เราจะฝันถึงกันตลอดไป Part 1 บทที่ 2 : ห้วงภวังค์

เราจะฝันถึงกันตลอดไป Part 1 บทที่ 2 : ห้วงภวังค์

โดย : วันฉัตร

Loading

เราจะฝันถึงกันตลอดไป โดย วันฉัตร…เรื่องราวของธามไท ผู้ที่ไม่เคยคิดว่าโลกของความฝันมีอยู่จริงๆ แต่แล้วเมื่อโลกของความฝันและโลกของความจริงเชื่อมหากัน พร้อมภารกิจที่เกี่ยวพันกับชีวิตและอนาคตของอลิตา…หญิงสาวที่เขาตกหลุมรัก… ภารกิจที่ว่าคืออะไร อ่านเอามั่นใจว่า คุณจะประทับใจในทุกตัวอักษรที่ได้อ่านออนไลน์

****************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

แม้ร่างของลุงชูวิทย์จะนอนนิ่งหมดสติอยู่บนเตียงหมายเลข 1 แต่จิตของลุงกลับดำดิ่งลึกเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง ณ ที่แห่งนั้น ลุงชูวิทย์สวมชุดตัวเก่ง เสื้อเชิ้ตสีขาวกางเกงขายาวสีดำ กำลังยืนนิ่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ ไม่รู้ตัวสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตตัวเอง เพราะกำลังหลงทางอยู่ใน ‘โลกความฝัน’

ด้านหน้าของลุงชูวิทย์เป็นถนนเส้นใหญ่ขนาบด้วยตึกสูงหน้าตาไม่คุ้นเคย รถรามากมายวิ่งไปมาไม่ขาดช่วง เขาสงสัยว่าที่นี่คือที่ไหน ไม่เคยเห็นสถานที่แบบนี้มาก่อน ยิ่งได้เดินสำรวจเมืองแห่งนี้ไปเรื่อยๆ ก็ยิ่งรู้สึกหวาดกลัว เขาต้องการกลับบ้าน แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไม่มีข้อมูลหรือรายละเอียดของที่นี่แม้แต่น้อย จึงตัดสินใจเดินย้อนกลับมาที่ป้ายรถเมล์แห่งนี้อีกครั้ง นั่งลงบนเก้าอี้ คิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร อยู่ๆ โผล่มาที่นี่ได้อย่างไร หรือสมองของเขามีปัญหาทำให้เกิดความจำเสื่อมเฉียบพลันจนเดินหลงมาที่นี่ เขาคิดเรื่องเดิมวนไปเวียนมาหาข้อสรุปไม่ได้ ใช่แล้ว เขาต้องโทร.กลับบ้าน แต่ปัญหาก็เกิดขึ้นอีก เขาไม่มีโทรศัพท์มือถือ ในกระเป๋ากางเกงไม่มีเงินสักบาท แต่ถึงมีงานนี้คงลำบากเพราะจำเบอร์โทรศัพท์บ้านตัวเองไม่ได้

ในขณะที่ลุงชูวิทย์กำลังสับสนรุนแรง ชายคนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ ค่อยๆ เดินเข้ามาอย่างใจเย็น หยุดนิ่งอยู่ด้านหน้าลุงชูวิทย์ กล่าวทักทายด้วยรูปประโยคเป็นทางการคล้ายนักบุญที่กำลังพยายามช่วยลูกแกะหลงทาง

“ลุงกำลังสับสน หลงทาง มองหาทางกลับบ้านอยู่ใช่ไหม”

ลุงชูวิทย์หันไปมอง พบว่าผู้พูดเป็นชายหนุ่มร่างสูงโปร่งหน้าตาคมคายวัยประมาณ 20 ปี ในชุดเชิ้ตขาวกางเกงดำเหมือนชุดนักศึกษา ผมบนหัวรกรุงรัง หากมองไกลๆ ชายคนนี้คงเหมือนเสาไฟฟ้าสูงชะลูดที่มีรังนกวางแปะอยู่บนยอด ท่าทางกวนๆ เหมือนอันธพาล ลุงชูวิทย์มั่นใจว่าไม่รู้จักและไม่เคยเห็นชายคนนี้มาก่อน แต่ไม่น่าเชื่อว่าประโยคที่ได้ยินเมื่อครู่ตรงกับความรู้สึกของเขาตอนนี้จริงๆ

“ผมชื่อธามไท มาที่นี่เพื่อช่วยลุง” ชายหนุ่มแนะนำตัวด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

ลุงชูวิทย์ประหลาดใจที่อยู่ๆ ก็มีชายแปลกหน้าเดินเข้ามาคุยด้วย ที่สำคัญชายหนุ่มคนนี้รู้ได้อย่างไรว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ เขายังไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว

“คุณเป็นใคร” ลุงชูวิทย์ถามด้วยความระแวง

ธามไทยังคงยืนนิ่ง สองมือล้วงกระเป๋า จ้องตาลุงชูวิทย์ก่อนเลิกคิ้วแล้วพูดว่า

“ผมมาช่วยลุง ก่อนอื่นขอดูข้อมือซ้ายหน่อยครับ” แม้เป็นประโยคขอร้องแต่โทนเสียงเข้มของธามไทคล้ายกึ่งการบังคับ

ลุงชูวิทย์ไม่เข้าใจเหตุผล แต่ก็ยกแขนซ้ายขึ้นมาด้วยความกลัว ธามไทเดินขยับเข้าใกล้ มองไปที่ข้อมือ ลุงชูวิทย์สงสัยว่าธามไทมองอะไร แต่เมื่อเห็นแถบสีเงินที่มีตัวเลขสีฟ้า 314689 ปรากฏอยู่ที่ข้อมือด้านในของตัวเอง เขาก็ร้องเสียงดังด้วยความตกใจ นี่มันคืออะไรกัน เขาไม่รู้ตัวว่าแถบเงินและตัวเลขนี้เกิดขึ้นมาตอนไหน เมื่อไหร่ เขาพยายามถูข้อมือตัวเองเพื่อลบตัวเลข ถูจนผิวหนังเป็นสีแดงเข้มแต่ตัวเลขก็ไม่มีทีท่าว่าจะเลือนหายไป ราวกับมันเป็นตำหนิส่วนหนึ่งของร่างกาย สัญลักษณ์ที่เห็นทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นนักโทษที่ถูกตีตรา

“ลบไม่ออกหรอกครับ” ธามไทยกแขนตัวเองขึ้นมาโชว์แถบสีเงินที่ไม่มีตัวเลข เขาเองก็เคยพยายามลบแถบนี้ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ จึงคิดว่ามันน่าจะเป็นเครื่องหมายแสดงสถานะอะไรสักอย่างของคนจากโลกความจริงที่หลงเข้ามาในโลกความฝัน

“ตัวเลขนี้คือหมายเลขประจำตัวของลุงซึ่งตรงกับหมายเลขภารกิจที่ปรากฏบนโทรศัพท์มือถือของผม”

ธามไทยื่นโทรศัพท์มือถือให้ลุงชูวิทย์ดู ภาพบนหน้าจอโทรศัพท์เป็นรูปแผนที่ของเมืองแห่งนี้ มีจุดสีแดงและสีฟ้าอยู่ติดกัน เหนือจุดสีฟ้า มีตัวเลขสีฟ้า 314689 ปรากฏอยู่ จากนั้นธามไทก็เริ่มอธิบาย

“นี่มันเรื่องอะไรกัน คุณเป็นใครกันแน่” ลุงชูวิทย์ถามด้วยสีหน้าหวาดกลัว

“อย่างที่บอกนั่นละ ผมชื่อธามไท มาที่นี่เพื่อช่วยลุง ผมไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก รู้แค่ภารกิจของผมคือการพาลุงกลับบ้าน จุดสีแดงบนหน้าจอคือสัญลักษณ์แทนตัวผม ส่วนจุดสีฟ้าคือลุง”

“กลับบ้าน?” ลุงชูวิทย์พึมพำ ยืนงงไม่เข้าใจในสิ่งที่ธามไทพูด

ธามไทไม่ใช่คนประเภทที่ชอบพูดอะไรเยิ่นเย้อ เมื่อพูดสิ่งที่ต้องการออกไปแล้ว เขาจึงเริ่มงานทันทีด้วยการแตะไปที่จุดสีฟ้าบนโทรศัพท์ จากนั้นหน้าจอรูปแผนที่ก็เปลี่ยนไปคล้ายเครื่องสแกน ธามไทจ่อโทรศัพท์กับตัวเลขบนข้อมือของลุงชูวิทย์ โทรศัพท์ร้องดังติ้ด จากนั้นหน้าจอก็เปลี่ยนกลับเป็นรูปแผนที่ที่มีจุดแดงจุดฟ้าและรูปกล่องดำอยู่มุมซ้ายล่าง

“เอาละ เราจะกลับบ้านด้วยการเดินทางไปที่กล่องดำตรงนี้” ธามไทชี้โทรศัพท์

ลุงชูวิทย์สีหน้าสับสนยิ่งกว่าเดิม นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน เขาก้มลงมองดูตัวเลขบนข้อมือตัวเองสลับกับหน้าจอมือถือของธามไท

“นี่มันเรื่องอะไรกัน”

“ตอนนี้ผมกับลุงกำลังติดอยู่ในโลกความฝัน เราต้องหาทางกลับออกไปด้วยกัน เพราะฉะนั้น ลุงต้องเชื่อผม เข้าใจมั้ย” ธามไทพยายามอธิบายเรื่องราวสุดพิลึกพิลั่นให้สั้นที่สุด โดยหวังว่าลุงชูวิทย์จะเข้าใจ

เมื่อได้ยินธามไทบอกว่าที่นี่เป็นโลกความฝัน ลุงชูวิทย์ก็ยิ่งอึ้ง ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน มองไปรอบตัว ไม่มีข้อความหรือหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่าที่นี่คือความฝัน มองยังไงก็เหมือนบ้านเมืองปกติ แค่เขาไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้เท่านั้น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” ลุงชูวิทย์สับสน แต่ธามไทดูไม่สนใจ สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือ เคลียร์ภารกิจ

“เอาละ อย่าเสียเวลาอยู่เลย รีบตามผมมาทางนี้” ธามไทไม่รอช้า เริ่มออกเดินทางทันที

ลุงชูวิทย์ยังยืนนิ่ง เขารู้ว่าเด็กรุ่นใหม่ชอบพูดประโยคสั้นๆ กระชับ ไม่มีหางเสียง แต่การพูดที่สั้นเกินไป ไม่มีการอธิบายที่มาที่ไปแบบนี้สร้างความงุนงงให้เขาเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มคนนี้บุคลิกเย็นชาเกินวัย ทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อนกลับพูดเรื่องประหลาดให้ฟัง แถมยังชวนให้เดินตาม แม้ในใจยังสับสนลังเล แต่สุดท้ายลุงชูวิทย์ก็ก้าวเท้าเดินตามไปอย่างง่ายดายราวกับต้องมนตร์สะกด

ระหว่างการเดินทาง ธามไทไม่ชวนลุงชูวิทย์คุยแม้แต่คำเดียว เขาเดินก้มหน้ามองโทรศัพท์มือถือในมือเป็นระยะ ใช้สมาธิในการมองหาทิศทาง ลุงชูวิทย์หันมองรอบตัว ถามตัวเองตลอดเวลาว่านี่คือโลกความฝันจริงหรือ ทำไมอาคารบ้านเรือนและผู้คนถึงดูเหมือนจริงขนาดนี้ เขาไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ธามไทพูด คำถามเกิดขึ้นมากมายในหัว แต่ความเงียบขรึมของธามไท ทำให้กลัวว่าถามไปจะทำให้ชายหนุ่มรำคาญ จึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้แล้วเดินตามไปอย่างสงบ

ในจังหวะที่เดินเลี้ยวขวาผ่านร้านขายขนม สายตาของธามไทบังเอิญเห็นอะไรบางอย่างที่ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล ภาพความทรงจำในฝันครั้งก่อนอยู่ๆ ก็ชัดเจนขึ้นมา เป็นไปไม่ได้ ธามไทบอกตัวเอง หันไปพูดกับลุงชูวิทย์ด้วยน้ำเสียงร้อนรนผิดกับเมื่อครู่ว่า

“ลุงรอที่นี่ก่อน อย่าไปไหน เดี๋ยวผมกลับมา”

พูดจบธามไทรีบวิ่งตรงไปที่สะพานลอย ตะโกนร้อง “ขอโทษครับ ขอโทษครับ” ตลอดเวลาเพื่อขอทาง แต่ก็เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง ขณะที่วิ่งขึ้นบันไดกลับมีผู้คนมากมายเดินสวนลงมาทำให้เสียจังหวะ กว่าจะขึ้นไปถึงด้านบน ผู้หญิงผมยาวในชุดกระโปรงขาวคนนั้นกำลังจะเดินลงสะพานลอยอีกฟากหนึ่ง ธามไทรีบวิ่งตามไป ร้องเรียกเธอด้วยน้ำเสียงสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้ดูคุกคามจนเกินไป

“คุณ…” เสียงพูดกระหืดกระหอบเพราะหายใจไม่ทัน

หญิงสาวหันหน้ากลับมามองด้วยความตกใจ แต่คนที่ตกใจกว่ากลับเป็นธามไท

“เอ่อ ขอโทษครับ ผมทักคนผิด” ธามไทก้มศีรษะ แม้มองไกลๆ จะคล้ายกันมาก แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่เธอคนนั้น

“ไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวยังรู้สึกตกใจไม่หาย รีบเดินลงจากสะพานลอยทันที

ธามไทถอนหายใจยาว ยืนเกาะราวสะพานลอย มองท้องฟ้าสีฟ้าพาสเทลอย่างใจลอย ขมวดคิ้วสงสัยหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู นึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์สยองขวัญวันนั้น ถ้ารู้ว่าเรื่องราวจะวุ่นวายแบบนี้ เขาคงไม่มีทางยอมรับโทรศัพท์เครื่องนี้มาแน่นอน จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าของสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ ตั้งแต่ได้มา ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ต้องเข้ามาในฝันประหลาดอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งที่เข้ามาจะมีโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้อยู่ด้วยเสมอ มันจะร้องกระตุ้นเตือนให้เขาทำภารกิจพาคนกลับบ้าน หากไม่ทำตามก็จะออกไปจากที่นี่ไม่ได้ นั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องรีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จเพื่อตื่นกลับออกไป เคลียร์เร็วก็ตื่นเร็ว เคลียร์ช้าก็ตื่นสาย

นอกจากการปฏิบัติภารกิจ อีกอย่างที่เขาพยายามทำมาตลอดทุกครั้งที่เข้ามาที่นี่ก็คือ การหาข้อมูลเกี่ยวกับโทรศัพท์เครื่องนี้ แต่ไม่เคยได้เบาะแสเพิ่มเติมแม้แต่น้อย ตอนที่เห็นผู้หญิงคนนั้นเดินอยู่บนสะพานลอย เขาดีใจมาก ไม่คิดว่าจะมีโอกาสเจออีกครั้ง การได้คุยกับเธออาจได้ข้อมูลอะไรเพิ่มเติม กลับกลายเป็นว่าเขาจำผิดคน คงคิดหมกมุ่นมากเกินไปจนตาฝาดมองอะไรผิดเพี้ยนไปหมด แต่เขาเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ต้องมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ เพียงแต่เขายังไม่รู้เท่านั้น

 

ธามไทเดินลงมาจากสะพานลอย ลุงชูวิทย์ยังยืนอยู่ที่เดิม ถามออกไปด้วยความสงสัย

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนสะพานลอย

“ผมตาฝาด ทักคนผิดครับ”

“เรื่องปกติ ฉันเจอแบบนี้ประจำ” ลุงชูวิทย์เริ่มกล้าคุยเมื่อเห็นท่าทางธามไทดูผ่อนคลายมากขึ้น

“ถามหน่อยสิ เธอรู้ได้ยังไงว่าที่นี่เป็นความฝัน”

“ผมเคยมาหลายครั้งแล้ว” ธามไทตอบ ตายังมองโทรศัพท์

ลุงชูวิทย์รู้สึกว่าชายหนุ่มยอมเปิดใจคุยมากขึ้น จึงชวนคุยเรื่องสัพเพเหระ ธามไทเสียสมาธิ จึงบอกว่า

“ถ้าลุงจะพูดเรื่องไร้สาระก็หยุดพูดดีกว่า อย่าเพิ่งชวนคุย ผมกำลังใช้สมาธิ เราใกล้ถึงประตูแล้ว รีบเดินกันต่อเถอะ”

ลุงชูวิทย์รู้สึกโกรธ ทั้งที่เขาพยายามสร้างบรรยากาศที่เป็นมิตร แต่เด็กคนนี้กลับมาบอกว่าเขาพูดไร้สาระ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องชวนคุยอะไรแล้ว หลังจากนั้น ลุงชูวิทย์ก็ปิดปากเงียบตลอดทาง คนพูดเก่งอย่างเขา เมื่อไม่ได้พูดก็รู้สึกอึดอัดเหมือนน้ำลายท่วมปาก

ตอนนี้ตึกสูงรอบตัวเริ่มกลายเป็นบ้านหลังเตี้ย ความพลุกพล่านของเมืองใหญ่กลายเป็นความสงบของหมู่บ้านทาวน์เฮาส์เก่าสีผนังลอกหลุด ลุงชูวิทย์รู้สึกว่าตัวเองเดินมาไกลมากแล้ว แต่ยังไม่เห็นประตูที่ว่าสักที เขาหันมองธามไทด้วยความสงสัยว่ายังเชื่อในคำพูดของชายคนนี้ได้อีกไหม แต่ยังไม่ทันได้ถามออกไป ธามไทก็หยุดเดิน หันกลับมาบอกเขาว่า

“ถึงแล้ว ที่นั่นละ” ปลายนิ้วชี้ไปยังบ้านเก่าสีขาวหลังหนึ่งในซอยเปลี่ยวร้าง ลุงชูวิทย์รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง ความกลัวปรากฏขึ้นมาในใจ ชายหนุ่มพาเขามาทำอะไรที่นี่ ลุงชูวิทย์นึกถึงคำว่า ‘ฆาตกรรม’ ขึ้นมาทันที

“เราจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน” น้ำเสียงของธามไทราบเรียบจริงจัง เขาชี้ไปที่ไอคอนรูปกล่องดำบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ

“จุดหมายของเราคือรูปกล่องดำในมือถือ ซึ่งตรงกับตำแหน่งบ้านสีขาวหลังนั้นพอดี เมื่อเดินผ่านประตูเข้าไป ภารกิจก็จะสิ้นสุด ลุงจะได้กลับออกไปจากที่นี่”

“ประตูนั่นนะ?” ลุงชูวิทย์ชี้ไปที่ประตูบานสีขาวด้วยความสงสัย มันจะเป็นไปได้ยังไง

ธามไทพยักหน้า เดินต่อ ลุงชูวิทย์ลังเลแต่ก็เดินตาม ทั้งคู่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูบ้านหลังสีขาว

“ลุงต้องใช้มือผลักประตูเข้าไปด้วยตัวเอง” ธามไททำท่าผลักประตูเป็นตัวอย่างให้ลุงชูวิทย์ดูด้วยท่าทางเฉื่อยๆ แบบพนักงานขายของที่ขาดความกระตือรือร้น

“แต่…นี่บ้านใครก็ไม่รู้” ลุงชูวิทย์รู้สึกเสียมารยาทที่จะเปิดเข้าไปในบ้านของคนอื่นที่เขาไม่รู้จัก ดีไม่ดีจะถูกตำรวจจับข้อหาบุกรุก

“ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ประตูบานนี้เป็นของลุงเท่านั้น เปิดเถอะครับ”

ลุงชูวิทย์ลังเลเล็กน้อยก่อนยกมือขึ้นช้าๆ  ทันทีที่มือของเขาสัมผัสกับประตู ประตูสีขาวค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำกระจายจากตำแหน่งฝ่ามือออกไปรอบๆ ลุงชูวิทย์รีบถอนมือออกด้วยความตกใจ ประตูเปลี่ยนสีได้อย่างไร

“อย่าเพิ่งดึงมือออกมา แตะค้างไว้ก่อน” ธามไทบอกอีกครั้ง

ลุงชูวิทย์มองหน้า เห็นธามไทมีสีหน้าจริงจัง จึงยื่นมือไปแตะอีกครั้ง ประตูกลายเป็นสีดำมันวาวทั้งบานและค่อยๆ เปิดออกโดยที่เขายังไม่ได้ออกแรงผลักแม้แต่น้อย จากนั้นก็มีเสียงดนตรีดังขึ้นมาจากโทรศัพท์มือถือของธามไท เขาก้มลงมองด้วยสีหน้าพอใจ ระบบเริ่มทำงานแล้ว

“ภารกิจเสร็จสิ้นเรียบร้อย ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ” ธามไทหันไปบอกลุงชูวิทย์

จนถึงตอนนี้ลุงชูวิทย์ก็ยังไม่หายสงสัยว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ เขาชะโงกหน้ามองเข้าไปด้านหลังประตูสีดำ ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากแสงสว่างสีขาวเจิดจ้า ทันใดนั้นน้ำตาของลุงชูวิทย์ก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่เพราะเขาแสบตา แต่เป็นเพราะความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน เมื่อแสงขาวสัมผัสกับร่างกาย ความรู้สึกคิดถึงบ้านก็เอ่อล้นในใจ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่ธามไทพูดหมายถึงอะไร เขาหันหลังเดินไปจับมือธามไท

“ขอบคุณมากที่พาฉันมาที่นี่ มันเป็นอย่างที่เธอพูด นี่คือทางกลับบ้าน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ มันโดดเดี่ยว อ้างว้าง และคิดถึงบ้านมาก ตอนนี้ฉันคงต้องไปแล้ว มีคนกำลังรอคอยให้ฉันกลับไป”

มุมปากธามไทยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเล็กๆ พร้อมกล่าวคำอำลาอย่างสุภาพ

“โชคดีนะลุง”

ลุงชูวิทย์ยิ้มกว้าง หันหลังเดินเข้าไปในประตูสีดำ ร่างของเขาค่อยๆ กลืนไปกับแสงสว่างสีขาว

ธามไทก้มลงมองโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง จุดสีฟ้าเข้าไปอยู่ในไอคอนกล่องสีดำเรียบร้อย จากนั้นตัวอักษรคำว่า ‘COMPLETE’ ก็ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ รูปแผนที่ค่อยๆ เลือนหายไปกลายเป็นหน้าจอโทรศัพท์ปกติอีกครั้ง

ธามไทเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกง ภารกิจเสร็จสมบูรณ์ ถึงเวลาที่เขาจะต้องกลับออกไปเช่นกัน เขาก้าวเท้าเดินผ่านเข้าประตู แรงดึงดูดบางอย่างทำให้เขาหายวับเข้าไปในแสงสีขาว เมื่อธามไทหายไป แสงแสงสว่างสีขาวก็ค่อยๆ จางหายไป ประตูสีดำค่อยๆ ปิดเองโดยอัตโนมัติและกลับกลายเป็นสีขาวอีกครั้ง ทุกอย่างสงบเรียบร้อยราวกับไม่เคยมีเรื่องราวใดเกิดขึ้นมาก่อน



Don`t copy text!