขณะเดินเข้ามาดูเธอซึ่งถือวิสาสะเล่นคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กของเขาโดยไม่ได้ขอก่อน

“ทำอะไรวะ”

“ฉันรู้แล้วเว่ยว่าจะช่วยแกยังไงดี”  เพลงพนัสส่งยิ้มหมายมาด ราวกับเรื่องผิดใจเมื่อครู่ได้ละลายหายไปเหมือนน้ำแข็งหลอดในแก้วเหล้า เธอกับเขาเป็นอย่างนี้เสมอมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม มหาวิทยาลัย เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ทะเลาะกันแทบตาย แต่ก็หายได้รวดเร็วราวกับดีดนิ้ว

“ยังไงล่ะ”

หญิงสาวตบโซฟาสองทีเป็นเชิงว่าให้นั่งลงข้าง ๆ แล้วเบี่ยงหน้าจอโน้ตบุ๊กให้ดู

“ในเมื่อผู้หญิงเขาไม่สนใจ แกก็หาใหม่สิวะ ไม่เห็นจะยาก  และนี่… เพจ ‘โสดเสงี่ยมเลี่ยมทอง’ เคยได้ยินไหม”

“อ๋อ เพจที่ลงรูปกับประวัติคร่าว ๆ ของหนุ่มโสดสาวโสดน่ะเหรอ ที่ว่าส่งตัวเองมาลงเพจก็ได้ หรือส่งเพื่อนโสด ๆ มาแนะนำก็ได้ อย่างนั้นใช่หรือเปล่า”

“ใช่ ๆ แล้วท้ายประวัติก็มีชื่อเพจเฟสบุ๊กอยู่ ถ้าเราสนใจคนไหนก็ติดต่อไปจีบกันเองทีหลัง”  หญิงสาวพูดพลางเลื่อนหน้าเพจลงมาเรื่อย ๆ “แกดูสิ มีสาวสวย ๆ น่ารัก ๆ ทั้งนั้นเลย สาวไทยคม ๆ ก็มี ลูกครึ่งฝรั่งก็มี สวยเอกซ์เซ็กซ์บึมอย่างที่แกชอบก็มี ได้ยินชื่อเพจนี้มานานแต่เพิ่งเคยเข้ามาดู ไม่นึกเลยว่าจะแจ่มขนาดนี้”

แต่ทว่า ไอ้คนช้ำรักกลับส่ายหน้า  “ไม่เอาว่ะ”

“อ้าว ทำไมล่ะ”

เขาก้มศีรษะเช็ดผม ไม่สนใจหน้าจออีก “ผู้หญิงคนนั้นใช่ที่สุดแล้ว ฉันคงไม่สามารถรักใครได้อีกแล้วว่ะ”

หญิงสาวผลักหัวเปียกหมาด ๆ ที่กำลังฟูได้ที่ให้หน้าทิ่มลงไปอีก

“โอ๊ย! ไอ้ลูกไม้! เดี๋ยวได้คอหักตายกันพอดี”

“อย่ามาดราม่าน่า แกยังไม่ได้คบกับผู้หญิงคนนั้นสักหน่อย แล้วทำมาพูดว่าเขาใช่ที่สุด รักคนอื่นไม่ได้แล้ว ปัดโธ่… มานี่ ลุกขึ้นมา มีสาว ๆ สวย ๆ รอแกอยู่อีกตั้งเยอะตั้งแยะเต็มหน้าเพจเนี่ย ดูสิ”

“แกไม่เข้าใจฉันหรอก แกมันไม่มีหัวใจนี่หว่า”

“ตกลงแกจะมาเลือกดูสาว ๆ หรือจะให้ฉันเอารูปเอาประวัติแกไปลง เลือกเอา”

แต่ทั้งที่ยื่นคำขาด ไอ้เพื่อนชายกลับลุกหนีไปเสียอย่างนั้น

“ไม่ลงไม่เลือกอะไรทั้งนั้นแหละ แกเป็นคนบอกเองให้เชื่อในพรหมลิขิต ไม่ใช่หรือไง”

“พรหมลิขิต?”

“ใช่ คุณพรหมลิขิตอะไรของแกนั่นน่ะ”

นิ้วมือเรียวที่กำลังเลื่อนหน้าเพจหยุดชะงักเมื่อใครคนหนึ่งซึ่งมีตัวตนอยู่ในซอกหลืบลึกสุดของลิ้นชักแห่งความทรงจำได้กลับปรากฏเป็นภาพเลือนราง ใครคนหนึ่งที่เธอเคยหลงรัก แต่ก็มีตัวตนแค่ในจินตนาการเท่านั้น หาใช่ในชีวิตจริงไม่

 

‘เฮ้ย ลูกไม้!’ ธัชชัยในชุดนิสิตผูกเนกไทเดินอาด ๆ เข้ามาในห้องเอนกประสงค์ มีกลุ่มเพื่อนนิสิตล้อมโต๊ะติวหนังสือกันอยู่ เขาถอดกระเป๋าสะพายใบโตวางลงกับเก้าอี้ ‘แกติวไบโอให้ฉันหน่อยสิ’

เพลงพนัสเงยหน้าจากหนังสือ ดึงอมยิ้มออกจากปากดังจ๊วบ ‘เอ๊ะ ไอ้นี่ คนเขาอ่านฟิสิกส์กันอยู่ ไม่เห็นหรือไง’

‘น่า… แกติวให้ฉันก่อน ฉันมีสอบพรุ่งนี้ ยังไม่ได้อ่านสักกะตัว’

หญิงสาวค้อนตาแทบกลับ ‘แกสอบ แล้วฉันไม่สอบหรือไง มันก็สอบพร้อมกันทั้งคณะนั่นแหละวะ’

‘ก็นั่นน่ะสิ พรุ่งนี้สอบไบโอ แล้วแกจะรีบอ่านฟิสิกส์ทำป๊ะอะไรวะ สอบตั้งวันศุกร์’

‘ก็ฉันไม่ถนัดฟิสิกส์นี่ เลยต้องอ่านเยอะกว่าวิชาอื่น แกเก่งฟิสิกส์ก็พูดได้สิ’

‘เออ ๆ เดี๋ยวฉันติวฟิสิกส์ให้ แต่ตอนนี้ขอไบโอก่อนเถอะนะ’ ตอนแรกทำเสียงเหมือนรำคาญ แต่ท้ายประโยคนั้นแทบกราบกรานกันเลยทีเดียว เพลงพนัสทำท่าถอนใจแรง ๆ แล้วชี้มือไปยังเก้าอี้ตัวหลังสุดซึ่งทุกคนวางกระเป๋ากองรวมกันไว้

‘แกเอาชี้ตสรุปวิชาไบโอในกระเป๋าฉันให้หน่อย อยู่ช่องหลัง ๆ น่ะ’

ธัชชัยทำตามอย่างว่าง่าย และทุกอย่างคงเป็นไปอย่างราบรื่นหากว่านายเพื่อนรักไม่พูดอะไรพิลึก ๆ ออกมา

‘เฮ้… นี่มันกระดาษอะไรน่ะ คุณพรหมลิขิตของลูกไม้… ข้อหนึ่ง สูง สมาร์ต หน้าตาหล่อถูกใจ หุ่นนักกีฬาฟิตเปรี๊ยะ’

เท่านั้นละ เพลงพนัสตาเหลือก หันขวับไปมอง เพื่อน ๆ ที่อ่านหนังสือร่วมโต๊ะก็ไม่ต่าง พริบตาเดียวหญิงสาวเจ้าของกระดาษก็โจนพรวดถึงตัวธัชชัย

‘ข้อสอง เป็นวิศวกร…’

‘ไอ้ธัช เอาคืนมานะ’

หญิงสาวไม่อาจส่งเสียงดังได้เพราะเป็นห้องสาธารณะซึ่งนิสิตกลุ่มอื่น ๆ กำลังตั้งใจติวหนังสือกันอยู่ ธัชชัยไม่ยอมคืนให้จนกว่าเธอจะยอมบอกว่ากระดาษแผ่นนี้คืออะไรกันแน่ สุดท้าย หญิงสาวจึงต้องยอมเปิดปากเล่า

‘ยัยรุ้งบอกว่าคนเราควรตั้งเป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจน เรื่องความรักก็เหมือนกัน ให้ตั้งสเปกไว้เลยว่าอยากได้คู่ชีวิตแบบไหน ลงรายละเอียดให้มากที่สุด เขียนเก็บไว้อ่านบ่อย ๆ จนรู้สึกเหมือนว่าเขามีตัวตนจริง ๆ แล้ววันหนึ่งเราก็จะได้เจอกัน’ หญิงสาวพูดไปก็บิดชายเสื้อนิสิตที่ปล่อยออกนอกขอบเอวกระโปรงไป

‘แกก็เลยเขียนสเปกชายในฝันของแกไว้เต็มหน้ากระดาษ ตั้ง 150 ข้อ งั้นสิ’

‘ใช่แล้ว’ เธอตอบรับเสียงอ่อนเสียงหวาน ‘ไม่ได้เขียนเฉย ๆ นะ ฉันตั้งชื่อด้วยว่าคุณพรหมลิขิต ความจริงเขียนไว้ตั้งแต่ ม. 6 แล้วแหละ พกติดกระเป๋าไว้ตลอดแทนเครื่องรางความรักที่เขาฮิตกันที่ญี่ปุ่น น่ารักใช่ไหมล่ะ’

‘น่ารัก’ ธัชชัยพ่นลมออกทางจมูก ‘น่ารักก็บ้าแล้ว เพ้อเจ้อสุด ๆ ต่างหาก’

เพลงพนัสคว้ากระดาษคืนฉับ ‘เออ ไม่เชื่อก็ไม่ต้องเชื่อ แล้วอย่ามาบ่นทีหลังก็แล้วกันว่าได้แฟนไม่ตรงสเปก โอมเพี้ยง…ขอให้แกได้เมียตรงข้ามกับที่แกชอบทุกอย่าง ชอบขาวขอให้ได้ดำ ชอบเอกซ์ ๆ ขอให้ได้ไม้กระดาน สาธุ’

‘ไม่กลัวโว้ย แล้วฉันจะคอยดูหนังหน้านายพรหมลิขิตของแกว่าจะได้ครบเป๊ะทั้ง 150 ข้อหรือเปล่า หรือว่าแกจะได้ขึ้นคานก่อนกันแน่ เพราะมัวแต่เลือกมาก’

เพลงพนัสเชิดหน้าใส่ ‘เรื่องของฉันน่า ไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ ใคร ๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น เชอะ!’

 

คุณพรหมลิขิตงั้นเหรอ…

ภาพในวันวานสมัยยังเป็นนิสิตวัยใสช่างน่าเอ็นดูจนเธออมยิ้ม นายธัชชัยจอมแสบในวันนั้นก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมเท่าใดนัก ตอนนี้เขากำลังนั่งโซ้ยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ข้าง ๆ

“แล้วไงวะธัช สรุปว่าแกก็แอบไปนั่งเขียนสเปกสาวในฝันบ้างงั้นสิ”

“ก็ไม่เชิง” เขาตอบ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ “ฉันแค่ชัดเจนกับตัวเองมากขึ้นว่าชอบผู้หญิงแบบไหน แล้วมองหาแต่แบบนั้น จริง ๆ แล้วมันเป็นหลักทางจิตวิทยาเว่ยว่า เราจะมองเห็นในสิ่งที่เรามองหา ดังนั้นถ้าชัดเจนว่าต้องการอะไร เดี๋ยวตามันก็จะเห็นเองแหละ  ไม่ใช่ว่าจะได้ตามที่เขียนขอ แบบนั้นมันเรียกว่างมงาย”

“อะโด่เอ๊ย… ไม่ต้องมาว่าเลย ถึงจะคนละวิธีกันแต่หลักการก็เหมือนกันนั่นแหละวะ  แหม… มาว่าเราเพ้อเจ้อบ้างละ งมงายบ้างละ สุดท้ายตัวเองก็ทำ ถุ๊ย!”

ชายหนุ่มกระแอมนิดหนึ่ง ไม่รู้ว่าที่ติดคอนั่นคือบะหมี่หรือน้ำลาย

“ว่าแต่แกเหอะลูกไม้ ไหนว่าต้องคุณพรหมลิขิตเท่านั้นไง ดูแฟนแกแต่ละคนสิ คัดสรรมาดี ๆ ทั้งนั้น”

แน่นอน นายนี่มันประชด แฟนเก่าสองสามคนที่ผ่านมาในชีวิตไม่เฉียดใกล้ความเป็นคุณพรหมลิขิตเลยสักนิด แถมยังคบกันแค่ช่วงสั้น ๆ ไม่กี่เดือนด้วยซ้ำ เลิกกันเพราะฝ่ายชายคบซ้อนบ้าง เปลี่ยนไปเพราะหมดความสนใจกันแล้วบ้าง จนเธอเบื่อหน่ายที่จะมีความรักอีกแล้ว จึงเป็นเหตุผลที่หลังจากเรียนจบมา หญิงสาวก็เลือกทำงานเป็นนักกีฏวิทยาอยู่ในป่าเขาภูมิลำเนาของตนเอง ในเมื่อผู้ชายดี ๆ มันหาไม่ได้ ก็ขออยู่กับเจ้าแมลงตัวน้อยน่ารักยังจะดีซะกว่า

“เพราะฉันเชื่อแกไง ที่บอกว่าเขียนสเปกแบบนี้มันเพ้อเจ้อ ให้ลองเปิดใจให้คนจริง ๆ ไม่ใช่คนในกระดาษ ฉันก็ทำตามที่แกบอกแล้วไง จะมาว่าอะไรอีกล่ะ”

ธัชชัยคีบบะหมี่ค้าง “เฮ้ย สรุปเราสองคนสลับกันเหรอวะเนี่ย”

หญิงสาวพ่นลมหายใจ “ช่างมันเถอะ เอาเป็นว่าฉันจะหาสาวน่ารัก ๆ มานำเสนอแก จะได้หายเป็นบ้าเพราะผู้หญิงคนเดียวที่เขาไม่เอาแกซะที”

แล้วเพลงพนัสก็กลับมาสนใจหน้าจอที่ยังเปิดค้างอยู่บนตักต่อ มีสาวสวยน่ารักละลานตาไปหมด แต่ผ่านไปคนแล้วคนเล่านายธัชชัยก็ยังไม่ถูกใจ

แต่แล้วทันใดนั้นเอง นิ้วมือของเธอก็เลื่อนไปเจอหนุ่มโสดคนหนึ่งในชุดกีฬาขาวสะอาด คาดสายคาดเอวสีน้ำตาลปลายดำ ในมือชูเหรียญรางวัลสีทองซึ่งมีสายคล้องอยู่กับลำคอ ใบหน้าซึ่งประปรายด้วยคราบเหงื่อนั้นช่างดูแจ่มใส ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นประกายเจิดจรัสราวกับรวมดาวระยับทั้งผืนฟ้ามาไว้ในนัยน์ตา

เพลงพนัสไม่อาจเลื่อนผ่านไปได้เหมือนอย่างที่ข้ามผ่านหนุ่มโสดคนอื่น ๆ วินาทีนี้ที่ได้สบตากับชายในจอคอม ก็เหมือนนิ้วมือจะเป็นอัมพาตไปชั่วขณะ

เธอคลิกเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมก็พบรูปถ่ายของชายผู้นี้อีกมากมายหลายรูป พร้อมทั้งคำบรรยายพอสังเขป หญิงสาวเบิกตากว้าง ทุกตัวหนังสือที่เคลื่อนผ่านเข้ามาในสายตาราวกับจะเรียงคิวกันมาเคาะหัวใจให้ดังเป็นจังหวะตึก ๆ ตัก ๆ สมองประมวลผลเปรียบเทียบข้อมูลใหม่กับข้อมูลดั้งเดิมตั้งแต่สมัยเป็นเด็กสาวอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งที่ดูจะทำงานทรงประสิทธิภาพยิ่งกว่าประสาทสัมผัสส่วนอื่นก็คือ สัญชาตญาณ

เพลงพนัสรู้สึกถูกชะตากับชายผู้นี้อย่างบอกไม่ถูก ยิ่งดูรูปก็ยิ่งตื่นเต้น ยิ่งอ่านประวัติก็ยิ่งแน่ใจ และบัดนี้ หัวใจของเธอซึ่งเคยชินชาและแห้งผากมาตลอดก็กำลังสั่นระรัวราวกับลั่นระฆังเฉลิมฉลอง

“แก… ฉันเจอว่ะ” เสียงของเธอเบาหวิวขณะลอดพ้นริมฝีปาก

“เจอคนรู้จักหรือไง ทำไมต้องทำเสียงต่ำ ๆ ด้วยวะ หลอนชะมัด”

“ไม่ใช่ ฉันเจอ…”

“ว่าไงนะ ฟังไม่รู้เรื่องเลย สรุปว่าเจอใคร”

เพลงพนัสไม่ได้หันไปมองเพื่อนหนุ่มเลยแม้แต่ปลายหางตา ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เธอยังไม่อาจละสายตาไปจากสิ่งที่เห็น

“ฉันเจอจริง ๆ ว่ะแก มาดูนี่เร็ว”

เธอเอ่ยเสียงแผ่วเบา ราวกับกลัวว่าหากสิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเป็นเพียงความฝันแล้ว  การพูดเสียงดังจะทำให้ม่านหมอกแห่งความฝันนี้สลายไปเสียได้

ธัชชัยเอ่ยน้ำเสียงรำคาญ “เจอสาวน่ารักใช่ไหม บอกแล้วไงว่าไม่เอา ยังไม่เปิดใจให้ใครทั้งนั้นแหละ”

“ไม่ใช่…” เพลงพนัสตอบเสียงสั่นเครือ “ฉันเจอ… ฉันเจอ ‘คุณพรหมลิขิต’ แล้วจริง ๆ”



Don`t copy text!