ต้องมนตร์ดนตรี : บทนำ

ต้องมนตร์ดนตรี : บทนำ

โดย : วินธยา

Loading

ต้องมนตร์ดนตรี นิยายออนไลน์ โดย วินธยา ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เป็นเรื่องราวของห้องดนตรีของวิทยาลัยที่ลือกันว่ามีผีสิง เรื่องนี้อาจเป็นจริง เมื่อ ‘ส้มแก้ว’ ได้พบกับ ‘อินทวัช’ ชายหนุ่มลึกลับในห้องดนตรี เขาคือใครกัน จะใช่วิญญาณของนักศึกษาที่ฆ่าตัวตายไปเมื่อหลายปีก่อนหรือเปล่า มาช่วยเธอหาความจริงในเรื่องนี้กัน

**************************

– บทนำ –

แดดร่มลมตก ภูตผีขึงพาดราวตากผ้าบนขอบฟ้า สะบัดตากผ้าอ้อมเป็นแสงสนธยาย้อมผืนพิภพด้วยแสงเงา ตึกรามอาคารใหญ่เป็นหนึ่งเดียวกับหมู่ไม้ซึ่งยืนต้นทอดกิ่งใบเป็นเงาดำมืดใต้ท้องฟ้าสีส้มแกมชมพูที่เริ่มปรากฏริ้วสีน้ำเงินแซมอันเป็นสัญญาณว่ากำลังจะล่วงเข้าสู่หัวค่ำในไม่ช้า ว่ากันว่าหากอยากพิสูจน์เรื่องลึกลับของวิทยาลัยแห่งเสียงเพลงให้รอจนถึงตอนนี้ ยามพลบค่ำ ด้วยว่าเป็นรอยต่อระหว่างกลางวันกลางคืน กึ่งกลางระหว่างความธรรมดาสามัญและความลี้ลับ

ไกลออกไปทางหนึ่ง…บนทางเดินเลียบริมสระน้ำที่สองข้างทางปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่ยืนต้นชูก้านใบสูงขึ้นเทียมฟ้าโน้มยอดเข้าหากันประหนึ่งอุโมงค์ต้นไม้ให้ร่มเงาแก่ผู้สัญจรยามเที่ยงวัน หากในเวลาที่แสงสุดท้ายของวันกำลังถูกพรากจากไป หนทางที่ทอดลึกยาวไกลเข้าไปภายใต้หมู่ไม้ก็ราวจะนำพาผู้เดินทางให้หลงไปสู่โลกกลับด้านที่แปลกประหลาดต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

เสียงฝีเท้าสะท้อนดังเด่นโดดขึ้นมา เสียงใบไม้ไหวกรูเกรียวและเสียงน้ำหล่อต่างมโหรียามเย็นตามเป็นฉากหลัง ใครคนหนึ่งเดินท่องเพียงลำพังบนทางเดินนั้นแล้วหยุดฝีเท้า เสี้ยวหนึ่งของใบหน้าถูกระบายด้วยเงาไม้ครึ้มขณะแหงนมองเสาไฟประดิษฐ์เหนือศีรษะที่ค่อยๆ กะพริบติดส่องแสงสีขาวสว่างปานจะแข่งกับท้องฟ้า คำนึงว่าป่านนี้ทางเดินทุกหนแห่งภายในอาณาบริเวณแห่งนี้คงสว่างไสวไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางอีกต่อไป หรืออย่างน้อยตนก็ไม่ต้องเดินคลำทางในความมืด

“ใคร…ช่วยตอบหน่อย”

เสียงตะโกนช่วงชิงความเงียบไปจากบรรยากาศ เขาที่ทำท่าจะก้าวออกเดินต่อจำต้องชะงักอีกหน หันหลังกลับไม่ทันไร แสงไฟก็สาดส่องต้องเข้าหน้าจนต้องยกมือป้องดวงตา

“อ้าว นักศึกษาน่ะเอง” สุ้มเสียงคนถามแสดงถึงความโล่งอกโล่งใจ ลดไฟฉายลงคนถูกถามจึงเห็นได้จากแสงสว่างของเสาไฟว่าอีกฝ่ายสวมเครื่องแบบพนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งยังคุ้นหน้าคุ้นตา “คราวหน้าคราวหลังให้สุ้มเสียงหน่อย เห็นใจพวกพี่บ้างเห๊อะ ไอ้เราก็นึกว่าเป็นอย่างอื่น”

คำว่า ‘อย่างอื่น’ นั้นจงใจเน้นเสียงแฝงความนัยเล็กน้อย หงุดหงิดนิดหน่อยเมื่อคนตรงหน้าแลจะไม่ให้ความร่วมมือ เขาลังเลไม่แน่ใจเจ้าเด็กนี่เป็นคนมีเลือดเนื้อหรือสิ่งลี้ลับที่คนในวิทยาลัยพากันหวาดกลัวจนรีบจรลีลี้กลับบ้านตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน หากก็ทำใจสู้มองสำรวจตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้า ชายหนุ่มดูอ่อนวัยกว่าเขา สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนถึงข้อศอกกับกางเกงสแล็กส์สีดำอันเป็นเครื่องแบบนักศึกษา กลัดตราประจำมหาวิทยาลัยที่อกเสื้อด้านขวา มีกระเป๋ารูปทรงแปลกตาสะพายอยู่บนไหล่ คงเป็นกระเป๋าใส่เครื่องดนตรีบางชนิด ก็เหมือนนักศึกษาดนตรีส่วนใหญ่ที่เคยเห็น

“ขอโทษครับ…แต่อย่างอื่นที่ว่าคืออะไรหรือครับ” ในที่สุดนักศึกษาหนุ่มก็เอ่ยปาก น้ำเสียงคล้ายสนใจใคร่รู้อยู่ในที รปภ.วัยกลางคนฉายสีหน้าลังเลอีกหน แค่เล่าเป็นเกร็ดนิดหน่อยคงไม่เป็นไร

“ก็ข่าวลือช่วงนี้น่ะสิ น้องน่าจะได้ยินเรื่องระเบียงทางเดินบนชั้นสองอาคารเอ นักศึกษาที่อยู่ซ้อมดึกๆ เจอดีกันแทบทุกราย เดินๆ อยู่ก็ได้ยินเสียงคนเดินตามหลัง ถ้าหยุดเดินจะถูกหายใจรดต้นคอ ถ้าวิ่งก็ถูกไล่ตาม ไม่ได้ตามธรรมดานะแซงขึ้นไปนำอีกต่างหาก เห็นแต่เงาเท้าบนพื้นไม่เห็นตัวคนวิ่ง… ” เล่าถึงตรงนี้คนเล่าก็ขนหัวลุกเย็นวาบสะท้านถึงสันหลัง แต่ไม่รู้คนฟังจะว่าอย่างไรเพราะเห็นเงียบไป “ที่เล่านี่ยังเบาะๆ นะ มีอีกเพียบ”

“เลยพากันกลับก่อนมืดแทบไม่เหลือใครเลยนะครับ” กลับได้น้ำเสียงเรียบเรื่อยเป็นคำตอบ

“ใช่ เมื่อกี้บนตึกเพิ่งแจ้งมาว่าห้องซ้อมอาคารเอไม่เหลือใครแล้วส่วนอาคารซีเหลืออยู่อีกสามสี่ห้อง ปกติห้องซ้อมปิดสองทุ่มใช่ไหม แล้วพวกเราบางคนแคร์กันซะที่ไหนก็ตั้งป้อมซ้อมมันนอกห้องนี่แหละ เผลอๆ พี่เดินตรวจแถวป่าดนตรีตอนสามสี่ทุ่มเห็นยังยืนเป่าแซกโซโฟนสีไวโอลินกันอยู่เลย แต่ตอนนี้ไม่มีใครแล้วนะ…เงียบกริบ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ วิทยาลัยดุริยางค์นี่พอไม่มีเสียงเพลงมันก็ดูแปลกพิกลไปเลย”

ชายหนุ่มนักศึกษาทำเพียงกวาดสายตามองรอบๆ  คล้ายหูกำลังสดับฟังสรรพเสียงรายรอบไปด้วย สายลมโหมมาอีกระลอกพัดไม้ไหวพะเยิบตาม เสี้ยวใบเล็กๆ น้อยๆ โปรยปรายร่อนตกลงมาใส่ศีรษะเขาจนต้องยกมือขึ้นป้องปัดขณะออกความเห็นว่า

“นั่นสิครับ แปลกจริงด้วย” ตามด้วยสีหน้าสีตาซึ่งแววประหลาดใจก็ฉายวับออกมา “วิทยาลัยก็เพิ่งก่อตั้งได้สิบปีกว่า ไม่น่ามีเรื่องอย่างนี้นะครับ”

“ไอ้เรื่องเล่ามันก็มีทุกหนแห่งแหละน้อง ยิ่งเป็นเรื่องผีด้วยแล้ว” รปภ.ว่า เปลี่ยนท่ามาเท้าสะเอว “พี่ก็เพิ่งประจำที่นี่แค่ปีเดียว เท่าที่ฟังจากคนเก่าคนแก่มันก็มีบ้างนะ แต่เขาว่าเจอหนักสุดก็ช่วงนี้ เล่นเอานักเรียนไม่เป็นอันเรียนอาจารย์ก็ไม่เป็นอันสอน เห็นว่าจะจัดทำบุญใหญ่ด้วย”

“ครับ” เขาตอบรับด้วยถ้อยคำสั้นๆ เพียงแค่นั้น ผู้มากวัยกว่าจึงเห็นว่าควรปล่อยเขาไปเสียที

“พี่ว่ากลับเหอะ เดินผ่านหอแสดงดนตรีออกทางประตูหน้าไปเลย หรือถ้าจะมาลองของ ขอเตือนเลยว่าอย่าลองดีนะครับ มีคนเจอดีวิ่งตกน้ำตกท่ามาแล้ว” แต่ก็ยังมิวายเอ่ยเตือนแถมขู่อีกหน่อย ทว่านักศึกษากลับไม่ยินดียินร้าย  รับคำกระชับกระเป๋าเครื่องดนตรีบนบ่าออกเดินจากไป ผู้เป็น รปภ.ได้แต่มองตามแผ่นหลังที่ค่อยๆ ถูกเงามืดกลืนกินก่อนเลี้ยวลับไปตามเส้นทางที่ตนแนะนำเอาไว้ เมื่อแน่ใจว่าเจ้าตัวจะไม่หวนกลับมา เขาจึงเดินย้อนทางเก่าไปยังป้อมยามซึ่งตั้งอยู่ทางเข้าอีกแห่งของวิทยาลัย

มีคำกล่าวโดยรุ่นพี่และอาจารย์คนเก่าแก่ว่า วิทยาลัยดุริยางค์ลึกลับพิศวงนักเมื่อเวลาสนธยามาเยือน แม้ในยามกลางวันก็ยังมืดครึ้มทึมสลัว มองเผินมองผาดอาจไม่รู้สึกถึง แต่หากอยู่นิ่งๆ ตามลำพังให้เวลากับทุกสิ่งอย่างที่เคลื่อนไหวรายรอบกายก็จะพบว่ามีบางสิ่งบางอย่างซ่อนอยู่ในความว่างเปล่า อาจอยู่ในยอดไม้พัดไหวส่งเสียงเกรียวกราว สายลมที่ลากใบไม้แห้งกรอบดังแสกสากไปตามพื้นปูน เสียงหนักเบาของฝีเท้าย่ำเดิน คำพูดคุยโทนสูงต่ำ เสียงก็อกๆ แก็กๆ  กระทั่งเสียงซ้อมบรรเลงเพลงดนตรีอันเกิดจากฝีมือมนุษย์ ซึ่งสัมผัสอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันและไม่น่ากลายเป็นความลึกลับไปได้

นักศึกษาหนุ่มเก็บคำพูดของชายวัยกลางคนมาครุ่นคิด ไม่รู้สึกว่าที่นี่แปลกต่างไปจากเดิมนอกจากเขาเองที่เปลี่ยนไป ในสายตาเขาวิทยาลัยแห่งเสียงเพลงยังคงพราวพร่างด้วยสีสัน หลายเฉดหลากสีทั้งอ่อนเข้ม หนาและบางเบาซึ่งเคยเฝ้ามองดูอย่างเพลิดเพลินไม่รู้เบื่อ ทว่ายามนี้เขากลับเพิกเฉยมัน แสงสีเหล่านั้นไม่ทำให้รู้สึกตื่นตาตื่นใจอีกต่อไปและไม่นานก็เลือนหายไปโดยไม่ทันรู้ตัว พักหลังเขามักเฝ้ามองเปลวแดดร้อนแรงของดวงอาทิตย์ที่สาดต้องอาคารรามเรือนและวัตถุต่างๆ ทอดลงบนพื้นเป็นเงามืดสลับแดดสว่าง จ้องมองเนิ่นนานพลันคิดว่าตนยังคงอยู่ในเงามืดนั้นไม่มีทางก้าวออกมาสู่แสงสว่างได้

บ่อยครั้งสับสนว่าเงามืดที่กำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นความจริงหรือสิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ เขาจึงต้องดูนาฬิกาข้อมือบ่อยๆ  และตอนนี้เข็มสั้นพาตัวเองมาหยุดตรงหกนาฬิกากับอีกสี่สิบนาที เข็มวินาทีกำลังเดินทางอยู่ระหว่างเลขสามกับเลขสี่ ฟ้าเบื้องบนยังเป็นสีส้มเมื่อละสายตาจากนาฬิกา ส่วนตัวเขาก็ไม่ได้ไปยังทางออก หากแต่เดินย้อนกลับมาทางเดิมข้ามสะพานข้ามลำคลองไปยังอีกฟากฝั่งหนึ่งอันเป็นที่ตั้งของอาคารอีกแห่งรวมถึงป่าต้นไม้ดนตรีที่พนักงานรักษาความปลอดภัยกล่าวถึง เดินผ่านมันไปจนสุดทางแล้วแต่ก็ท่องต่อไปเรื่อยๆ  ห่างไกลจากแสงสว่างของตึกอาคาร ผ่านเสาไฟประดิษฐ์ที่เรียงรายอยู่ตลอดทางเดินในป่าต้นไม้ดนตรี และไปหยุดอยู่ ณ ที่หนึ่ง ที่ซึ่งพื้นดินค่อยๆ ปรับระดับลาดลงสู่สระน้ำเบื้องล่าง

ดวงอาทิตย์หายลับไปในทิวไม้ แสงสีส้มริ้วสุดท้ายเลือนรางจางหายไปในห้วงสีน้ำเงินซึ่งเปลี่ยนเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว ราวกับท่วงทำนองดนตรีได้เปลี่ยนชุดตัวโน้ตกะทันหัน เช่นเดียวกันนักดนตรีก็ถูกเปลี่ยนยกวงเพื่อบรรเลงโหมโรงยามราตรี

ปลดกระเป๋าออกจากไหล่ พนมมือไหว้ทั้งที่สายสะพายกระเป๋ายังคล้องอยู่บนแขนก่อนวางลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง สูดลมหายใจลึกมองไปยังเบื้องหน้าซึ่งความมืดกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างจนแทบไม่เห็นอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากเงาอันสับสนวุ่นวายในผืนผ้าใบมืดดำ ดูเหมือนที่สุดแล้วสิ่งที่สามารถจับต้องได้ในขณะนี้คือความรู้สึกของเขาที่แสนหนักอึ้งและดูราวกับว่าจะไร้ซึ่งทางออก



Don`t copy text!