ตราบหัวใจไม่แพ้ บทที่ 4 : สำนึกผิด

ตราบหัวใจไม่แพ้ บทที่ 4 : สำนึกผิด

โดย : พรรณสิริ

Loading

ตราบหัวใจไม่แพ้ นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 2 โดย พรรณสิริ แม้สังเวียนแห่งการต่อสู้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่องอาจก็ไม่เคยหวั่น หากเมื่อเป็นสังเวียนหัวใจกลับยิ่งยากกว่า ระหว่าง ‘รุ้ง’ ดอกฟ้าที่ทุกคนหมายปอง กับ ‘หลี’ เด็กสาวธรรมดาที่ไม่เคยทอดทิ้งเขาไปไหน ใครคือคนที่ใช่…นิยายออนไลน์ที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

 

“เดินสิ เดิน! ทำไมมึงไม่ยอมเดิน” เสียงจ่าประชาตะโกนดังมาจากมุมข้างเวที ผนวกกับเสียงเชียร์ที่ดังกระหึ่ม แต่ไม่ช่วยให้ดาวฤกษ์น้อย ศิษย์เกียรติประชาฮึกเหิมขึ้นมาได้

เพื่อให้ภารกิจอันน่าอดสูนี้สมบทบาทที่สุด องอาจซึ่งเป็นมวยบุกทะลวง จึงเดินหน้าออกอาวุธใส่คู่ต่อสู้ตั้งแต่ยกแรก ทำให้เจ้าของค่ายไม่ระแคะระคาย ทั้งที่เจ้าตัวเหงื่อออกพลั่กและหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำจนร้อนไปทั้งหน้า

เสียงระฆังยกสองดังขึ้น องอาจสบตากับบุญส่งอย่างรู้กันเพียงแวบเดียวก่อนที่จะเดินหน้าเข้าหาคู่ต่อสู้เหมือนยกแรก ได้เวลาที่เขาต้องลดการ์ดลง เปิดหน้าให้คู่ต่อสู้ซึ่งมีฉายา ‘ซ้ายสะท้านโลก’ ได้มีโอกาสเหวี่ยงหมัดเข้าใส่ ก่อนแสร้งล้มลงไปให้กรรมการนับ

เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เมื่อกระเด้งตัวกลับขึ้นมา เขาถูกซ้ายสะท้านโลกถีบเข้าที่ยอดอก เซแซ่ดๆ เข้ามุม เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ถลาเข้ามาสาวหมัดกระทุ้งท้อง ประเคนด้วยเข่าหนักๆ จนทรุดลงไปให้กรรมการนับอีกรอบ องอาจเตรียมตัวจะแพ้อย่างแนบเนียนอยู่แล้วเชียว ถ้าเสียงระฆังหมดยกไม่ดังขึ้นเสียก่อน

บุญส่งรีบเข้ามาให้น้ำและปรนนิบัติพัดวีนักมวยที่สะบักสะบอมกลับมา

“หมดแรงใช่ไหมถึงเปิดหน้าให้เขาอัดเอาอัดเอา ถ้ายังอ่อนปวกเปียกเป็นขี้ผึ้งแบบนี้ กลับไปเอ็งเตรียมเลิกยุ่งเกี่ยวกับน้องสาวไอ้เฮี้ยงได้เลย” จ่าประชาขู่เสียงเครียด

เจ้าของค่ายเกียรติประชาไม่ระแคะระคายเลยว่าเด็กที่อุ้มชูมาแต่เล็กแต่น้อยจะทรยศต่ออาชีพนักมวย กลับมองว่าองอาจอ่อนซ้อมเพราะมัวแต่ไปเที่ยวเตร่ติดพันผู้หญิง

“ผมท้องเสียเมื่อสองวันก่อน หมดไส้หมดพุงเลย นึกว่าแรงจะกลับมาแล้ว” องอาจแก้ตัวน้ำขุ่นๆ

ยกที่ผ่านมา เขาอ่อนแรงลงจริงๆ ไม่รู้เป็นเพราะถูกรัวเจาะยางตอนท้ายยกหรือเป็นเพราะเครื่องดื่มชูกำลังที่บุญส่งยื่นให้ในช่วงเก็บตัวรอขึ้นชก

‘เอ็งแดกนี่ จะได้หายตื่นเต้น ชกสบายๆ อย่างที่ซ้อมกันมา อย่ารีบล้มเร็วนัก เดี๋ยวคนสงสัยกัน’

หลังจากนอนก่ายหน้าผากไตร่ตรองอยู่หลายคืน องอาจตัดสินใจตกลงรับเงื่อนไขของบุญส่ง เขาไม่มีทางเลือกเมื่อถูกเจ้ามือวงพนันทวงหนี้ยิกๆ อย่างไม่เกรงใจ เริ่มต้นจากด่าสาดเสียเทเสียในกลุ่มลับให้ได้อาย ลามไปถึงข่มขู่

ย่ามึงใส่ทองออกไปขายห่อหมกแต่มืด ถ้ามึงยังไม่ยอมจ่าย อย่าหาว่ากูใจดำกับคนแก่

องอาจอ่านทุกประโยค ทำเอาขนหัวลุก แต่ไม่กล้าออกจากกลุ่มสนทนา เขาจะหนีไปไหนได้

หลังตอบตกลง บุญส่งมอบเงินครึ่งหนึ่งให้ทันที แทนที่จะใช้หนี้โต๊ะพนันก่อน องอาจกลับรีบโอนจ่ายค่างวดรถที่ค้างไว้ รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

เสียงระฆังยกที่สามดังขึ้น ดาวฤกษ์น้อยเดินหน้าเข้าใส่ เห็นคู่ต่อสู้ที่มุ่งมั่นไม่แพ้กันแล้วก็แปลบในอก ซ้ายสะท้านโลกจะรู้ไหมว่าเขาอ่อนข้อให้และยอมถูกเหยียบเพื่อให้อีกฝ่ายได้ก้าวขึ้นสู่เวทีมวยใหญ่ในเมืองกรุง

แวบหนึ่งที่สายตาไพล่ไปเห็นจ่าประชา องอาจก็พร่ำบอกตัวเองให้รู้สึกผิดน้อยลง

‘แค่ครั้งเดียวเท่านั้น แล้วเขาจะกลับมาผงาดเช่นดาวฤกษ์น้อยคนเดิม

เขาต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ เพื่อนำเงินค่าจ้างส่วนที่เหลือไปใช้หนี้โต๊ะพนัน ทั้งที่บอกเจ้ามือไปแล้วว่าจะจ่ายให้แน่นอนหลังชกเสร็จ แต่เมื่อวาน ย่ากลับถูกมอเตอร์ไซค์เฉี่ยวหน้าตลาดหลังกลับจากขายห่อหมก คนขี่หายเข้ากลีบเมฆ

เสียงโห่ดังขึ้นจากคนดูเป็นระยะ เมื่อซ้ายอันตรายลังเลที่จะออกอาวุธ องอาจจึงต้องพุ่งเข้าใส่อีกรอบ ถลาเข้าไปแบบหมาบ้าเพื่อที่จะถูกถีบออกมา แล้วจังหวะนั้นเอง แข้งก็ฟาดเข้าที่หน้า

ในเสี้ยววินาทีนั้น เขาควรจะโยกหลบได้ไม่ยากเย็น แต่องอาจตัดสินใจมาล่วงหน้าว่าจะแสดงให้สมบทบาท จึงรับแข้งเข้าที่ก้านคอเต็มๆ ดวงหน้าสะบัด ทรุดลงไปคาเวทีให้กรรมการนับ

“หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ!”

กรรมการส่งสัญญาณมือยุติการชก เสียงโห่ร้องกึกก้องไปทั่วสนาม

‘ครั้งเดียวนะลุง แล้วผมจะไม่ทำอีก’ เขาเห็นเจ้าของค่ายปีนข้ามเชือกและถลาเข้ามาหา ดวงหน้าเคร่งเครียดเป็นกังวลขั้นสุด

องอาจหลับตาลง ปลดปล่อยสัมปชัญญะ ปรารถนาให้ภาพตรงหน้าเลือนหายไปตลอดกาล

หน้าห้องเช่าของย่า ดวงหน้าบอบช้ำถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วน ร่อนโทรศัพท์ลงบนตั่งเตี้ยที่เอกเขนกอยู่อย่างขัดใจเมื่อไม่มีแม้แต่วี่แววของข้อความที่รอคอยอยู่ส่งเข้ามา นักมวยหนุ่มหยัดตัวขึ้น ค่อยๆ เหวี่ยงขาที่ยังกะเผลกนิดๆ คร่อมรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ รู้สึกขัดตึงไปทั้งตัวแต่ก็น่าจะพอประคองตัวขี่กลับค่ายได้

หลังถูกน็อกอย่างหมดรูป องอาจไม่กล้าสู้หน้าเจ้าของค่าย จึงหนีกลับมาพักฟื้นร่างกายที่ห้องเช่า ฆ่าเวลาด้วยการออกไปช่วยย่าขายห่อหมกที่ตลาดไปพลางๆ ช่วงนี้เขาไม่ค่อยอยากให้ย่าออกไปไหนเพียงลำพัง ไม่รู้ว่าโต๊ะมวยจะส่งคนมาทวงหนี้เมื่อไหร่ เวลาล่วงไปเกือบสัปดาห์แล้ว แต่ยังไม่เห็นแม้เงาของบุญส่ง เขาเริ่มนั่งไม่ติด คิดจะกลับค่ายเพื่อทวงเงินส่วนที่เหลือ

หลีปรากฏตัวขึ้นเห็นได้แต่ไกล เดินมาทรุดตัวลงนั่ง กระพือคอเสื้อนักเรียนตัวโคร่งบรรเทาความร้อนก่อนเลื่อนสมุดการบ้านมาตรงหน้าเพื่อนสนิทที่นั่งจับเจ่าจ้องมองแดดบ่ายสะท้อนขึ้นจากลานซีเมนต์

“ไม่ไปโรงเรียน แต่ไปช่วยย่าขายห่อหมก แสดงว่าค่อยยังชั่วแล้วสิ ใกล้สอบแล้ว ขืนหยุดเรียนบ่อยๆ นายจะถูกตัดสิทธิ์เข้าสอบ”

องอาจไม่ตอบ เสมองไปอีกทาง ลูบผมไม่เป็นรูปเป็นทรงเล่นอย่างคนที่กำลังอึดอัดเต็มที

สาวหมวยลอบสังเกตท่าทางของเพื่อนสนิท นอกจากเอาสมุดการบ้านมาให้แล้ว เธอยังมาเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับการชกครั้งล่าสุด

“เขาซุบซิบกันว่านายแกล้งแพ้” หลีพยายามหลีกเลี่ยงคำพูดแสลงหู

“เขาน่ะ ใคร”

“นายไม่ต้องรู้หรอก เอาเป็นว่าจริงไหม”

“แล้วเธอล่ะ ดูคลิปย้อนหลังแล้ว คิดว่าเราล้มมวยไหม”

“ก็ก้ำกึ่ง มองกลางๆ นายก็แค่ผลีผลามไปหน่อย ทะเล่อทะล่าเข้าไปไม่ดูตาม้าตาเรือ เลยถูกฟาดเสียหน้าหงาย แต่ถ้าจะมองว่าเหมือนจงใจเปิดช่องให้เขาถลุงก็ได้เหมือนกัน”

องอาจถอนหายใจเฮือกใหญ่ ขนาดหลีซึ่งดูมวยแบบงูๆ ปลาๆ ยังสงสัย นับประสาอะไรกับคนที่รู้จักฟอร์มการชกของเขาเป็นอย่างดีอย่างจ่าประชาจะดูไม่ออก

เขาตั้งใจไว้แล้วว่าหากถูกจับได้ หัวเด็ดตีนขาดก็จะยืนกรานกระต่ายขาเดียว ไม่ยอมสารภาพเด็ดขาด แล้วค่อยไปแก้มือในการชกครั้งต่อไป ชัยชนะครั้งใหม่จะช่วยลบมลทินให้

“ดูนี่สิ” หลีกดโทรศัพท์ เปิดคลิปสั้นๆ ที่มีคนตัดต่อมารวมกันแล้ววิเคราะห์ว่าดาวฤกษ์น้อยล้มมวยให้ดู

องอาจรู้สึกหายใจไม่ออก เหมือนบ่วงที่ร้อยรัดไว้ที่คอถูกดึงให้แน่นขึ้น

คลิปที่ถูกเผยแพร่ไปทั่วโซเชียลมีเดียทำให้เขารู้สึกเหมือนหวนกลับขึ้นสังเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งที่ความอัปยศสมควรจบลงตั้งแต่เขาถูกหามลงจากเวที

ทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นจากความรู้สึกนี้ได้ การสารภาพอาจช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ แต่องอาจจะมองหน้าเจ้าของค่ายที่เลี้ยงดูเขามาประหนึ่งลูกหลานได้อย่างไร

“ถ้านายทำเต็มที่แล้ว ก็ไม่ต้องไปสนใจเสียงนกเสียงกาหรอก กีฬามีแพ้มีชนะ นายต้องเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้เป็นพลังแล้วเดินหน้าสู้ต่อไป อย่าลืม นายมีเรา ย่าอุ่นและลุงจ่าเป็นกำลังใจให้อยู่นะ” หลีปลอบโยนเพื่อน หากเขาปฏิเสธว่าไม่ได้ล้มมวย เธอก็พร้อมจะเชื่อสุดใจ

องอาจพูดไม่ออก ได้แต่ก้มหน้านิ่ง รู้สึกผิดหวังในตัวเองอย่างบอกไม่ถูก

หน้าจอสมาร์ตโฟนกะพริบขึ้น เจ้าตัวเหลือบดู ถอนหายใจด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกันไป ไม่ใช่ทั้งยอดเงินโอนจากสุธีและข้อความทวงหนี้จากโต๊ะพนัน แต่เป็นข้อความเตือนให้รู้ว่ารุ้งลงรูปถ่ายในอินสตาแกรม

ปกติถ้าไม่ซ้อมมวย เขาก็หายใจเข้าออกเป็นหญิงสาว อยากรู้ว่าเธอทำอะไรอยู่ที่ไหนในเวลาที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน เขาจึงตั้งให้ระบบคอยเตือนทุกครั้งเมื่อรุ้งมีความเคลื่อนไหวใหม่ๆ ในโซเชียลมีเดีย

รูปถ่ายที่ปรากฏขึ้น หญิงสาวสวมกระโปรงสั้นกุด ยืนพิงรถสปอร์ตคันหรู วางกระเป๋าแบรนด์เนมที่เขาซื้อให้บนกระโปรงหน้ารถ

หัวใจปวดหนึบ เขาจะต้องชกมวยกี่ปีถึงจะมีปัญญาซื้อรถสปอร์ตขับ แค่มอเตอร์ไซค์คันเดียวที่จอดอยู่ตรงหน้า ไม่เพียงแค่หยาดเหงื่อแต่เขาต้องแลกมาด้วยศักดิ์ศรีของนักมวย

หลีถือวิสาสะชะโงกหน้าดู เห็นเข้าก็เบ้ปากเล็กๆ “อีกไม่นานคงมีคนตามเป็นแสน เป็นเน็ตไอดอลก็ดีนะ รีวิวยาลดน้ำหนัก ถ่ายรูปกับเงินเป็นฟ่อนๆ  ถือกระเป๋าแบรนด์เนม นั่งรถหรู กินร้านแพงให้คนติดตามคิดว่าถ้าซื้อของไปขาย ชีวิตจะดีแบบนี้บ้าง”

“เธอกำลังมีอคติ คนอย่างเราหรือรุ้งเรียนหนังสือก็ไม่เอาไหน ค้าขายก็ไม่เป็น ผิดตรงไหนถ้าจะใช้พละกำลังหรือรูปร่างหน้าตามาเป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จ”

“แหม แตะนิดแตะหน่อยไม่ได้เลย ตกลงเป็นแฟนกันแล้วละสิ” หลีเลียบเคียง รู้สึกได้ว่าหัวใจของตัวเองกำลังเต้นผิดจังหวะขณะรอคำตอบ

“ก่อนหน้านั้นก็ดูเหมือนจะใช่ แต่ตอนนี้ไม่รู้สิ”

หลังถูกน็อกจนถึงกับต้องหยอดน้ำข้าวต้ม รุ้งส่งข้อความมาถามไถ่อาการของเขาเพียงครั้งเดียวแล้วก็เงียบหายไป เขาคิดเข้าข้างตัวเองว่าเธออาจกำลังยุ่งอยู่กับการรีวิวสินค้าจนไม่มีเวลาติดต่อมา

เห็นหน้าตาที่หมองลงของเพื่อนสนิทแล้ว หลีจึงไม่เซ้าซี้ ตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องพูด

“นายจะขึ้นชกรอบต่อไปเมื่อไหร่”

“ยังไม่รู้เลย ตอนแรกลุงบอกว่าถ้าชนะจะได้ขึ้นชกเวทีสี่มุมเมืองถ่ายทอดสดออกทีวี แต่ผลออกมาอย่างที่เห็น คงยังไม่ได้เข้ากรุงเทพง่ายๆ”

“เราว่าก็ดี นายจะได้ไม่ต้องหักโหมซ้อมจนไม่มีเวลาอ่านหนังสือ เนี่ย ใกล้สอบปลายภาคแล้วด้วย กลับมาโฟกัสเรื่องเรียนก่อนเถอะ”

“แล้วผลคะแนนโอเน็ตของเธอเป็นยังไง ยื่นสมัครมหาวิทยาลัยไหนได้บ้างล่ะ”

“เราเปลี่ยนใจไม่ยื่น คงยังไม่เรียนต่อปีนี้”

“ทำไมล่ะ คะแนนไม่ถึงคณะที่เลือกไว้ เลยจะรอสอบใหม่อีกรอบ”

“เปล่า จินจะเรียนหมอ เตี่ยไม่มีปัญญาส่งลูกสองคนเรียนมหาวิทยาลัยพร้อมๆ กันหรอก เราเลยว่าออกมาทำงานดีกว่า ช่วยหาเงินอีกแรง” น้ำเสียงเจ้าตัวขื่นเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงน้องชายซึ่งเรียนเก่งเป็นที่เชิดหน้าชูตาของครอบครัว

“โอเคใช่ไหม” องอาจเอื้อมมือออกไปตบไหล่เพื่อนสนิท

“สบายมาก จริงๆ เราก็ไม่ค่อยอยากเรียนต่อสักเท่าไหร่ หัวสมองอย่างเรา เรียนไปก็งั้นๆ สู้ออกมาขายน้ำเต้าหู้ดีกว่า” หลีปลอบใจตัวเอง

“คะยั้นคะยอให้เราเรียนต่อ แต่ตัวเองกลับไม่เรียน ไม่กลัวว่าต้องขายน้ำเต้าหู้ไปจนแก่หรือไง ไหนล่ะอนาคตที่ดีที่วาดฝันไว้” องอาจประชด

“เอาเถอะน่า เราไม่ยอมเข็นรถน้ำเต้าหู้ขายไปจนตายหรอก วันหนึ่งเราจะมีตึกแถว มีโรงงานผลิตน้ำเต้าหู้ส่งขายทั่วประเทศ นายคอยดูไปก็แล้วกัน”

“เออ แล้วจะคอยดู ขอให้เธอทำได้ตามที่ตั้งใจไว้ เผื่อคนไม่เอาไหนอย่างเราจะขอพึ่งใบบุญด้วย” องอาจกระเซ้า

กำปั้นเล็กๆ ชกเข้าที่แขนล่ำสันเบาๆ “เชอะ ทำมาเป็นพูดดี กว่าเราจะมีตึกแถว นายก็คงเป็นแชมป์มวยไทยเงินล้าน เผลอๆ มองไม่เห็นหัวเพื่อนจนๆ อย่างเราด้วยซ้ำ”

“สมพรปากนะ หลี ถ้าเราได้เป็นนักมวยเงินล้านจริง จะซื้อตึกแถวให้เธอเลย”

องอาจรู้สึกสบายใจขึ้นเมื่อได้พูดจาเล่นหัวกับหลี เขาไม่จำเป็นต้องเสแสร้งทำตัวให้น่าประทับใจเหมือนเวลาอยู่กับรุ้ง แม้จะรู้ว่าหลีพร้อมรับฟังทุกเรื่อง แต่เขาก็ไม่พร้อมเปิดใจสารภาพความจริงเรื่องล้มมวยกับเธออยู่ดี

ตอนแรกก็คิดว่าแค่ครั้งเดียวแล้วเดินหน้าต่อ แต่พอชกเสร็จถึงได้ตระหนักว่าความรู้สึกผิดตามติดเป็นเงา ไม่รู้จริงๆ ว่าวันใดจะลบเลือนออกจากใจได้

 

นักมวยในค่ายเกียรติประชาหันมองเป็นตาเดียวกัน เมื่อมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล่นเข้ามาจอดหน้าค่าย

“หายหัวไปเสียหลายวัน พอรู้ว่าเสียงด่าซาลงถึงกลับมาได้ใช่ไหม ไอ้เอ้” เสียงพี่เลี้ยงในค่ายตะโกนกระเซ้า

คนในค่ายที่เดิมพันไว้ว่าดาวฤกษ์น้อยจะชนะต่างเจ็บหนักไปตามๆ กัน เมื่อดาวรุ่งของค่ายกลับลงไปนอนวัดพื้นเอาง่ายๆ

องอาจไม่เอาใจใส่เสียงแซว รุดเอาข้าวของไปเก็บในตู้ล็อกเกอร์ โยนโทรศัพท์ที่มักจะพกติดตัวตลอดเวลาเข้าไปด้วย ข้อความทวงหนี้จากโต๊ะพนันถูกส่งเข้ามาทำเอานั่งไม่ติด ต้องรีบบึ่งกลับค่ายเพื่อทวงเงินส่วนที่เหลือจากบุญส่งให้ได้

เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นจ่าประชาอยู่แถวนั้น จึงปรี่เข้าไปหาบุญส่งที่เพิ่งเสร็จจากการลงนวมเป็นคู่ซ้อมให้สุธี

“พี่ส่ง ผมขอคุยอะไรด้วยหน่อย” องอาจบุ้ยใบ้ไปยังมุมพักผ่อนของค่ายที่กั้นไว้เป็นสัดส่วนด้วยกระถางไม้ดอกไม้ประดับ ถอยออกไปรออยู่ห่างๆ เพราะไม่อาจทนสายตาเยาะเย้ยถากถางของนักมวยรุ่นพี่ได้

บุญส่งโยนเป้าลงกับพื้น ร่างกายโชกไปด้วยเหงื่อไม่ต่างจากนักมวยที่ตนเองเป็นคู่ซ้อมให้

“ไอ้เอ้ มันมีเรื่องอะไรต้องคุยกับพี่ ดูท่าทางลุกลี้ลุกลน” สุธีเพิ่งลงนวมเสร็จ แม้เหนื่อยแทบขาดใจ แต่ต้องไปกระโดดเชือกต่อเพื่อรีดน้ำหนักซึ่งยังเกินอยู่ก่อนขึ้นชกลงให้ได้

สุธีฝีมือดี มีฐานแฟนคลับติดตามไม่น้อย จึงเป็นนักมวยเพียงคนเดียวของค่ายที่มีรายได้ประจำจากการสนับสนุนของสปอนเซอร์ การมีเงินจับจ่ายใช้สอยไม่ขาดมือส่งผลเสียต่อวินัยในการซ้อม

เขาชอบถ่ายคลิปลงโซเชียลมีเดีย เต๊ะท่าทำเป็นซ้อมหนักเพื่อเรียกยอดไลก์จากแฟนคลับ แต่มักจะมาขยันซ้อมและรีดน้ำหนักเอาช่วงใกล้เวลาขึ้นชก

“มันแทงมวย แล้วถูกตู้เบี้ยวไม่จ่าย กูดันเสือกเป็นคนชวนไปเล่น มันก็เลยมาตีโพยตีพายทวงเอากับกู” บุญส่งแถส่งๆ ไป

สุธีคว้าไหล่พี่เลี้ยง “เดี๋ยวๆ พี่ คราวก่อนที่คุยเรื่องย้ายค่ายกัน ทางค่ายโน้นเขาติดต่อมาอีกบ้างไหม”

“ชู่ว์ อย่าส่งเสียงดังไป เดี๋ยวค่อยคุยกัน” บุญส่งจุปาก ก่อนรีบผละไป

เจ้าของฉายาแข้งสะท้านโลกันตร์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หงุดหงิดเสียจนต้องระบายออกด้วยการเตะเชือกบนพื้นกระเด็นไปไกล เขากับบุญส่งคุยเรื่องย้ายค่ายลับหลังจ่าประชาได้สักพักแล้ว แต่ยังไม่คืบหน้า

สุธีเป็นเด็กในชุมชนรุ่นแรกๆ ที่เติบโตมาพร้อมกับค่าย นักมวยในรุ่นเดียวกันหายหน้าหายตาไปเกือบหมด พอเรียนจบชั้นสูงสุดที่สติปัญญาอำนวย ชกมวยต่ออีกไม่กี่ปีก็หันไปทำอาชีพอื่น เหลือเขาที่ไต่เต้าขึ้นมาเป็นนักมวยค่าตัวเรือนแสนและเคยได้เข้าชิงแชมป์มวยไทย เขาคิดเสมอว่าตัวเองควรจะมีชื่อเสียงโด่งดังและมั่งคั่งกว่านี้ ถ้าได้สังกัดค่ายใหญ่เงินทุนหนา โทษใครไม่ได้นอกจากเจ้าของค่าย จ่าประชาเป็นคนตกยุค เขาเคยแนะนำให้เปิดรับคนนอกเข้ามาฝึกมวย หารายได้เพิ่มเพื่อนำมาปรับปรุงค่ายและสนับสนุนนักมวยไปในตัว แต่เจ้าของค่ายไม่เอาด้วย อ้างเหตุผลว่าทำให้นักมวยเสียสมาธิในการซ้อม

ยิ่งตอนนี้ สุธีกำลังถูกนักมวยรุ่นน้องวัดรอยเท้า จ่าประชาเองก็มีทีท่าจะหนุนองอาจมากกว่าเขาซึ่งเหมือนจะผ่านช่วงท็อปฟอร์มมาแล้ว ถ้าไม่ดิ้นรนหาค่ายใหม่ที่พร้อมสนับสนุนและผลักดัน ก็เตรียมขุดหลุมฝังกลบอาชีพของตัวเองได้เลย

 



Don`t copy text!