Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก บทที่ 5 : ปฏิบัติการกฎ 21 วัน

Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก บทที่ 5 : ปฏิบัติการกฎ 21 วัน

โดย : แสนแก้ว

Loading

Mr. Judo ทุ่มฉันเถอะที่รัก นิยายออนไลน์ของ แสนแก้ว เรื่องราวของ ‘ลูกไม้’ นักกีฏวิทยาสาวที่บังเอิญต้องเข้าไปเป็นสมาชิกเว็บไซต์โสดเสงี่ยมเลี่ยมทองและได้พบกับชายในฝัน เธอต้องทำทุกวิถีทางให้เขาเห็นเธออยู่ในสายตาและรับเธอเข้าไว้ในหัวใจ ปฏิบัติการทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่ยอมให้เขาทุ่มในสังเวียน! #นิยายสนุกๆ มีให้อ่านที่อ่านเอา

**************************

– 5 –

เมื่อปฏิบัติการ ‘กฎ 21 วัน’ เริ่มต้นขึ้น สามทุ่มตรงของทุกคืนก็กลายเป็นโมงยามอันแสนอ่อนไหว ในแต่ละวันเพลงพนัสจะคิดหาเรื่องมาคุย ตั้งนาฬิกาปลุกในโทรศัพท์ให้เตือนตอน 20.58 น. พอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความ ก็จะพิมพ์เสร็จและกดส่งในเวลา 21.00 น. พอดีเป๊ง

 

ลูกไม้ : วันนี้เก็บหนังสือแล้วเจอเล่มวิทยานิพนธ์ของตัวเองค่ะ จำได้ว่าตอนนั้นทำแล็บเป็นเดือนๆ จนแทบจะกินนอนในแล็บเลย แต่จบออกมาแล้วก็ภูมิใจนะคะ

ตอนคุณแสนย์เรียน ป.โท นี่ ยากเหมือนกันไหมคะ

 

ลลิตาเคยฝากถามเรื่องนี้เพราะอยากรู้ว่าคุณแสนย์มีทัศนคติต่อการเรียนอย่างไร แต่เจตนาหลักคือต้องการให้ชายหนุ่มรู้ว่าสาวที่กำลังไล่ตามจีบเขาคนนี้ก็มีดีกรีปริญญาโท มีการศึกษาดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเขา ลลิตาคงกลัวเขาจะว่าเธอโง่ บ้านป่าเมืองเถื่อนกระมัง

พอส่งข้อความไปแล้ว เพลงพนัสก็แทบจะวางโทรศัพท์ทิ้งไปได้เลย เพราะกว่าเขาจะตอบก็ห้าทุ่มเกือบเที่ยงคืน หรือไม่ก็อาจข้ามคืนไปจนถึงรุ่งเช้าของอีกวัน ช่วงเวลาแห่งความเงียบนั้น หญิงสาวพยายามบอกตัวเองว่าอย่ารอ อย่าคิดมาก แต่คำถามที่ว่า…ถามแบบนี้จะดีไหมนะ พูดแบบนี้จะละลาบละล้วงไปไหมนะ คุณแสนย์จะตอบไหม ถ้าอ่านแล้วไม่ตอบ แปลว่าเขาไม่พอใจหรือเปล่า ก็ยังคงวิ่งวนสวนสนามกันวุ่นวายอยู่ในสมอง

จนระฆังพักยกซึ่งก็คือเสียงเตือนข้อความเข้า ‘ปิ๊งป่อง’ ดังขึ้นนั่นแหละ ทุกอย่างจึงสงบนิ่ง พร้อมๆ กับมืออันเย็นเฉียบค่อยๆ หยิบโทรศัพท์มาเปิดดู

 

แสนย์ : ยากเหมือนกันครับ

แต่เชื่อว่า คนเราทำได้ถ้าตั้งใจครับ

 

เพียงเท่านี้ นางสาวเพลงพนัสก็นอนหลับฝันดี…

เรื่องการเงินและการลงทุนเป็นอีกเรื่องที่ลลิตาให้ความสำคัญ และย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามลืมถามเด็ดขาด

“เราจะได้รู้ไงว่าคุณแสนย์เขามีนิสัยการใช้เงินยังไง รู้แหละว่าบ้านรวย แต่ถ้ารวยแล้วไม่รู้จักใช้ สักวันมันก็หมด จริงไหมล่ะ”

“แต่คุณแสนย์ทำทั้งงานประจำทั้งธุรกิจส่วนตัวเลยนะ ฉันว่าเขาก็คงขยันทำมาหากินอยู่นา…”  เพลงพนัสเองก็ไม่แน่ใจว่านี่คือการแก้ตัวแทนหรืออธิบายกันแน่

“ขยันทำงานก็ดีอยู่แล้ว แต่ได้เงินมารู้จักเก็บออม รู้จักใช้จ่าย และลงทุนต่อยอดด้วยหรือเปล่า มันก็อีกเรื่องหนึ่ง”  เสียงหวานจากปลายสายโทรศัพท์ตอบกลับมา “เถอะน่า ถามให้หน่อย อย่างน้อยฉันก็จะได้ไอเดียลงทุนของฉันต่อด้วย”

“สมมติว่า…” เพลงพนัสลองหยั่งเชิง “ถ้าคุณแสนย์ไม่ได้ลงทุนอะไรเลย แกจะว่าไง”

“ฉันน่ะไม่ว่าไงหรอก แต่แกก็จะได้รู้ว่า ในอนาคตพอได้คบกัน แกก็จะต้องสอนเขาลงทุน”

“หา!” คนฟังถึงกับหัวเราะ ร้อนผ่าวบนแก้มอย่างช่วยไม่ได้

ลลิตายังเสริมมาอีกว่า “ที่ฉันให้แกถามน่ะ มันไม่สำคัญหรอกว่าคำตอบจะเป็นยังไง แต่ฉันต้องการให้เขารู้ต่างหากล่ะว่า ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ชื่อลูกไม้คนนี้อาจดูตลกหรือเล่นๆ ในบางครั้ง แต่ในอีกมุมหนึ่งก็สนใจเรื่องการบริหารเงินทอง ไม่ต่างจากผู้ชายเลยนะ”

เมื่อเป็นเช่นนี้ สามทุ่มของคืนนี้จึงว่าด้วยเรื่องของ ‘การวางแผนลดหย่อนภาษี’ เพลงพนัสพิมพ์ไป ลบไป แก้ไขอยู่หลายรอบเพราะกลัวเป็นที่สุดว่าจะดูยุ่งเรื่องส่วนตัวจนไม่น่าไว้ใจหรือเปล่า ก็เล่นถามเรื่องเงินซะขนาดนี้

 

ลูกไม้ : ใกล้สิ้นปีแล้ว คุณแสนย์มองแอลทีเอฟไว้บ้างไหมคะ มีกองทุนไหนน่าลงบ้าง ช่วยแนะนำหน่อยได้ไหมคะ

 

คราวนี้ชายหนุ่มหายไปนานจนเธอเกรงว่าเขาไม่อยากตอบหรือเปล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ขอให้เขาพิมพ์ตอบกลับมาว่า ‘ไม่มีความเห็นครับ’ หรือ ‘ปรึกษา บลจ.ดีกว่านะครับ’ อะไรก็ได้สักคำก็ยังดี

หญิงสาวกังวลใจจนไม่อาจข่มตานอนหลับได้ลง จนกระทั่งเกือบตีหนึ่ง เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้น เล่นเอาเธอต้องรีบลุกพรวดขึ้นเปิดไฟหัวเตียง และคว้าโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว

 

แสนย์ : ไม่ได้ลงกองไหนเลยครับ ยากจนครับ

พี่การเงินบอกว่า ปีนี้น้องแสนย์รายได้ไม่ถึง 55

 

คำตอบอันเหนือความคาดหมายนี้ ทำเอาเธอหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา พลันนึกขึ้นได้ว่าคุณแสนย์เพิ่งเรียนจบจากอังกฤษกลับมาเมื่อช่วงกลางปี คงเพิ่งเข้ามาทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทได้ไม่กี่เดือน รายได้ยังไม่ถึงขั้นต่ำที่ต้องเสียภาษีก็คงไม่แปลก

เพลงพนัสรอนิ้วอยู่บนหน้าจอ ความจริงมีอะไรมากมายเกี่ยวกับเรื่องการลงทุนที่อยากจะคุยต่อ แต่เห็นว่าตีหนึ่งกว่าแล้ว คงไม่ดีนัก คุณแสนย์เองก็คงจะยุ่งอยู่ถึงได้ตอบเสียดึกดื่น

แต่พอเรื่องราวรู้ไปถึงหูของทอรุ้ง เพื่อนสาวกลับกระดี๊กระด๊าเสียจนเธอสงสัยว่า การคุยกันคืนละประโยคสองประโยคมีอะไรน่าตื่นเต้น

“แก…” เสียงทอรุ้งในสายโทรศัพท์นั้นกลั้วหัวเราะ “คุณแสนย์มีความตะมุตะมิ”

“หืม” เพลงพนัสหัวเราะตามแม้จะยังไม่เข้าใจความหมาย “อะไรของแก ตะมุตะมิเนี่ย”

“ก็แปลว่าน่ารักไง โถ…ดูเขาตอบสิ ‘พี่การเงินบอกว่าปีนี้น้องแสนย์รายได้ไม่ถึง’ แสดงว่าจริงๆ แล้วเขาก็เป็นคนขี้เล่นอยู่นะ และเขาก็เริ่มเล่นๆ สบายๆ กับแกมากขึ้นแล้วด้วย”

“จริงน่ะเหรอ นี่คือเขาคุยเล่นกับฉันแล้วเหรอ”

“ก็ไม่รู้ละ แต่ที่แน่ๆ คือ แกข้ามผ่านความเป็นคนแปลกหน้ามาเป็นคนรู้จักแล้วนะ”

หญิงสาวได้ยินเข้าก็ยืดตัวตรง ดวงตาเบิกกว้าง “นี่ฉันได้เลื่อนขั้นแล้วเหรอ เขายังแทบไม่คุยกับฉันเลยนะ แทบจะถามคำตอบคำเลย”

“ถึงจะไม่คุยแต่เขาก็ตอบ ตอบช้าหรือเร็วเขาก็ตอบ เที่ยงคืนก็ตอบ ขนาดตีหนึ่งเขายังตอบแกเลย เป็นฉันนะ ถ้าไม่สนใจหรือรำคาญจริงๆ ฉันไม่ตอบให้เสียเวลานอนหรอก”

เพลงพนัสเริ่มยิ้มออก

“นี่ ใช้โอกาสนี้แหละขอไลน์เขาเลย ได้ขอหรือยัง”

“ขอไลน์เลยเหรอ จะดีเหรอแก”

“เถอะน่า ลองดู ถ้าเขาให้ แกก็จะได้คุยในไลน์ แต่ถ้าไม่ให้แกก็คุยในเฟซต่อ ไม่มีอะไรเสียหายสักหน่อย”

“อ้าว แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ ระหว่างคุยในไลน์กับคุยในเฟซ”

“ไม่ต่างหรอกย่ะ” ทอรุ้งถอนใจดังฮึคล้ายรำคาญ ก่อนจะส่งเสียงเร่งมาอีกว่า “แต่มันสำคัญที่ว่า เขาให้หรือไม่ให้ต่างหากเล่า ถ้าเขาให้ก็แปลว่ายอมให้แกเดินเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเขาอีกก้าวหนึ่ง แต่ถ้าไม่ให้แกก็จะได้รู้ว่าแกอยู่ตรงไหนแล้ว ก็เท่านั้น”

“เอ่อ ฉันขอคิดดูก่อนนะ”

เธอหมายถึงคิดดูก่อนว่าพร้อมจะยอมรับผลหรือยัง แต่เพื่อนสาวจอมพลังกลับตีความเป็นอีกอย่าง

“โอ๊ย ไม่ต้องคิดแล้ว มาๆ ฉันคิดให้ แกพิมพ์ไปเลยว่า ‘คุณแสนย์ๆ นี่เราก็คุยในเฟซกันมาตั้งนานแล้ว อยากได้ไลน์ลูกไม้เปล่า’”

จบคำของเพื่อน เพลงพนัสก็ขำพรืด “ขืนพิมพ์ไปแบบนั้น คุณแสนย์ได้บล็อกฉันแน่”

“ทำไมล่ะ น่ารักดีออก แกคิดดูนะ ตอนนี้แกเป็นคนจีบเขา แล้วคนที่จีบกันไม่ขอไลน์กันมันได้เหรอ  ถ้าแกไม่ขอ คุณแสนย์อาจคิดก็ได้ว่า นี่มาจีบจริงหรือเปล่า คือ…ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาจะคิดหรือไม่คิด แต่ถ้าเขาคิดล่ะ จะทำยังไง เรามาอุดช่องโหว่ตรงนี้ไว้ก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”

“โห แกว่าเขาจะคิดแบบนั้นเหรอ ฉันว่าเขาไม่สนใจฉันเลยด้วยซ้ำ”

“คิดหรือไม่คิดก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่อย่างน้อย แกก็ได้แสดงออกว่าแกชอบและอยากคุยกับเขานะเว้ย”

และในที่สุด สามทุ่มของคืนนี้ เพลงพนัสก็กลั้นใจพิมพ์ไปด้วยปลายนิ้วมืออันเย็นเฉียบ

 

ลูกไม้ : คุณแสนย์ๆ นี่เราก็คุยในเฟซกันมาตั้งนานแล้ว อยากได้ไลน์ลูกไม้ป่ะ

 

พอส่งไปแล้ว หญิงสาวก็คว่ำหน้าโทรศัพท์ไว้บนเตียง แล้วถอยกรูดมานั่งกอดเข่าหน้าตู้เสื้อผ้า ยกมือทั้งสองข้างปิดหน้าไว้

จวบจนกระทั่งเกือบเที่ยงคืน เสียงข้อความเข้าก็ดังขึ้น เจ้าของโทรศัพท์ผู้สงบจิตใจลงได้เยอะแล้วค่อยๆ กลั้นใจ พลิกหน้าจอขึ้นเพื่อกดอ่าน

 

แสนย์ : คุยในเฟซดีกว่าครับ เล่นบ่อยกว่า

 

ท้ายประโยคนั้นมีตัวอิโมจิหน้ายิ้มแถมมาอีกตัว เพลงพนัสอมยิ้มบาง บอกไม่ถูกว่าดีใจหรือเสียใจ หรืออะไรกันแน่ รีบโทร.ไปหาทอรุ้ง เพื่อนสาวรับสายด้วยเสียงงัวเงีย

“แก คุณแสนย์ตอบมาอย่างนี้ แปลว่าอะไรวะ”

เล่าเรื่องให้ฟังสั้นๆ ทอรุ้งก็ตอบมาเรียบๆ “ก็แปลว่าเขาไม่ให้ไง”

“อ้าวเหรอ” เพลงพนัสทำปากยื่น “แต่เขายิ้มให้ฉันด้วยนะ ตัวหนึ่ง”

“ยิ้มปลอบใจแกมั้ง”

“อ้าวเหรอ” เสียงของเธอเบาหวิวจนคล้ายจะลอยหายไปในอากาศ  ทอรุ้งพูดเสียงหนักแน่นขึ้น คงหายง่วงเสียแล้ว “แกไม่ต้องคิดมากลูกไม้ พิมพ์ตอบเขาไปเลยว่า ‘แหม คุณแสนย์เนี่ย การ์ดแข็งจังเลยนะคะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ ลูกไม้รอด้ายยย’ ใส่ ย.ยักษ์ หลายๆ ตัวด้วย เขาจะได้รู้สึกว่าแกน่าสงสาร”

“โธ่ แล้วถ้าเขาตอบว่า ‘ไม่ต้องรอหรอกครับ’ อย่างนี้จะทำยังไง”

“ก็ดี แกจะได้ไม่ต้องรอไง”

“เฮ้ย…” หญิงสาวร้องเสียงหลง แต่ปลายสายกลับหัวเราะชอบใจเสียอย่างนั้น

“เอาน่า พิมพ์ไปตามนี้ก่อน จีบมันเรื่องของเรา เอาไม่เอามันเรื่องของเขา ท่องไว้”

ท้ายที่สุด เพลงพนัสก็ยอมพิมพ์ไปตามที่เพื่อนสาวเจ้าแผนการแนะนำมา  อย่างน้อยที่สุดการตอบทีเล่นทีจริงก็จะแสดงให้คุณแสนย์เห็นว่า คำปฏิเสธของเขาไม่ได้ทำร้ายให้ใครเสียใจ

 

ลูกไม้ : แหม คุณแสนย์เนี่ย การ์ดแข็งจังเลยนะคะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ ลูกไม้รอได้ 55

 

แล้วคนพิมพ์ก็ถอนใจเฮือก “คุณแสนย์จะรู้ไหมนะ ว่าในเลขห้ามีน้ำตาซ่อนอยู่ เฮ้อ…”

หญิงสาวปิดไฟที่หัวเตียง ดึงผ้าห่มนุ่มนิ่มขึ้นมาคลุมกาย พลิกตะแคงหันหลังให้กับเจ้าโทรศัพท์ซึ่งวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่าง ไม่ต้องหวังหรอกว่าเขาจะตอบในคืนนี้ คงจะเช้าโน่นเลย หรือไม่ อาจจะแค่อ่านแต่ไม่ตอบก็ได้ ไม่ได้ถามอะไรเขาต่อนี่นะ

ครั้นแล้ว เสียง ‘ปิ๊งป่อง’ อันคุ้นหูก็ดังขึ้น แม้จะแผ่วเบา แต่เธอก็แน่ใจว่าไม่ได้หูฝาด

ผ้าห่มถูกตลบปลิวไปด้านหนึ่ง แล้วร่างในชุดนอนกางเกงขายาวก็แทบกระโจนพรวดไปถึงโต๊ะเขียนหนังสือในพริบตาเดียว

 

แสนย์ : ขอโทษด้วยครับที่การ์ดแข็ง 55

 

เพลงพนัสอมยิ้ม อ่านทวนประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก หญิงสาวไม่แน่ใจความหมายของมันนัก และเกรงใจทอรุ้งเกินกว่าจะโทร.ไปปลุกอีกครั้ง…มันหมายความว่าอะไรนะ แปลว่าตอนนี้เขายังปิดใจ แปลว่าอย่ารอเขาเลย หรือแปลว่าอย่ามายุ่งกับเขา อะไรแบบนั้นหรือเปล่า แต่ไม่ว่ายังไง เธอก็ยังดีใจอยู่ดีที่เขาตอบ แถมยังตอบเร็วเสียด้วย

พอถึงสิบโมงเช้าอันเป็นเวลานัดหมาย เพลงพนัสก็ได้เห็นทอรุ้งขับรถมาจอดหน้าร้านกาญจน์กาแฟชนิดที่แทบจะเรียกได้ว่า ปาดแย่งเธอจอด นี่คงจะรีบเพราะกลัวเธอรอละมั้ง

“รุ้ง! รอเดี๋ยว” หญิงสาวเปิดกระจกร้องเรียกเมื่อจอดเทียบข้างรถเพื่อนเรียบร้อย “เปิดกระโปรงหลังก่อน”

อีกฝ่ายมีท่าทีแปลกใจ แต่ก็ยอมเปิดกระโปรงหลังให้โดยไม่ถาม เพลงพนัสก้าวลงรถกระบะสีขาวคู่ใจอย่างคล่องแคล่ว อ้อมมาข้างหลังกระบะ ออกแรงฮึดยกลังน้ำเขียวไปใส่ไว้ท้ายรถเพื่อนอย่าง ทะมัดทะแมง

“เฮ้ย!” ทอรุ้งร้องเสียงดังแล้วหัวเราะลั่น “นี่แกซื้อมาให้ฉันจริงๆ เหรอเนี่ย”

“ยัง ยังมีน้ำแดงอีกลัง” จบคำ ลังน้ำแดงก็ถูกยกจากหลังกระบะมาวางตึงข้างๆ ลังน้ำเขียว

“โธ่ ไอ้ลูกไม้ วันนั้นฉันล้อแกเล่น แกเก็บไว้กินเองเถอะ”

“ไม่ได้ๆ ฉันบอกแล้วไงว่าจะเอาน้ำแดงน้ำเขียวมาเซ่นแก ก็ต้องทำจริงสิ”

ทอรุ้งมองลังน้ำอัดลมในท้ายรถ ส่ายหน้ายิ้มๆ

“ยังไงก็ขอบคุณแกมากนะ มาๆ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง”

เพลงพนัสกับทอรุ้งมานั่งโต๊ะประจำริมหน้าต่าง จากนั้นไม่นานบนโต๊ะไม้สีน้ำตาลอ่อนสะอาดสะอ้านก็เริ่มมีอาหารหน้าตาน่ารับประทานทยอยมาวางเรียงราย ทอรุ้งยกแก้วเสาวรสโซดาชูมาตรงหน้า ร้องเสียงสดใส

“มาๆ ฉลองกัน เอ้า ชนแก้ว!”

เพลงพนัสร้องเฮ ยกแก้วโกโก้มินต์ของโปรดไปชนด้วย แม้ว่าพอชนแล้วจะต้องขมวดคิ้วฉงนก็ตาม

“ฉลองเนื่องในอะไรน่ะ”

“อ้าว นึกว่ารู้” ทอรุ้งจิบเครื่องดื่มแล้วจึงตอบ “ก็ฉลองที่แกได้คุยกับคุณแสนย์แล้วไง”

“โธ่ ถ้าจะฉลองเรื่องนี้นะ อย่าเลย ที่ผ่านมาคุยก็เหมือนไม่ได้คุยแหละแก เขาเหมือนตอบตามมารยาท ตอบผ่านๆ ตอบคำถามแฟนคลับ นี่ถ้าไม่ติดว่าตั้งใจจะทำตามกฎ 21 วันนะ ฉันคงหยุดตามตื๊อไปนานแล้ว”

“ดีมากที่แกยังไม่หยุด” เพื่อนสาวผิวน้ำผึ้งหั่นชิ้นสเต๊กไก่ ตักใส่จานเธอ “รู้ไหมว่า แกโชคดีแค่ไหนที่มาถึงจุดนี้ได้น่ะ”

“หืม…โชคดีตรงไหนล่ะ มีใจให้คนที่เขาไม่แม้แต่จะอยากรู้จักฉันเนี่ยนะ”

“ฉันนับได้ห้าข้อ” ทอรุ้งกางมือ ยื่นมาตรงหน้า “ข้อที่หนึ่ง แกมีคนที่ชอบ รู้ไหมว่ามีคนอีกตั้งมากมายที่ยังไม่เจอคนที่ชอบ มองไปรอบตัวก็ไม่เจอใครน่าสนใจ มีหัวใจแต่ไม่รู้จะฝากไว้ให้ใคร แกน่ะโชคดีแค่ไหนที่ได้เจอคนที่ใช่ แถมคนคนนั้นยังถอดชายในฝันมาเป๊ะๆ ด้วย โอกาสแบบนี้หาได้ง่ายๆ เหรอ”

“ก็จริงนะ เกิดมายี่สิบแปดปีก็เพิ่งเคยเจอคนแบบนี้”

“ข้อที่สอง แกได้เจอคนที่ชอบในวันที่เขายังโสด”

เพลงพนัสได้ยินเข้าก็แทบผงะ “จริงด้วยสิ มีคนตั้งมากมายชอบคนมีแฟนแล้ว หรือไม่ก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามีแฟน จะตัดใจก็ทำไม่ได้เพราะว่ารักไปแล้ว”

“ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนต้องตกเป็นเมียน้อยโดยไม่รู้ตัว หรือร้ายกว่านั้น รู้ทั้งรู้ก็ยังยอมเป็นเมียน้อยเขา แกน่ะโชคดีแค่ไหนที่ได้เจอคุณแสนย์ในวันที่เขายังโสด”

หญิงสาวคิดตามแล้วเริ่มยิ้มออก

“ความโชคดีข้อที่สาม แกสามารถแสดงออกว่าชอบหรือบอกรักเขาได้”

เพลงพนัสเอียงคอสงสัย ทอรุ้งจึงช่วยขยายความต่อ

“มีคนตั้งมากมายที่ทำได้แค่แอบชอบ แอบรัก ไม่กล้าพูดไป กลัวผิดหวังบ้างละ กลัวว่าบอกรักไปอะไรๆ จะไม่เหมือนเดิม กลัวมองหน้ากันไม่ติดบ้างละ หรือแย่กว่านั้น ต่อจากข้อที่สอง ไปแอบชอบคนมีเจ้าของ ทำได้แค่เก็บความรู้สึกไว้ในใจ แต่แกไม่เป็นแบบนั้นน่ะสิ แกสามารถแสดงออกได้ชัดเจนว่าชอบคุณแสนย์ และแกก็ทำไปแล้วด้วย”

“จริงสิ จะว่าไป ฉันข้ามขั้นการแอบชอบไปเลยนะเนี่ย เริ่มแรกก็บอกไปชัดเจนเลยว่าเข้ามาจีบ น่าอายชะมัด”

“ไม่ทันแล้วละ” ทอรุ้งหัวเราะชอบใจยกใหญ่ หญิงสาวเลยได้แต่หน้าง้ำหน้างอ “ทำไมล่ะ ดีจะตาย รู้สึกยังไงก็บอกไปเลยตรงๆ แมนๆ ถ้าฉันเป็นคุณแสนย์ ฉันว่าฉันชอบนะ”

เพลงพนัสใช้ส้อมม้วนเส้นสปาเกตตีแล้วพาเข้าปาก “ช่างเถอะ ขอข้อสี่เลยแล้วกัน”

“ข้อที่สี่ แกโชคดีที่แสดงออกว่าชอบเขาไปแล้ว เขาก็ยังคุยกับแกอยู่”

ปลายส้อมที่เพิ่งพ้นจากริมฝีปากชะงักเล็กน้อย หญิงสาวลืมตาโตจ้องตอบเพื่อนทันที “จริงด้วย!”

“ใช่ไหมล่ะ!” ทอรุ้งเองก็ดูตื่นเต้นไม่น้อยเช่นกัน “ลองคิดดูว่าถ้าเป็นแก มีผู้ชายที่ไม่ชอบเลยเข้ามาจีบ แกจะตอบข้อความเขาไหม ถ้าจะบอกว่าแค่ตอบตามมารยาท แกจะรักษามารยาทได้สักกี่วันกันเชียว และถ้าเขาบอกชอบแกแล้ว แต่แกไม่ชอบ แกจะไม่คิดหาทางปฏิเสธให้เด็ดขาดไปเหรอ”

เพลงพนัสย้อนนึกไปถึงตอนที่พิมพ์บอกคุณแสนย์ว่า ‘แหม คุณแสนย์เนี่ย การ์ดแข็งจังเลยนะคะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ ลูกไม้รอได้ 55’  ในตอนนั้น เขาจะตอบว่า ‘อย่ารอเลยครับ’ ก็ได้นี่นา แต่ก็ไม่…และที่สำคัญ เขาก็ยังตอบข้อความเธออยู่ ถึงจะตอบช้า แต่ก็ตอบนี่นา

“และข้อสุดท้ายคือ แกติดต่อเขาได้” ทอรุ้งยิ้ม ดวงตาเป็นประกายสดใส “บางคนชอบกันแค่เพียงสบตา แต่พอเดินผ่านไปแล้วก็หายวับ หากันไม่เจออีกเลย แต่ดูแกสิลูกไม้ เฟซบุ๊กของเขาแกก็มี ส่วนไลน์ ถึงเขาไม่ให้ แกก็คุยทางอื่นได้  ออฟฟิศเขาอยู่ไหนแกก็รู้ โรงเรียนยูโดของเขาแกก็รู้ บ้านเอย คอนโดเอย แกก็มีที่อยู่หมด มากกว่านี้ก็คงไปยืนเคาะห้องเขาแล้ว”

คนฟังคิดตาม เริ่มมีรอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปาก “มันก็จริงของแกนะ ถึงจะดูเป็นเรื่องทั่วไป แต่ก็เป็นความโชคดีที่อะไรๆ มันไม่แย่ไปกว่านี้”

“แกโชคดีจะตาย ฉันขอยืนยันอีกที ดูอย่างฉันสิ สอบตกตั้งแต่ข้อแรกแล้ว ไม่เห็นเจอใครน่าชอบเลยสักคน” ทอรุ้งหัวเราะ เพลงพนัสยิ้มตาม เธอชอบรอยยิ้มของทอรุ้ง มันสวยเฉียบคมอย่างคนที่มั่นใจในตนเอง “แกมีโอกาสดีขนาดนี้อยู่ในมือแล้ว อย่าปล่อยให้หลุดลอยไปล่ะ”

เพลงพนัสพยักหน้ารับหนักแน่น ได้คุยกับทอรุ้งทีไรเหมือนได้ชาร์จแบตเตอรี่

“นี่ ลูกไม้ ฉันว่านะ แกต้องหาทางนัดเจอกับคุณแสนย์ให้เร็วที่สุดแล้วละ”

“หา!” เพลงพนัสแทบปล่อยช้อนส้อมหล่นจากมือ “แกจะบ้าเหรอ แค่ขอไลน์เขายังไม่ให้เลย แล้วเขาจะยอมมาเจอฉันเหรอ”

“แล้วจะให้ทำยังไงเล่า ถ้าจะสมัครเรียนยูโด ก็ต้องรอเปิดคอร์สรอบหน้า เดี๋ยวจะช้าไปอีก”

“หมายความว่าไง แกไปรู้อะไรมาน่ะ”

“ไม่ได้รู้อะไรหรอก แต่ฉันว่าผู้หญิงที่บุกเข้ามาจีบคุณแสนย์ไม่ได้มีแค่แกคนเดียวแน่ๆ ลำพังแค่พวกนักเลงคีย์บอร์ดจีบออนไลน์เหมือนแกก็คงมีเป็นร้อยแล้ว ไหนจะยังพวกที่อยู่รอบๆ ตัวเขาอย่างเพื่อนสนิท เพื่อนของเพื่อน คนในบริษัทอีกล่ะ นี่เผลอๆ นะ อาจมีคนเข้ามาเรียนยูโดเพื่อจีบคุณแสนย์โดยเฉพาะด้วยก็ได้ แล้วแกอยู่ไกลขนาดนี้จะเอาอะไรไปสู้เขา ฮึ!”

“โห แกเวอร์ไปหรือเปล่า ถ้าเป็นพวกนักเรียนของเขาฉันพอเข้าใจได้ แต่มันจะมีเหรอ คนที่ยอมลงทุนขนาดเข้าไปเรียนยูโดเพื่อจีบโดยเฉพาะน่ะ ไม่ดูเป็นการ์ตูนไปหน่อยเรอะ”

“ทำไมจะไม่มี” ทอรุ้งกระแทกเสียงต่ำ จิ้มนิ้วชี้เข้าหน้าตัวเอง “ฉันนี่ไง! ขนาดว่าไม่ได้จีบเองนะ เข้าไปจีบแทนเพื่อนยังมีเลย หลักฐานตัวเป็นๆ ดูไว้ซะให้เต็มตา”

เท่านั้นละ เพลงพนัสก็ตาโต อ้าปากค้าง รวบเนื้อรวบตัวให้สุภาพ แล้วก้มกราบลงกับพื้นโต๊ะสามที

“ไอ้บ้า ฉันไม่ใช่พระ” ทอรุ้งโวย แล้วทั้งสองก็หัวเราะให้แก่กัน

กินอาหารกันจนหมดแล้ว ทั้งสองก็ลุกไปเลือกขนมเค้กจากในตู้มาคนละชิ้นสองชิ้น เพลงพนัสรู้สึกรื่นรมย์อย่างบอกไม่ถูกเพราะไม่บ่อยเลยที่จะได้เจอขากินแหลกอย่างนี้สักคน เพื่อนๆ สาวนักวิจัยมักจะห่วงกลัวอ้วน ผิดกับทอรุ้ง สาวร่างสมส่วนกลมกลึงผิวสีเข้มออกไปทางน้ำผึ้งผู้นี้บอกว่า กลัวทำไมกับความอ้วน กินหนักแค่มื้อนี้ กินดีๆ อีกสิบมื้อ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เดี๋ยวก็ผอมเอง

“เฮ้ย เดี๋ยวนะ” เพลงพนัสนึกขึ้นได้ “วันนี้วันจันทร์นี่นา แกไม่ต้องไปทำงาน ไปเรียนยูโดเหรอ คลาสของแกเรียนทุกวันจันทร์กับอังคารไม่ใช่เหรอ”

ทอรุ้งส่ายหน้าพรืด “ฉันลาพักร้อนน่ะก็เลยขาดเรียนยูโดด้วย ช่างมันเถอะ เบื่อโคชโอห์ม”

“โคชโอห์ม?”

“ก็ใช่น่ะซี้” เพื่อนสาวใช้ส้อมคันเล็กตัดเค้ก แล้วตักเข้าปาก ราวกับว่ามันเป็นอะไรที่น่าสนใจกว่าคนที่กำลังพูดถึงตั้งเยอะ “ฉันละไม่เข้าใจเลย โคชที่ยูโดซันมีตั้งหลายคน แต่ละคนก็รับหน้าที่สอนต่างๆ กัน คุณแสนย์สอนคลาสเบื้องต้น ส่วนอีตาโคชโอห์มสอนคลาสขั้นสูงกับเทรนพิเศษพวกนักกีฬา แล้วนี่คืออะไร ในขณะที่เด็กใหม่คนอื่นๆ ได้เรียนกับโคชแสนย์ ฉัน…อีรุ้ง กลับเป็นเด็กใหม่คนเดียวที่ต้องเรียนกับโคชโอห์มในคลาสไพรเวต ซวยชะมัด เบื่อว่ะ อยากลาออก แกรีบๆ จีบคุณแสนย์ให้ติดนะ ฉันจะได้ลาออกให้พ้นๆ ไปซะที”

เพลงพนัสได้แต่ยิ้มอ่อนใจ ถ้าจีบคุณแสนย์เป็นเรื่องง่าย คงรีบจัดให้เพื่อนเดี๋ยวนี้เลย

“แล้วโคชโอห์มเขาสอนไม่ดีเหรอ แกถึงไม่ชอบน่ะ”

ทอรุ้งเขี่ยวิปครีมไปมา “จริงๆ ก็สอนดีแหละ แต่ทั้งดุ ทั้งโหด สอนฉันซะเข้มยังกับเทรนนักกีฬาทีมชาติ นี่ฉันเป็นผู้หญิงนะ สายขาวด้วย นักเรียนใหม่ใสกิ๊งขนาดนี้ ไม่รู้จะมาจริงจังอะไรกับฉันนักหนา”

คนฟังได้แต่ยิ้มแหย ไม่อาจช่วยอะไรได้ คิดว่าเปลี่ยนเรื่องน่าจะดีกว่า

“แล้วโคชแสนย์ล่ะ เป็นไงบ้าง”

และแล้วคำถามที่เธออยากจะถามตั้งแต่เดินเข้าร้านก้าวแรกก็ได้พูดออกไปเสียที

“ยังไม่เจอเลย” ทว่าคำตอบจากลูกศิษย์คนใหม่ของยูโดซันกลับเป็นเช่นนี้ “คุณแสนย์ยังไม่เข้ามาเลยแก เห็นมะกอก เอ่อ…แม่บ้านที่โรงเรียนบอกว่าลาไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนน่ะ เพิ่งกลับมาจากอังกฤษ ก็เลยต้องเดินสายเจอเพื่อนหลายกลุ่มหน่อย แต่เห็นว่าจะเริ่มเข้ามาที่โรงเรียนพรุ่งนี้แล้วแหละ”

เพลงพนัสอมยิ้ม อิจฉาทอรุ้งเหลือเกินที่จะได้เจอกับคุณแสนย์ตัวจริง แต่ก็ไม่อาจพูดได้ เพราะรู้ดีว่าขืนพูดไป มีหวังต้องโดนด่าว่า ‘สมน้ำหน้า ไม่ยอมมาเรียนเอง’ เป็นแน่

ทอรุ้งยิ้มหมายมาด ยักคิ้วให้ด้วยขณะพูดว่า

“แกก็เตรียมตัวขัดสีฉวีวรรณได้เลยนะลูกไม้ อีกไม่ช้าไม่นาน ฉันจะทำให้แกได้มาเจอกับคุณแสนย์ให้ได้ เชื่อมืออีรุ้งเถอะ!”



Don`t copy text!