เราจะฝันถึงกันตลอดไป Part 1 บทที่ 4 : นักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย

เราจะฝันถึงกันตลอดไป Part 1 บทที่ 4 : นักศึกษาแพทย์ปีสุดท้าย

โดย : วันฉัตร

เราจะฝันถึงกันตลอดไป โดย วันฉัตร…เรื่องราวของธามไท ผู้ที่ไม่เคยคิดว่าโลกของความฝันมีอยู่จริงๆ แต่แล้วเมื่อโลกของความฝันและโลกของความจริงเชื่อมหากัน พร้อมภารกิจที่เกี่ยวพันกับชีวิตและอนาคตของอลิตา…หญิงสาวที่เขาตกหลุมรัก… ภารกิจที่ว่าคืออะไร อ่านเอามั่นใจว่า คุณจะประทับใจในทุกตัวอักษรที่ได้อ่านออนไลน์

****************************

สนับสนุนอ่านเอาด้วยการสั่งซื้อหนังสือ “ในสวนอักษร” คลิกที่นี่

โดยปกติบรรยากาศในหอผู้ป่วยอายุรกรรมชายช่วงเช้ามีความวุ่นวายมากกว่าช่วงเวลาอื่น เพราะนอกจากจะมีพยาบาลที่รับส่งเวร มีผู้ช่วยและเจ้าหน้าที่ที่ช่วยเช็ดตัวทำความสะอาดคนไข้ วัดตวงปัสสาวะ วัดไข้วัดความดันโลหิตแล้ว ยังมีแพทย์ฝึกหัดมาตรวจคนไข้เพื่อเตรียมรายงานเคสกับอาจารย์แพทย์เจ้าของไข้ และมีนักศึกษาแพทย์อีกจำนวนหนึ่งที่ขึ้นมาช่วยงานรุ่นพี่ตั้งแต่เช้า งานที่ว่าได้แก่ การทำแผลให้คนไข้ การใส่สายยางให้อาหารทางจมูก การจดบันทึกข้อมูลแล็บที่จำเป็น รวมถึงเตรียมตัวนำเสนอเคสที่ตัวเองรับผิดชอบตอนที่อาจารย์ถาม

‘ศิรภพ’ เป็นนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 6 เขาสวมแว่นกรอบหนาสีดำ สวมชุดเสื้อกาวน์สั้นสีขาวยับยู่ยี่ วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในหอผู้ป่วยอายุรกรรมชาย ตรงดิ่งเข้าไปหา ‘สินี’ บัดดี้ของเขาในห้องพักแพทย์

“ขอโทษที ตื่นสาย” สาเหตุของการตื่นสายคือเล่นโทรศัพท์จนดึก แต่เขาจะพูดความจริงเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด มีหวังถูกสินีกินหัวแน่นอน

ศิรภพแสดงอาการเหนื่อยหอบแบบโอเวอร์แอ็กติ้งให้สินีเห็น แต่เธอชินชากับภาพแบบนี้ เพราะศิรภพมาสายเป็นประจำและเปลี่ยนเหตุผลของการมาสายไปเรื่อยๆ ทุกวันไม่เคยซ้ำ สินีจำได้ว่าศิรภพเคยบอกว่าเขาไม่ได้อยากเรียนแพทย์ เหตุผลที่เลือกเรียนเพราะเขาเป็นคนหัวดี เพื่อนในห้องและครูแนะแนวที่โรงเรียนมัธยมต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ผลการเรียนระดับนี้เหมาะกับการเรียนแพทย์มากกว่าวิชาชีพอื่น พ่อกับแม่ของเขาเห็นดีด้วยเพราะรู้สึกว่าการได้เรียนแพทย์เป็นเหมือนเหรียญตราของความสำเร็จด้านการศึกษา จึงบอกเขาให้เลือกเรียนแพทย์ ศิรภพตอบตกลงแต่โดยดีเพราะไม่อยากขัดใจผู้ใหญ่ จากวันนั้นจนถึงวันนี้เวลาผ่านมา 6 ปี ศิรภพยังคงมีความรู้สึกเหมือนเดิมคือไม่อินกับคำว่า ‘แพทย์’ เพราะทุกสิ่งที่เขาเจอ ยังไม่ได้สร้างแรงบันดาลใจในเชิงรูปธรรมในกระบวนความคิดของเขาแม้แต่น้อย

“ไม่เป็นไร รีบเตรียมตัวก่อน วันนี้มีแกรนด์ราวน์” สินีพูดลิ้นรัว เธอมักเป็นแบบนี้เสมอเวลามีเรื่องตื่นเต้น

“ว่าไงนะ วันนี้มีแกรนด์ราวน์เหรอ” ศิรภพเสียงดัง ขยับแว่นตามองสินีที่ยืนพยักหน้า

 

คำว่า ‘แกรนด์ราวน์’ เหมือนเป็นเวทมนตร์สะกดให้ศิรภพขนลุกซู่ไปทั้งตัว นึกถึงภาพความกดดันในวันพุธที่ผ่านมา เขาลืมช่วงเวลาที่สยองขวัญที่สุดสำหรับการขึ้นหอผู้ป่วยอายุรกรรมไปได้อย่างไร

‘แกรนด์ราวน์’ คือกิจกรรมวิชาการที่บรรดาอาจารย์แพทย์ประจำหอผู้ป่วยทุกคนมาร่วมเดิน ซักถามประวัติ และตรวจคนไข้ที่ยังมีปัญหาในหอผู้ป่วยอย่างละเอียดเพื่อร่วมกันวางแผนการรักษา โดยมีแพทย์และนักศึกษาแพทย์เจ้าของไข้เป็นผู้นำเสนอเคสเหล่านี้กับอาจารย์ ซึ่งผู้ที่เป็นคนนำเสนอจะตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกับนักโทษประหารที่ยืนนิ่งอยู่กลางลาน เพื่อรอรับกระสุนคำถามจากเหล่าอาจารย์แพทย์ที่สาดเข้ามาถล่มพินาศย่อยยับจนแทบล้มทั้งยืน และสิ่งที่ศิรภพกลัวที่สุดก็เกิดขึ้นเมื่อสินีบอกเขาว่า

“วันนี้พี่เขาเลือกเคสลุงชูวิทย์ขึ้นแกรนด์ราวน์”

ศิรภพตาเบิกกว้าง ลุงชูวิทย์คือคนไข้ที่ศิรภพดูแลอยู่ เป็นเคสผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังและมีการติดเชื้อในกระแสเลือด การพยากรณ์โรคค่อนข้างแย่ดูท่าทางน่าจะเสียชีวิตตั้งแต่เมื่อคืน

“ทำไมเป็นแบบนั้น เกิดอะไรขึ้น” ศิรภพสงสัยว่าทำไมไม่เลือกเคสคนไข้ของสินี เพราะเคสนั้นมีความยากและซับซ้อน น่าสนใจมากกว่าเคสลุงชูวิทย์

“เช้าวันนี้อยู่ๆ ลุงชูวิทย์ก็อาการดีขึ้นอย่างน่าตกใจ ทุกคนสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น อาจารย์คงเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับการรักษา พี่เขาก็เลยให้เจ้าของไข้ช่วยเตรียมเคสไว้ รีบไปรีวิวเถอะ เหลือเวลาไม่มากแล้ว”

“จะถามอะไร ไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย” ศิรภพครางออกมาเบาๆ แต่สินีทำเป็นไม่ได้ยิน เดินออกไปเพื่อเตรียมเคสตัวเองเผื่อไว้เช่นกัน

ศิรภพเดินคอตกไปที่เตียงลุงชูวิทย์ เมื่อเห็นสีหน้าคนไข้ก็รู้สึกประหลาดใจ เขาจำได้ว่าเมื่อวานตอนเย็นลุงชูวิทย์ยังนอนหมดสติอาการร่อแร่ หายใจกระตุก แต่วันนี้กลับดูสดใสหายใจคล่องราวกับเป็นคนละคน

“สวัสดีครับลุงชูวิทย์” ศิรภพทักทายอย่างสุภาพก่อนจะเปิดประวัติการรักษาของคนไข้ รวมถึงบันทึกของแพทย์เวรและพยาบาลเพื่อรีวิวการรักษาที่ได้รับเมื่อคืน

“สวัสดีหมอ” ลุงชูวิทย์ทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส

“ลุงอาการเป็นยังไงบ้างครับ”

ลุงชูวิทย์ยิ้มฟันขาวก่อนจะบอกว่า “โอเค ดีขึ้นมาก”

ศิรภพมองหน้าลุงชูวิทย์นิ่ง เป็นไปได้ยังไง เขาหมดคำถามที่จะถามต่อ เพราะข้อมูลในแฟ้มประวัติคนไข้มีเขียนแค่ว่า

 

23.30 น. : คนไข้อาการแย่ลง ซึมลง หอบเหนื่อยมากขึ้น รายงานแพทย์เวร ปรับยา+ให้ยากระตุ้นหัวใจ

03.00 น. แพทย์เวรยังคงยืนยันให้การรักษาเหมือนเดิม ไม่มีการปรับเปลี่ยนยาหรือแนวทางการรักษา หากคนไข้หยุดหายใจหัวใจหยุดเต้น ญาติต้องการให้ใส่ท่อช่วยหายใจและปั๊มหัวใจ

05.30 น. : คนไข้อาการแย่ลง ออกซิเจนในเลือดเหลือ 85% พิจารณาใส่ท่อช่วยหายใจ

06.00 น. : คนไข้อาการดีขึ้น รู้ตัวดี แพทย์เวรลดปริมาณน้ำเกลือและยากระตุ้นหัวใจ สังเกตอาการคนไข้ต่อไป

 

เมื่อเขาเปิดดูหน้าเกี่ยวกับการรักษา มีการเปลี่ยนยาฆ่าเชื้อตัวใหม่ ปรับเพิ่มน้ำเกลือ และเพิ่มยากระตุ้นหัวใจ สิ่งต่างๆ เหล่านี้คงเป็นคำตอบที่ช่วยให้ลุงชูวิทย์อาการดีขึ้น แต่ก็ยังดูเหลือเชื่ออยู่ดี ลุงฟื้นตัวได้ราวปาฏิหาริย์

“ยังมีไข้ มีปวดหัว ปวดตัว ปวดท้อง หรือตอนนี้มีอาการผิดปกติอะไรมั้ยครับ” ศิรภพเริ่มถามแบบเหวี่ยงแห

ลุงชูวิทย์ทำสีหน้าครุ่นคิด ศิรภพยืนลุ้นด้วยความตื่นเต้น เวลาผ่านไปสักพักลุงชูวิทย์ก็พยักหน้าแล้วตอบว่า “ตอนนี้ลุงปวดฉี่”

ศิรภพหน้าเหวอ มองไปที่ข้างเตียงพบว่าลุงชูวิทย์ได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะอยู่แล้ว จึงบอกว่า ตอนนี้รู้สึกปวดฉี่ก็ฉี่ได้เลยเพราะใส่สายสวนปัสสาวะคาไว้อยู่ ศิรภพรู้สึกว่าการยืนคุยกับคนไข้ตอนนี้อาจไม่ช่วยให้เขารอดพ้นจากนรกแกรนด์ราวน์ไปได้ จึงเปลี่ยนแผนไปเตรียมข้อมูลเรื่องอื่นแทน เผื่ออาจารย์ถามจะได้ตอบได้ แต่เมื่อเขากำลังจะเดินออกไป ลุงชูวิทย์ก็เรียกเขาทันที

“หมอ”

ศิรภพหยุดเดิน หันกลับมามองหน้าลุงชูวิทย์ด้วยสีหน้างุนงง

“ผมมีเรื่องบางอย่างจะเล่าให้หมอฟัง มันเกี่ยวกับเรื่องอาการเจ็บป่วยของผม ไม่เคยเล่าให้ใครฟังมาก่อน”

ศิรภพได้ยินแบบนั้นใจเต้นรัว เขากำลังจะได้ข้อมูลพิเศษที่ไม่เคยมีใครรู้ คิดในใจว่า หากเรื่องนี้เด็ดจริง การนำเสนอในวงแกรนด์ราวน์ครั้งนี้ เขาต้องดูโดดเด่นเป็นที่สนใจอย่างแน่นอน

“แต่เรื่องมันจะแปลกๆ นิดหน่อยนะ ไม่รู้หมอจะเชื่อหรือเปล่า”

“เชื่อสิครับ เล่ามาเลย ผมพร้อมฟัง” ศิรภพลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงคนไข้ ด้วยความตั้งใจเหมือนเด็กกำลังรอคุณลุงเล่านิทานให้ฟัง เขาหยิบกระดาษและปากกาเตรียมจด

“หมอรู้ไหม ผมรู้ตัวว่าผมป่วยหนักและกำลังจะตาย…”

ศิรภพพยักหน้ารับทราบ

“…ในตอนที่ผมหมดสติไป…ผมฝัน” รอยยิ้มที่ปรากฏบนหน้าของลุงชูวิทย์อยู่ๆ ก็หายไป สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมาทันที

“ฝัน” ศิรภพพูดย้ำคำเดิม

“ใช่ ผมฝันว่าตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน”

ศิรภพพยักหน้า ในใจรู้สึกว่าตัวเองพลาดแล้วที่ต้องมานั่งฟังเรื่องไร้สาระแบบนี้ เวลาเตรียมตัวสำหรับแกรนด์ราวน์ก็เหลือไม่มาก ดันต้องมานั่งฟังลุงชูวิทย์เล่าอะไรก็ไม่รู้ ใจหนึ่งอยากขอตัวลุกออกไป ใจหนึ่งก็เกรงใจ

“ในฝัน ผมกำลังหลงทาง แต่อยู่ๆ ก็เกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้น มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินผ่านมา อายุใกล้เคียงกับหมอนี่ละ ผมรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีความพิเศษอะไรบางอย่างที่ผมไม่สามารถอธิบายได้ เขาเป็นคนพาผมไปที่ประตูบานหนึ่ง เมื่อผมเดินเข้าไปในประตูบานนั้น ผมก็ได้กลับออกมาจากความฝัน ลืมตาตื่นขึ้นมาบนเตียงนี้”

ลุงชูวิทย์เล่าด้วยน้ำเสียงจริงจังจนศิรภพไม่กล้าหัวเราะ เมื่อเห็นศิรภพตั้งใจฟัง ลุงชูวิทย์จึงเล่าต่อ

“หากไม่ได้เด็กคนนั้นมาช่วย ผมคงแย่แน่ๆ”

ศิรภพอึ้ง ลุงชูวิทย์รอดตายเพราะการรักษาจากทีมแพทย์แท้ๆ กลับบอกว่าเป็นเพราะมีคนช่วยพาออกจากความฝัน นี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน

ลุงชูวิทย์เห็นศิรภพนิ่งไป รู้ตัวว่าอาจพูดอะไรบางอย่างผิดพลาด จึงพูดต่อไปว่า

“เอ่อ และที่สำคัญที่สุดคือการช่วยเหลือจากทีมแพทย์ที่สู้สุดความสามารถ ผมต้องขอบคุณหมอมากจริงๆ แต่ผมก็ยังมีความเชื่อว่า การที่ผมยังมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ เกิดจากการช่วยเหลือจากทั้งสองด้าน ทั้งความจริงและความฝัน หากไม่ได้รับการช่วยเหลือที่สมบูรณ์แบบ รับรองผมคงไม่มีโอกาสกลับมานั่งคุยกับหมอแบบนี้แน่นอน”

ลุงชูวิทย์เห็นศิรภพยังคงค้างในท่าเดิม เขาจึงส่งเสียงเรียก

“หมอ”

ศิรภพสะดุ้ง หันมามองหน้าลุงชูวิทย์แล้วยิ้มแหย

“เป็นอะไรหรือเปล่า ท่าทางไม่สบาย เดี๋ยวผมตามหมอให้” ลุงชูวิทย์พูดเหมือนศิรภพไม่ได้เป็นหมอ

“เอ่อ ไม่เป็นไรครับ ฟังเพลิน คิดอะไรนิดหน่อยครับ” มีการช่วยเหลือจากทั้งโลกความจริงและโลกความฝันหรือ ประเด็นนี้น่าสนใจแฮะ ศิรภพคิดในใจ

“นี่มันเรื่องจริงนะ อย่าทำเป็นเล่นไป” ลุงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

แม้ศิรภพจะรู้สึกสนุกกับนิทานที่ลุงชูวิทย์เล่า แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้นำเสนอในแกรนด์ราวน์ไม่ได้ ขืนพูดออกไป แทนที่จะเป็นดาวเด่น เขาได้เป็นดาวดับแน่นอน ศิรภพกล่าวขอบคุณลุงชูวิทย์ที่เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง บอกให้คุณลุงพักผ่อนเยอะๆ ส่วนเขาต้องขอตัวไปเตรียมข้อมูลเพื่อขึ้นแกรนด์ราวน์

 

ในที่สุดเวลาแห่งความตึงเครียดก็มาถึง บรรยากาศในหอผู้ป่วยที่เคยวุ่นวายก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดราวป่าช้า เสียงเข็มตกเพียงเล่มเดียวก็อาจดังจนทำให้นักศึกษาแพทย์สะดุ้ง ทุกอย่างเป็นไปตามคาดหมาย เคสลุงชูวิทย์กลายเป็นประเด็นหลักในการสนทนา เพราะอาจารย์ทุกคนให้ความสนใจกับเรื่องนี้มาก ศิรภพนำเสนอประวัติ แพทย์รุ่นพี่อัปเดตการรักษาและวิเคราะห์เคส อาจารย์ทุกคนฟังอย่างตั้งใจ ซักถามโดยละเอียด แต่ก็ยังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จริงอยู่ที่การรักษาดำเนินไปอย่างต่อเนื่องเป็นขั้นเป็นตอน แต่ข้อมูลก็ไม่แข็งแรงพอที่จะสนับสนุนเรื่องอาการของผู้ป่วยที่ดีขึ้นรวดเร็วแบบพลิกฝ่ามือ ศิรภพปิดปากเงียบไม่พูดถึงเรื่องฝันประหลาดที่ลุงชูวิทย์เล่าให้ฟังเพราะรู้สึกว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับการรักษา ลุงชูวิทย์พยายามสบตาหรือทำท่าเรียกร้องความสนใจอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ศิรภพเล่าเรื่องของเขาให้ทุกคนได้ฟัง แต่ศิรภพแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นจนลุงชูวิทย์ทนไม่ไหว ตัดสินใจยกมือขึ้นกลางวงแกรนด์ราวน์ขอเล่าเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และมันก็เป็นอย่างที่คิด อาจารย์แพทย์ทุกคนฟังเรื่องนี้แล้วก็อมยิ้มคิดว่าเป็นเรื่องเล่าเพื่อความบันเทิง หันมาพูดให้กำลังใจลุงชูวิทย์แล้วบอกว่าถ้าหายป่วยคงต้องตามหาเด็กหนุ่มคนนั้นเพื่อขอบคุณ ซึ่งลุงชูวิทย์ก็เห็นดีเห็นงามด้วย

แกรนด์ราวน์ในเช้าวันนี้ผ่านไปอย่างทุลักทุเล ศิรภพถูกอาจารย์ตำหนิว่าทำงานไม่เรียบร้อย เพราะข้อมูลไม่ครบถ้วน ผลแล็บไม่ถูกต้อง อาจารย์บอกว่าการรายงานผลแล็บที่ผิดพลาดถือเป็นการให้ข้อมูลเท็จซึ่งนำไปสู่การวางแนวทางการรักษาที่ผิดพลาดและเกิดผลเสียกับคนไข้ได้ อาจารย์บอกศิรภพให้เตรียมตัวให้ดีกว่านี้ ศิรภพรับทราบด้วยสีหน้าสลด เขาไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย มันทำให้เขากลายเป็นตัวตลกในสายตาคนอื่น เรื่องนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่ดีกับเส้นทางนี้

หลังจากอาจารย์แยกย้ายออกจากหอผู้ป่วย สินีก็เดินเข้ามาปลอบ

“ไม่เป็นไรนะ แกรนด์ราวน์ก็แบบนี้ ไม่มีใครรอดตายจากสมรภูมินี้สักคน”

ศิรภพไม่ได้พูดอะไรโต้ตอบ เขาเดินตรงไปที่คอมพิวเตอร์บนเคาน์เตอร์พยาบาล คีย์รหัสตัวเอง ขยับแว่นตาเพื่อปรับโฟกัส จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เพื่อตรวจสอบข้อมูลผลแล็บอีกครั้ง พบว่าตัวเลขที่นำเสนอไปมีความผิดพลาดอย่างที่อาจารย์บอกจริงๆ แม้จะมองไม่ชัด แต่เขาคิดว่าความผิดพลาดครั้งนี้น่าจะมาจากความเร่งรีบจากการเตรียมเคสในเวลาที่จำกัด เขารู้สึกผิดต่อตัวเอง คราวหน้าหากรู้ว่าต้องขึ้นแกรนด์ราวน์คงต้องเตรียมตัวให้ดีกว่านี้ จะได้ไม่ต้องรีบร้อนลอกข้อมูลจนเกิดความผิดพลาดขึ้นมาแบบนี้



Don`t copy text!