ภาคินีสีเลือด บทที่ 1 : ภาพหลอน

ภาคินีสีเลือด บทที่ 1 : ภาพหลอน

โดย : วิญวิญญ์

Loading

ภาคีนีสีเลือด นวนิยายออนไลน์ โดย วิญวิญญ์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เป็นนวนิยายที่ผสมผสานความเชื่อท้องถิ่น ศิลปะการแสดงโนราห์ และความลึกลับเข้าด้วยกันอย่างลงตัว

************************

– 1 –

“ว้าย! ช่วยด้วย…คนเป็นลม”

เสียงใครสักคนอุทานขึ้นอย่างตระหนกตกใจ

หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านั้น…

อากาศร้อนอบอ้าวของเดือนเมษายนไม่ได้ช่วยให้อารมณ์คนรอเย็นลงได้เลย สองสาวรู้สึกหงุดหงิดกับความล่าช้าเป็นประจำของเพื่อนสนิท

ชนม์นรีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเพื่อซับเหงื่อที่ไหลเหนอะหนะน่ารำคาญ พูดขึ้นเป็นเชิงแนะนำว่า

“เราเข้าไปรอก้อยข้างในร้านอาหารก่อนดีกว่าไหม จะได้เย็นๆ ฉันร้อนจะเป็นลมแล้วนะ”

หญิงสาวผิวขาวแบบเชื้อจีนในวัย 18 ปีอารมณ์บูดหลังจากรอเพื่อนสาวมาได้ร่วมครึ่งชั่วโมงแล้ว หล่อนจึงแนะนำให้เข้าไปนั่งรอในร้านอาหารฟาสต์ฟูดแห่งหนึ่งในบริเวณนั้นที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง

เนื่องด้วยเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของครอบครัวผู้มีอันจะกิน…เมื่อถูกเลี้ยงดูมาอย่างไข่ในหิน และต้องการอะไรก็ต้องได้…เธอจึงเป็นคนที่ค่อนข้างจะเอาแต่ใจ

“อย่าเลย…ตะกี้โทรไป…มันบอกว่ากำลังจะถึงแล้ว รอมันอีกสัก 10 นาทีละกัน…เดี๋ยวไปรอข้างในแล้วหากันไม่เจอจะยุ่ง ยิ่งไม่คุ้นกับแถวนี้อยู่”

พิศพิลาสเพื่อนสาวคนสนิทในวัยเดียวกัน ตอบพลางก้มมองนาฬิกาข้อมือยี่ห้อดังที่เพิ่งได้มาเป็นของขวัญวันเกิดจากผู้เป็นพ่อ…ขณะนี้เข็มสั้นชี้ไปที่เลข 9 เข็มยาวอยู่ที่เลข 5…

พิศพิลาสงามคมขำแบบสาวชาวใต้สมชื่อ ร่างบางค่อนข้างสูงซ่อนอยู่ภายใต้ผิวคล้ำเนียน

ชนม์นรีและพิศพิลาสยืนรอเพื่อนรักสายเสมออยู่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งบริเวณแยกราชประสงค์ทางด้านที่มีศาลพระพรหม เสียงรถและผู้คนจอแจ…รถนานาชนิดแข่งกันพ่นไอเสียกลิ่นเหม็นชวนเวียนหัว

รถแท็กซี่หลายคันโฉบเข้ามารับนักท่องเที่ยวทั้งฝรั่งหัวแดง ชาวเอเชียหัวดำ และต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกที่ยืนรอรถหน้าศูนย์การค้าในย่านชอปปิงหรู ด้วยหวังว่าจะได้อัตราค่าโดยสารราคาพิเศษแบบไม่ต้องอ้างมิเตอร์ หรือไม่ก็ทิปหนักๆ จากนักท่องเที่ยวใจป้ำ ชาวต่างชาติหลายคนที่อ่านหนังสือนำเที่ยวและทราบข้อตักเตือนต่างๆ ในการท่องเที่ยวประเทศไทย ปฏิเสธการใช้บริการของโชเฟอร์หัวหมอเหล่านั้น

ชนม์นรีเหม่อมองภาพนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางกลุ่มหนึ่งที่กำลังต่อรองราคาอยู่กับแท็กซี่เสียงดังเอะอะจนลืมเรื่องรอเพื่อนไปชั่วขณะ มารู้ตัวอีกทีตอนมีมือใครคนหนึ่งสะกิดที่เอว…

“ว้าย! แม่…”

หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่เมื่อหันมาเห็นหน้าคนสะกิดก็เกิดอาการโมโหแกมขำ

อนุกานดาทำหน้าเหยเกเพราะเพื่อนร้องเสียงดังเสียจนผู้คนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ และที่เดินผ่านไปมาหันมามองกันแทบเป็นตาเดียว

“แกจะแหกปากร้องไปทำพรือวะ ใบบัว อายเขา! เดี๋ยวเขาก็หาว่าเป็นบ้านนอกเข้ากรุงหรอก”

อนุกานดาพูดขึ้นด้วยสำเนียงทองแดงเสียงดังลั่น แถมยิ้มแฉ่งจนเห็นแก้มบุ๋ม อันเป็นเสน่ห์น่ารักประจำกาย

เด็กสาวซึ่งเป็นบุตรสาวคนสุดท้องของครอบครัวมีร่างอวบ เธอมักคิดโทษมารดาที่ชอบคะยั้นคะยอให้รับประทานของอร่อยอยู่เสมอ

“เขาจะว่าเป็นพวกบ้านนอกก็เพราะแกนี่แหละ  พูดออกทองแดงตลอดเวลาแถมเสียงดัง…แล้วไม่ต้องมาทำเป็นพูดมากเลย นัดไว้กี่โมง 8 โมงครึ่งไม่ใช่เหรอ มาเอาซะป่านนี้ ฉันกับจุ๊บแจงกำลังจะไม่รอแล้วนะ” ชนม์นรีได้ทีต่อว่า

“แหม! ก็บ้านอี๋ดา (1) อยู่แถวลาดพร้าวโน่นแน่ะ กว่าจะต่อรถเมล์มาลงสถานีรถไฟฟ้าได้ รถติดเสียเวลาจะตายไป ไม่ใช่บ้านเรานะที่ขี่รถเครื่อง…เอ๊ย! มอเตอร์ไซค์ซิ่งไปไหนมาไหนได้”

คนแก้ตัวพยายามจะพูดเสียงขึงขัง แต่ทว่าคำอธิบายนั้นดูไม่ขลังแม้แต่น้อยในสายตาเพื่อนทั้งสอง เพราะทุกคนต่างรู้กันดีว่าอนุกานดาเป็นเจ้าหญิงสายเสมอ

“รีบไปกันเถอะ เถียงกันอยู่นั่นแหละ เสียฤกษ์หมดแล้วมั้ง…ไหนแกบอกว่าท้าวมหาพรหมท่านเสด็จลงประทับรับเรื่องร้องทุกข์เวลา 9 โมงถึง 9 โมงครึ่งไง ก้อย”

พิศพิลาสพูดขัดจังหวะขึ้น ความเป็นลูกสาวคนโตของครอบครัวข้าราชการหัวโบราณ ทำให้เด็กสาวมีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัยสักหน่อย

คนมาสายรีบก้มมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะทำตาเหลือก แล้วรีบคว้าแขนเพื่อนสาวทั้งสองคนให้เดินตรงไปที่ศาลพระพรหม…ชนม์นรีเดินตามไปด้วยท่าทางกระเง้ากระงอด

แม่ค้าขายพวงมาลัย ธูปเทียน และของสักการะแถบนั้น ร้องตะโกนแข่งกันเพื่อเชื้อเชิญให้ผู้เดินทางมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์บริเวณแยกราชประสงค์ซื้อสินค้าของตน

“เออ…แวะซื้อมาลัยก่อนดีกว่า คนละ 4 พวง ธูปเทียนไม่ต้องเพราะฉันเอามาเผื่อให้แล้ว”

อนุกานดาหันมาบอกเพื่อนสาวอีกสองคนอย่างรีบร้อน และหยุดยืนหน้าแผงหนึ่งซึ่งมีเจ้าของร้านเป็นหญิงร่างอ้วนแต่งหน้าจัดจ้าน ผมย้อมสีดูคล้ายเส้นบะหมี่แห้งกรอบนั้นถูกหนีบไว้ด้านหลังด้วยกิ๊บสีชมพูแจ๋อันโต

“เอาอะไรดีจ๊ะน้อง…ไหว้พระพรหมเหรอ ถ้าไหว้พระพรหมต้องซื้อพวงมาลัยคนละ 4 พวงนะจ๊ะ เพราะท่านมีสี่หน้านะ”

หญิงวัยกลางคนพูดเสียงหวานพร้อมโปรยยิ้มอย่างมีเลศนัย

“สีม่วงเป็นวันเกิดท่าน…แต่ถ้าเป็นสีแดง หรือสีเหลืองเป็นสีโปรด เนี่ย…พวงมาลัยดอกกล้วยไม้สีม่วงสวยมากๆ มาลัย 7 สี 7 ศอกก็มีนะจ๊ะ ช้างม้าวัวควาย ข้าทาสบริวาร ตุ๊กตานางรำมีหมดนะ เดี๋ยวพี่จัดให้เป็นชุดนะ เอาหรือเปล่า”

แม่ค้าร่างอ้วนพยายามพูดไม่หยุดปากเพื่อให้คนซื้อไม่มีเวลาคิด หล่อนพอจะมองออกว่าเด็กสาวสามคนนี้ไม่ใช่เด็กกรุง แถมเป็นเด็ก คงไม่รู้ทันผู้ใหญ่!

“งั้น…พวงมาลัยสีม่วง 4 พวง แล้วก็ทองคำเปลว 12 ใบ 3 ชุดนะเจ๊”

อนุกานดาบอกแม่ค้า เพราะรู้ดีว่าเพื่อนอีกสองคนไม่รู้ว่าต้องใช้อะไรบ้างในการไหว้องค์ท้าวมหาพรหม…ความคิดในการมาบนบานขอให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยในฝันได้สำเร็จในสนามสอบเดือนหน้านี้  เป็นความคิดของเธอเอง

คราวนี้แม่ค้าสารพัดพิษสะดุ้งโหยง ค้อนควัก…ทำปากขมุบขมิบคล้ายกำลังแช่งด่า

“หน็อย…ย…ย อีเด็กเวร เรียกเจ๊เลยเหรอ…เดี๋ยวแม่จัดให้”

แต่แล้วแกล้งถามขึ้นด้วยเสียงดัดอ่อนหวานเต็มที่

“เอาช้างไวม้าไวไหมจ๊ะ เวลาไปขออะไรท่าน จะได้ได้ผลเร็วๆ ไง ช้างไวม้าไวช่วยนำเรื่องไปทูลท่านบนสวรรค์น้า”

แม่ค้าหัวหมอทำเสียงเล็กเสียงน้อยพร้อมหยิบช้างม้าและรูปปั้นหญิงชายใส่ลงไปในถุงเครื่องไหว้อย่างรวดเร็ว

“ทั้งหมดเท่าไรคะ” ชนม์นรีถามตัดบทอย่างเริ่มหงุดหงิด

“มาลัยพวงละ 100 บาท ทองคำเปลวแผ่นละ 5 บาท ช้างไวม้าไวคู่ละ 120 ข้าทาสหญิงชายคู่ละ 120 ทั้งหมด 2,340 บาท คนละ 780 บาทเองจ้ะ”

โดยไม่ต้องนัดหมาย…ทั้งสามหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก ต่างคนต่างคิดว่าทำไมมันถึงได้แพงหูฉี่ขนาดนี้ ถ้าขืนจ่ายทั้งหมดนั่นจริงๆ คงกระเป๋าฉีกเป็นแน่!

“เจ๊คะ เอาแค่พวงมาลัยอย่างเดียวก็พอค่ะ พอดีพวกหนูเตรียมเงินมาไม่พอ”

อนุกานดาตัดสินใจพูดก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายไปกว่านี้

คนคิดจะโกงเด็กตีสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะนำทองคำเปลว และอะไรต่อมิอะไรของหล่อนออกจากถุง แล้วยื่นมาลัยที่เหลือมาให้…แถมพูดตบท้ายด้วยเสียงสะบัดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า

“เตือนไว้ก่อนนะ…ไม่มีช้างไวม้าไว เรื่องไม่ถึงท่านนะ คนขอพรตั้งเยอะแยะ”

เด็กสาวจากภูเก็ตทั้งสามคนรีบจ่ายเงิน แล้วจ้ำอ้าวออกมาก่อนที่จะได้รับคำบริภาษหรือโดนสูบเลือดสูบเนื้อมากไปกว่านี้ เพราะแม้จะขอซื้อเพียงพวงมาลัย ราคาก็ยังสูงอยู่ดี ทั้งสามคนพากันบ่นอุบถึงราคามหาโหดของเครื่องสักการะ…จนมาถึงศาลขององค์ท้าวจัตุพักตร์

ทัวร์จีนเริ่มทยอยมากันแต่เช้าตรู่ บริเวณศาลจึงค่อนข้างแน่น ควันธูปสีขาวลอยเป็นแพส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ…เสียงมโหรีปี่พาทย์บรรเลงฟังไพเราะระคนวังเวง แต่นางรำแต่งกายครบเครื่องหลายคนที่ฟ้อนรำบวงสรวงต่อหน้าองค์เทพผู้ศักดิ์สิทธิ์กลับทำอย่างซังกะตาย จะฝืนยิ้มบ้างก็เมื่อนักท่องเที่ยวและผู้มาสักการะเอากล้องมาจ่อถ่ายรูปหรืออัดวิดีโอ…

วันหนึ่งๆ มีผู้สมประสงค์หลายต่อหลายรายมาจ้างให้รำแก้บนถวายองค์เทพ พวกเธอต้องรำซ้ำๆ กันวันละหลายต่อหลายรอบ ความเคยชินก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย…

ขณะชนม์นรีจ้องมองคณะละครชาตรีที่กำลังรำถวายมือ เสียงระนาดเอก และตะโพนเคล้าเสียงร้องประสาน…เด็กสาวรู้สึกใจหวิว…ในแวบหนึ่งคล้ายเห็นหน้านางรำคนหนึ่งมีหน้าตาและรูปร่างละม้ายคล้ายตนเอง แต่แล้วเสียงใครบางคนทำสะดุ้งรู้สึกตัว หลุดออกจากภวังค์

“รีบจุดธูปบูชาท่านเถอะ คนเริ่มเยอะแล้ว”

อนุกานดานั่นเองที่ร้องบอกเพื่อนทั้งสอง พลางควักธูปออกมานับแล้วจุดเผื่อทุกคน

เมื่อเครื่องสักการะพร้อมแล้ว ทั้งสามสาวก็เริ่มลงมืออธิษฐานขอพรจากท่านท้าวมหาพรหม…

“ว้าย! ช่วยด้วย…คนเป็นลม”

เสียงใครสักคนอุทานขึ้นอย่างตระหนกตกใจ

หลังจากนั้น…เสียงอีกหลายเสียงก็แข่งตะโกนขึ้นเรื่องคนเป็นลม…แล้วไทยมุงก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ พิศพิลาสและอนุกานดารู้สึกตกใจกับอาการเป็นลมของชนม์นรี เพราะเกิดขึ้นแบบไม่ทันได้ตั้งตัว พวกเธอพยายามทบทวนวิธีปฐมพยาบาลที่เคยได้ร่ำเรียนในชั้นมัธยม…แต่ไร้ผล…สุดท้ายได้แค่ยืนเก้ๆ กังๆ อย่างคนสติหลุด

ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มร่างสูงดูแข็งแรงแบบนักกีฬาคนหนึ่งแหวกฝูงชนออก…ก่อนปราดเข้ามารีบอุ้มคนเป็นลมเข้าไปพักในที่ร่มที่วงปี่พาทย์และคณะละครชาตรีปักหลักกันอยู่ ไทยมุงในบริเวณนั้นแตกกระจายออกชั่วคราว…ก่อนจะกรูกลับเข้าไปรุมดูเหตุการณ์ด้วยความสนใจใคร่รู้อีกครั้ง…สภาพเหมือนดอกไม้บานแล้วหุบในภาพเคลื่อนไหวที่ใช้เทคนิคไทม์แลปส์ (2) ไม่มีผิด…ขณะที่ชาวต่างชาติเหลือบมองบ้างเป็นครั้งคราวด้วยความงุนงง

“ใบบัว ใบบัว ใบบัว! เป็นอะไรหรือเปล่า”

พิศพิลาสได้สติขึ้นก่อน  จึงรีบเข้าไปจับศีรษะเพื่อนมาวางบนตัก

“ใบบัว…ฟื้นสิ”

อนุกานดาปากคอสั่น แต่มือยังคงแกว่งหลอดยาดมที่พกติดตัวไว้เสมออยู่เหนือจมูกคนเป็นลมไม่ยอมหยุด

ก่อนจะหน้ามืด…ชนม์นรีรู้สึกอึดอัด ใจสั่นหวิว…กลิ่นควันธูป…เสียงปี่พาทย์บรรเลง…ความเบียดเสียดแออัด…อากาศที่ร้อนอบ ทำให้สติตัวเธอเลื่อนลอยแล้วดับวูบ…ตัวหมุนคว้างไร้การควบคุม ก่อนทรุดลงไปกองกับพื้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

บัดนี้ ในขณะที่กำลังอยู่ในภวังค์…แว่วเสียงปี่พาทย์ลอยมาอีกครั้ง…เริ่มจาก ณ ที่ใดไกลๆ และค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ จนได้ยินอย่างชัดเจน

ในภาพที่คล้ายกำลังกึ่งตื่นกึ่งฝัน เธอเห็นร่างสองร่างสวมมงกุฎยอดแหลม แต่งกายคล้ายนางรำที่แสดงอยู่ตรงหน้าศาลพระพรหม…ร่างของทั้งสองยืนหันหลังให้ และกำลังร่ายรำอย่างอ่อนช้อย ดูเชื้อเชิญ…จากอาภรณ์และเครื่องประดับที่สวมใส่ ทำให้เดาได้ว่า…หล่อนสองคนเป็นผู้หญิง…ชนม์นรีได้กลิ่นหอมเย็นคล้ายน้ำอบไทยลอยมาแตะจมูก

ครั้นแล้วราวกับมีอะไรบางอย่างมาดลใจ…หญิงสาวเกิดความรู้สึกอย่างแรงกล้าที่จะเข้าร่วมรำไปกับหญิงสาวนิรนามทั้งสองด้วย เธอเดินรำเข้าไปหาร่างปริศนานั้น รู้สึกเพลิดเพลินไปกับเสียงปี่พาทย์และท่าทางยักย้ายร่ายรำ…แปลกตรงที่แม้ไม่เคยรำเช่นนี้มาก่อน แต่หญิงสาวกลับรู้สึกคุ้นชินอย่างยากจะอธิบาย…

ร่างของชนม์นรีเคลื่อนเข้าใกล้สองนางรำขึ้นเรื่อยๆ

แต่เมื่อใกล้เพียงแค่เอื้อมถึง หญิงสาวทั้งสองในท่าร่ายรำก็หยุดชะงักลงทันที…ทันใดนั้น ร่างสองร่างเหมือนจะพร้อมใจกันหันกลับมาทางเธอ…ชนม์นรีหยุดกึก รู้สึกว่าตนเองตกใจจนขวัญแทบหลุดลอย เพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้านั้น…มีเพียงส่วนของศีรษะนางรำทั้งสองเท่านั้นที่บิดมาด้านหลัง!

ใบหน้าขาวซีดเหมือนศพมีรอยเส้นเลือดสีเขียวและม่วงกระจายอยู่ทั่ว…ดวงตาแดงก่ำฉายแววอาฆาต และที่หลอนจนสุดจะบรรยายก็คือ…ริมฝีปากที่แสยะยิ้มจนฉีกไปถึงใบหูของร่างหนึ่งนั้น ขณะนี้กำลังกรีดเสียงหัวเราะโหยหวนออกมาอย่างบ้าคลั่ง…ปีศาจทั้งสองตนยกมือสภาพเกือบเน่าที่มีเล็บยาวหงิกงออยู่ตรงปลาย ชี้ตรงมาที่เธอ…

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” เสียงหัวเราะชนิดกระชากวิญญาณของนางปีศาจตนหนึ่งดังก้องโสตประสาทของหญิงสาว

“มึง…ง…ง…เห็น..น..น..กู…แล้ว…ว…ว” อีกตนหนึ่งส่งเสียงยานเย็นยะเยือก

“กรี๊ด…ด…ด…ด…ด…ด!”

ในภวังคจิตของตนเอง ชนม์นรีรู้สึกว่าหล่อนกำลังกรีดร้องอย่างสุดเสียง!

 

เชิงอรรถ :

(1) “อี๋” เป็นคำในภาษาจีนบาบ๋า แปลว่า ป้า

(2) เทคนิคการถ่ายภาพที่ใช้วิธีเหมือนการถ่ายทำภาพยนตร์ โดยถ่ายภาพในช่วงเวลาหนึ่งๆ แล้วเร่งความเร็ว สามารถย่นเวลากระบวนการหนึ่งๆ ที่อาจใช้เวลาเป็นปี เดือน วัน หรือชั่วโมง ให้เหลือเพียงไม่กี่นาที หรือวินาทีได้

 



Don`t copy text!