ตราบหัวใจไม่แพ้ บทที่ 1 : มอเตอร์ไซค์คันนั้น

ตราบหัวใจไม่แพ้ บทที่ 1 : มอเตอร์ไซค์คันนั้น

โดย : พรรณสิริ

Loading

ตราบหัวใจไม่แพ้ นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 2 โดย พรรณสิริ แม้สังเวียนแห่งการต่อสู้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่องอาจก็ไม่เคยหวั่น หากเมื่อเป็นสังเวียนหัวใจกลับยิ่งยากกว่า ระหว่าง ‘รุ้ง’ ดอกฟ้าที่ทุกคนหมายปอง กับ ‘หลี’ เด็กสาวธรรมดาที่ไม่เคยทอดทิ้งเขาไปไหน ใครคือคนที่ใช่…นิยายออนไลน์ที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์

เช้าตรู่ แสงอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้า เด็กสาวแรกรุ่นรวบรวมพละกำลังทั้งหมดผลักรถเข็นบรรทุกเตาแก๊สและอุปกรณ์ทำมาหากินขึ้นสะพานข้ามคลอง

ลมหายใจที่กลั้นไว้เฮือกสุดท้ายพรูออกทางปาก เมื่อแขนแข็งแรงอีกคู่เข้ามาช่วยรับน้ำหนักทั้งหมดไว้ ผลักเบาๆ เหมือนแค่สะกิด รถเข็นคันเขื่องก็เคลื่อนผ่านจุดสูงสุดบนเนิน ก่อนที่จะวิ่งเหยาะๆ แซงหน้าไปอย่างรู้งาน ใช้แผ่นหลังต้านรถที่ค่อยๆ ไหลลงเนินไปโดยราบรื่น

“ขอบใจ เอ้”

“ไปก่อนนะ หลี สายแล้ว เดี๋ยวเจอกัน” ดวงหน้าคร้ามแดดซึ่งแปะปลาสเตอร์ไว้เหนือหัวคิ้ว หันกลับมาโบกมือหย็อยๆให้ แล้วจึงซอยเท้าเร่งความเร็วห่างออกไป

“วันนี้เราลวกไข่มาเผื่อด้วย นายไม่ต้องแวะซื้อนะ” สาวรุ่นหน้าหมวยตะโกนไล่หลัง

คนในชุดวอร์มสีแดงสดโบกมือให้อีกครั้งเป็นสัญญาณว่ารับรู้

หัวใจเด็กสาวพองโต เรี่ยวแรงหวนคืนมาเหมือนดื่มเครื่องดื่มชูกำลังเข้าไป ผลักรถเข็นมุ่งหน้าสู่ตลาดด้วยแววตาแจ่มใส

องอาจ เพื่อนสนิทร่วมชั้นเรียนของเธอกลับมาแล้ว หลังจากหายหน้าไปชกมวยต่างจังหวัดเสียหลายวัน

 

หลีขะมักเขม้นเช็ดผิวหน้าโต๊ะสแตนเลสของรถเข็นจนเงาวับ เงี่ยหูฟังข่าวยามเช้าผ่านสมาร์ตโฟน แม้จะยังเหลือเครื่องเคียงอยู่บ้าง แต่น้ำเต้าหู้เกลี้ยงหม้อแล้ว จำต้องยุติการขายลงโดยปริยาย

“น้ำเต้าหู้ใส่เครื่องสองถุง หวานน้อย” หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมชี้นิ้วไปยังน้ำเต้าหู้สองถุงสุดท้ายที่วางอยู่ในถาด

“ขอโทษจ้ะ ป้า ขายให้ไม่ได้ นั่น คนสั่งไว้วิ่งหน้าตั้งมาโน่นแล้ว”

คนในชุดวอร์มปรากฏกายขึ้น วิ่งเหยาะๆ มายืนสะบัดแข้งสะบัดขาอยู่ข้างรถเข็น ดวงหน้าพราวไปด้วยเม็ดเหงื่อแต่ยังคงแจ่มใส

องอาจไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบถุงน้ำเต้าหู้ขึ้นมา เจาะถุงที่อัดอากาศไว้ด้วยหลอดพลาสติกก่อนที่จะดูดอย่างคนตายอดตายอยาก

“อ้าว เอ้ เมื่อวานป้าแวะไปซื้อห่อหมก ย่าเอ็งบอกว่าเอ็งไปเดินสายแถวอีสาน เป็นไงบ้าง”

“ชนะสิป้า จะเหลือหรือ ฉายาดาวฤกษ์น้อย ศิษย์เกียรติประชาไม่ได้มาเล่นๆ นะ อีกไม่นานหรอก ฉันจะต้องได้ขึ้นเวทีราชดำเนิน ออกทีวี” เจ้าตัวยืดอกล่ำสันอวด

“เออ ให้มันจริงเถอะ ย่าเอ็งจะได้สบายเสียที ไม่ต้องเหงื่อตกนั่งหลังโกงนึ่งห่อหมกงกๆ เสียดาย ถ้าพ่อเอ็งยังอยู่ คงดีใจน่าดู ได้เห็นลูกชายเจริญรอยตาม อีกไม่นานคงขึ้นแท่นนักมวยค่าตัวเรือนแสน”

“สาธุ สมพรปากนะ ป้า” องอาจยกมือที่ถือถุงน้ำเต้าหู้ขึ้นไหว้ปลกๆ

“ข้าไปละ พรุ่งนี้ต้องมาไวหน่อย ออกจากบ้านสายทีไร ไม่ทันกินน้ำเต้าหู้ทุกที” เจ้าตัวส่ายหัว หิ้วตะกร้าเปล่าเดินหายเข้าไปในตลาด

เมื่อลูกค้าลับสายตาไป หลีจึงได้มีโอกาสพินิจดวงหน้าเพื่อนสนิทชัดๆ อีกครั้ง

“ชนะหรือแพ้ล่ะคราวนี้ ไหนหันหน้ามาดูจมูกหน่อย หักหรือเปล่าเนี่ย” สีหน้าสาวหมวยยอกแสยง ผลักใบหน้าเปื้อนเหงื่อให้เอียงซ้ายเอียงขวาอย่างไม่เกรงใจ นอกจากปลาสเตอร์ยาที่แปะไว้เหนือหัวคิ้ว ดั้งจมูกของเขามีรอยช้ำและเบี้ยวน้อยๆ ด้วย

“เวอร์แล้ว เธอนี่” เจ้าของใบหน้าปัดมือบางออก ลูบดั้งจมูกโด่งของตัวเองเบาๆ “ก็น่วมไปเหมือนกัน แต่ยกสุดท้าย เฮียเฮี้ยงฉีดยาให้สามหมื่น เราเลยดับเครื่องชน เสยเข้าปลายคาง เปรี้ยงเดียว! รถถังก็รถถังเถอะ เจอดาวฤกษ์น้อยเข้าไป รถถังก็ต้องยอมจอด” เจ้าตัวแสดงท่าทางการชกประกอบ โอ่อย่างภาคภูมิใจ

“อ้อ ชนะเพราะเงินอัดฉีดว่าอย่างนั้นเถอะ” หลีแขวะอย่างหมั่นไส้

“แหม เราก็ชกเต็มที่นั่นแหละ แต่เธอก็รู้ ค่าตัวนักมวยโนเนมต่างจังหวัดก็แค่หมื่นต้นๆ ไหนจะต้องแบ่งให้ลุงจ่าไว้ใช้จ่ายในค่ายอีก ถ้าได้เงินอัดฉีดเพิ่ม กำลังใจก็มาเป็นกอง” เจ้าตัวหัวเราะเก้อๆ พลางกวาดสายตามองหาของกินบนรถเข็นเพิ่มเติม “ไหนล่ะ ไข่ลวก”

“เอ้า” หลีหยิบแก้วกาแฟใบใหญ่จากในตู้กระจกส่งให้ ปากแก้วถูกหุ้มไว้ด้วยพลาสติกใส มองเห็นเนื้อไข่สีขาว ด้านบนเป็นไข่แดงวุ้นเนื้อหยุ่นดูน่ากิน

คนหิวโซเอื้อมหยิบช้อนกาแฟ สายตาสะดุดกึกที่สมาร์ตโฟนที่พิงอยู่ข้างถุงพลาสติกและถุงหนังยางรัดของ “เฮ้ย! โทรศัพท์ใหม่ ไหนดูสิ” เจ้าตัวหยิบขึ้นดูพลางกดถ่ายรูปตัวเองรัวๆ “กล้องโคตรเทพ ดีกว่าโทรศัพท์ของเราตั้งเยอะ แพงไหมอะ”

“รู้แล้วเหยียบไว้เลยนะ” หลีหันมองซ้ายขวา สีหน้าล่อกแล่ก ก่อนกระซิบบอกตัวเลขข้างหูเพื่อนสนิท

“หะ…ไม่อยากจะเชื่อ ปกติเธอขี้เหนียวจะตาย จู่ๆ ทำไมถึงใจป้ำซื้อโทรศัพท์เครื่องเป็นหมื่นได้”

“เราอยากได้โทรศัพท์ที่กล้องดีๆ หน่อย เอาไว้ไลฟ์สดเวลาขายน้ำเต้าหู้ไง”

“ก็เห็นขายหมดทุกเช้า ยังต้องไลฟ์อะไรอีก” องอาจมีสีหน้าสงสัย

แม่ค้าวัยรุ่นส่ายหน้า “เราอยากได้รถซูซูกิแครี่มือสองสักคัน จะได้ไปขายไกลๆ อย่างตลาดโต้รุ่งหน้าศาลากลางไง”

“คิดการใหญ่นะเรา” องอาจใช้นิ้วจิ้มศีรษะเพื่อน “แต่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าเธอมีรถ เราจะได้ไม่ต้องคอยช่วยเข็นรถขึ้นสะพานให้ทุกวัน”

หลีทำอะไรต้องมีเป้าหมายเสมอ ต่างจากเขาที่ในหัวสมองค่อนข้างว่างเปล่า ลืมตาตื่นขึ้นมาในแต่ละวัน รู้เพียงว่าต้องซ้อมมวยตามการเคี่ยวเข็ญของจ่าประชา

หลังดื่มน้ำเต้าหู้และตามด้วยไข่ลวกอีกสองฟอง กำลังวังชาก็เริ่มฟื้นคืน องอาจช่วยหลีเข็นรถกลับห้องเช่าท้ายตลาด เขาแวะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและทักทายย่าซึ่งเช่าห้องอยู่ไม่ห่างจากครอบครัวของหลี แล้วจึงออกไปโรงเรียนพร้อมกัน

เหลืออีกเพียงเทอมเดียวก็จะจบชั้นมัธยมปลาย องอาจถูไถเรียนมาได้ถึงขั้นนี้เพราะไม่อยากให้นางอุ่นต้องเสียใจจากคำดูถูกดูแคลนของชาวบ้าน เอาเข้าจริงๆ เขาไม่เคยคิดถึงอนาคตทางการศึกษาที่สูงขึ้นไป หากเลือกได้ เขายินดีที่จะซ้อมมวยทั้งวันดีกว่าให้นั่งเรียนหนังสือสักชั่วโมง

 

เสียงเพลงประจำโรงเรียนลอยผ่านลำโพงออกมา เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นดีให้องอาจและหลีซึ่งเพิ่งลงจากรถสองแถวรีบสาวเท้าข้ามทางม้าลายมุ่งสู่หน้าประตูรั้วโรงเรียน

“เอ้! รอด้วย”

เสียงใสๆ ตะโกนเรียกจากด้านหลัง ทำให้ทั้งคู่ชะงักฝีเท้า

สาวน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มในชุดเครื่องแบบนักเรียน กระโปรงสีน้ำเงินกรมท่าสั้นเต่อเหนือเข่า อวดน่องขาวเพรียว รีบเร่งเข้ามาสมทบ พอมาถึงก็ส่งยิ้มหวานหยดปานน้ำผึ้งเดือนห้าให้เพื่อนชายร่วมชั้น

รถกระบะแต่งซิ่งค่อยๆ เคลื่อนชิดบาทวิถี คนขับลดกระจกลง ชะโงกหน้าตะโกนเรียกนักมวยหนุ่ม

“ขยันนะมึง ชกเสร็จเมื่อวาน วันนี้มาโรงเรียนแล้ว”

“สวัสดีครับ เฮีย” ร่างล่ำสันเกินหน้าคนวัยเดียวกันหนีบกระเป๋านักเรียนเข้าใต้รักแร้ ยกมือไหว้คนขับ

“น้องหลี แหม ไม่เห็นทักทายเฮียบ้างเลย” เฮี้ยงสัพยอก ส่งสายตาเย้าหยอกใส่เพื่อนน้องสาวอย่างทีเล่นทีจริง

หลียกมือไหว้ส่งๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้หันมองทางอื่น เธอไม่อยากเสวนากับเจ้าหนี้เงินกู้ขาใหญ่ที่ขูดรีดดอกเบี้ยจากชาวบ้านราวกับรีดเลือดจากปู แม้ครอบครัวจะไม่เคยกู้เงินจากเฮี้ยง แต่หลีก็ยังคงไม่ถูกชะตากับเขาอยู่ดี เพราะเขามักจะชักชวนเตี่ยของเธอไปร่วมวงพนันตีไก่อยู่เป็นระยะ

พักหลัง เมื่อเห็นองอาจสนิทสนมกับเฮี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ หลีก็ยิ่งไม่สบายใจ

“เฮีย รีบๆ ขับไปเลย เห็นไหม ข้างหลังรถติดเป็นพรวนแล้ว” รุ้งโบกมือไล่พี่ชายให้พ้นหูพ้นตา

“เออ รู้แล้ว พี่เชื้ออุตส่าห์มาส่ง กลัวน้องไปโรงเรียนสาย ขอบคุณสักคำมีไหม” หลังตัดพ้อน้องสาวทีเล่นทีจริง ก็หันหานักมวยหนุ่มไวๆ “เลิกเรียนแล้ว รีบเข้าไปดูรถที่ร้าน รุ่นที่เอ็งเล็งไว้เข้ามาแล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องดาวน์ เดี๋ยวข้าลดให้เป็นพิเศษ ไปเย็นนี้เลยนะ ขืนช้า เดี๋ยวใครตัดหน้าถอยออกไปก่อน อย่าหาว่าข้าไม่บอก”

เฮี้ยงรีบหย่อนเบ็ดเพราะรู้ดีว่านักมวยรุ่นกระทงอยากได้รถมอเตอร์ไซค์กำลังสูงตัวสั่น องอาจจำเป็นต้องมีรถดีๆ สักคัน เพื่อทำคะแนนจีบน้องสาวของเขาแข่งกับนักมวยรุ่นพี่ร่วมค่ายอีกคน

“รุ้งเห็นรถคันนี้แล้ว เท่สุดๆ ไปเลย เอ้ต้องซื้อให้ได้นะ แล้วขี่ไปรับรุ้งที่บ้าน จะได้ไม่ต้องให้เฮียมาคอยรับส่งอีก เสียเวลาแย่ อยากไปเที่ยวไหนก็ไม่สะดวก”

“ได้สิ เดี๋ยวเลิกเรียน เราจะรีบไปเลย รุ้งไปด้วยกันนะ”

“อ้าว ไหนว่าเย็นนี้จะให้เราติววิชาที่ขาดเรียนไปให้ยังไงล่ะ” หลีซึ่งยืนฟังอยู่เงียบๆ ราวกับไร้ตัวตนโพล่งออกมา

“ขอไปดูมอเตอร์ไซค์ก่อน เดี๋ยวมืดๆ เราแวะไปหาที่บ้านก็แล้วกัน” องอาจตัดบท

“อย่าไปดึกนักล่ะ นายก็รู้ว่าเราเข้านอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่หัวรุ่ง” หลีบ่นอุบอิบอย่างไม่ค่อยพอใจนัก เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง พอรุ้งมาอี๋อ๋อเข้าหน่อย องอาจก็ไม่เห็นเธออยู่ในสายตาอีก

“เหมือนกันแหละน่า เราก็ต้องตื่นมาวิ่ง มาช่วยเธอเข็นรถขึ้นสะพานทุกวัน” พูดจบก็ชะโงกหน้าเข้าไปหาคนขับรถกระบะที่จอดติดเครื่องรอฟังคำตอบอยู่ “เลิกเรียนแล้ว ฉันแวะเข้าไป เฮียเก็บรถไว้เลยนะ อย่าเพิ่งขายให้ใคร”

“เออ เย็นนี้เจอกัน พาน้องสาวข้ากลับบ้านด้วย” เฮี้ยงยักคิ้วอย่างรู้กัน

ดูจากท่าทางขององอาจที่เดินตามก้นน้องสาวเขาต้อยๆ แล้ว พนันได้เลยว่าเงินที่เขาทุ่มอัดฉีดให้นักมวยที่แต้มต่อเป็นรองอย่างองอาจฮึดเอาชนะน็อกคู่ต่อสู้ไปได้อย่างพลิกความคาดหมาย จะหวนกลับคืนสู่กระเป๋าเขาในรูปแบบของค่าดาวน์มอเตอร์ไซค์อย่างไม่ต้องสงสัย

 

มอเตอร์ไซค์คันใหญ่สีแดงตัดเทาเข้มมันปลาบจอดท้าสายตาอยู่หน้าตึกแถวขนาดสี่คูหา ทำเอาองอาจถึงกับอ้าปากค้าง เขานอนมองโปสเตอร์ที่แปะไว้บนผนังห้องนอนจนหลับไปทุกคืนนานนับปี ใฝ่ฝันว่าจะได้ครอบครองเป็นเจ้าของ ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง

“ตกลงฉันเอาคันนี้เลยนะ เฮีย ขี่ไปได้เลยไหม” เจ้าตัวเดินวนรอบพาหนะหน้าตาดุดัน เอื้อมมือออกไปลูบคลำเบาะหนังด้วยความหลงใหล

“ใจเย็นๆ ก่อน วันนี้เอ็งวางมัดจำ กรอกข้อมูลส่วนตัวจัดไฟแนนซ์ไว้ให้เรียบร้อย เอ็งมีคนค้ำประกันใช่ไหม”

องอาจหยุดคิดชั่วขณะ ชั่งใจระหว่างย่ากับเจ้าของค่ายมวยที่ตนสังกัดอยู่แล้วตัดสินใจเลือกย่า น่าจะคุยกันง่ายกว่าจ่าประชาซึ่งเข้มงวดกับการจับจ่ายใช้สอยของเขา

หลังเริ่มได้ค่าตัวจากการชกเป็นกิจจะลักษณะ จ่าประชาบังคับให้เขาจัดสรรส่วนหนึ่งไว้เป็นค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ให้ย่าที่สุขภาพเริ่มถดถอย ขายห่อหมกได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนเก่า อีกส่วนไว้เป็นค่าเล่าเรียน องอาจจึงไม่เหลือเงินมากนัก ต้องใช้เวลาเก็บเล็กผสมน้อยอยู่นาน

“เฮีย ถ้าซื้อไปแล้ว ผมผ่อนไม่ไหวขึ้นมาจะทำยังไง” แม้ใจหนึ่งอยากได้รถในฝัน แต่อีกใจก็ยังลังเล

หลังจบมัธยมปลาย องอาจตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เรียนต่อ แต่จะทุ่มเทเวลาทั้งหมดเดินสายชกสร้างชื่อเสียงเพื่อก้าวขึ้นสู่เวทีมวยสำคัญในเมืองหลวง ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน การผ่อนมอเตอร์ไซค์สักคันก็ไม่น่าเหลือบ่ากว่าแรง

“เอ็งไหวอยู่แล้ว โชว์ฟอร์มดีๆ แบบนัดที่ผ่านมา ข้ารับประกัน เงินอัดฉีดเอย เงินสปอนเซอร์เอย ไหลมาเทมานับกันไม่หวาดไม่ไหวแน่นอน” เฮี้ยงให้กำลังใจลูกค้า

“เฮียก็ให้เอ้เอารถไปลองหน่อยสิ เดี๋ยวฉันซ้อนท้ายไปเป็นเพื่อนเอง” รุ้งคะยั้นคะยอ พยายามช่วยเชียร์เต็มที่ เพราะพี่ชายรับปากไว้ว่าหากขายรถได้จะแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้

“ก็เอาสิ ลองไปบิดดูสักรอบสองรอบก่อน แล้วค่อยตัดสินใจก็ได้” เฮี้ยงรับลูก เปิดตู้กระจกหยิบหมวกกันน็อกเข้าชุดกันออกมายื่นส่งให้ “หมวกนี่แถมให้ด้วย ดีไซน์มาให้เข้าชุดกับรถ”

เสียงเครื่องยนต์คำรามเบาๆ เมื่อเจ้าของร้านกดปุ่มสตาร์ต

องอาจรับหมวกนิรภัยไปสวม กระชับเข็มขัดหมวกเข้ากับปลายคาง ก่อนที่จะเหวี่ยงขาขึ้นคร่อมรถสปอร์ตสองล้อด้วยท่าทางทะมัดทะแมง

“ขอเราไปลองรถด้วยคนนะ” รุ้งปีนขึ้นซ้อนท้าย เอื้อมมือไปโอบกอดรอบเอวเพื่อนร่วมชั้นอย่างสนิทสนม

องอาจยิ้มเขินอยู่ภายใต้หมวกกันน็อก เมื่อสัมผัสได้ถึงความหยุ่นนุ่มที่แผ่นหลัง เจ้าตัวตบเกียร์ว่าง ทดลองบิดคันเร่งเบาๆ มอเตอร์ไซค์คันโตก็ส่งเสียงคำรามก้องราวกับราชสีห์

“เกาะดีๆ นะ” เจ้าตัวหันบอกเพื่อนสาว ก่อนที่จะเข้าเกียร์ บิดคันเร่งพาพาหนะคันโตเคลื่อนลงจากทางเท้าหน้าร้าน ใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษเพราะยังไม่คุ้นมือ ออกสู่ถนนใหญ่ได้ก็บิดคันเร่งอีกครั้ง เขากับรุ้งก็พุ่งทะยานออกไปราวกับลูกธนู

หัวใจที่เต้นไม่ส่ำอยู่แล้วแทบจะระเบิดออกมานอกอก องอาจกำลังคร่อมอยู่บนรถที่เป็นสุดยอดปรารถนาโดยมีเพื่อนร่วมชั้นที่หมายปองมานานโอบกอดอยู่รอบเอว

ความมั่นใจจากชัยชนะนัดล่าสุดที่คว่ำคู่ต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าได้ ทำให้องอาจรู้สึกว่าโลกทั้งใบอยู่ภายใต้อุ้งมือ

เวลานั้นใกล้มาถึงแล้ว เขาจะวาดอนาคตด้วยกำปั้นและเฉิดฉายบนสังเวียนการต่อสู้ให้สมกับฉายาดาวฤกษ์น้อย ศิษย์เกียรติประชา



Don`t copy text!