ภาคินีสีเลือด บทที่ 3 : กลับรัง

ภาคินีสีเลือด บทที่ 3 : กลับรัง

โดย : วิญวิญญ์

Loading

ภาคีนีสีเลือด นวนิยายออนไลน์ โดย วิญวิญญ์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เป็นนวนิยายที่ผสมผสานความเชื่อท้องถิ่น ศิลปะการแสดงโนราห์ และความลึกลับเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

************************

– 3 –

เรือนไทยใต้ถุนสูงแบบบ้านทั่วไปที่นิยมปลูกในภาคกลางสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ตั้งอยู่ไม่ห่างจากวัดสนามกระบืออันเป็นจุดศูนย์รวมอีกแห่งหนึ่งของคนชุมชนสนามกระบือ แลดูร่มรื่นด้วยแมกไม้แม้จะไม่โอ่อ่า ไม้ยืนต้นทั้งไม้ดอกและไม้ผลทอดร่มเงาอันเอื้อเฟื้อ กันฝนบังแดดให้แก่เรือนไม้หลังคาจั่วทรงสูง ส่วนไม้ล้มลุกจำพวกไม้พุ่มและไม้เลื้อยนั้นช่วยให้เรือนหลังนี้มีชีวิตชีวาน่าอยู่อาศัย

ขณะนี้ ตรงระเบียงของเรือนที่ปกติใช้เพื่อนั่งเล่น รับรองแขกเหรื่อ และทำกิจกรรมต่างๆ มีคน 2-3 คนกำลังพูดจากันอย่างตึงเครียด ขัดด้วยเสียงร้องของทารกเป็นระยะ…

‘กูบอกมึงแล้วว่ามึงต้องช้ำใจ’

เสียงกร้าวหนักเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวดังทำลายบรรยากาศที่เงียบสงบในยามบ่าย

เสียงร้องไห้โฮปิ่มจะขาดใจดังขึ้นในแทบจะทันทีหลังสิ้นเสียงเกรี้ยวกราด…

‘มึงไม่ต้องมาบีบน้ำตา…กูเคยเตือนมึงแล้วมึงไม่ฟัง พวกเจ๊กพวกจีนนี้มันไว้ใจหาได้ม่าย บ้านเมืองมันอยู่แค่เมืองจีนโน่น มันอิทิ้งมึงไปเสียต่อใดก็ไม่รู้ ลูกเมียที่เมืองจีนมันก็อาจมีอยู่ พอขุดเงินขุดทองจากแผ่นดินเราได้กะลุยแล้วมันก็กลับบ้านกลับเมืองมัน หนีหายหน้าหายหัว…ส่วนเมียเล่อ (โง่) พรรค์อย่างมึง…เหอะ! ตายโหงตายห่าไปเสียหวางนี้ (ตอนนี้) เลย…มันก็ไม่แล!’

เจ้าของเสียงกราดเกรี้ยวที่กำลังบริภาษด้วยสำเนียงท้องถิ่นทางใต้ พูดไม่พูดเปล่า แต่กลับใช้นิ้วจิ้มลงไปอย่างแรงตรงหน้าผากของหญิงผิวคล้ำ ร่างผอมเกร็ง แลซูบโทรม…เจ้าของร่างไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะทรงกายให้นั่งตรง ถึงกับหงายเซล้มไปกองกับพื้นทั้งท่านั่งอย่างง่ายดาย ร่างที่คว่ำอยู่บนพื้นเรือนไหวสะท้านขึ้นลงตามแรงสะอื้น…

แต่ชายผิวดำคล้ำ หน้าตาดุดันพอๆ กับเสียง หาได้มีท่าทีอ่อนลง กลับปราดเข้าไปพร้อมเงื้อง่ามือขึ้นตั้งท่าจะฟาดลงไปบนใบหน้าตอบอมทุกข์ที่กำลังค่อยๆ เงยขึ้น…เมื่อแลเห็นฝ่ามือที่กำลังจะลอยมาปะทะใบหน้าตน เจ้าของหน้าผอมซูบเซียวนั้นรีบหลับตาลงแต่ไม่เอี้ยวหลบ คล้ายจะน้อมรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างเต็มใจ

‘พอเถอะนายดำ!’

นายไข่นุ้ยหัวหน้าวงดนตรีของคณะละครชาตรีจงกลนีรีบปรี่เข้ามาขวาง ยกมือขึ้นห้ามด้วยทนดูไม่ได้

ชายวัยเกือบ 40 แก่กว่านายดำ หัวหน้าคณะละครเพียงไม่กี่ปี  แต่อารมณ์เยือกเย็นกว่ามาก เขาไม่อาจทนดูเหตุการณ์อย่างนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ความที่เป็นลูกศิษย์คนสนิทของบิดานายดำ — นายจิต ผู้เคยเป็นหัวหน้าคณะมโนราห์อันเลื่องชื่อผู้ล่วงลับแห่งเมืองสงขลา ทำให้เขาเติบโตมาอย่างสนิทสนมและผูกพันลึกซึ้งกับทั้งนายดำและนางดวง สองพี่น้อง

เสียงเด็กแบเบาะแผดเสียงร้องไห้จ้าขึ้น คล้ายจะสัมผัสรู้ถึงความกดดันน่าอึดอัดรอบกาย

‘เอเอ้…อย่าร้องไห้เลยอ้ายหนู…ท่าอิหิวนม’

เสียงอ่อนโยนของหญิงอีกคนหนึ่งดังแทรกขึ้นปลอบทารกน้อย นางพยายามแกว่งเด็กทารกในอ้อมแขนอยู่ไปมา พลางเหลือบมองสบตากับนายไข่นุ้ยผู้บิดาเป็นระยะเหมือนจะขอความเห็นอะไรบางอย่าง อีกฝ่ายจึงรีบพยักหน้าเชิงให้สัญญาณว่าควรเอาทารกน้อยออกไปให้นมเสียให้ห่างออกจากบรรยากาศอันตึงเครียดตรงนั้น

นางอิ่มรีบสาวเท้าออกไปโดยพยายามให้เงียบที่สุด มุ่งหน้าไปยังห้องนอนผ่านชานเรือนที่มีชายหญิง 4-5 รายนั่งรวมกลุ่มกันอยู่ บ้างตรวจดูเครื่องดนตรี บ้างเย็บปัก หรือไม่ก็ซ่อมแซมเครื่องประดับและเครื่องแต่งกายของคณะละคร ทุกคน ณ ที่นั้น แอบลอบมองและฟังสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างลับๆ แม้จะกระหายใคร่รู้เสียเต็มประดา

เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว ทารกนั้นก็เงียบลง…นางกวาดสายตามองหานางเอียดผู้เป็นแม่ในแทบจะทันทีที่ก้าวผ่านธรณีประตูห้อง รู้สึกแปลกใจที่ไม่เห็นร่างท้วมอย่างที่ควรจะเป็น

‘หายไปไหนนี่’

นางรำพึงรำพันกับตนเอง ก่อนอุ้มทารกในวงแขนเดินรี่ไปชะโงกดูเด็กอ่อนอีกคนที่กำลังนอนอยู่ในเปล เมื่อเห็นว่าเด็กนั้นนอนหลับตาพริ้ม ก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอก

เธอรีบเดินกลับมาเพื่อให้นมแก่หลานตัวน้อยที่นอนลืมตาอยู่ในอ้อมแขน ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นจ้องมองหน้านางอิ่มเป๋ง นับว่าโชคยังเข้าข้างทารกน้อยผู้อาภัพอยู่บ้าง เพราะนางอิ่มเพิ่งจะคลอดลูกคนเล็กได้ไม่กี่เดือนก่อนหน้า จึงสามารถให้ร่วมนมกับบุตรสาวของนางได้

‘อีดวงผอมโทรมจัง แลแล้วใจหายนะ’

เสียงหนักๆ แบบสำเนียงชาวใต้ดังมาจากทางหน้าประตู พร้อมๆ กับร่างคล้ำของนางเอียด

‘แม่ออกไปแลแต่เดี๋ยวฮึ’

นางอิ่มตอบกลับเป็นภาษาท้องถิ่นในขณะที่ยังสาละวนอยู่กับการให้นม

‘อืม…หาได้ตั้งใจไปแลม่าย พอดีอีตัวน้องมันหลับอยู่ เลยว่าพาอีตัวนี่ออกไปเดินเล่นดีกว่า’

นางเอียดตอบพลางบุ้ยปากมาทางเด็กหญิงอายุราวขวบกว่าที่กำลังหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขน

‘แล้วนี่…เด็กกะหญิงหรือเด็กกะชาย’

คนแม่เอ่ยถามอีก ก่อนเดินเข้ามาประชิดตัวแล้วชะโงกมองทารกที่ดูดนมอย่างหิวโหยจากอกของบุตรสาว

‘ม่ายโร๊ะ ยังไม่ได้แล…แลก่อน’

แล้วนางก็ค่อยๆ เอามือข้างหนึ่งคลี่ผ้าคลุมตัวเด็กเปิดออก ในขณะที่แขนอีกข้างยังพยุงตัวทารกน้อยไว้

‘เด็กกะหญิง…น่าจะอ่อนเดือนกว่าบัวเผื่อนไม่สักเท่าไร’

นายดำตั้งชื่อลูกสาวทั้งสองตามแบบคนภาคกลาง หลังจากอพยพหนีภัยธรรมชาติ ความแร้นแค้น และภัยกบฏจากบ้านเกิด ขอเป็นข้ากองทัพตามเข้ามาอยู่ในกรุงได้เกือบ 10 ปีแล้ว เมื่อนายจิตเจ้าของคณะมโนราห์ชื่อดังในบ้านแหลมสนผู้เป็นบิดาเสียชีวิตลงด้วยโรคบิด คราวเกิดอุทกภัยใหญ่ปี พ.ศ.2374…ไม่นานนัก มารดาของนายดำก็ตรอมใจตายตามไปเสียอีกคน เขาจึงตัดสินใจพาคนในคณะที่สมัครใจหนีภัยมาเป็นไพร่หลวงเกณฑ์บุญเพื่อความอยู่รอดของทุกคน

ครั้นเมื่อมาอยู่เมืองกรุงแล้ว การแสดงของคณะมโนราห์ก็ต้องปรับให้เข้ากับรสนิยมของคนที่นี่ เขาจึงตั้งคณะละครขึ้นมาใหม่ไม่นานหลังจากเริ่มปักหลักปักฐานในบางกอก เป็นคณะละครชาตรีซึ่งผสมผสานระหว่างมโนราห์ของภาคใต้ และละครนอกที่ชาวบ้านภาคกลางนิยม ให้ชื่อว่า ‘คณะละครชาตรีจงกลนี’ ทั้งยังตั้งชื่อลูกสาวทั้งสองว่า ‘บัวสาย’ และ ‘บัวเผื่อน’ เพราะชอบดอกบัวซึ่งเป็นดอกไม้ที่คนเขานิยมใช้สำหรับบูชา

ด้วยสืบต่อตำแหน่งหัวหน้าคณะจากบิดาในวัยเพียง 20 เศษๆ ภาระที่ต้องรับผิดชอบปากท้องของคนร่วมคณะจำนวน 10 กว่าชีวิตจึงทับโถมอยู่บนบ่าของนายดำมายาวนาน นั่นเองเป็นเหตุที่ทำให้เขาออกเรือนช้ากว่าคนปกติโดยทั่วไป กว่าจะเริ่มตั้งตัวและลงเอยกับนางอิ่มผู้เมีย อายุก็เลย 30 ไปหลายปี

‘ขาวเหมือนคนจีนเลยนะแม่ น่าอิได้ข้างพ่อมัน’

นางอิ่มพูดตามที่เคยเห็นผัวของนางดวงในตอนที่ตนยังเล็ก และพอจำได้รางเลา…พอทารกน้อยทำท่าอิ่ม นางก็ปล่อยชายเสื้อลง

เด็กน้อยไร้เดียงสาหยุดร้องไห้โยเยแล้ว แต่ส่งเสียงอ้อแอ้เหมือนจะทักทาย รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนดวงหน้าเล็กๆ

‘เวรกรรม…แลต๊ะ น่าเอ็นดู’

นางเอียดกล่าวด้วยความสงสารแกมรักใคร่ พูดพลางพาร่างอวบผิวดำแดงแบบชาวใต้แท้เข้าไปมองเมียงเด็กน้อยอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครั้ง

‘แล้วทีนี้ อิทำพรรค์พรือนิ’ นางพูดเหมือนรำพึงกับตนเอง

‘ไม่รู้อิทำพรือ…แกคงมาช่วยงานละครแค่นี้แหละ’ ลูกสาวตอบพลางส่ายหน้า

แม้จะเป็นแม่ของเด็กถึงสองคนแล้ว แต่นางอิ่มก็เป็นเพียงหญิงสาววัย 19 ปีเท่านั้น เรื่องคิดอ่านมองการณ์ไกล นางมักปล่อยเป็นหน้าที่ของผัวซึ่งแก่กว่าถึง 16 ปี

‘เดี๋ยวลูกอิพามันไปอาบน้ำให้หายมอมแมมก่อน…ฝากแม่แลไอ้สองคนนี้ด้วยนะ’

‘เออ…ไปต๊ะลูก’

อากาศยามพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าเงียบเหงาวังเวง โดยเฉพาะสำหรับคนช้ำใจ…นายดำยังจดจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 10 ปีก่อนได้ชัดเจน…วันที่เขาบอกน้องสาวเพียงคนเดียวเรื่องที่ตัดสินใจจะพาคนในคณะที่สมัครใจไปกับเขา อพยพไปพระนครพร้อมกับกองทัพ

เพียงได้ยินพี่ชายเอ่ยถึงเรื่องนี้ ดวงในวัยแรกรุ่นก้มหน้าวูบ ไม่ปริปากแม้แต่คำเดียว…จนนายดำรู้สึกผิดสังเกตในกิริยาอาการ จึงพยายามเค้นเอาคำตอบ

‘น้องไปไม่ได้หรอก’

ดวงยังคงก้มหน้า เสียงสั่นสะท้านด้วยความกลัว

‘ไสไปไม่ได้’

ผู้เป็นพี่เค้นเสียงถามลอดไรฟัน…ในขณะที่ภายในใจลึกๆ ได้แต่ภาวนาขออย่าให้เหตุการณ์เป็นไปอย่างที่ตนเองนึกหวั่น

ความคิดที่จะหนีภัยไปอยู่เมืองกรุงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่ง แต่ลึกๆ แล้วมาจากความต้องการที่จะให้น้องสาวได้ตัดสัมพันธ์กับไอ้คนจีนที่มาติดพัน ที่ผ่านมา…เขาพยายามกีดกันทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่สำเร็จ นายดำรักน้องสาวเพียงคนเดียวมาก และไม่ต้องการให้ไปแต่งงานอยู่กินกับชายจีนผู้นี้  แม้ว่าเขาจะนิยมยกย่องนายเหยียงที่ทำมาหากินขยันขันแข็งอย่างสุจริตจนสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวได้จากการปลูกผักกาดขาย จากเดิมที่มีเพียงเสื่อและหมอนเก่าๆ ติดตัวมาจากบ้านเกิดที่มณฑลฮกเกี้ยน

ไม่มีใครรู้เบื้องหลังหรือประวัติความเป็นมาที่ชัดแจ้งของนายคนจีนรายนี้ รู้กันแต่เพียงว่า ‘นายเหยียง’ อยู่ทำมาหากินที่บ้านแหลมสนมาได้ 3-4 ปีแล้ว ก่อนหน้าที่จะมาเจอและติดพันน้องสาวของเขา ผู้เป็นนางรำตัวเด่นในคณะละครมโนราห์ เขาไม่เคยคิดวางใจเลยว่าผู้ชายอายุถึง 27 ปีอย่างนายเหยียงนั้น จะไม่มีลูกเมียชาติเดียวกันอยู่แล้วที่บ้านเกิดเมืองนอน

เขาได้ยินมาหลายต่อหลายรายแล้วว่า…ชายจีนที่ออกเรือนแล้วมักยึดอาชีพเดินทะเลเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว บางรายเมื่ออยู่ถิ่นใดเป็นเวลานานๆ แล้วทำมาหากินคล่อง ก็ค่อยกลับเมืองจีนไปรับครอบครัวที่รอทางโน้นมาอยู่ด้วยกันที่สยาม บางรายที่ยังไม่แต่งงานกับสาวคนจีน ก็กลับไปแต่งงานแล้วกลับมาใหม่ก็มี ส่วนรายที่ไปแล้วไม่หวนกลับมาอีกเลยก็มีไม่น้อย

ดังนั้น เพื่อตัดไฟเสียแต่ต้นลม การพาน้องสาวจากกันไปให้ไกลเป็นวิธีที่ดีที่สุด…หากทำเช่นนี้ ก็เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

‘น้องรักโก้เหยียง…’

ดวงตอบแผ่วเบา ยังคงหลบตาคมกริบของผู้เป็นพี่ สรรพนามที่นางใช้เรียก ‘เหยียง’ บ่งบอกถึงความสนิทสนม

‘ตัดใจเสีย’ นายดำออกคำสั่งเสียงห้วน

ความเป็นลูกคนโตและถูกวางตัวให้เป็นคนสืบต่อตำแหน่งหัวหน้าคณะมโนราห์ รวมถึงต้องคอยช่วยเหลือนายจิตผู้บิดาควบคุมดูแลคณะมาตั้งแต่เริ่มแตกเนื้อหนุ่ม ทำให้เขาเป็นคนเด็ดขาด และไม่ค่อยฟังใคร

‘ไม่ได้หรอกพี่ดำ’ ดวงทำเสียงเหมือนจะร้องไห้

‘มึงไปเก็บของต๊ะ อีก 3 วันอิเดินทางแล้ว เตรียมตัวเสียให้พร้อม’

ทั้งหน้าตาและสุ้มเสียงของผู้เป็นพี่ขึงขัง

นางดวงใจหายวาบ…นึกรู้ว่าสุดท้ายก็ต้องพูดถึงสิ่งที่ตนพยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด 2-3 สัปดาห์ด้วยคร้ามเกรงผลของมัน

‘น้องไปไม่ได้’

นางดวงตอบเสียงปนสะอื้น ย้ำคำเดิมๆ อยู่อย่างนั้น พลางส่ายหน้าอยู่ไปมา

‘ไอไหรของมึงวะ’ คราวนี้เสียงของนายดำเปลี่ยนเป็นตะคอก

ดวงตัดสินใจอย่างเด็ดขาด แข็งใจโพล่งออกไปด้วยอึดอัดเต็มที…

‘น้องท้อง…ฮือๆๆ’

นายดำหน้าชา ราวกับมีมืออันทรงพลังมาตบลงบนใบหน้าอย่างสุดแรง หัวใจหล่นวูบ เย็นวาบทั่วแผ่นหลัง…ส่วนอีกฝ่ายไม่ต้องพูดถึง…พูดเสร็จก็ฟุบหน้าลงไปร้องไห้อยู่กับพื้น…

นับตั้งแต่รู้ความจริง เขาผลักไสไล่ส่งน้องสาวเพียงคนเดียวให้พ้นเรือนชานไปตั้งแต่วันนั้น เพื่อจะได้ไปอยู่กับไอ้เหยียงคนจีน เขาคิดกับตัวเองอย่างหนักแน่นว่าถ้าไอ้คนจีนไม่รับลูกในท้องของน้องสาว แล้วดวงต้องระเห็จระเหินไปอยู่เสียที่ใด เขาก็จะไม่ขอรับรู้…ความรู้สึกที่ผสมปนเป ทั้งโกรธ ผิดหวัง อับอาย และที่สำคัญที่สุด…เสียใจ  ทำให้เขาตัดใจและตั้งใจว่าจะไม่สนใจอีกว่าน้องสาวจะเป็นตายร้ายดีเช่นไร

อีกเพียง 3 วันต่อมา นายดำก็รีบพาคนในคณะบางส่วนพร้อมครอบครัว เดินทางขึ้นบางกอกไปกับกองทัพที่ส่งลงมาปราบกบฏ…

นางดวงน้องเขาอยู่ดีมีสุขตามอัตภาพ และไม่เคยมาขอความช่วยเหลือ หรือรบกวนอะไร…เคยแต่ฝากจดหมายมากับญาติที่เดินทางมาพระนคร เนื้อความเป็นการขอขมาพี่ชายที่นางรักและเคารพดุจบิดาบังเกิดเกล้า แต่เขาไม่เคยตอบ เพราะทิฐินั้นมีมาก…นับแต่นั้นมา เขาไม่ได้รับรู้เรื่องของน้องสาวอีกเลย…

จนกระทั่งวันนี้  สิ่งที่เขาต้องรับรู้ก็คือสิ่งที่เขาเคยกลัวที่สุดในชีวิต…น้องสาวคนเดียวซมซานกลับมาอย่าง ‘นกปีกหัก’



Don`t copy text!