ในคืนที่ฉันไม่มีเธอ
โดย :
นอกเหนือจากนวนิยายและบทความที่ผ่านการเลือกสรรและผ่านกระบวนการบรรณาธิการพิจารณาเป็นอย่างดี ทีมงานอ่านเอายังริเริ่มโปรเจ็กต์ “Anowl Showcase” พื้นที่ใหม่สำหรับคนชอบเขียนขึ้น เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ที่จะให้เว็บ www.anowl.co ของพวกเราเป็นชุมชนสำหรับคนรักการอ่านและการเขียนทุกคน
*************************
“อ้วน เค้าปวดท้อง” เสียงของภรรยาตัวน้อยที่เล็กกว่าหมีกริซลี่นิดเดียว ครวญครางมาพอให้ได้รำคาญ
“ไปกินอะไรเผ็ดๆ หรือกินอะไรเสาะท้องมาอีกล่ะสิ”
“เปล่านะ ฮือ… ฮือ” คราวนี้แม่หมีของผมมาพร้อมภาพและเสียงระดับ HD นอนกดท้อง น้ำตาร่วงเผาะๆ เรียกร้องความเห็นใจขั้นสุด
“กินอะไรหน่อยมั้ย เผื่อจะดีขึ้น ข้าวต้มมั้ย”
“ไม่เอา กินไม่ลง”
“งั้น ไปหาหมอ” แม่หมีพยักหน้าน้อยๆ ปกติเธอไม่ชอบไปโรงพยาบาล ถ้าไม่เจ็บปวดจนไม่ไหว
การไปหาหมอในระบบประกันสังคมนอกเวลาราชการและเป็นวันหยุด ไม่ใช่เรื่องน่าอภิรมย์สักเท่าไหร่ คนอาจจะไม่เยอะเท่าวันธรรมดา หมอก็มีแค่หมอเวร ใช้เวลารอค่อนข้างนานเลยทีเดียว แม่หมีของผมเริ่มหน้าหงิกและหงุดหงิด
“อีกแป๊บเดียว เสร็จแล้วเดี๋ยวพาไปกินโจ๊กเจ้าอร่อยข้างโรงพยาบาล” ผมปลอบแม่หมีไปตามเรื่อง
ในที่สุดแม่หมีก็ได้พบหมอและได้ยามาถุงใหญ่
“หมอไม่ทำอะไรเลย ถามๆ แล้วให้ยามากิน”
“น่า ได้เจอหมอก็ดีแล้ว ดีกว่าซื้อยามากินเอง ไปกินโจ๊กจะได้กินยา” พูดถึงของกินแม่หมีของผมก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นมานิดนึง “กินขนมปังสังขยาด้วยได้ป่าว” นั่นเริ่มเรียกร้อง
“กินไหวก็กิน ไปได้แล้ว ดึกแล้วเดี๋ยวร้านปิด”
ตอนนี้ผมได้แต่นั่งมองโจ๊กชามใหญ่ 2 ชาม กับขนมปังสังขยาอีกจาน พร้อมกับมองหน้าแม่หมีของผม
“มองอะไรอ้วน ก็เค้าอิ่มอ้ะ”
“อย่ามาตลกหมี กินไป 3 คำ แล้วบอกอิ่ม แล้วโยนภาระให้เค้าเนี่ยนะ”
“ก็ไม่อยากปวดท้องอ้ะ”
“เฮ้อ” ในที่สุดผมก็ต้องเหมาทุกอย่างที่แม่หมีสั่งมา จากที่เคยเอวบางร่างน้อย ตอนนี้ผมมีชื่อเกาหลีที่แม่หมีตั้งให้อย่างไพเราะเพราะพริ้งว่า ‘พุง นำ นม’ ตามนั้นแหละครับ
“อ้วน เค้าปวดท้อง” แม่หมีของผมบ่นแต่เช้า
“กินยาหรือยัง กินยาก่อน เดี๋ยวหาข้าวให้กิน” แม่หมีมองมาด้วยสายวิงวอน ก่อนจะเอ่ยมาว่า
“เอาก๋วยจั๊บไม่ใน หมูกรอบเยอะๆ เอาหมูสะเต๊ะด้วย”
“แน่ใจนะว่ากินหมด ของเมื่อคืนยังย่อยไม่หมดเลยในท้องเค้าเนี่ย” แม่หมีมองมาตาแป๋วพร้อมส่ายหน้า
“ไม่รู้สิ”
“อ้าว งั้นซื้อมาชุดเดียวแล้วกัน” และเป็นไปตามคาด แม่หมีกินไปสองสามคำก็ไม่กิน อ้อ แถมกินหมูสะเต๊ะให้อีกหนึ่งไม้ถ้วน มันผิดวิสัยแม่หมี ปกติเธอจะกินคนเดียวหมดไม่ยอมแบ่งให้ผมกินเพราะเป็นของโปรด
“ไหวมั้ย นอนสักหน่อยมั้ย”
“ก็ดีนะ ตื่นมาอาจจะดีขึ้น กินพาราด้วยดีกว่าเผื่อหาย” แม่หมีคิดอะไรประหลาดๆ เสมอ
“เฮ้ย เอาจริงดิ” แม่หมีตบยาพาราเซตามอลเข้าปาก แล้วคลานขึ้นเตียงสบายใจ ผมรู้เมื่อคืนแม่หมีนอนไม่หลับ พลิกตัวตลอดคืน เห็นแม่หมีหลับได้ผมก็เบาใจ แม่หมีตื่นมาหน้าตาสดชื่นขึ้นมาหน่อย “ดีขึ้นมั้ยหมี”
“นิดหน่อยอะอ้วน” ว่าแล้วก็ตะกายขึ้นมานั่งบนตักผม เอ่อ มันหนักแต่ก็นะเอาใจแม่หมีสักหน่อย
ก็ไม่สบายนี่นะ
“พรุ่งนี้หยุดงานพักสักวันมั้ย”
“อืม ดูก่อนถ้าดีขึ้นก็ไป ไม่อยากหยุด พรุ่งนี้วันจันทร์ด้วย”
“ตามใจ แล้วอยากกินอะไรเย็นนี้”
“ไม่อะ ไม่หิวเลย”
“ไหวมั้ยเนี่ย ไปหาหมออีกรอบมั้ย”
“ไม่อะ เพิ่งกินยาไปวันสองวันเอง รอดูอีกสักพักก็ได้”
แม่หมีตื่นแต่เช้ามาแต่งตัวเหมือนเคย แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือแม่หมีของผมดูไม่สดชื่นเลย
“จะไปทำงานจริงๆ เหรอ” ผมถามเธอตอนขึ้นรถปกติผมจะไปส่งเธอทุกเช้า
“อ้วน ไปถึงออฟฟิศแล้วรอเค้าสักสิบนาทีได้มั้ย เผื่อเค้าไม่ไหวจะได้ไปหาหมอ”
“รอได้ แต่ทำไมไม่ไปหาหมอเลยล่ะ”
“ก็อยากเข้าออฟฟิศก่อน”
“ไม่ต้องแล้ว ไปหาหมอเลย อาจจะเป็นกรดไหลย้อนก็ได้ เผื่อหมอจะให้ยามากิน”
“แล้วแต่อ้วนแล้วกัน”
ผมพาแม่หมีมาโรงพยาบาลเอกชนใกล้ๆ ที่ทำงานแม่หมี เธอเดินไปติดต่อเคาน์เตอร์เองได้ ระหว่างที่ผมเอารถไปจอด หมอซักถามอาการพร้อมด้วยการกดท้องของแม่หมี หลังจากตรวจเสร็จ หมอขอให้แม่หมีตรวจเลือดและทำ CT Scan ผมตัดสินใจให้แม่หมีทำตามที่หมอแนะนำ ระหว่างรอหมอฉีดยาแก้ปวดให้แม่หมีพร้อมกับเจาะเลือดแม่หมีไปด้วย ได้ยาสักพักแม่หมีดีขึ้นพยาบาลให้นอนพักระหว่างรอผลเลือดและรอ CT Scan สักพักใหญ่ๆ พยาบาลเดินเข้ามาพร้อมด้วยหน้าตาเคร่งเครียดถามแม่หมีว่า
“คนไข้เคยตรวจเลือดมั้ยคะ”
“ไม่เคยค่ะ” แม่หมีกับผมมองหน้ากันงงๆ
“คนไข้ต้องไปพบหมอเกี่ยวกับเลือดด่วนเลยนะคะ ค่าเลือดคนไข้ต่ำมาก” ผมกับแม่หมีงงหนักขึ้น คุณหมอที่ตรวจแม่หมีครั้งแรกเดินมาแจ้งว่าค่าเลือดของแม่หมีต่ำควรจะเป็น ปรึกษาแพทย์ด้านโลหิตวิทยาก่อน ตอนนั้นผมกับแม่หมีก็ยังไม่หายงง แต่ในใจผมเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีแล้ว ผมรีบโทร.ไปลางานให้แม่หมีกับตัวเองก่อนที่จะเดินตามแม่หมีไป พยาบาลไม่ยอมให้แม่หมีเดินเอง แถมตอนนั่งรถเข็นต้องคาดเข็มขัดด้วย แม่หมีแปลกใจมากว่ารถเข็นมีเข็มขัดนิรภัยด้วย
“อ้วน เค้าแค่ปวดท้อง ทำไมต้องมาหาหมอเลือดด้วยล่ะ”
“ไม่รู้สิ เดี๋ยวหมอคงบอกแหละ” แม่หมีของผมแค่สงสัย แต่ใจผมน่ะคิดไปต่างๆ นานา เพียงแค่ไม่อยากพูดให้แม่หมีไม่สบายใจ
“ค่าเลือด*ของคุณต่ำมากเลยนะคะ คนปกติเขาอยู่กันที่ 12-14 ของคุณมีแค่ 4 ยังไม่ถึงครึ่งเลย ดีนะคะที่คุณไม่วูบไป มีอาการเหนื่อยบ้างมั้ยคะ” (*ค่าเลือดในที่นี้หมายถึง Hemoglobin ปกติเพศหญิงจะอยู่ที่ 12-16 แต่แม่หมีมีแค่ 4.7)
แม่หมีนั่งคิดอยู่สักพัก แล้วตอบหมอว่า “สองวันก่อนรู้สึกว่าเหนื่อยกว่าปกติ ทุกครั้งเดินขึ้นชั้นสองจะไม่รู้สึกอะไร แต่คราวนี้เหนื่อยถึงกับต้องหยุดพัก ปกติจะเดินลู่ออกกำลังกายได้ถึง 40 นาที แต่อาทิตย์ที่ผ่านมาทำได้แค่ 15 นาทีก็เหนื่อยมากจนต้องพักแล้วน้องที่ทำงานงานด้วยกันก็ทักว่าหน้าซีดมาก”
“แสดงว่าร่างกายมันทนได้เท่านี้ โชคดีนะคะที่ไม่เป็นอะไรมากกว่านี้ แต่ยังไงวันนี้หมอต้องขอให้เลือดอย่างน้อย 1 ถุงค่ะ”
“มันจำเป็นขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ผมไม่อยากให้แม่หมีของผมรับเลือดคนอื่น ยอมรับครับว่าผมกลัวแม่หมีจะได้รับเชื้อโรคจากเลือดที่บริจาคมา
“ถ้าไม่ให้เลือดหมอก็ไม่ให้กลับบ้าน แล้วสิ่งที่คุณกลัวน่ะไม่ต้องห่วง ทางธนาคารเลือดตรวจดีแล้วค่ะ”
ตอนนี้แม่หมีของผมทำหน้างงอยู่ ก็ดีแล้วให้งงอยู่แบบนั้น ผมไม่อยากให้เธอกลัวหรือกังวล
“ครับ ถ้าต้องให้ก็ทำเถอะครับ”
“เดี๋ยวญาติไปติดต่อเรื่องห้องได้เลยนะคะ ให้เลือดใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมงค่ะ คนไข้ไปทำ CT Scan ก่อนแล้วค่อยมาให้เลือดนะคะ” ตอนนี้แม่หมีของผมทำหน้าเหวอไปแล้ว ส่วนผมน่ะเหรอครับกังวลเบาๆ ห่วงแม่หมี “คนไข้ดื่มน้ำทุก 10 นาที ไปจนครบชั่วโมงนะครับ เดี๋ยวเราค่อยไปเข้าเครื่อง CT Scan กัน” เจ้าหน้าที่ห้องสแกนบอกแม่หมี
“เค้าต้องให้เลือดจริงๆ เหรอ” หลังจากหายงงแม่หมีก็มีคำถาม
“ก็หมอว่างั้น ก็ต้องเชื่อหมอเนอะ” แม่หมีกินน้ำไปสักพักคุณหมออีกท่านที่ดูแลเรื่อง CT Scan ก็เข้ามาคุยด้วย
“คนไข้แพ้อะไรมั้ยคะ”
“แพ้ปูกับแพ้ซัลฟาค่ะ”
“แพ้มากมั้ยคะปู คนไข้ต้องฉีดสารที่มีส่วนประกอบคล้ายอาหารทะเลตอนทำ CT Scan”
“ไม่มากค่ะ แค่มีผื่นขึ้นเล็กน้อย”
“งั้นก็ลองดูค่ะ ถ้ามีอาการผิดปกติยกมือบอกหมอได้เลยนะคะ ส่วนเรื่องเลือดหมอดูผลแล้ว ขนาดเม็ดเลือดของคนไข้มันดูเล็กกว่าปกติ ถ้ายังไงคราวหน้าลองตรวจดูเรื่องของธาลัสซีเมียด้วยก็ดีค่ะ” แม่หมีทำหน้าเหวออีกแล้ว ผมก็ได้แต่นั่งมองหน้าหมอมีคำถามเยอะแยะ แต่แม่หมีอยู่ด้วยเลยต้องเงียบไป
ได้เวลาที่แม่หมีต้องเข้าเครื่องสแกน แม่หมีมาเล่าให้ฟังที่หลังว่า เข้าเครื่องไม่น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือเข็มที่ต้องฉีดน้ำและฉีดสารสีขาวๆ เข้าไปในเส้นเลือด แม่หมีบ่นว่าเจ็บรวมถึงต้องสวนทวารเพื่อดูลำไส้ ผมเข้าไปอยู่กับแม่หมีไม่ได้ เวลานั้นที่พึ่งที่ดีที่สุดของผมคือโทร.หาแม่ อย่างน้อยการที่ได้คุยกับใครสักคนทำให้ผมคลายกังวลลงได้บ้าง หลังจากสแกนเสร็จ แม่หมีต้องทำอัลตราซาวนด์ต่อ หมอต้องการความมั่นใจเพื่อการรักษาที่ถูกต้อง ระหว่างรอผลสแกนและอัลตราซาวนด์ แม่หมีถูกส่งไปนอนพักระหว่างรอหมอ ผมเพิ่งสังเกตแม่หมีของผมจริงๆ จังๆ แม่หมีดูหน้าซีดจริงๆ ด้วยความที่อยู่ด้วยกันทุกวันทำให้ผมมองข้ามไป
หมอเจ้าของไข้เข้ามาพร้อมกับผลตรวจ
“คนไข้เป็นลิ่มเลือดอุดตันที่หลอดเลือดดำเส้นที่จะไปตับนะครับ หมอแนะนำว่าคนไข้ควรจะไปใช้สิทธิตามที่คนไข้มี เพราะการรักษาต้องใช้เวลาไปตอนนี้เลยนะครับ ไม่ต้องรอ”
ผมกับแม่หมีนั่งมึนๆ งงๆ กันอยู่ครู่ใหญ่
“ครับ แล้วผมพาคนไข้ไปแบบนี้ทางนั้นเขาจะรับเหรอครับ”
ผมเพิ่งหาเสียงตัวเองเจอ ผมรีบเรียกสติ ส่วนแม่หมีของผมวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว
“เดี๋ยวหมอเขียนไปรับรองแพทย์ให้ เคสนี้ยังไงเขาต้องรับ”
หลังจากนั้นความวุ่นวายเล็กๆ ก็เกิดขึ้น เพราะผมจองห้องรวมถึงเลือดที่ต้องให้ ทางโรงพยาบาลหาเลือดที่เข้ากับเลือดของแม่หมีได้แล้ว ผมยกเลิกการใช้ห้อง ส่วนเลือดผมเอามาด้วยเพราะจ่ายเงินไปแล้ว ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเอามาทำไม ผมสามารถยกเลิกแล้วไปเริ่มใหม่ที่โรงพยาบาลที่ใช้สิทธิได้ หลังจากได้เอกสารเรียบร้อยก็ไปโรงพยาบาลตามสิทธิของแม่หมี โชคดีที่โรงพยาบาลอยู่ไม่ไกลกันมากแต่เวลาก็ใกล้จะหมดเราต้องไปถึงก่อน 16.00 น.
แม่หมีของผมอึดและถึกมาก เธอสามารถหอบกล่องใส่เลือดไปติดต่อเคาน์เตอร์เวชระเบียนเองได้
ทั้งๆ ที่โรงพยาบาลแรกไม่ยอมให้แม่หมีเดินเอง ผมต้องเอารถไปจอดค่อนข้างไกลถ้าแม่หมีมัวแต่รอมันจะไม่ทันเวลา ผมตามแม่หมีมาที่หลัง เห็นแม่หมีนั่งหน้าจ๋อยอยู่หน้าห้องตรวจ
“ทำไมทำหน้าแบบนี้ล่ะหมี”
“อ้วน… เค้าอาจจะต้องแอดมิต” ดูแม่หมีกังวลมาก
“แอดมิดก็แอดมิต ไม่เห็นเป็นไร” ใจผมวูบไปอยู่ตาตุ่มเรียบร้อย แต่ไม่อยากให้แม่หมีกังวลมากไปกว่านี้
พยาบาลจะมาเสียบเข็มรอแม่หมีคงเจ็บมาก วันนี้แม่หมีโดนเจาะมาหลายรอบแล้ว
“พี่พยาบาลคะ เอาแบบไม่เจ็บได้มั้ย วันนี้โดนมาเยอะแล้วค่ะ” แม่หมีต่อรองกับพยาบาล
“ยังไงก็เจ็บค่ะ ไม่ต้องกังวล แล้วก็ไม่ต้องเกร็งค่ะ” เจาะเข็มเสร็จ พยาบาลก็ให้แม่หมีนอนบนเตียงแล้วพาไปห้อง ER* “ต้องไปที่ห้อง ER นะคะ หมดเวลาที่ห้องตรวจแล้ว” (*ER Emergency Room (ห้องฉุกเฉิน)*)
ที่ห้อง ER ผมไม่สามารถเข้าไปอยู่กับแม่หมีได้ เลยขับรถกลับบ้านมาเอาของใช้จำเป็นมาให้แม่หมี ตอนนั้นสภาพจิตใจผมไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่ ห่วงแม่หมีของผมมาก
แม่หมีก็ยังคงเป็นแม่หมี โทร.มาบอกว่าไม่ให้ผมขับรถเร็ว เธอบอกว่าเธออยู่ได้ สติเธอครบถ้วนสมบูรณ์ ตอบคำถามหมอได้สบาย แม่หมีร่ำร้องจะนอนห้องพิเศษแต่หมอก็ดับฝันแม่หมีไปเรียบร้อย “ไม่อนุญาตให้นอนห้องพิเศษเพราะต้องสังเกตอาการ” รวมถึงไม่มีใครสามารถอยู่เฝ้าแม่หมีได้ตลอดเวลา แม่หมีป่วยในช่วงที่โควิด-19 ระบาดผมไม่สามารถลางานได้เลย ส่วนพี่สาวของแม่หมีเพิ่งทำเลสิกก็มาดูแลแม่หมีไม่ได้เช่นกัน
ผมนั่งรอแม่หมีอยู่หน้าห้อง ER นานถึง 6 ชั่วโมง ตั้งแต่สี่โมงถึงสี่ทุ่ม กว่าที่แม่หมีจะได้เตียง ผมจะเข้าไปดูก็เข้าไม่ได้ ทั้งหมอทั้งคนไข้เรียกได้ว่าแทบจะล้นห้อง ER หมอต้องใช้พื้นที่ในการดูแลคนไข้วิกฤต ญาติๆ เลยต้องรออยู่ข้างนอก ช่วงเวลาที่ผมทำอะไรไม่ได้นอกจากนั่งรอ ในใจผมวูบโหวง ผมไม่รู้อะไรเลย โรคที่แม่หมีเป็นมันหนักหนาแค่ไหน แต่ดูจากใบรับรองแพทย์คิดว่าแม่หมีน่าจะเป็นหนัก เพราะมาถึงทางโรงพยาบาลให้รอแอดมิตเลย แม่หมีได้ย้ายขึ้นตึกตอนสี่ทุ่ม แม่หมีอยู่ชั้นศัลยกรรม คนไข้ส่วนใหญ่เป็นคนไข้นอนติดเตียง หรือไม่ก็ผ่าตัดใหญ่ สีหน้าแม่หมีตอนเห็นที่นอน ผมอดสงสารไม่ได้ แต่แม่หมีไม่บ่นเลยไล่ให้ผมกลับบ้าน
“อ้วน กลับเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” ผมได้แต่มองหน้าอยากจะพูดแต่พูดไม่ออก ทำได้แค่เก็บของจำเป็นของแม่หมีให้เข้าที่เข้าทาง ก่อนกลับผมบอกกับพยาบาลว่าฝากภรรยาผมด้วย ผมกลับบ้านอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่มีแม่หมีกลับมาด้วย
คืนนี้ผมต้องนอนคนเดียว มันไม่ชินเลย แถมด้วยความเป็นห่วง ความกังวล ผมกับแม่หมีไม่ค่อยจะได้แยกจากกันเพราะมีกันแค่สองคน นานๆ ทีแม่หมีจะหนีผมไปนอนกับเพื่อนซี้ของเธอ แต่คืนนี้มันแตกต่าง ผมไม่สามารถข่มตาให้หลับได้โดยไม่กอดร่างนิ่มๆ อวบๆ ไม่สามารถนอนบนเตียงที่ไม่มีแม่หมีของผม ทำให้ผมคิดย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ผมกับแม่หมีอยู่ด้วยกัน เสาร์-อาทิตย์เราขับรถไปหาที่นอนเล่น ส่วนใหญ่จะเป็นทะเลเพราะแม่หมีชอบ ไปต่างประเทศช่วงเวลาที่แม่หมีได้หยุดยาวสองอาทิตย์ ยิ่งคิดก็พาลให้นอนไม่หลับ ผมก็เลยลุกมาหาข้อมูลโรคที่แม่หมีเป็น ก็พบว่าส่วนใหญ่โรคนี้จะเกิดที่ขาหรือสมอง หรือที่เรียกให้เข้าใจง่ายๆ ว่า stroke แต่แม่หมีดันมาเป็นตรงหลอดเลือดดำที่จะไปตับซึ่งเกิดขึ้นได้น้อยมาก ผมรู้สึกดีที่ตัดสินใจให้แม่หมีทำ CT Scan ไม่งั้นกว่าจะหาสาเหตุพบแม่หมีคงเป็นเยอะกว่านี้ หรือหนักกว่านั้นผมอาจจะเสียแม่หมีไปเลย ยิ่งคิดผมยิ่งจิตตก ผมเลยไปซักผ้าให้แม่หมีแก้เครียด ผมไม่กลับขึ้นไปห้องนอนอีก อาศัยหลับๆ ตื่นๆ แถวๆห้องนั่งเล่น ผมไม่สามารถนอนบนเตียงที่ไม่มีแม่หมีได้
“อ้วน เค้าจะกลับบ้าน” แม่หมีโทร.มาร้องห่มร้องไห้แต่เช้าต้องปลอบกันอยู่พักใหญ่
“ร้องไห้ทำไม เป็นอะไร แล้วหมอมาดูหรือยัง”
“ยังไม่มา แต่พยาบาลเจาะเลือดเจ็บมาก ฮือ ฮือ โดนฉีดยาที่พุงด้วย เจ๊บ เจ็บ โดนให้ยาด้วยแขนสองข้างไม่ว่างเลย”
“เดี๋ยวก็ได้กลับแล้ว แล้วเมื่อคืนให้เลือดเสร็จกี่โมง”
“ไม่รู้อะ หลับๆ ตื่นๆ มาตื่นจริงๆ ตอนตีสี่กว่าๆ พยาบาลมาให้ยาฆ่าเชื้อ กับจะเช็ดตัว แต่หมีขอไปอาบน้ำเอง พยาบาลจะได้ไปดูเตียงอื่น” นี่แหละแม่หมีของผม ตัวเองป่วยก็ยังจะห่วงคนอื่น
“ที่โทร.มาโวยวายนี่คืออะไร เจ็บ หรืออยากกลับบ้าน”
“ทั้งสองอย่าง อยากกลับบ้านจริงๆ นะ”
“น่า นอนเล่นคุยกับหมอกับพยาบาลไปก่อน หายดีแล้วค่อยกลับ เดี๋ยวเย็นนี้เจอกัน อยากกินอะไรมั้ย”
“กินไม่ได้ หมอไม่ให้กินอะไร”
“แล้วอยากได้อะไรมั้ย”
“ไม่อะ อ้วนไปทำงานเหอะ” สักพักแม่หมีก็ส่งรูปให้ดู แม่หมีคงดิ้นตอนพยาบาลเจาะเลือด เห็นเป็นรอยช้ำที่แขน เย็นนี้น่าจะเขียวมากกว่านี้ ถ้าผมเจ็บแทนแม่หมีได้ก็คงดี
“อ้วนนนน หมีได้เลือดเพิ่มอีกถุงหนึ่ง เขาบอกว่าหมีซีดมากต้องให้เพิ่ม”
เสียงโวยวายมาตามสายช่วงบ่ายแก่ๆ
“ให้เพิ่มก็ให้ไป หมีจะได้แข็งแรงไง เดี๋ยวเจอกัน ไม่ต่องบ่น”
แม่หมีรับเลือดไปทั้งหมด 5 ถุง มากกว่าคนที่ผ่าตัดบางคนอีก แม่หมีนอนโรงพยาบาล 9 วัน เป็น 9 วันที่ผมกังวลและเป็นห่วงแม่หมีสารพัด แน่นอนครับ ผมก็ยึดห้องนั่งเล่นเป็นที่นอนในช่วงนั้น กว่าแม่หมีจะได้กลับบ้านต้องเรียกว่าแม่หมีใช้ความพยายามเต็มที่ในการต่อรองกับหมอ ช่วง 2-3 วันหลังๆ แม่หมีเหลือแค่ฉีดยา Heparin เช้ากับเย็น ระหว่างนั้นแม่หมีเห็นคนตายบนเตียงไป 2 คน จิตตกไปเลย แม่หมีบอกว่าไม่กลัวแต่สงสารคนไข้ตายอย่างโดดเดี่ยว เพราะยังไม่ถึงเวลาเยี่ยม รวมถึงแม่หมีห่วงงาน แม่หมียืนยันกับหมอว่าจะเอายามาฉีดเองที่บ้าน เพราะที่ทำงานต้องการแม่หมี สุดท้ายหมอยอมปล่อยและเอายามาฉีดเอง ครับ หน้าที่ฉีดยาก็ตกเป็นของผม เพราะแม่หมีไม่กล้าจิ้มพุงตัวเอง ทุกครั้งที่ฉีดยาแม่หมีบ่นเจ็บ น้ำตาซึม ผมเป็นฉีดผมเจ็บกว่าแม่หมีร้อยเท่า ดีหน่อยที่แม่หมีต้องฉีดยาเองแค่สองอาทิตย์ ป่วยคราวนี้แม่หมีกลายเป็นคนกลัวเข็มไปเลย ที่แม่หมีป่วยครั้งนี้ทำให้ผมคิดได้ว่า ชีวิตคนเราไม่แน่นอน ผมรักแม่หมีมากขึ้นรวมถึงสปอยล์แม่หมีมากกว่าเดิม และทำให้ผมรู้ว่าเรารักกันมากแค่ไหน แม่หมีร้องไห้อยากกลับบ้านทุกวัน เพราะรู้ว่าผมเป็นห่วงเธอมาก
วันที่ผมได้แม่หมีของผมกลับมาเรานอนกอดกันทั้งคืน ถ่ายทอดความรู้สึก ความรัก ความห่วงใยที่มีให้กัน กลับมาคราวนี้ร่างกายแม่หมีไม่เหมือนเดิม มีเรื่องที่ต้องระวังมากมาย แต่เราจะรักกันดูแลกันตลอดไป แม่หมีของผม
อาการเจ็บป่วยของแม่หมีสืบเนื่องมาจากก่อนหน้านั้นประมาณ 6 เดือน แม่หมีเกิดภาวะประจำเดือนมามากผิดปกติคือมาทั้งเดือนและสองอาทิตย์หลังมาเยอะมากต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยชั่วโมงละแผ่น แม่หมีก็ไปหาหมอสูตินรีเวช ตรวจพบว่ามีก้อนเนื้อในมดลูก เมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนก้อนเนื้อนี้มันก็จะฝ่อไปเอง ส่วนที่ประจำเดือนมามากเกิดจากฮอร์โมน หมอรักษาด้วยการให้ยาหยุดเลือดและทานยาคุมกำเนิด ประจำเดือนก็กลับมาเป็นปกติ ด้วยความที่แม่หมีเป็นคนกินยากและเลือกกิน และผมก็ไม่ได้เอาใจใส่เท่าที่ควร ไม่ได้บำรุงแม่หมีเลย ก็เลยคาดว่าจากเหตุนี้อาจจะทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง (Anemia) และนำไปสู่การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำเส้นที่จะไปตับ (Vein Thrombosis) เพราะมีการตกตะกอนของเลือด ผมพยายามหาข้อมูลและได้เป็นภาษาอังกฤษมา อาจจะแปลไม่ถูกสักทีเดียว แต่รวมๆ ก็ประมาณนี้ หลังจากออกโรงพยาบาลแม่หมีต้องทานยาวาฟาริน คาดว่าอาจจะต้องทานไปตลอดชีวิต และหมอพบว่าแม่หมีเป็นธาลัสซีเมียด้วย แต่โชคดีที่เป็นไม่มากไม่ถึงขั้นให้เลือดทุกเดือน ตอนนี้แม่หมีของผมกินอะไรยากขึ้นกว่าเดิมเพราะต้องระวังจะมีผลกับยาวาฟารินและโรคธาลัสซีเมียที่เธอเป็น แต่แม่หมีของผมก็ยังคง Enjoy eating ได้เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือหันมาถามผมตลอดว่าอันนี้กินได้มั้ย ผมอยากฝากไว้กับทุกคนว่าเจ็บป่วยอะไรไปหาหมอกันเถอะครับ อย่าซื้อยากินเอง หรือคิดเอาเองว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่ เราไม่ใช่หมอ ดูจากกรณีของแม่หมีทั้งผมและแม่หมีคิดเอาเอง เอาง่ายเข้าว่า สุดท้ายมันร้ายแรงกว่าที่เราคิดครับ
stay safe กันทุกคนครับ