ต้องมนตร์ดนตรี บทที่ 3 : เจอดีที่ศาลา
โดย : วินธยา
ต้องมนตร์ดนตรี นิยายออนไลน์ โดย วินธยา ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เป็นเรื่องราวของห้องดนตรีของวิทยาลัยที่ลือกันว่ามีผีสิง เรื่องนี้อาจเป็นจริง เมื่อ ‘ส้มแก้ว’ ได้พบกับ ‘อินทวัช’ ชายหนุ่มลึกลับในห้องดนตรี เขาคือใครกัน จะใช่วิญญาณของนักศึกษาที่ฆ่าตัวตายไปเมื่อหลายปีก่อนหรือเปล่า มาช่วยเธอหาความจริงในเรื่องนี้กัน
**************************
– 3 –
ตอนสอบเข้าวิทยาลัยดุริยางค์คะแนนทฤษฎีดนตรีของส้มแก้วค่อนข้างดี แต่แย่มากในภาคปฏิบัติ ผู้สอบเครื่องมือเอกซอมีทั้งหมดสิบคน ด้วงสี่ อู้เสียสาม ซอสามสายไม่มีเลย ทุกคนจับจองพื้นที่หน้าห้องสอบ ต่างไล่มือไม่ก็ซ้อมเพลงที่จะใช้สอบแต่ส้มแก้ววางซอลงไม่มีใจจะซ้อมแล้ว
เธอเข้าสอบเป็นลำดับที่หกซึ่งไม่ชอบใจเลย ฟังดูเหมือนหกคะเมนตีลังกาไม่เป็นมงคล เธอฆ่าเวลาเข้าสอบด้วยการนั่งถูยางสน ปรับเสียงซอทุกห้านาทีเพราะกลัวจะเพี้ยน และเมื่อถูกขานชื่อเรียกเข้าสอบ หัวใจที่เต้นตุบตับก็เหมือนจะหล่นลงไปเต้นอยู่ตรงตาตุ่ม
ภายในห้องสอบมีกรรมการถึงห้าคนนั่งอยู่บนโต๊ะเลกเชอร์ แอร์หรือก็เย็นเฉียบแต่มือกลับชื้นเหงื่อ ส้มแก้วไม่มองหน้ากรรมการท่านไหนเลย ได้แต่ฟังเสียงแล้วก็ขานรับ จากนั้นก็บรรเลงเพลงสอบตามลำดับ เมื่อจบลงทั้งสามเพลง ความเงียบครองบรรยากาศอยู่ชั่วขณะ ก่อนอาจารย์ท่านหนึ่งจะเอ่ยถามว่าทำไมตัดสินใจเรียนดนตรี
ส้มแก้วตอบเลี่ยงว่าเพราะดนตรีน่าสนใจดี เลยถูกถามต่อทำไมถึงเลือกดนตรีไทย แน่นอนเพราะเธออยู่ชมรมดนตรีไทยตั้งแต่มัธยมต้น ต่อไปอาจารย์อีกท่านจึงถามว่า จบแล้วจะไปทำอะไร
ส้มแก้วคิดหนัก เธอไม่ได้เตรียมคำตอบเอาไว้ แม้เป็นคำถามยอดนิยมและต้องถูกถามอย่างแน่นอน นั่นเพราะยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร ปลายทางของมันอยู่ตรงไหน เหมือนเข้าอุโมงค์แล้วมองหาแสงสว่างปลายอุโมงค์ไม่พบ แต่ในเมื่อถูกถามก็ควรตอบมากกว่าเงียบไปเฉยๆ เธอบอกจบไปเป็นครูซึ่งคิดผิดอย่างมหันต์ คราวนี้อาจารย์คนละคนกับเจ้าของคำถาม ถามสวนกลับมาอีก
‘อยากเป็นครูทำไมไม่สอบเอกการสอนดนตรี ปฏิบัติเครื่องดนตรีไม่ได้วุฒิครูนะ’…เพราะเสียงเรียบๆ แต่ติดจะเคร่งนิดหน่อยส้มแก้วจึงช้อนสายตามองหาเจ้าของประโยคด้วยความอยากรู้อยากเห็นยังไม่ทันเห็นหน้าก็หลุบลงดังเดิม ทุกท่านรอคอยคำตอบอยู่ หญิงสาวจึงตอบว่า…คิดว่าไม่จำเป็นต้องมีวุฒิครูก็สอนดนตรีได้ ก่อนรู้สึกตัวว่าตอบแบบนี้เสี่ยงต่อการถูกมองว่า เธอไม่เห็นความสำคัญกับศาสตร์ทางด้านดนตรี
เงียบงันอีกนาน กระทั่งอาจารย์ท่านเดิมกับเมื่อครู่เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
‘ถ้าบอกว่าพื้นฐานซอเธอผิดหมด ตั้งแต่ท่าจับท่าสี การวางนิ้วเธอจะว่ายังไง ยอมรับได้ไหม’
ส้มแก้วพยักหน้าหงึก ก็จริงของเขา เธอรู้ว่าตัวเองยังมีฝีมือไม่มากพอ
‘ถ้าเรียนที่นี่ เธอต้องปรับพื้นฐานใหม่หมดและต้องพยายามมากกว่าเพื่อนหลายเท่า จะโอเคหรือ’
เธอต้อง ‘โอเค’ แน่นอนอยู่แล้ว เอ่ยตอบว่า ‘ค่ะ’ อาจารย์ท่านเดิมถามว่าสมัครเรียนที่อื่นไว้บ้างหรือยัง ส้มแก้วกลับปากไวใจเร็วตอบว่าไม่ได้ยื่นที่ไหนไว้เลย ผลคือห้องสอบเงียบลงในทันใด การสอบเสร็จสิ้นตอนหนึ่งในคณะกรรมการบอกว่า ‘ขอให้โชคดีกับการสอบ’
ส้มแก้วออกมาด้วยสมองว่างเปล่าโลกตรงหน้าขาวโพลน เธอคงสอบไม่ผ่านหรอก ตอบแบบนั้นเหมือนบอกอ้อมๆ ว่าไม่มีที่ไป สอบที่ไหนไม่ติดมีดนตรีเป็นตัวเลือกสุดท้าย แต่กลับมีชื่อเธออยู่ในรายชื่อผู้สอบผ่านและได้รับการสอบสัมภาษณ์ คนรอบตัวโดยเฉพาะญาติๆ ต่างก็บอกว่าดนตรีไทยคนเรียนน้อยยังไงเขาก็รับ เธอขี้เกียจต่อความกับพวกญาติ เดี๋ยวลับหลังก็คงพูดกันทำนองว่าเรียนดนตรีจบไปทำอะไร ส้มแก้วเถียงในใจว่ามันต้องมีที่ไปอยู่แล้ว ไม่งั้นเขาจะมีวิชาดนตรีในมหาวิทยาลัยทำไมถ้าเด็กจบไปไม่มีงาน เพียงแต่ตอนนี้เธอยังไม่พบคำตอบเท่านั้น ที่บ้านก็บอกให้อดทนเรียนไปก่อน อย่างน้อยก็ได้ใบปริญญาแล้วค่อยไปต่อปริญญาโทด้านอื่น
การสัมภาษณ์ราบรื่นดีไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ไม่กี่เดือนต่อมาส้มแก้วก็เข้าเรียนที่นี่ในฐานะนักศึกษา ส่วนอาจารย์ที่คุยกับเธอยืดยาวในห้องสอบตอนนั้นก็กลายมาเป็นอาจารย์วิชาเอกของเธอ อาจารย์อิศรา ความสงสัยยังไม่จางหายไปจนถึงเดี๋ยวนี้ เพราะเธอตอบว่า ‘โอเค’ ยอมรับฝีมือแย่ๆ ของตัวเอง อาจารย์ก็เลยให้ผ่านหรือ
หากเป็นอย่างนั้นจริง อาจารย์อิศราคงคิดผิดมหันต์ที่ให้เธอผ่านแล้วรับเข้ามาเป็นลูกศิษย์ เพียงครึ่งเทอมเท่านั้นเธอก็ทำเหลวเป๋วไม่มีชิ้นดี ทั้งตอนนี้ยังทำให้อาจารย์เสียหน้าด้วย
การสอบรอบแก้ตัวเริ่มขึ้นและจบลงที่อาจารย์วิชาเอกของเธอเคาะบอกจังหวะพร้อมฮัมทำนองเพลงไปด้วย แม้จะสอบผ่านแต่คะแนนคงไม่ดีเท่าไร เหนือสิ่งอื่นใดคือถูกอาจารย์ตำหนิ ทว่าอาจารย์อิศรากลับเดินผ่านไปโดยไม่ทักไม่ทาย ไม่แม้แต่เรียกไปต่อว่าสักนิด อาจารย์คงอิดหนาระอาใจกับเธอเต็มที หากก็เท่ากับว่าเธอเอาตัวรอดไปได้อีกหน
ส้มแก้วออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย และพบว่าทางเดินนอกห้องมืดสนิทด้วยเป็นเวลาหกโมงกว่าอีกทั้งแถวนั้นก็ไม่ได้เปิดไฟ คนกลองคนฉิ่งของเธอยืนรออยู่ ไม่เห็นเพื่อนก็ถามถึง รุจิรัฐจึงว่าริวาคุณพ่อมารับพอดีกลับบ้านไปแล้ว ฝากบอกเธอว่าวันนี้ไม่กลับไปนอนหอ
ส้มแก้วพยักหน้า เมื่อเลิกสงสัยเรื่องเพื่อนก็เริ่มคร่ำครวญ “พี่เปลว…คือ อาจารย์อิศโกรธส้มแน่เลย เดินออกไปไม่คุย ไม่มองหน้าด้วย”
“อาจารย์ก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ” รุ่นพี่ทำท่านึก “นี่ก็ไม่เข้าใจว่าเป็นอะไรนักหนากับว่าดอก ก็ร้องเนื้อมันได้นี่นา”
“ก็ส้ม…” อ้าปากจะพูดแล้วก็กลืนหายลงลำคอ ขืนบอกว่าได้ยินเสียงซออีกคันบรรเลงสวมตอนกำลังว่าดอกอาจถูกหัวเราะเยาะเอาได้ เธอยิ้มเก้อเป็นเชิงว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทว่าสายตาก็ปรายมาสบกับดวงตาเบื้องหลังเลนส์แว่นของชายหนุ่มอีกคน เธอเกือบลืมไปแล้วว่ามีเขาอยู่ด้วย
“ตกลงส้มแก้วนี่เป็นชื่อจริงเหรอ”
ถามผ่ากลางเข้ามาได้ช่างไม่ดูบรรยากาศ! แต่หญิงสาวผู้ถูกถามพยักเพยิดอย่างค่อนข้างจะขอไปที เขาส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงขานรับ แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
“ส้มจะไปซ้อมวงมีสเทรี เทลส์ต่อเปล่า ปกติเขาจะซ้อมกันเย็นวันพุธนี่”
“หัวหน้าวงรู้ว่าตรงกับวันสอบเลยอนุญาตให้ลาวันนึงค่ะ” เธอถอนหายใจเฮือก ต่อให้ฝืนไปรวมวงก็ไม่ได้ซ้อมอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน หัวหน้าวงคงจัดทริปเดินฝึกความมั่นคงของจิตใจในสถานที่เปลี่ยวร้างที่ไหนสักแห่งภายในมหาวิทยาลัย ไม่ก็ล้อมวงเล่าเรื่องผีจนดึกดื่น เพราะพลพรรคในวงเป็นเด็กหอเสียส่วนใหญ่เมื่อเลิกแล้วก็พากันเดินกลับหอ
“วงดนตรีประสาทนั่นน่ะนะ!” สุ้มเสียงพลพรพัชรกึ่งอุทานหน่อยๆ
“รู้จักด้วยเหรอคะ” ที่ถามอย่างนั้นเพราะมีสเทรี เทลส์ยังไม่เคยจัดการแสดงดนตรีอย่างจริงจังนอกจากซ้อมดนตรีในสถานที่ซึ่งเรียกว่า ‘พีคๆ ’ ในภาษาวัยรุ่นอย่างบันไดหนีไฟจนสร้างเสียงฮือฮาให้แก่คนพบเห็นในบางครั้ง ดังนั้นจะถูกเรียกว่า ‘วงดนตรีประสาท’ ก็ไม่แปลก
สีหน้าเรียบๆ ของพลพรพัชรฉายแววปั้นยาก “พอดีรู้จักหัวหน้าวงเป็นการส่วนตัว”
“อ๋อ…เออใช่ลืมไปเลย” รุจิรัฐเหมือนจะรู้เรื่องอยู่แล้ว
“พี่วิชน่ะเหรอ” ส้มแก้วนึกถึงหญิงสาวหัวหน้าวงมีสเทรี เทลส์ขึ้นมาทันใด วิช หรือ วิชกาวี หรือที่ใครต่อใครเรียกว่า วิช เดอะ วิช นักศึกษาปีสองเอกเชลโล ผู้มีเรือนผมยาวเคลือบสีแดงเป็นไฮไลต์ มีรสนิยมแต่งกายอันเป็นตัวของตัวเองแต่ออกจะประหลาดไปนิด ด้วยภูมิใจกับชื่อตัวเองที่คล้ายคลึงคำว่าแม่มดมาก จึงทาเล็บสีดำ สวมใส่สร้อยข้อมือและสารพัดจี้ที่เจ้าตัวบอกว่ามีความหมายเชิงสัญลักษณ์ในศาสตร์มายิก มีความสนใจเรื่องภูตผีสิ่งลี้ลับ ซึ่งก็สะท้อนผ่านงานเพลงของเธอด้วย
เรื่อยมาถึงตอนนี้ นายพลพรพัชรถอนหายใจหนัก ราวกับการพูดถึงหัวหน้าวงมีสเทรี เทลส์น่าหนักใจอย่างยิ่ง “วิชเป็นฝาแฝดผม”
ถ้อยคำจากปากสร้างความตกใจให้เธออย่างยิ่ง แต่เหมือนรุจิรัฐจะรู้อยู่ก่อนแล้ว ส้มแก้วนึกถึงวิชกาวีแล้วก็มองหน้าฝาแฝดของเธอ โพล่งออกมาทันทีว่า “ไม่เห็นเหมือนกัน!”
“ไม่เหมือนน่ะดี” ชายหนุ่มว่า ก็หัวหน้าวงมีสเทรี เทลส์ตัวสูงก็จริงแต่ก็สูงโปร่งไม่สูงใหญ่แบบเขา ถึงจะมีรสนิยมแปลกๆ แต่ก็ชอบแต่งตัว ไม่ไว้ผมหน้าม้าเต่อติดกระดุมเสื้อถึงคอเหมือนกันด้วย แต่พอสังเกตดีๆ ปากทั้งคู่เหมือนกัน วิชกาวีมีริมฝีปากบางและเล็กมากซึ่งเจ้าตัวชอบวาดลิปสติกเลยขอบให้ดูหนากว่าความเป็นจริง แล้วที่ต่างกันอีกอย่างคือวิชกาวีเป็นคนเชื่อเรื่องผีสางลี้ลับอย่างสุดโต่ง ในขณะที่ชายหนุ่มคนนี้เหมือนจะไม่ค่อยเชื่อเท่าไร
“เธอคงถูกไอ้วิชบังคับเข้าวงสินะ อยากออกไหมจะไปคุยให้”
ส้มแก้วยิ้มจืดเจื่อน ไม่อยากจะบอกว่าเดินดุ่มเข้าไปสมัครด้วยตัวเองทั้งที่เอกดนตรีไทยไม่น่าจะไปด้วยกันกับวงที่มีแต่เครื่องดนตรีสากล ทั้งมีคอนเซปต์เป็นแนวความเชื่อฝั่งตะวันตก แต่หัวหน้าวงก็อ้าแขนรับด้วยความเต็มใจ ครั้นถามไถ่ถึงเหตุผลก็ทำสีหน้ามีเล่ห์กลยิ้มที่มุมปากบอกว่า ‘มันคืออินเนอร์ไง’ พอเธอทำหน้างงจึงค่อยอธิบายว่า มีสเทรี เทลส์เป็นการรวมตัวของคนที่ชื่นชอบอะไรเหมือนๆ กัน ไม่แบ่งชนิดเครื่องดนตรีหรอก
“ส้มไปเก็บของก่อนนะพี่ๆ ขอบคุณมากนะคะ”
บอกลารุ่นพี่สองคนก็เดินเลี่ยงกลับไปยังโซนห้องซ้อมเดี่ยวเพราะทิ้งข้าวของไว้ที่นั่น ห้องอื่นๆ ปิดไฟเงียบหมดแล้วเหลือแค่ห้องของเธอที่เปิดไฟทิ้งเอาไว้ ความเย็นจากเครื่องปรับอากาศแผ่ออกมาทันทีที่เปิดประตู ส้มแก้วแง้มประตูเอาไว้ขณะลงมือเก็บของ อย่างน้อยก็ให้ได้ยินสรรพเสียงจากข้างนอกบ้างแก้อาการขนลุก ตอนเอากุญแจไปคืนที่เคาน์เตอร์ ผีก็ออกมาตากผ้าอ้อมจนแดงทั่วท้องฟ้า ย้อมอาคารด้านหนึ่งเป็นเงาครึ้ม หญิงสาวจงใจเลี่ยงทางเดินชั้นสอง ลงบันไดหนีไฟไปยังชั้นหนึ่ง ผ่านทางเดินด้านข้างหอแสดงดนตรีที่มีจอดิจิทัลขนาดใหญ่แสดงเวลาตลอดเวลาแม้ในยามไม่มีการแสดง ส้มแก้วรู้สึกแปลกๆ และขนลุกทุกครั้งที่เดินผ่านอย่างไร้เหตุผล อาจเพราะว่ามันเป็นสีแดง ไม่ก็สะดุ้งตกใจถ้าเดินผ่านตอนเลขตัวใหญ่บนนาฬิกากะพริบเปลี่ยนเวลาพอดี
เดินต่อไปอีกนิดจะพบทางคอนกรีตเล็กๆ เลียบสระน้ำไปยังทางเข้าออกวิทยาลัยด้านหนึ่ง ซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นไม้ที่ยืนต้นครึ้มแผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมทางเดินตลอดสองฟากฝั่ง ไฟประดิษฐ์จากเสาส่องแสงสว่างสีเหลืองอยู่เป็นช่วงๆ บางต้นติดๆ ดับ และบ้างก็ดับสนิท ยอดไม้ไหวเชื่องช้าตามกระแสลมที่พัดมาเอื่อยๆ ใบไม้โปรยปรายตกลงมาเต็มทางเดิน จากตรงนี้จะเห็นสะพานอีกแห่งอยู่ลิบๆ ท่ามกลางสระน้ำซึ่งสะท้อนภาพท้องฟ้ายามสนธยาและต้นอ้อกอกกกริมตลิ่ง ศาลาริมน้ำก็ปรากฏสู่สายตา
ศาลาริมน้ำนี้นักศึกษาเอกดนตรีไทยนิยมใช้จัดการแสดงเล็กๆ อากาศดีหน่อยอาจารย์ก็ให้นักศึกษาขนเครื่องดนตรีลงมาเรียนรวมวงเล็ก แต่ไม่ค่อยอยู่กันถึงมืดค่ำเพราะขึ้นชื่อว่ายุงที่นี่ดุมาก ส้มแก้วเคยมาซ้อมออกบ่อยเพราะเงียบดีและวิวตอนเย็นก็สวย นั่นเป็นเหตุผลที่เธอเลือกเดินผ่านที่นี่ตอนพลบค่ำ
วิทยาลัยดนตรียังมีที่สวยงามบรรยากาศดีๆ อีกมาก คณบดีมองว่าบรรยากาศที่ดีจะทำให้นักดนตรีสร้างสรรค์บทเพลงดีๆ ไม่ว่าจะเป็นป่าต้นไม้ดนตรีซึ่งเป็นทางเดินลัดเลาะเข้าไปในป่าซึ่งเต็มไปด้วยพรรณไม้สำหรับทำเครื่องดนตรี สระคลองท้องร่องมีต้นมะพร้าวขึ้นเรียงรายบนคันดินให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในเรือกสวนแถบอัมพวาและเชื่อมกับทะเลสาบใหญ่อีกที หรือมิวสิก ยาร์ด ร้านอาหารฟิวชั่นที่มีดนตรีสดตลอดทั้งวี่ทั้งวัน และที่ดึงดูดคนข้างนอกให้มาเที่ยวชมมากที่สุดเห็นจะเป็น ‘ทไวไลต์โซน’
ศาลาริมน้ำใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สายตาหญิงสาวปะทะเข้ากับร่างหนึ่งนั่งหันหลังอยู่บนศาลา น่าจะเป็นนักศึกษาเพราะสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ตั้งใจจะเดินเข้าไปดูว่าเป็นคนรู้จักหรือไม่ ทว่าก้มหน้ามองเท้าตัวเองเพียงครู่หนึ่งเงยหน้าขึ้นมาก็ไม่เห็นใครแล้ว ศาลาว่างเปล่า บางทีเขาคงลุกเดินออกไปตอนเธอพะวงกับรองเท้า
ครั้นหยุดยืนตรงหน้าศาลา ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมองเล่นเอาสะท้านไปทั้งกาย…ถ้าไม่ใช่คนล่ะ หรือเธอจะเจอเรื่องลึกลับอะไรเข้าอีกแล้ว!
เอาเป็นว่า…ส้มแก้วหันซ้ายหันขวา หยิบโทรศัพท์จากกระเป๋าเปิดหน้าจอเลื่อนหาชื่อเพื่อน จะโทร.หาริวาก็ไม่ควรเพราะเธอคงอยู่กับคุณพ่อ จึงคิดโทร.หามิ่งพธู ทว่ายังไม่ทันได้กดโทรออก กลับมีเสียงถอนหายใจดังมาจากข้างหลัง ส้มแก้วสะดุ้งเฮือกหมุนตัวถอยหลังจนขาข้างหนึ่งก้าวขึ้นบนยกพื้นสูงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของศาลา เบื้องหน้าว่างเปล่าไม่มีใคร ต่อให้เพ่งมองเข้าไปในอากาศธาตุก็ไม่ปรากฏว่ามีสิ่งใดอื่นอยู่ดี
ขณะกำลังกวาดตามองรอบๆ นั้น ก็รู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆ พ่นอยู่ที่ข้างหูซ้ายตามด้วยเสียงกระซิบพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ ค่อยๆ เหลือบสายตามองมาทันเห็นเงาดำครู่หนึ่งก่อนจะวูบหายไป…สติของส้มแก้วกระเจิดกระเจิง
มะ…ไม่อยู่แล้ว!
พลบค่ำวันนั้น…ร่างหญิงสาวในชุดนักศึกษาหอบข้าวของพะรุงพะรังวิ่งหน้าตั้งไปตามทางเดินเลียบสระน้ำ เสียงฝีเท้าดังตึกตักก่อนจางลงจนเงียบหายไป เหลือเพียงศาลาริมน้ำตระหง่านครึ้มท่ามกลางแสงสนธยาและหมู่ไม้ส่ายไหวกระกราวตามแรงลมพัด หากใครบังเอิญผ่านมาก็จะได้ยินเสียงทอดถอนหายใจอย่างปลดปลงเป็นแน่