Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก บทที่ 4 : สวัสดีครับคุณลูกไม้

Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก บทที่ 4 : สวัสดีครับคุณลูกไม้

โดย : แสนแก้ว

Loading

Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก นิยายออนไลน์ของ แสนแก้ว เรื่องราวของ ‘ลูกไม้’ นักกีฏวิทยาสาวที่บังเอิญต้องเข้าไปเป็นสมาชิกเว็บไซต์โสดเสงี่ยมเลี่ยมทองและได้พบกับชายในฝัน เธอต้องทำทุกวิถีทางให้เขาเห็นเธออยู่ในสายตาและรับเธอเข้าไว้ในหัวใจ ปฏิบัติการทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ยอมให้เขาทุ่มในสังเวียน! #นิยายสนุกๆ มีให้อ่านที่อ่านเอา

**************************

– 4 –

ทอรุ้งมาหยุดยืนอยู่หน้าอาคารให้เช่าอเนกประสงค์แห่งหนึ่ง เสียงเครื่องยนต์รถราบนท้องถนนดังกระหึ่มจอแจอยู่เบื้องหลัง แทรกด้วยเสียงรถไฟฟ้าแล่นผ่านไปตามราง หญิงสาวถอนหายใจแรงๆ ครั้งหนึ่งเพื่อปลุกขวัญและกำลังใจ กระชับสายกระเป๋ากีฬาใบย่อมซึ่งพาดอยู่บนไหล่ รุดหน้าขึ้นไปยังชั้นห้า

สังเกตว่าห้องอื่นๆ ในอาคารแห่งนี้ปิดไฟมืดกันเกือบหมดแล้ว บางห้องซึ่งเป็นกระจกใสก็มองเห็นพนักงานเก็บข้าวของเตรียมกลับบ้าน คงจะมีก็แต่ห้องกระจกขุ่นยาวตลอดแนวของชั้นห้านี้ที่เปิดไฟสว่างไสว หญิงสาวผลักประตูกระจกเข้าไปก็เจอกับเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เล็กๆ มีสาวน้อยร่างอวบ ผิวค่อนข้างคล้ำ อายุน่าจะประมาณยี่สิบต้นๆ นั่งประจำอยู่

แต่แล้วทอรุ้งก็นึกขันปนเขินเมื่อเดินเข้าไปใกล้แล้วพบว่าเด็กสาวไม่ได้นั่ง แต่ยืนเต็มความสูงแล้วต่างหาก สาวน้อยไหว้ทอรุ้งเร็วๆ แล้วแนะนำตัวว่าชื่อ มะกอก

“พี่เป็นนักเรียนใหม่ใช่ไหมจ๊ะ อย่าเพิ่งเข้าห้องจ้ะ มาลงชื่อเข้าเรียนตรงนี้ก่อน” น้ำเสียงสดใสดังมาด้วยสำเนียงที่ฟังปุ๊บก็รู้ปั๊บเลยว่า ลูกสุพรรณ ฟันธง!

ทอรุ้งจัดการเซ็นชื่อในเอกสารท้ายชื่อสกุลของตนเองตามที่บอก

“ขอให้เรียนสนุกๆ นะจ๊ะ” หนูมะกอกพูดแล้วยิ้มกว้างอวดฟันเก เอียงคอนิดๆ ฝ่ายทอรุ้งก็เพียงแค่ยิ้มตอบแบบแหยๆ ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะสนุกได้อย่างที่มะกอกอวยพรหรือไม่ เธออาจเหนื่อยไปหน่อยเพราะเพิ่งเลิกงานจากบริษัทมาร์เกตติงมา

หญิงสาวกำลังจะผลักประตูกระจกเข้าสู่ห้องยิมด้านใน แต่เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเสียก่อน ทอรุ้งผละมือจากที่จับประตูเพื่อรับสาย เห็นชื่อคนโทร.แล้วก็มีอันต้องทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ

“แหม ได้ฤกษ์โทร.กลับมาแล้วเหรอคะคุณเพื่อน นี่แกหายไปไหนมาเนี่ย ฉันติดต่อไม่ได้เลย นึกว่าหอบผ้าหอบผ่อน หนีตามกะเหรี่ยงชายแดนพม่าไปแล้วซะอีก”

“กะเหรี่ยงชื่อชัชแสนย์หรือเปล่า ถ้าใช่ ฉันก็จะไป” ปลายสายตอบเสียงเพ้อ

ทอรุ้งอยากจะยื่นมือผ่านเข้าไปในโทรศัพท์แล้วผลักหัวคนทางโน้นเสียจริง แต่ก็ทำเสียงหึ! ตอบกลับไปแค่นั้น

แม่เพื่อนสาวนักวิจัยหัวเราะ “โทษทีๆ ฉันเข้าป่าไปเก็บตัวอย่างแมลงกับทีมรอบสุดท้ายน่ะ เพิ่งกลับออกมา นี่ก็เหลือแค่ทำรายงานกับเปเปอร์แล้วละ ว่าแต่เห็นแกโทรมาเมื่อวันก่อนมีอะไรหรือเปล่าจ๊ะ เออ ต้องมีสิเนอะ ไม่งั้นจะโทรมาทำไม แต่ว่าฉันมีเรื่องสำคัญอยากเล่าให้แกฟังเหมือนกัน ฟังของฉันก่อนไหม”

ยัยเพื่อนพูดเร็วปรื๋อมาเป็นรถด่วนขบวนพิเศษ เข้าป่าหลายวัน อัดอั้นที่ไม่มีคนพูดด้วยหรือไงนะ

“ไม่ แกฟังของฉันก่อน” ทอรุ้งกระแทกเสียงแบบไม่จริงจังนัก “ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน ให้ทาย”

อีกฝ่ายส่งเสียงเอ่อ อ่า อยู่ครู่หนึ่ง ทอรุ้งใจร้อนจึงเฉลยเองว่า “ฉันอยู่ที่ยูโดซันย่ะ!”

“ยูโดซัน? โรงเรียนคุณแสนย์?”

“ก็ใช่น่ะสิ”

“แกไปทำอะไรที่นั่นน่ะ หรือว่า…”

“ฉันมาเรียนยูโด มาเป็นแม่สื่อ เอ้อ…” เธอเหลือบไปมองมะกอก เห็นกำลังดูละครในโทรศัพท์อยู่ก็ลดเสียงลง “มาช่วยแกไงล่ะ”

“หูย…” ปลายสายร้องตอบมาด้วยน้ำเสียงปลาบปลื้มขั้นสุด “ฉันรักแกจังเลยรุ้ง แกสุดยอดมาก ฉันจะไม่มีวันลืมบุญคุณของแกเลย”

“แกต้องกราบไหว้บูชาฉันแล้วละ จะหาเพื่อนที่ไหนประเสริฐเท่าฉันไม่มีอีกแล้ว” หญิงสาวได้ทีก็รีบเกทับลงไปหนักๆ แต่ใจจริงแค่พูดให้ฟังดูตลกไปอย่างนั้นเอง

“แน่นอน รุ้ง…นับจากนี้ไปฉันสัญญาว่าจะเซ่นไหว้แกด้วยน้ำเขียวน้ำแดง ถ้าวันไหนแกคอแห้งอยากกินขึ้นมา ไม่ต้องซื้อนะเว้ย ฉันจะซื้อให้แกเอง ขอเป็นลูกศิษย์เจ้าแม่ทอรุ้ง เซ่นน้ำอัดลมแกไปตลอดชีวิต”

ทอรุ้งหัวคิ้วกระตุก นึกในใจว่า เอ๊ะ อีนี่…แต่ก็ไม่ได้เอ่ยออกมาเพราะเกรงใจหนูมะกอก

“แต่ว่านะรุ้ง ฉันมีเรื่องจะสารภาพว่ะ” ปลายสายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คือ แกอย่าโกรธฉันนะเว้ย”

ทอรุ้งขมวดคิ้ว “เฮ้ย เกิดอะไรขึ้น ลูกไม้”

“คือว่า…” อีกฝ่ายสูดลมหายใจราวกับเรื่องที่จะพูดนั้นช่างหนักอก “ฉันเพิ่งออกจากป่ามา ก็เลยเพิ่งเห็นข้อความเตือนในโทรศัพท์ คุณแสนย์ตอบมาแล้วแก!”

“ฮะ!” ทอรุ้งอ้าปากค้าง หางตาเหลือบเห็นมะกอกสะดุ้งโหยง

“ฉันขอโทษ ไม่รู้จริงๆ ว่าแกสมัครเรียนไปแล้ว แต่ว่า…คุณแสนย์ตอบมาแล้วละแก แกดีใจกับฉันใช่ไหมรุ้ง”

ทอรุ้งบอกไม่ถูกว่าตอนนี้รู้สึกยังไง มันมึนงงไปหมด เงยหน้าดูป้ายโลโก้วงกลมรูปดวงอาทิตย์สีแดงก็ได้แต่สงสัยว่าเธอมาทำอะไรที่นี่

ลูกไม้คงเห็นเธอเงียบไปจึงรีบพูดต่อว่า “แต่แกไม่ต้องกังวลนะรุ้ง เดี๋ยวฉันออกค่าเรียนให้เอง แกเรียนยูโดก็ดีเหมือนกันนะ เหมาะกับแกออก”

“ไม่ต้องเลย ฉันไม่เรียนแล้ว ในเมื่อแกหาทางติดต่อกับสามีในอนาคตของแกได้แล้ว ก็หมดหน้าที่ฉันละ”

“เฮ้ย เดี๋ยวสิรุ้ง ใจเย็นๆ ก่อน”

“นั่นสินะ ถ้าฉันใจเย็นสักหน่อย ก็คงไม่ต้องมาเรียนเก้ออย่างนี้หรอก”

“รุ้ง…แกอย่าโกรธเลยนะ ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ ฉันไม่น่าทำให้แกต้องลำบากเลย”

ผู้ฟังทางนี้ไม่อาจพูดคำใด ได้แต่กัดปากข่มอารมณ์ไว้ เธอไม่ได้โกรธ ทุกอย่างเป็นเรื่องสุดวิสัยที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น หญิงสาวลอบถอนหายใจยาว ในเมื่อลูกไม้หาทางติดต่อกับผู้ชายของเจ้าหล่อนได้แล้ว เธอก็หมดประโยชน์ กลับคอนโดฯ พักผ่อนให้หายเหนื่อยจะดีกว่า

ทอรุ้งปาดไล่น้ำตาที่เอ่อมาตรงขอบตา หลังจากวางสายก็ตรงไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์อีกครั้ง ถามสั้นจนเกือบห้วนว่า “ถ้าลาออกตอนนี้ ได้รับเงินคืนไหมคะ”

มะกอกกะพริบตาปริบๆ คงสงสัยว่าเพิ่งจะเซ็นชื่อเข้าเรียน ยังไม่ทันเข้าห้องก็จะลาออกซะแล้ว

“เอ่อ เงินน่ะคืนได้จ้ะ แต่อย่าเพิ่งลาออกเลย ลองเรียนดูก่อน ชอบไม่ชอบไม่ว่ากัน ค่อยตัดสินใจอีกทีก็ได้นะจ๊ะ”

“ไม่ละค่ะ ตัดสินใจแล้วว่าไม่เรียน ต้องทำเรื่องยังไงบ้างคะ”

มะกอกหน้าเสีย เจอท่าทีสวยเชิดคมดุของเธอเข้าไปคงกลัวสิท่า สุดท้ายสาวสุพรรณอึกอักอยู่ครู่ก็ยอมเปิดลิ้นชักหยิบเอกสารการลาออกมาวางให้

“เอ่อ ขอทราบเหตุผลที่ลาออกหน่อยได้ไหมจ๊ะ เดี๋ยวหนูต้องไปรายงานพี่แสนย์ เอ่อ เจ้าของน่ะจ้ะ พี่มาถึงปุ๊บก็เปลี่ยนใจลาออกปั๊บเลยแบบนี้ หนูต้องโดนพี่แสนย์ซักแน่”

ทอรุ้งชะงักปากกาที่กำลังกรอกใบลาออก เหตุผลงั้นเหรอ

“คิดไม่ออก ก็ไม่ต้องลาออกหรอกคุณ”

ทันใดนั้นเอง เสียงเข้มๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลัง ทอรุ้งหันไปก็พบกับชายหนุ่มผิวเข้มผู้หนึ่งในชุดยูโดสีขาวสะอาด สายคาดเอวสีดำ ยืนตีหน้าเข้มจ้องมองเธอนิ่ง

แวบแรกที่เห็น หญิงสาวยอมรับว่าแอบตกใจในรูปร่างสูงใหญ่และใบหน้าดุดันของอีกฝ่าย คิ้วเข้มกับดวงตาคมกริบนั่นดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย เรือนผมดำขลับหยักศกตามธรรมชาติทำให้เธอคิดถึงนายหัวหฤษฎ์ในเรื่องจำเลยรักมากกว่าใครอื่น

ทอรุ้งคุ้นหน้าเขาเหลือเกินแต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอกันที่ไหน แต่ยังไงก็คงไม่ใช่นายหัวหฤษฎ์แน่ๆ

“เรียนเถอะคุณ ไม่ยากหรอก โดนทุ่มสองสามทีเดี๋ยวก็เป็น”

“ไม่เป็นไรค่ะ ไม่เรียนแล้วดีกว่า ขออนุญาตนะคะ”

ทอรุ้งละความสนใจไปเสีย เขาจะเป็นใครยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเธอ เพราะเธอจะไม่ข้องเกี่ยวกับยูโดซันอีกต่อไป ครั้นแล้วก็หยิบปากกามาจะกรอกใบลาออกต่อ แต่ทว่า…

“ทำไมล่ะ เกิดกลัวอะไรขึ้นมา”

“กลัว?” หญิงสาวหันขวับ “ไม่ได้กลัวค่ะ แค่ไม่อยากเรียนแล้วเฉยๆ ทำไมคะ ที่ยูโดซันไม่อนุญาตให้นักเรียนที่ไม่อยากเรียนแล้วลาออกหรือไง จะไม่คืนเงินก็ได้ ยังไงฉันก็จ่ายไปแล้วนี่”

“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินหรอกนะคุณ” ชายหนุ่มก้าวมายืนตรงหน้า สีหน้าเข้มๆ นั้นดูไม่ค่อยพอใจ “แต่มันเกี่ยวกับเรื่องชื่อเสียงของโรงเรียนเรา นักกีฬาเรามีแต่ต่อคอร์สเรียนกันทั้งนั้น อาจมีบ้างที่เข้าคลาสครั้งแรกแล้วลาออกไปเพราะไม่ชอบสไตล์การสอน แต่ไม่ใช่คุณที่ ‘อุตส่าห์’ รีบสมัครให้ทันวันสุดท้าย แต่แล้วก็ ‘อุตส่าห์’ มาถึงที่นี่เพียงเพื่อจะลาออก แล้วนี่…” เขาชี้ไปที่กระเป๋ากีฬาของเธอ “เตรียมชุดมาแล้วด้วยไม่ใช่หรือไง ทำไมจู่ๆ เกิดเปลี่ยนใจล่ะครับ”

หางเสียงคำสุดท้ายช่วยให้ทอรุ้งใจเย็นลงได้นิดหน่อย แต่ก็นิดเดียวเท่านั้น

“ขออนุญาตไม่ตอบค่ะ เป็นเหตุผลส่วนตัว”

ชายหนุ่มตัวโตหน้าตึงขึ้นทันใด “แล้วเหตุผลที่สมัครเรียนล่ะครับ”

“ก็ขออนุญาตไม่ตอบ มันเรื่องของฉันค่ะ”

“โอเค ก็ดีเหมือนกันครับ” เขาพยักหน้า แล้วจ้องตาเธอนิ่ง “ถ้าคุณไม่ได้มาเพราะสนใจยูโดจริงๆ ก็ไปเถอะ ผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาสอนด้วย คนที่ไม่มีใจรัก สอนเท่าไรก็ไม่เก่งหรอก เหนื่อยเปล่า เข็นไม่ขึ้น”

ทอรุ้งรู้สึกเหมือนหัวคิ้วกระตุกยิกๆ “นี่คุณกำลังดูถูกฉันอยู่นะคะ”

“เปล่าครับ ผมว่าคนที่ไม่ได้มาเรียนเพราะสนใจจริงๆ ต่างหาก  หรือคุณจะยอมรับว่าเป็นหนึ่งในคนพวกนั้นที่มาที่นี่ด้วยจุดประสงค์อื่น”

“จุดประสงค์อื่น?”

“ก็อย่างเช่น” เขาเบ้ปาก ผายมือสองข้างแล้วยักไหล่ “เรียนตามเพื่อน ตามกระแส หาแฟน ไม่รู้สิ”

“ฉัน…” จะเถียงว่าไม่ได้มาที่นี่เพื่อหาแฟนแต่ก็ไม่อาจพูดได้ เพราะอันที่จริงมันก็ถูกครึ่งหนึ่ง

“เงียบทำไมล่ะ แทงใจดำหรือไง”

“ฉันไม่ได้มาหาแฟนหรอกนะ หรือถึงจะมาเพื่อหาแฟนจริงก็ไม่มองคนอย่างคุณแน่ๆ สบายใจได้ค่ะ”

เขาก้าวเข้ามาจนเกือบประชิดตัว ทอรุ้งเชิดหน้าขึ้นกลั้นใจไม่ถอยเท้าอย่างเด็ดขาด จ้องสบสายตาคมกล้าดุดันนี้ไม่มีหลบ แม้ใจจริงจะแอบสั่นไหวอยู่ก็ตาม

“งั้นก็เชิญคุณกลับไปเถอะ”

แล้วชายหนุ่มผู้นี้ก็ล่าถอย ทอรุ้งแอบผ่อนลม กระหยิ่มใจว่าเธอชนะ

และคงจะกลับบ้านได้อย่างมีความสุขหากไม่ได้ยินประโยคต่อมา

“ผู้หญิงใจเสาะปากเสียแบบนี้ ผมไม่อยากได้เป็นศิษย์หรอก”

“ว่าไงนะ!” ทอรุ้งวิ่งไปดักหน้าคนที่ก้าวยาวๆ พรวดเดียวถึงหน้าประตูยิม “คุณว่าใครใจเสาะ และว่าใครปากเสียมิทราบ”

“อะไรอีกล่ะคุณ อยากลาออกผมก็ไม่ห้ามแล้วไง จะตามมาทำไมอีก”

“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ฉันจะเรียน อยากรู้นักว่าถ้าได้ทุ่มผู้ชายกวนประสาทสักคน มันจะรู้สึกยังไง”

ทอรุ้งประกาศกร้าว จ้องหน้าเขานิ่งอย่างกับจะจดจำให้ขึ้นใจ จะได้ไม่เผลอไปทุ่มผิดตัว

ชายหนุ่มมองเธอครู่เดียวก็หันไปทางอื่น ผลักประตูกระจกเข้าไปในยิม ขณะตอบเพียงว่า

“นั่นมันก็เรื่องของคุณไม่ใช่เหรอ”

ทอรุ้งกำหมัดแน่นอยู่ตรงหน้าประตูนั้นเอง อยากจะกรี๊ดออกมาให้สมกับที่อัดอั้น ถ้าไม่ติดว่านี่ไม่ใช่บ้านก็คงทำไปแล้ว

ชายตัวโตคนนั้นเดินอาดๆ เข้าไปข้างในไม่หันมาสนใจทางนี้อีก ระหว่างทางมีนักกีฬาทั้งหญิงชายยกมือไหว้เขาราวกับเป็นคนสำคัญของที่นี่ ครั้นแล้วทอรุ้งก็เกิดนึกออกโดยพลันว่าเคยเห็นเขาที่ไหน

ไม่ใช่อื่นไกล ในเว็บไซต์ของยูโดซันนั่นแหละ ในหน้าแนะนำตัวโคช มีคนคนนี้อยู่ด้วย

ถ้าจำไม่ผิด นายนี่ก็คือ ‘โคชโอห์ม’ หนึ่งในผู้ก่อตั้งโรงเรียนยูโดซันร่วมกันกับคุณแสนย์

นักกีฬายูโดสายดำ อดีตทีมชาติไทย…

แล้วไง คนอย่างอีรุ้งต้องกลัวด้วยหรือไง หึ!

เพลงพนัสอมยิ้มหวาน มองหน้าจอโทรศัพท์มือถือแล้วแนบเข้ากับหน้าอกในตำแหน่งหัวใจ เสียงดังตึกตักข้างในยิ่งย้ำชัดว่าเธอดีใจเหลือเกินที่ในที่สุดคุณแสนย์ก็ตอบกลับมา

 

แสนย์ : สวัสดีครับคุณลูกไม้ ยินดีที่ได้รู้จักครับ

 

หลายวันที่ชัชแสนย์เงียบไปอาจเป็นแค่ความขัดข้องทางเทคนิคนิดหน่อย แต่ตอนนี้ได้คุยกันแล้ว เธอกับเขาเริ่มสนิทสนมและสานต่อความสัมพันธ์กันอย่างรวดเร็ว ลบล้างข้อกล่าวหาของธัชชัยที่ชอบมาค่อนแคะว่าเธอเพ้อเจ้อ

ในที่สุดชัชแสนย์ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เขาคือคุณพรหมลิขิตตัวจริงเสียงจริง ไม่ผิดจากที่เธอสัมผัสได้ด้วยสัญชาตญาณตั้งแต่แรกเห็น

คิดว่าจะเป็นอย่างนั้น ใช่…ทีแรกเธอก็หวังให้เป็นอย่างนั้น

แต่เรื่องจริงมันไม่ใช่

หลังจากคิดอยู่นานว่าจะตอบกลับชัชแสนย์อย่างไรดี ในที่สุดเธอก็พิมพ์ไปว่า

 

ลูกไม้ : ช่วงนี้เป็นไงบ้างคะ เห็นว่าคุณแสนย์เป็นทั้งวิศวกรและสอนยูโดด้วย น่าสนุกนะคะ

 

แล้วเวลาก็ผ่านไปนานหลายชั่วโมงกว่าเขาจะตอบว่า

 

แสนย์ : ครับ ทำทั้งสองอย่าง สนุกมากครับ

 

หญิงสาวนึกอยู่พักใหญ่ว่าจะพิมพ์อะไรต่อดี ก่อนจะมาลงตัวที่ว่า

 

ลูกไม้ : ทำงานหลายอย่างอย่างนี้ อย่าลืมหาเวลาพักผ่อนบ้างนะคะ

 

ข้ามมาจนเช้าวันรุ่งขึ้นนั่นละ จึงพบข้อความเขาตอบเธอว่า

 

แสนย์ : ขอบคุณครับ

 

ทุกๆ วันก็เป็นอยู่เช่นนี้ ชัชแสนย์จะตอบมาหนึ่งบรรทัดเป็นอย่างมาก หรือหากสิ่งที่เธอพิมพ์ไปไม่ใช่คำถาม เขาก็จะอ่านโดยไม่ตอบ

สถานการณ์จะว่าดีก็ไม่ใช่ แย่ก็ไม่เชิง

ไม่ใช่ว่าเขาจงใจไม่ตอบแล้วปล่อยให้ทุกอย่างห่างหายไปเอง เขาก็ตอบบ้างแต่อาจจะช้าหน่อย แค่เกือบครึ่งวัน…เขาไม่เคยถามเธอกลับ ไม่ได้อยากรู้อะไรเกี่ยวกับเธอเลย และที่สำคัญเขายังไม่รับคำขอเป็นเพื่อนในหน้าเพจด้วย หญิงสาวไม่กล้าทวงถาม ความสุภาพแต่ไว้ตัวของเขาทำให้เธอเริ่มเกรงใจจนไม่กล้าคุยด้วยแล้ว

เพลงพนัสไม่อยากด่วนสรุปว่า ตัวเองเดินมาจนถึงทางตัน แต่ไม่ว่าจะหันทางไหนก็ไม่เจอทางออกจริงๆ

หญิงสาวออกไปรดน้ำแปลงผักสวนครัวเล็กๆ ที่ปลูกไว้หน้าบ้านพักนักวิจัย เผื่อว่าสายน้ำซึ่งไหลจากสายยางจะช่วยให้ความคิดไหลลื่นได้บ้าง แล้วเธอก็นึกอะไรออก ลิลลี่เคยบอกว่าถ้าคุณแสนย์ตอบมาแล้วให้บอกด้วยนี่นา

“ฉันว่า ฉันเข้าใจคุณแสนย์นะ” เสียงเพราะๆ ที่ตอบมาทางปลายสาย ทำให้เพลงพนัสนึกถึงใบหน้าสวยมีเสน่ห์ของเพื่อน “ผู้ชายที่ทำทั้งงานประจำและธุรกิจส่วนตัวเนี่ย วันๆ นึงเขายุ่งมากเลยนะ เขาคงคิดถึงแต่เรื่องงานจนไม่มีเวลามาคุยเล่นจีบผู้หญิงหรอก และยิ่งเขาโพรไฟล์ดี เพอร์เฟกต์ขนาดนี้ แถมลงเพจโสดเสงี่ยมเลี่ยมทองออกสื่อสาธารณะอีก ก็คงมีสาวๆ ทั่วประเทศแชตมาจีบ บางทีอาจเป็นร้อยเลยด้วยซ้ำ

สมมตินะว่า ในแชตของเขามีผู้หญิงทักมา 100 คน  ข้อความของแกอาจอยู่ลำดับที่ 10 ซึ่งพอตอบไปแล้ว กว่าจะวนมาถึงแกอีกครั้งก็เลยนานหน่อย หรือถ้าข้อความของแกอยู่ลำดับที่ 100 ก็ขอให้ดีใจไว้ก่อนว่า ถึงจะลำดับสุดท้ายแต่เขาก็อุตส่าห์สละเวลาทำงานมาไล่ตอบจนถึงแกนะ”

เพลงพนัสคิดตามแล้วก็เหมือนเจอแสงสว่าง เธอเอาแต่หมกมุ่นในมุมของตัวเองจนลืมคำนึงว่า ชีวิตเขาตอนนี้เป็นอย่างไร การคุยกับลลิตาช่วยให้เห็นแง่มุมของคนเป็นหนุ่มฮอตสาวฮอตได้กระจ่างจริงๆ

“อีกอย่างนะลูกไม้ เวลามีคนแปลกหน้าทักมาหาฉัน ฉันก็ไม่รู้จะคุยอะไรเหมือนกัน ยิ่งถ้าอีกฝ่ายเป็นแค่คนธรรมดา ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ บอกตรงๆ ว่าฉันจะคิดว่า ทำไมฉันต้องลงทุน ลงเวลามาคุยกับคุณด้วย ถ้าอีกฝ่ายมีโพรไฟล์น่าสนใจทำให้รู้สึกว้าวขึ้นมาก็อาจจะอยากรู้จักบ้าง แต่ก็ไม่รู้จะคุยอะไรอยู่ดี”

“ดังนั้น ที่คุณแสนย์ตอบมาเรียบเฉยอย่างนั้น ก็ไม่แปลกสินะ” เพลงพนัสเอ่ยเหงาๆ

“ใช่ ไม่แปลกเลย เพราะฉันก็เป็นอย่างนั้น” ลลิตาตอบ “ยิ่งตอนงานยุ่งมากๆ ทั้งลูกค้า เจ้านาย ซัปพลายเออร์เร่งตามงานยิกๆ มาทางแชต จี้ยังกับเอามีดมาจ่อคอหอย เราก็ต้องรีบพิมพ์แชตตอบมือเป็นระวิงเลยใช่ไหม ถ้าหากมีคนแปลกหน้ามาชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ คิดเหรอว่าเราจะตอบได้ ไม่มีทางหรอก ก็คงผ่านแชตของเขาไปเลยจนบางทีลืมกลับมาตอบก็มี แต่ถามว่าตั้งใจจะเมินเฉยไหมก็เปล่าหรอก แค่มันยุ่งมากจริงๆ”

เพลงพนัสเห็นภาพตามเป็นฉากๆ เริ่มเห็นใจชายหนุ่มขึ้นมาจับใจ เขาต้องยุ่งมากแน่ๆ เพราะไหนจะงานหลักงานรองและผู้หญิงอีกเป็นร้อย ต่อแต่นี้ไปเธอจะไม่คิดฟุ้งซ่านในแบบที่จะเพิ่มภาระให้เขาอีก

“แล้วฉันควรทำยังไงดีล่ะลิลลี่”

ในเวลานี้ขอฟังทัศนะของสาวฮอตหน่อยเถอะว่า คนฮอตๆ เขาอยากให้เข้าหาแบบไหนถึงจะถูกใจ

“หนึ่ง แกต้องนำเสนอตัวเองให้เขารู้สึกว้าวให้ได้ เขาถึงจะเริ่มอยากรู้จัก แต่ไม่ใช่โฆษณาว่าฉันมีดีอะไรนะ ต้องค่อยๆ เผยแบบเนียนๆ  อย่าลืมว่าผู้หญิงอีกเป็นร้อยที่มาจีบคุณแสนย์ก็มีที่ทั้งสวย รวย เก่ง แล้วคนโพรไฟล์ดีอย่างคุณแสนย์เขาก็มีสิทธิ์เลือก ดังนั้นแกก็ต้องพรีเซนต์ตัวเอง อย่าให้น้อยหน้าคนอื่นเขา”

เพลงพนัสยังไม่เข้าใจหรอกว่า ในเชิงปฏิบัตินั้นต้องทำยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเอาอะไรในตัวเองมาทำให้เขาว้าวได้ แต่ยังไงก็ขอฟังข้อสองก่อนแล้วกัน

“สอง เวลาทักไปคุย ไม่ใช่ถามแค่ว่า ดีค่ะ ทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง แบบนี้มันเด็กมัธยมเขาจีบกัน  แกควรคุยเรื่องที่จะทำให้เขารู้จักแกมากขึ้นซึ่งสอดคล้องกับข้อหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ทำให้แกรู้จักเขามากขึ้นด้วย”

“เรื่องที่ทำให้ต่างคนต่างรู้จักกันมากขึ้น?”

“ถูกต้อง” ลลิตารับรองความเข้าใจของเธอ “เช่นว่า ช่วงนี้ปลายปีก็ชวนคุยเรื่องเป้าหมายปีหน้าสิว่าเขาตั้งใจจะทำอะไร แล้วแกก็แชร์เป้าหมายของตัวเองบ้าง เขาก็จะรู้แล้วว่า แกเป็นผู้หญิงมีเป้าหมาย ไม่ได้ล่องลอยไปวันๆ

หรือไม่ก็ถามเขาเรื่องลดหย่อนภาษี คุณแสนย์ลดหย่อนยังไงบ้างคะ ขอไอเดียหน่อย แกก็จะได้รู้ว่าเขามีนิสัยการใช้เงินยังไง คิดรอบคอบหรือเปล่า หรืออย่างน้อยๆ เขาก็จะรู้ว่าแกเป็นคนเอาใจใส่เรื่องบริหารเงิน ซึ่งมันสำคัญมากในชีวิตครอบครัวนะ”

จริงสินะ ยังมีอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่เธออยากรู้เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้ เพียงแต่ยังไม่สนิทสนมมากพอที่จะถามได้ บางทีการทำให้คนไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเริ่มเปิดใจนั้น เธอเองคงต้องเป็นฝ่ายเปิดใจ เปิดเผย และเล่าเรื่องตัวเองกับเขาก่อน

เพลงพนัสเริ่มเห็นทางเดินรางๆ แม้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะไม่ง่ายดายอย่างที่คิด แต่อย่างน้อยขอแค่ได้รู้ว่ายังมีทางไป เธอก็พร้อมก้าวเดินเสมอ หญิงสาวกล่าวขอบคุณเพื่อนรักสำหรับคำแนะนำ แต่ก่อนจะวางสายนั้นเอง ลลิตาก็ได้เรียกเธอไว้ก่อน

“กฎ 21 วัน ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้”

“กฎ 21 วัน?” เพลงพนัสทวนอย่างงุนงง

“ใช่แล้วละ เขาว่ากันว่า ถ้าเราทักแชตใครเวลาเดิมทุกวัน วันละครั้ง ติดต่อกันนาน 21 วัน แล้ววันที่ 22 หยุดทัก หายต๋อมไปเงียบๆ ถ้าคนคนนั้นมีใจให้เราหรือสนใจเราบ้าง เขาจะเป็นฝ่ายทักมาเอง”

“โห…” เพลงพนัสเอามือแนบแก้ม “นึกภาพคุณแสนย์ทักมาไม่ออกเลยลิลลี่ ทุกวันนี้แค่ตอบข้อความฉันก็บุญแล้ว”

“เอาน่า ลองดู 21 วันเอง ถึงตอนนั้นสถานการณ์อาจเปลี่ยนไปแล้วก็ได้”

ลลิตาเล่าประสบการณ์จริงของน้องนักวิจัยในบริษัทให้ฟัง น้องผู้หญิงคนนั้นแอบชอบเซลส์หนุ่มที่เจอกันนานๆ ครั้ง เขาไม่มีท่าทีสนใจ น้องจึงเริ่มต้นด้วยการส่งข้อความไป ‘กุดมอร์นิง’ ทุกวันเวลาหกโมงเช้า ไม่ขาดไม่เกิน

“แล้วเป็นไง เซลส์คนนั้นคุยด้วยหรือเปล่า” เพลงพนัสฟังแล้วก็ลุ้นไปด้วย

“คุยบ้างไม่คุยบ้าง ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง อย่างที่ฉันบอกนั่นแหละ คนแปลกหน้ากันมันก็จะมีกรอบความระแวงครอบอยู่ นี่ขนาดพวกฉันกับเซลส์คนอื่นๆ ร่วมมือช่วยน้องจีบแล้วนะ เซลส์ผู้ชายคนนั้นยังใจแข็งเลย”

“แล้วน้องทำยังไงต่อเหรอ”

“นางก็สู้ต่อ สู้ทั้งน้ำตา น้องเคยบอกฉันว่าน้องชอบพี่เขาจริงๆ รู้สึกถูกชะตาตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน และรู้สึกว่ามันต้องเป็นคนนี้ ดังนั้นน้องก็เลย ‘อดทน’ ฉันอยากจะย้ำคีย์เวิร์ดนี้กับแกนะเพราะเคสของแก… ไม่อยากใช้คำว่ายากกว่า เรียกว่าต้นทุนน้อยกว่าก็แล้วกัน เพราะเป็นคนแปลกหน้า ไม่มีเพื่อนของเพื่อนหรือคนกลางที่รู้จักกันเลย ไม่เคยเจอกันมาก่อนด้วย มันไม่ง่ายหรอก ถ้าคุณแสนย์คุยกับแกง่ายๆ สิแปลก เพราะแปลว่าเขาอาจเจ้าชู้หรือไม่ก็เป็นพวกหญิงเยอะ คุยไปเรื่อย ใครคุยมาก็คุย แบบนี้แกชอบเหรอ”

“ก็ไม่หรอก” เพลงพนัสตอบเสียงอ่อย

“ดังนั้นต้อง ‘อดทน’ นะ ท่องเอาไว้ อดทนให้ได้มากกว่าน้องนักวิจัยคนนี้ด้วย ถ้ามั่นใจแล้วว่ายังไงก็ต้องเป็นคนนี้ ก็ต้องสู้จนกว่าจะสุดทาง”

เพลงพนัสเห็นด้วย เชื่อว่าหากพยายามทำทุกอย่างจนถึงที่สุดแล้ว ไม่ว่าสุดท้ายจะได้สมหวังหรือผิดหวัง เธอก็จะยอมรับผลได้เองโดยไม่มีอะไรค้างคาใจ

“อย่าลืมนะ ทักไปทุกวัน เวลาเดิม แล้วคุยแค่นิดหน่อยพอ คุยเรื่องมีสาระบ้าง หยอดคำหวานบ้าง เล่นมุกตลกก็ได้ จะได้มีหลายรสชาติให้เขาตื่นเต้นและเดาไม่ถูกไง”

หญิงสาวผู้ซึ่งเงียบฟังมาตลอดเริ่มตื่นเต้น จากนี้เธอมีการบ้านต้องกลับไปคิดอีกเยอะเลย แล้วก่อนวางสายเธอก็ไม่ลืมที่จะถามว่า

“ลิลลี่ แล้วเรื่องน้องคนนั้น ผลสุดท้ายเป็นยังไงเหรอ”

“อ๋อ…” เพื่อนสาวหัวเราะคิก “พอถึงวันที่ 22 น้องก็ไม่ทักไปกุดมอร์นิงเหมือนเคย ปรากฏว่า พี่เซลส์คนนั้นทักกลับมาจริงด้วย บอกว่า ‘วันนี้ตื่นสายเหรอ’”

น้องนักวิจัยเป็นยังไงไม่รู้ รู้แต่เธอนี้กรี๊ดเสียโทรศัพท์แทบแตก ลลิตาบ่นปนหัวเราะว่าแสบหู

“ยังมีต่อๆ น้องก็เลยถือโอกาสนี้ สารภาพไปเลยว่า ‘หนูชอบพี่จริงๆ ขอโอกาสลองคบกันเพื่อเรียนรู้กันได้ไหม’”

“โอ้โฮ น้องกล้ามากๆ เลย แล้วพี่เขาตอบว่าไงเหรอ”

“พี่เขาเซย์เยส”

แล้วโทรศัพท์ก็แทบแตกเป็นเสี่ยงๆ อีกครั้งด้วยเสียงกรี๊ด ลลิตาก็โวยวายปนหัวเราะกลับมาอีก

“แต่เรื่องมันไม่ง่ายหรอกนะ สองคนนั้นพอมาศึกษาดูใจกันก็ทะเลาะบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง กว่าจะตกลงเป็นแฟนกันก็ผ่านไปหลายเดือนอยู่ แต่ถึงตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วละ ปลายปีหน้าจะแต่งงานแล้ว”

“โห น่ารักมากๆ น่าอิจฉาจัง”

“ใช่ น่ารักมากๆ เลย แต่อย่าลืมว่าน้องเขาก็เริ่มจากการถามคำตอบคำเหมือนแกนี่แหละ ดังนั้นอย่าไปคิดมาก ภาษิตจีนว่าไว้ ทำการใหญ่ใจต้องนิ่ง”

เพลงพนัสรับคำแล้วพยักหน้าหนักแน่น ยี่สิบเอ็ดวันต่อจากนี้จะทำให้ดีที่สุด ในเมื่อมีคนทำสำเร็จให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว เธอก็จะขอลองดูสักตั้ง วัดกันไปเลยว่าหมดทั้งหัวใจดวงนี้เธอจะไปได้ไกลแค่ไหน

 



Don`t copy text!