เราจะฝันถึงกันตลอดไป Part 1 บทที่ 5 : ภารกิจความฝัน
โดย : วันฉัตร
เราจะฝันถึงกันตลอดไป โดย วันฉัตร…เรื่องราวของธามไท ผู้ที่ไม่เคยคิดว่าโลกของความฝันมีอยู่จริงๆ แต่แล้วเมื่อโลกของความฝันและโลกของความจริงเชื่อมหากัน พร้อมภารกิจที่เกี่ยวพันกับชีวิตและอนาคตของอลิตา…หญิงสาวที่เขาตกหลุมรัก… ภารกิจที่ว่าคืออะไร อ่านเอามั่นใจว่า คุณจะประทับใจในทุกตัวอักษรที่ได้อ่านออนไลน์
****************************
โทรศัพท์มือถือของธามไทร้องเสียงดังอยู่นานและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จนเสกสิทธิ์ที่นอนอยู่เตียงบนต้องปีนลงมาเพื่อปิดให้ เมื่อมองดูนาฬิกาพบว่าสายแล้ว วันนี้พวกเขามีเรียนคาบเช้าจึงรีบปลุกธามไทที่ยังนอนนิ่งอยู่เตียงชั้นล่าง ธามไทพลิกตัวหันหลังให้ เสกสิทธิ์ทั้งเขย่าตัว ทั้งดึงผ้าห่มออก เขาก็ยังนอนเฉย เมื่อคืนธามไทฝันถึงภารกิจอีกแล้ว ฝันแบบนี้ทีไร เขาจะอ่อนเพลียมากจนแทบลุกจากเตียงไม่ไหวทุกครั้ง
เมื่อเสกสิทธิ์เห็นว่าวิธีธรรมดาสามัญคงไม่สามารถปลุกธามไทให้ตื่นได้ จึงใช้ท่าไม้ตาย ‘ดึงกางเกงสะท้านโลกันตร์’ วิธีนี้ได้ผลทุกครั้ง ธามไทสะดุ้งโหยง รีบคว้ากางเกงตัวเองก่อนที่จะหลุดออกจากก้น
“ไอ้บ้า” ธามไทตะคอก เสกสิทธิ์หัวเราะเสียงดัง
“ตื่นได้แล้ว”
ธามไทงัวเงีย นั่งนิ่งใจลอยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดออกมาว่า “เมื่อคืนฉันฝันอีกแล้ว”
ทันทีที่พูดจบ ดวงตาเรียวเล็กที่แทบจะเป็นเส้นตรงของเสกสิทธิ์ก็เบิกกว้างขึ้น พร้อมยิงคำถามออกมาทันที
“เป็นยังไง เล่ามา” เสกสิทธิ์ยิ้มกว้าง เก็บอาการตื่นเต้นไว้ไม่อยู่
“ไว้ค่อยเล่า ขอนอนก่อน โคตรเพลีย” ธามไททำท่าจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง
“เฮ้ย! ไม่ได้ วันนี้มีเรียน รีบแต่งตัว เดี๋ยวสาย”
ธามไททำหน้าเซ็งเล็กน้อย แต่เมื่อมองนาฬิกาก็ต้องยอมทำตาม เพราะหากไม่รีบ พวกเขาทั้งคู่ได้เข้าห้องเรียนสายแน่นอน
ธามไทและเสกสิทธิ์เป็นนักศึกษาคณะวิศวกรรมชั้นปีที่ 4 ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แม้ทั้งคู่จะมีนิสัยต่างกัน แต่ก็สนิทสนมกันตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นปีหนึ่งและเป็นรูมเมตกันมาตลอด 4 ปี ธามไทเป็นคนหัวดี แม้ไม่ตั้งใจเรียนแต่ผลสอบอยู่ในระดับต้นของคลาสเสมอ ผิดกับเสกสิทธิ์ที่สอบผ่านแบบเฉียดเส้นแดงตลอด เสกสิทธิ์ชอบบอกว่าตัวเองหัวไม่ดี แต่ธามไทคิดว่านั่นไม่ใช่เหตุผล ที่เรียนไม่รู้เรื่องเพราะความขี้เกียจมากกว่า ธามไทคอยช่วยเหลือเรื่องการเรียนของเสกสิทธิ์มาตลอด แต่ในระยะหลังธามไทฝันเกี่ยวกับภารกิจถี่ขึ้น ทำให้เขารู้สึกอ่อนเพลียจนนอนตื่นสายและง่วงนอนตลอดเวลา เสกสิทธิ์ที่ปกติเป็นคนนอนตื่นสายจึงต้องเปลี่ยนหน้าที่มาเป็นคนช่วยปลุกธามไทแทน
ธามไทและเสกสิทธิ์ในชุดเสื้อช็อปสีน้ำตาลวิ่งกระหืดกระหอบหัวฟูตรงดิ่งไปที่อาคารเรียนรวม ภายในห้องมีนักศึกษาอยู่ประมาณสิบกว่าคน โชคดีอาจารย์ยังไม่เข้ามาในห้อง เสกสิทธิ์เป่าปากโล่งอกหันไปยักคิ้วให้ธามไท ทั้งคู่เดินเข้าห้อง ตรงไปที่เก้าอี้ตัวในสุดของห้องที่อยู่ใกล้กับเครื่องกลึงเหล็กรุ่นเก่าสนิมเขรอะ
เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้น เพื่อนในห้องไม่ค่อยชอบคนทั้งคู่มากนัก เพราะมองว่าไม่ค่อยให้ความร่วมมือกับงานกลุ่มงานคณะ โดยเฉพาะธามไทที่เป็นคนโลกส่วนตัวสูง พูดจาไม่ค่อยเข้าหูชาวบ้าน มีเรื่องกับคนนั้นคนนี้ทั้งในและนอกภาคเป็นระยะ ธามไทไม่อยากสนใจเสียงนกเสียงกาเหล่านี้ อยากจะพูดอะไรก็พูดไป ชีวิตเป็นของเขา จะทำอะไรก็เรื่องของเขา แต่ในบางครั้ง ถ้าเสียงนกเสียงกาดังเกินไปก็อดที่จะเหล่ตามองไม่ได้ รังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาทำให้คนที่กำลังนินทาเขาเงียบปากทันที
ทันทีที่ทั้งคู่หย่อนก้นนั่งลงที่ประจำ อาจารย์ชายร่างท้วมก็เดินเบียดประตูเข้ามาในห้อง เหลือบไปมองสองหนุ่มที่อยู่หลังห้อง ก่อนจะพูดเสียงดังว่า
“วันนี้มาทันเวลานะ”
“แน่นอนครับอาจารย์ ผมตั้งใจเรียนวิชานี้เป็นพิเศษ” เสกสิทธิ์ยิ้มเจ้าเล่ห์
เพื่อนในห้องกลั้นหัวเราะกับความกะล่อนของเสกสิทธิ์ รู้ว่ามันไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย
“ให้มันจริงเถอะ” อาจารย์เบ้ปากอย่างเสียไม่ได้ ก่อนหันกลับมาวางแล็ปท็อปบนโต๊ะและเปิดฉากเลกเชอร์ทันที
ทันทีที่เริ่มการเรียนการสอน ธามไทรู้สึกว่าความง่วงที่ยังค้างคากำลังจะทำให้เขางีบหลับในไม่ช้า จึงสะกิดบอกเสกสิทธิ์ว่า
“ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล รีบปลุกด้วยนะ”
“อืม” เสกสิทธิ์รับปากก่อนจะพูดต่อไปว่า “แต่อย่าลืมเล่าเรื่องความฝันให้ฉันฟังล่ะ”
ธามไทหันไปมองเพื่อนที่กำลังตีหน้ามึน นึกขำที่เรื่องเรียนไม่ตั้งใจ แต่พอเป็นเรื่องแบบนี้จริงจังเชียว
ก่อนจะหลับตาลง ธามไทย้อนคิดถึงเรื่องฝันภารกิจ เหตุการณ์ประหลาดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาประสบอุบัติเหตุหกล้มหัวกระแทกพื้นขณะเล่นฟุตบอลเมื่อ 1 ปีก่อน ตอนนั้นเขานอนนิ่งหมดสติเหมือนเจ้าชายนิทรา เบื้องต้นหมอสันนิษฐานว่าสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง แต่ผลการตรวจสแกนสมองด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์กลับไม่พบเลือดออกในสมองหรือความผิดปกติอื่นๆ ที่เป็นอันตราย
เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ธามไทหลับไป 2 วัน 2 คืน จนเช้าวันที่ 3 เขาตื่นขึ้นมานั่งบิดขี้เกียจอยู่บนเตียง พร้อมกับถามว่าตัวเองเข้ามานอนอยู่ในโรงพยาบาลได้อย่างไร จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าห้องน้ำราวกับเป็นการตื่นนอนตามปกติทั่วไป เรื่องนี้สร้างความงุนงงให้กับทีมแพทย์เป็นอย่างมาก เมื่อซักถามประวัติเพิ่มเติมถึงอาการที่เป็น เขากลับตอบอย่างสบายใจว่า
‘ก็สบายดีนี่ครับ ได้หลับเต็มอิ่ม’
หลังจากเหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา ธามไทก็เริ่มมีความผิดปกติเรื่องการนอน เขามีอาการง่วงนอนและหลับบ่อยขึ้น โดยเฉพาะในชั่วโมงเลกเชอร์หรือเวลานั่งอ่านหนังสือ แม้เสกสิทธ์จะบอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ ใครๆ ก็ง่วงกัน แต่ธามไทรู้ว่าไม่ใช่ รู้สึกเหมือนมีอำนาจอะไรบางอย่างทำให้เขาเป็นแบบนี้ เพราะมันมีความสัมพันธ์กับความฝันประหลาดที่เกิดขึ้นมา
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ธามไทสัปหงกคอพับไปเรียบร้อย เสกสิทธิ์หันไปมองรอบตัว เห็นเพื่อนๆ ทยอยหลับพลีชีพไปทีละคนสองคน คิดว่าสาเหตุของการนอนหลับครั้งนี้เกิดจากการสะกดจิตหมู่โดยอาจารย์ผู้สอน เจ้าของฉายา ‘เทพเจ้าแห่งการนิทรา’ ผู้มีน้ำเสียงแหบพร่า เสียงพูดที่ผ่านออกมาทางลำโพงยิ่งฟังไม่รู้เรื่อง แถมรูปแบบการสอนยังเป็นแบบเก่า พูดไปเรื่อยๆ ในจังหวะเนิบนาบโมโนโทน นี่มันบทสวดกล่อมนิทราชัดๆ ฟังแล้วชวนง่วงนอนมาก จึงไม่แปลกที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นในห้องเรียน แม้แต่ตัวเสกสิทธิ์เองก็รู้สึกง่วงมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเขาก็หลับคอพับตามเพื่อนๆ ไปอีกคนในเวลาไม่นาน
สัญญาณหมดคาบเรียนดังขึ้น ธามไทและเสกสิทธิ์สะดุ้งตื่นพร้อมกัน 2 ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ถึงเวลาพักกลางวันแล้ว ทันทีที่อาจารย์เดินอุ้ยอ้ายออกจากห้อง เสียงพูดคุยก็ดังขึ้นมาทันทีราวกับห้องเรียนได้กลายเป็นตลาดนัด เสกสิทธิ์หันไปมองหน้าธามไท ทวงสัญญาจากเพื่อน
“ถึงเวลาคุยเรื่องสำคัญแล้ว” เสกสิทธิ์ยังไม่ลืมเรื่องสำคัญ ลุกขึ้นจากที่นั่ง เก็บของ เตรียมเดินออกจากห้องเรียน
“เรื่องแบบนี้ไม่ลืมเชียวนะ” ธามไทพูด เสกสิทธิ์ยิ้มเจ้าเล่ห์
เมื่อ 6 เดือนก่อน ธามไทรู้สึกไม่สบายใจเรื่องความฝันแปลกประหลาดจึงเล่าให้เสกสิทธิ์ฟัง แทนที่เสกสิทธิ์จะมองว่าเขาเพี้ยนที่หมกมุ่นกับความฝันไร้สาระ ภารกิจบ้าบอ กลับกลายเป็นว่าเสกสิทธิ์ตื่นเต้นสนใจเรื่องนี้จนออกนอกหน้า ธามไทไม่เคยเห็นเพื่อนสนใจอะไรมากมายเท่านี้มาก่อน เสกสิทธิ์เป็นพวกสายชิว ไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับเหตุการณ์รอบตัว เรื่องคอขาดบาดตายขนาดไหนเขาไม่เคยสนใจ แต่เรื่อง ‘ความฝัน’ กลับกลายเป็นเรื่องสำคัญระดับชาติสำหรับเขา
หลังจากที่ธามไทเล่าเรื่องราวในฝันทุกอย่างที่จำได้ให้เพื่อนฟัง เสกสิทธิ์เอื้อมมือมาตบไหล่เขาเบาๆ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า
‘จำไว้ ความฝันคือของขวัญที่สวรรค์ประทานให้’
ประโยคนี้ทำให้ธามไทขมวดคิ้วด้วยความงง และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้มุมมองความฝันของธามไทเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
เสกสิทธิ์เชื่อว่าฝันประเภทภารกิจ มีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ หากถอดรหัสได้ อาจกลายเป็นข้อมูลที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ เขาเคยอ่านข้อมูลเรื่องนี้จากเพจเกี่ยวกับความฝันที่อธิบายว่า
บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ของโลกหลายต่อหลายคนเคยไขปริศนาจากความฝัน สามารถนำความลับแห่งฝันมาเปิดเผยในโลกความจริง จนกลายเป็นคนยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น มนุษย์โบราณผู้ค้นพบความลับของดวงดาว,โทมัส อัลวา เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟ, เฮนรี่ ฟอร์ด ผู้ผลิตรถยนต์, มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ค ผู้สร้างเฟซบุ๊ก คนเหล่านี้ล้วนประสบความสำเร็จโดยการถอดรหัสฝันทั้งสิ้น เพียงแต่พวกเขาไม่ได้กล่าวอ้างถึงความฝันที่เป็นต้นกำเนิดของเรื่องนี้ แต่จะไปโทษพวกเขาก็ไม่ได้ เพราะพวกเขาอาจจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในความฝันไม่ได้ จำได้เพียงรหัสลับที่ถูกค้นพบเท่านั้นและพวกเขาเรียกรหัสลับนี้ว่า ‘ไอเดีย’ ซึ่งสามารถนำมาต่อยอดจนประสบความสำเร็จในโลกความจริง
ต้องยอมรับว่าเสกสิทธิ์มีความสามารถในด้านการพูดโน้มน้าวให้คนเชื่อถือ ผิดกับเขาที่อ่อนด้อยในเรื่องนี้ แม้เขาจะยังไม่ปักใจเชื่อทฤษฎีนี้มากนัก เพราะไม่รู้แหล่งที่มาและเอกสารอ้างอิงว่ามีความน่าเชื่อถือมากน้อยเท่าไร แต่เรื่องนี้กลับทำให้เขาคลายความวิตกลงไปได้บ้าง เมื่อถูกเสกสิทธิ์กระตุ้นบ่อยเข้า เขาก็เริ่มคิดทบทวนเกี่ยวกับภารกิจในความฝันว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่พอจะถอดเป็นรหัสได้ แล้วจะถอดออกมาในรูปแบบไหน ถ้าทำได้ก็ดีสิ เผื่อจะมีไอเดียเจ๋งๆ ผุดขึ้นมาเปลี่ยนแปลงโลก แต่คิดเท่าไรก็คิดไม่ออก จนเสกสิทธิ์เข้ามาชี้ทางสว่างให้
เสกสิทธิ์ตั้งข้อสังเกตบางอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์อันน่ามหัศจรรย์ของ ‘ความฝัน’ กับ ‘ตัวเลข’ ซึ่งเป็นภาษาสากลที่มนุษย์ทุกคนในโลกรู้จัก เสกสิทธ์บอกว่าความฝันสามารถตีเป็นตัวเลขได้และเขากำลังสนใจในศาสตร์นี้อย่างมาก ถึงขนาดลงทุนซื้อคู่มือทำนายฝันมากมายหลายเล่ม เขาบอกว่าตัวเลขเหล่านี้จัดเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งที่สามารถนำไปลงทุนได้ ซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบคนรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างความมั่งคั่งตั้งแต่วัยเรียน เสกสิทธิ์ทำให้ธามไทรู้จักคำว่า ‘หวย’ มากขึ้น
เสกสิทธิ์พิสูจน์ทฤษฎีนี้ครั้งแรกด้วยการตีความฝันของธามไทให้ออกมาเป็นรูปธรรม ตอนนั้นธามไทฝันว่าตัวเองช่วยหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านประตูบ้านที่มีกระดิ่งเล็กๆ แขวนอยู่รอบบ้าน เสกสิทธิ์มีเซนส์ว่ารหัสฝันคือ ‘กระดิ่ง’ เขาเปิดตำราและตีเป็นตัวเลข
24, 220, 224, 442
แม้ธามไทจะเรียนวิศวะ มีพื้นฐานด้านการคำนวณดีเยี่ยม แต่เขาก็ไม่รู้ว่าต้องใช้สูตรอะไรในการคำนวนถึงจะเปลี่ยนตัวแปร ‘กระดิ่ง’ ให้กลายเป็นตัวเลขพวกนี้ออกมา แต่เสกสิทธิ์ดูไม่สนใจเรื่องนี้ เขาใช้ความศรัทธานำเหตุผลเสมอ โดยอธิบายว่า
‘เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องรู้ที่มา ขอแค่รู้ที่ไปก็พอ’
เสกสิทธิ์เริ่มต้นการลงทุนกับเลขชุดนี้ทันที หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์ เสกสิทธิ์ก็พาธามไทไปเลี้ยงข้าวเย็น ธามไทสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ เสกสิทธิ์ถึงใจดี ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลแน่นอน อาจมีเรื่องไหว้วานให้เขาช่วยเหลือ เช่น ทำการบ้านส่งอาจารย์ แต่เสกสิทธิ์กลับหัวเราะเสียงดัง พร้อมกับเฉลยว่า
‘ฉันถูกหวย’
เลขชุดนั้นจากฝันของธามไททำให้เขาถูกหวยเลขท้ายสองตัว นี่ถือเป็นการเลี้ยงขอบคุณที่ธามไทช่วยให้เขาได้ค่าขนมเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นเสกสิทธิ์ผู้ไม่สนใจการเรียนก็ประกาศตัวต่อหน้าธามไทอย่างห้าวหาญว่า ต่อไปนี้เขาจะตั้งใจเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เพราะเชื่อว่าตัวเลขสามารถใช้หาเงินได้จริง และยังพูดอีกว่า
‘การนอนเป็นการลงทุนที่ประหยัดเงินที่สุดเพราะเป็นการเพิ่มโอกาสในการฝัน’
เขาสนับสนุนให้ธามไทนอนมากๆ ไม่ว่าจะเป็นการนอนตื่นสาย การนอนในคาบเรียน นี่ละเสกสิทธิ์ตัวจริงเสียงจริง ใช้ชีวิตได้อย่างบันเทิงเริงใจมาก ตั้งแต่นั้นมาเสกสิทธิ์ก็เกาะติดชีวิตธามไท สนใจรายละเอียดเกี่ยวกับทุกความฝันของเขา
แม้เสกสิทธิ์จะตีความฝันเป็นตัวเลขได้แต่เขาก็ไม่ได้ถูกหวยทุกงวดอย่างที่หวัง เรื่องนี้ทำให้ธามไทเรียนรู้ว่า สุดท้ายแล้วหวยก็คือการเสี่ยงดวงอยู่ดี
ธามไทเดินออกจากห้องเรียนพร้อมกับเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในฝันครั้งล่าสุดเท่าที่จำได้ให้เสกสิทธิ์ฟัง เพราะหลังจากตื่นขึ้นมา เขาจะจำความฝันได้เลือนราง ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลกว้างๆ เกี่ยวกับลักษณะของภารกิจ พาใครเดินผ่านประตูออกมา เพศหญิงเพศชาย ประตูอยู่ที่ไหน รอบๆ ประตูมีจุดน่าสนใจอะไรบ้าง ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เช่น รูปร่างหน้าตาของคนที่เป็นภารกิจรวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดร่วม หากเป็นคนที่ธามไทไม่เคยรู้จักหรือไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตจริง ธามไทจะจำไม่ได้ แต่แค่นี้ก็ทำให้เสกสิทธิ์ฟังด้วยสีหน้ากระตือรือร้นผิดกับคนที่นั่งอยู่ในห้องเรียนเมื่อครู่อย่างสิ้นเชิง
“ชั้นว่าคราวนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ บ้านสีขาวหลังนั้น มันมีอะไรที่เป็นจุดสังเกตอีกไหม”
ธามไทพยายามนึกอยู่สักพัก แต่ก็ส่ายหัว เขาจำรายละเอียดได้เท่านี้จริงๆ
“ฉันเชื่อว่ามันต้องมี ลองนึกดู สิ่งนั้นจะต้องเป็นรหัสลับแน่นอน” เสกสิทธิ์ทำหน้าเคร่งขรึมเหมือนนักสืบที่กำลังค้นหาหลักฐานสำคัญ คำใบ้สำคัญต้องเป็นอะไรที่คล้ายๆ กระดิ่งแน่นอน ธามไทฟังเพื่อนวิเคราะห์ความฝัน นึกในใจว่าถ้าเพื่อนจริงจังกับเรื่องเรียนได้สักครึ่งหนึ่งของเรื่องหวย เพื่อนคงได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งไปครองได้ไม่ยากเย็น
ธามไทมองเสกสิทธิ์ด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามแบบฉบับของเขา คิดในใจว่า สำหรับเสกสิทธิ์อาจมองว่าความฝันของเขาเป็นเรื่องสนุกตื่นเต้น แต่สำหรับตัวเขามันเป็นความทุกข์อย่างหนึ่ง เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องแบบนี้ชีวิตเขาก็แย่ลงทั้งตื่นและฝัน หากเลือกได้ เขาไม่ต้องการความฝันแบบนี้ ขอกลับไปใช้ชีวิตแบบปกติธรรมดาเหมือนเดิมดีกว่า