หัวใจอเวจี บทที่ 2 : โกกิลา ผู้เจ็บช้ำ

หัวใจอเวจี บทที่ 2 : โกกิลา ผู้เจ็บช้ำ

โดย : แสงสูรย์

Loading

หัวใจอเวจี หนึ่งในนวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 2 โดย แสงสูรย์ กับการต่อสู้ของ ‘ตองนวล’ หญิงสาวที่ลุกขึ้นสู้กับอิทธิพลมืดเพื่อชุมชนที่เธอรัก โดยมีเขาคนนั้นเคียงข้าง ตองนวลก็จะฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายไปได้ไหม มาลุ้นกันในนวนิยายออนไลน์เรื่องนี้ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้เพลิดเพลินในเรื่องราวผ่านทุกตัวอักษร

ทุกเช้าภาพที่กรวิกคุ้นเคยมาตลอดระยะเวลาหลายปีที่พ่อกับแม่เกษียณอายุก็คือภาพแม่เตรียมอาหารเช้าให้พ่อและลูกทั้งสองคนอยู่ในครัว ส่วนพ่อก็ง่วนอยู่ในสวนเล็กๆ หลังบ้านหรือไม่ก็เรือนกล้วยไม้ด้านข้าง จนกว่าจะได้ยินเสียงแม่เรียกมากินข้าวเช้านั่นแหละจึงจะเข้าบ้าน

ในวันทำงานที่เขากับพี่สาวต้องรีบเร่งออกไปเพื่อหนีความแออัดของท้องถนน แม่จะจัดอาหารเช้าง่ายๆ ประเภทข้าวผัดบ้าง แซนด์วิชบ้าง หรือบางทีก็เป็นสลัดใส่กล่องไว้ให้คนละกล่อง แต่ในวันหยุดเช่นวันนี้ที่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาแม่มักจะจัดเต็ม มีโกกิลาหรือกาเหว่าพี่สาวเป็นลูกมือ โกกิลาอายุมากกว่าน้องชาย 4 ปี ได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยที่เธอเรียนทั้งปริญญาโทและปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์การคลัง เธอเป็นเด็กเรียนเก่ง รักการเรียนรู้ ต่างจากน้องชายที่เป็นนักกิจกรรม ผลการเรียนระดับปานกลาง

“หอมจัง วันนี้มีอะไรกินเอ่ย” กรวิกส่งเสียงมาก่อนถึงประตูครัว “ข้าวต้มหมูโบราณแน่ๆ หอมกระเทียมเจียวกากหมูขนาดนี้” ชายหนุ่มเดา

“มาเลย มาช่วยกันมั่ง ไม่ใช่รอกินอย่างเดียว นายเวก” พี่สาวของเขาส่งเสียงคำรามเล็กๆ ตอบกลับมา

ครอบครัวของกรวิกเป็นครอบครัวชนชั้นกลางธรรมดา มีที่ดินผืนเล็กๆ 200 ตารางวาย่านฝั่งธนบุรีเป็นมรดกของแม่ ซึ่งพ่อกับแม่ใช้ปลูกเรือนหออยู่ร่วมกัน เป็นบ้านชั้นเดียว หลังคาทรงมนิลา โครงสร้างทำจากคอนกรีต ผนังภายนอกฉาบปูนเรียบ เสริมการตกแต่งด้วยไม้ฝาสีทอง มีระเบียงที่นั่งเล่นภายนอกสองที่ด้าน มีซุ้มไม้ระแนงโปร่งคลุมด้านหน้าระเบียงแบบบ้านไทยโบราณ กลางบ้านจัดเป็นโถง มีพื้นที่ให้นั่งเล่นพักผ่อนดูทีวี ห้องรับประทานอาหารและห้องครัวอยู่ถัดไปด้านหลังบ้าน

แม้ว่าความเจริญจะทำให้บริเวณรอบบ้านเต็มไปด้วยอาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม แต่ต้นไม้ที่พ่อปลูกไว้จนร่มครึ้มก็ช่วยให้บ้านร่มเย็น เช่นเดียวกับชีวิตในครอบครัว กุลพงศ์ พ่อของเขาเป็นวิศวกรของกรมชลประทาน อาจารย์ลาวัลย์ผู้เป็นแม่เป็นอาจารย์สอนภาษาไทยในโรงเรียนมัธยมสตรีชื่อดังย่านบางลำพู สาวอักษรแห่งเทวาลัยพบรักกับหนุ่มวิศวโยธาผู้เงียบขรึมมาตั้งแต่ปีสอง

แม้ทั้งสองครอบครัวจะไม่ได้มีมรดกตกทอดมากนัก นอกจากที่ดินที่เป็นของแม่ และสวนขนาด 3 ไร่ของพ่อที่นครปฐม แต่อาชีพที่มั่นคง รู้จักใช้จ่ายอย่างไม่ฟุ่มเฟือย ก็สามารถเลี้ยงลูกสาวหนึ่งกับลูกชายหนึ่งอย่างไม่อัตคัด ส่งเสริมการศึกษาให้อย่างเต็มที่ ความรักในวรรณคดีของแม่เป็นที่มาของชื่อโกกิลาหรือกาเหว่า และกรวิกหรือการะเวก ที่เหลือแต่คำเรียกสั้นๆ ว่า ‘เวก’

หลายคนรู้ถึงที่มาของชื่อสองพี่น้องก็อดจะยิ้มอย่างขำๆ ไม่ได้ ชีวิตของพ่อและแม่เรียบง่าย นอกจากเป็นวิศวกร พ่อยังเป็นเกษตรกรตามพื้นเพลูกชาวสวนที่นครปฐม หลังบ้านจึงมีพืชผักสวนครัวสารพัดให้แม่ทำกับข้าว ทั้งยังชอบเลี้ยงกล้วยไม้เป็นงานอดิเรก ปลูกเรือนกล้วยไม้ไว้ริมรั้วหน้าบ้าน

ส่วนแม่นอกจากการเป็นนักอ่านตัวยงก็ยังเป็นแม่ครัวที่มีเสน่ห์ปลายจวักคนหนึ่ง จึงเป็นเรื่องที่สองพี่น้องเอามาล้อเลียนกันเองว่าชาตินี้คงหาแฟนยากเพราะต้นแบบทั้งคู่น่าจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว

แต่ในความเป็นจริงโกกิลาผ่านชีวิตรักที่เจ็บช้ำ จากผู้ชายที่คิดว่ามีความอ่อนโยนเป็นสุภาพบุรุษเหมือนพ่อของเธอ ในช่วงชีวิตนักศึกษาที่ต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เธอพบรักกับหนุ่มลูกเศรษฐีรูปงามที่ใช้ทุนพ่อแม่มาเรียน ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างหวานชื่น ทั้งๆ ที่โกกิลาเป็นผู้หญิงหน้าตาธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่ชอบแต่งหน้า ผอมบาง ผิวสีน้ำตาล ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายที่สมบูรณ์แบบอย่างเขาจะเลือกเธอ

แม้พ่อกับแม่จะไม่เห็นด้วย แต่ก็เคารพในการตัดสินใจใช้ชีวิตของลูก เข้าใจถึงความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย แม่บอกกับพ่อว่า ‘ความสุขของลูกสำคัญกว่า พ่อว่ามั้ย มัวแต่ไปยึดติดกับประเพณีเก่าๆ คงไม่ได้แล้ว หนุ่มสาวสมัยนี้กับสมัยเรา คิดต่างกัน’ พ่อพยักหน้า ถอนใจเบาๆ แล้วกล่าวว่า ‘พ่อแค่เป็นห่วงลูกเท่านั้นแหละแม่’

นอกจากความเป็นหนุ่มรูปงาม มีเสน่ห์ ชายผู้นั้นยังแสดงออกถึงความอ่อนโยน ช่างเอาใจ แม้ว่าโกกิลาจะไม่ใช่ผู้หญิงที่ชอบของหรูหรา หรือตื่นเต้นกับความร่ำรวย ก็ยังพ่ายแพ้ต่อการแสดงความรักอย่างล้นเหลือ มีคำรักให้เธอทุกวัน ทำทุกอย่างให้เธอแม้ไม่เคยทำมาก่อนเพราะได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างคุณชาย ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหาร ทำความสะอาดบ้าน ซักเสื้อผ้า แต่เมื่อโกกิลามาทบทวนดูอีกครั้ง สิ่งที่โกกิลาทำให้เขานั้นมากมายยิ่งกว่าคือการช่วยให้เขาเรียนจบปริญญาทั้งโทและเอกโดยไม่ต้องทำอะไร นอกจากการไปหาข้อมูลตามที่โกกิลาบอก

‘เหว่า ช่วยผมเขียนรายงานให้ผมหน่อยนะ ผมไม่รู้จะเริ่มยังไง คนเก่งของผมทำแป๊บเดียว ผมคิดอยู่ตั้งนาน’

‘เหว่า ช่วยทำสรุปหนังสือเล่มนี้ให้ผมที อาทิตย์หน้าโปรเฟสเซอร์ให้นำเสนอในคลาส’

‘เหว่า ช่วยอ่านงานวิจัยเรื่องนี้แล้วสรุปให้ผมฟังหน่อยสิ ผมอ่านแล้วปวดหัว เข้าใจยากจัง’

คำพูดทำนองนี้มีอยู่ตลอดเวลา เพราะโกกิลาเป็นคนเก่งด้านวิชาการอย่างหาตัวจับยาก เธอชอบอ่าน ชอบเขียน มีความสุขกับการทำงานวิชาการ

จนกระทั่งงานวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของทั้งคู่ใกล้จะเสร็จสิ้น โกกิลาเริ่มระแคะระคายว่าแฟนหนุ่มมีความสัมพันธ์กับสาวลูกเศรษฐีอเมริกัน ซึ่งไม่ใช่คนแรก

ที่เจ็บช้ำมากกว่านั้นคือเขาบอกเลิกเธอ หลังจากงานวิทยานิพนธ์ผ่านการสอบด้วยฝีมือการเขียน และการกำกับทุกขั้นตอนของเธอ

‘ผมรักเหว่านะ ไม่มีวันลืมว่าเหว่าดีกับผมมากแค่ไหน แต่เราไปกันไม่ได้หรอก การอยู่ร่วมกันทำให้ผมรู้ว่าเราไปต่อกันไม่ได้ นี่เป็นข้อดีของการอยู่ก่อนแต่งเลยนะ ผมอยากเก็บความรู้สึกดีๆ เอาไว้ ไม่อยากให้เราบาดหมางกัน รสนิยม การใช้ชีวิตก็ต่างกันมาก เหว่าเองรับไม่ได้ที่ผมไปสนุกกับผู้หญิงอื่น ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ผมกับเขาต่างก็มีความสุขด้วยกัน ผมเบื่อการทะเลาะกันด้วยเรื่องเชยๆ แบบนี้ ถ้าจะไปต่อเหว่าก็ต้องรับให้ได้ ยิ่งกลับไปที่บ้านเรา ครอบครัวผมทำธุรกิจ บางทีก็ต้องมีเรื่องแบบนี้เพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจ’

ภาพชายหนุ่มผู้อบอุ่น อ่อนโยนพลิกกลับกลายเป็นซาตานที่มีแต่ความเห็นแก่ตัว ไม่แม้จะเหลียวมองความเจ็บช้ำของเธอ ไม่มีท่าทีอาลัยอาวรณ์เมื่อเลิกรา โกกิลาตระหนักทันทีว่าผู้ชายคนนี้เข้ามาเพื่อหลอกใช้เธอเท่านั้น

แจนเพื่อนรักชาวอเมริกันพูดตรงไปตรงมากับเธอว่า ‘ฉันบอกเธอแล้วใช่มั้ยว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เธอเห็น ผู้หญิงหน้าตาธรรมดา ทรวดทรงไม่ได้เซ็กซี่แบบเธอ ฉันแปลกใจตั้งแต่แรกแล้วที่เขาเลือกเธอ ตอนนี้รู้แล้วใช่มั้ยล่ะว่าเขาเลือกเธอเพราะอะไร’

หลังจากนั้นโกกิลาก็ได้รู้ว่าไม่ใช่เธอคนเดียวที่ถูกหลอกใช้ ไม่ว่าใครที่ใช้ประโยชน์ได้ธนเทพก็จะใช้เสน่ห์และเงินตราเข้าล่อ

และนั่นก็คือประวัติการศึกษาในต่างประเทศของ ดร.ธนเทพที่โกกิลาเล่าให้น้องชายฟัง เมื่อรู้ว่าอดีตแฟนหนุ่มมาเป็นเจ้านายคนใหม่ของน้องชาย

แม้ ดร.โกกิลาจะจบการศึกษากลับมาด้วยหัวใจที่บอบช้ำ แต่ครอบครัวที่อบอุ่นก็เยียวยาให้เธอยืนหยัดกลับมาเป็นนกกาเหว่าที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วในเวลาไม่นาน ไม่มีคำต่อว่าใดๆ จากพ่อและแม่ มีแต่สายตาของความห่วงใย ปลอบประโลม

แม่ผู้รักในวรรณคดีบอกกับเธอว่า ผู้ชายคนนั้นเหมือนอิเหนากุเรปัน หนุ่มรูปงามที่เต็มไปด้วยตัณหา ความเห็นแก่ตัว ‘แม่เรียนวรรณคดีเรื่องนี้แล้วมีคำถามเสมอว่าอิเหนามีความดีตรงไหน นอกจากใช้ชีวิตตามแรงผลักดันของตัณหา ไม่สนใจความเดือดร้อนของคนอื่นเสียด้วย แต่คุณค่าในเชิงวรรณศิลป์มีเต็มเปี่ยม มีข้อคิดดีๆ หลายอย่าง’ แม่ใช้บทรำพันของนางจินตะหราวาตีเตือนสติเธอ

‘แล้วว่าอนิจจาความรัก พึ่งประจักษ์ดั่งสายน้ำไหล ตั้งแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป ที่ไหนเลยจะไหลคืนมา’

แล้วพูดต่อไปว่า ‘จำไว้นะลูก ความเที่ยงแท้ของชีวิตคือความไม่เที่ยงแท้ อย่าคิดไปยึดถืออะไรให้ทุกข์เลย สายน้ำนั้นไหลผ่านชีวิตของลูกไปแล้ว ลูกมีพ่อแม่ มีน้อง มีเพื่อน มีงานรออยู่ ชีวิตของลูกมีค่าเกินกว่าจะมาเสียเวลาเศร้าโศกกับผู้ชายเลวๆ คนหนึ่ง’

แม่ยังทิ้งท้ายด้วยอารมณ์ขันอีกว่า ‘มันเป็นความผิดของพ่อด้วย ทำให้ลูกสาวคิดไปว่าผู้ชายในโลกนี้จะดีเหมือนกันไปหมด’

ทำให้พ่อร้องออกมาว่า ‘อ้าว แล้วกัน’ วันนั้นที่โกกิลายิ้มออกมาทั้งน้ำตาด้วยความตื้นตันใจ

โกกิลากลับมาใช้ทุนเป็นอาจารย์สอนที่คณะเศรษฐศาสตร์ย่านท่าพระจันทร์ ความรักงานวิชาการทำให้เธอมีความสุขกับการหาความรู้ใหม่ๆ มาป้อนให้ลูกศิษย์ ‘อาจารย์เหว่า’ จึงเป็นอาจารย์ที่นักศึกษารัก รวมทั้งอาจารย์ผู้ใหญ่ที่ให้การสนับสนุนทำให้เธอดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาในเวลาไม่นาน และมีงานเสวนาที่มักจะเชิญเธอไปเป็นวิทยากรอยู่บ่อยๆ

แน่นอนว่าปรากฏการณ์เหล่านี้อยู่ในสายตาของธนเทพที่วนเวียนกับตำแหน่งผู้บริหารองค์ใหญ่ๆ ทั้งภาคธุรกิจและสถาบันอิสระ ด้วยดีกรีปริญญาเอกและคำนำหน้าว่า’ดอกเตอร์’ การรู้จักเข้าหาผู้ใหญ่ ใช้สินบน ปากหวาน ถึงจะบริหารงานไม่ได้เลอเลิศ แต่แนวทางการทำงานของเขาก็คือการสร้างความนิยมอย่างสุดขั้วในหมู่ผู้ใต้บังคับบัญชา และพอเห็นว่าสถานการณ์องค์กรเริ่มดิ่งลง เขาก็จะผละออกไปหาที่เกาะแห่งใหม่ทันที

การสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์เป็นความสามารถเดียวที่เขามี จึงพยายามสอดส่ายเพื่อหาคนที่จะให้ผลประโยชน์ตลอดเวลา เมื่อเห็นสถานะของ รศ.ดร.โกกิลา คนรักเก่า จึงพยายามกลับมาสานสัมพันธ์กับเธอในฐานะเพื่อน

โกกิลาไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ ความเฉยชาของเธอทำให้ธนเทพห่างออกไป เธอบอกกับตัวเองว่าแม้แต่ฐานะเพี่อนของผู้ชายคนนี้ก็ยังน่ากลัว ถ้าเธอไม่มีชื่อเสียงมากพอธนเทพคงไม่สนใจ แม้แต่จะชายตามอง

กรวิกกับโกกิลารักและสนิทสนมกันมากแม้ว่าจะทะเลาะเบาะแว้งกันตามประสาพี่น้อง เพราะโกกิลาชอบยั่วแหย่น้องชาย ส่วนกรวิกเป็นคนเงียบขรึม พูดน้อยเหมือนพ่อของเขา

เมื่อรู้ว่ากรวิกต้องทำงานกับธนเทพ แม่ให้สติกับลูกชายว่า “แยกแยะให้ดีนะลูก เรื่องของเขากับพี่เหว่าและเรื่องงานเป็นคนละเรื่องกัน อย่ามีอคติ เวกจะทำงานไม่มีความสุข”

“ใช่ นายไม่ต้องไปเกลียดเค้าแทนชั้น” โกกิลาบอกน้องชาย “เพียงแต่อยากให้นายรู้จักเขาอีกด้านเท่านั้นเอง”

กรวิกอยากจะบอกพี่สาวว่าเขาไม่ได้เกลียดธนเทพที่บอกเลิกพี่สาว แต่เขาเกลียดท่าทีของผู้ชนะเมื่อธนเทพพูดถึงโกกิลาในวันที่ไปทำความรู้จักฝ่ายงานพัฒนาโครงการ

‘ผมเป็นเพื่อนที่สนิทมากกับพี่สาวของคุณ เหว่าเล่าให้ฟังบ้างหรือเปล่า’ แววตาระยิบระยับของธนเทพ และการเน้นคำว่า ‘สนิทมาก’ ทำให้กรวิกอยากจะลุกขึ้นตะบันหน้าหล่อๆ นั่นสักที

‘เราจึงไม่ใช่คนอื่นคนไกล มีอะไรคุยกันได้เสมอนะ เต็มที่เลย พี่สาวคุณเป็นคนเก่ง คุณก็เหมือนกันดูผลงานที่ผ่านมา ผมดีใจที่ได้ทำงานกับคุณ’ กรวิกมองท่าทีเป็นกันเองนั้นอย่างประเมินความจริงใจ แล้วตอบไปว่า

‘ขอบคุณครับ ผอก. มีอะไรชี้แนะพวกเราได้เลย สรุปรายงานที่ผมส่งไป มีอะไรที่ต้องปรับปรุงไหมครับ’

‘ยังไม่มีอะไรครับ ผมคิดว่าเราคงต้องค่อยๆ เรียนรู้กันไป งานของคุณถือว่าเป็นงานหลักของภารกิจสถาบันเราเลยนะ’ คำตอบที่ผู้บริหารหนุ่มกล่าว ทำให้กรวิกคิดอยู่ในใจว่า ท่าจะยังไม่ได้หยิบรายงานมาอ่านด้วยซ้ำมั้ง

กรวิกไม่ได้เล่าเรื่องที่ธนเทพพาดพิงความสนิทสนมให้พี่สาวฟัง เขารู้ว่าแม้ดูเหมือนโกกิลาจะกลับมาเข้มแข็ง แต่แผลในใจของเธอก็ยังไม่หายดี เมื่อธนเทพกล่าวว่าอยากไปเยี่ยมโกกิลาและครอบครัวของเขาบ้าง กรวิกตอบไปอย่างไม่ลังเลว่า

‘ยินดีครับ แต่พี่เหว่าไม่ค่อยอยู่บ้านหรอก กิจกรรมเขาเยอะ มีคนเชิญเขาไปพูดหลายเวทีมาก ไหนจะงานที่มหาวิทยาลัยอีก’

บ้านของกรวิกและโกกิลาเป็นแหล่งรวมเพื่อนฝูงของทั้งคู่ เพราะแม่ใจดี ชอบทำอาหาร พ่อที่แม้จะไม่ช่างพูด แต่ก็มีความสุขทุกครั้งที่พาเพื่อนๆ ของลูกชมสวนกล้วยไม้ ลงมือทำโต๊ะไม้แบบเก๋ๆ ขนาดสิบคนนั่งไว้หน้าบ้านใต้ร่มไม้ครึ้ม เป็นที่กินข้าว มีเตาย่างกลางแจ้ง และโต๊ะตั้งอาหารขนาดใหญ่ ทั้งพี่สาวน้องชายต่างรู้จักเพื่อนของกันและกันเป็นอย่างดี

‘จะไปทำไมวะร้านอาหาร ไปบ้านไอ้เวกดีกว่าเยอะ หาอะไรหิ้วไปคนละอย่าง แล้วไปกินฝีมือแม่ก็เปรมแล้ว อย่างมัสมั่นเนื้อ พูดแล้วน้ำลายหก กินที่ไหนก็สู้ฝีมือแม่ไม่ได้ จะนั่งแช่นานแค่ไหนก็ได้ตั้งแต่เที่ยงจนค่ำ’ เพื่อนกรวิกคนหนึ่งบอก

ทีมงานของสถาบันพัฒนาความยั่งยืนแห่งชาติหลายคนเคยมาสังสรรค์กันที่นี่เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะทีมฝ่ายงานพัฒนาโครงการ กรวิกชวนมาคุยเรื่องงานแบบไม่เป็นทางการบ่อยๆ

แต่วันที่ชายหนุ่มแอบดีใจที่สุดก็คือวันที่ละอองดาวตามโจลูกน้องของเขามาและหลอกล่อตองนวลมาด้วย

ละอองดาวมักตามโจมาบ่อยๆ และแอบเชียร์เขากับลูกพี่คนสวย จึงรู้เห็นเป็นใจแกล้งชวนตองนวลมาธุระ แล้วแวะมาที่บ้านกรวิก

แม้หญิงสาวจะออกตัวว่าอยู่ได้ไม่นานเพราะมี ‘ธุระ’ ไปทำต่อ แต่เรือนกล้วยไม้ของพ่อก็ทำให้หญิงสาวที่เขาแอบหมายปองอยู่ได้นานกว่าที่บอกเอาไว้

นับแต่นั้นชายหนุ่มมักจะขอกล้วยไม้งามของพ่อไปฝากให้หญิงสาว แต่ก็ไม่กล้าให้โดยตรง จึงต้องฝากละอองดาวเป็นสื่อกลาง ความช่างเล่าของละอองดาวทำให้กรวิกรู้จักตองนวลอย่างละเอียดลออ และยิ่งรู้สึกต้องใจมากขึ้นจากพื้นเพที่ใกล้เคียงกัน

‘บ้านพี่ตองก็คล้ายบ้านพี่เวกนะ ร่มรื่นแบบนี้เลย อยู่แถวอัมพวา ริมแม่น้ำ คุณยายพี่ตองทำกับข้าวโบราณอร่อยมาก พ่อกับแม่พี่ตองก็ใจดี๊ใจดี พ่อเคยเป็นอาจารย์สอนคณิตศาสตร์ในโรงเรียนมัธยม เมื่อก่อนแม่ทำขนมหวานขายในตลาดคนติดกันตรึม ตอนนี้ทำส่งแค่สองสามอย่างแก้เหงา พี่ตองเป็นลูกสาวคนเดียว กลับบ้านทุกวันศุกร์ วันจันทร์ต้องมีของอร่อยกลับมาทุกทีทั้งขนมทั้งกับข้าวฝีมือคุณยาย’

แม้หัวใจจะถลำลึกลงไปทุกวัน แต่กรวิกยังไม่กล้าที่จะออกตัวกับความรู้สึกที่มีต่อหญิงสาวจนแล้วจนรอด ได้แต่เฝ้ามองอยู่ห่างๆ โชคดีที่งานสื่อสารองค์กรต้องเขียนข่าว บทความเกี่ยวกับงานโครงการตลอดเวลาเพื่อสร้างความเข้าใจและสร้างภาพลักษณ์ต่อสังคม ทำให้งานของฝ่ายพัฒนาโครงการของเขาทำงานใกล้ชิดกับส่วนสื่อสารองค์กรไปโดยปริยาย

หลายครั้งที่ตองนวล ในฐานะหัวหน้าส่วนงานมาขอข้อมูลและขอให้เขาอธิบายรายละเอียดเพื่อที่เธอจะนำไปสื่อสารกับสังคมให้ชัดเจนขึ้น เมื่อหญิงสาวก้าวเข้ามาในห้องครั้งใด กรวิกรู้สึกหัวใจเต้นแรงทุกครั้ง แต่เขาก็ไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ แม้แต่การเอากล้วยไม้ของพ่อไปให้เธอก็ยังไม่กล้า ได้แต่ส่งผ่านละอองดาวไป

‘กล้วยไม้มันออกดอกเยอะ พ่อเลยตัดมาให้เอาไปแบ่งกัน’ ทั้งๆ ที่เขาเลือกสรรช่อที่งามที่สุดทุกครั้ง ละอองดาวจึงพูดแหย่เขาว่า

‘อุ๊ย ไม่รู้นะนี่ว่าพี่เวกแอบชอบหนู เอากล้วยไม้มาฝากบ่อยเลย เอาเหอะ จะแบ่งไปให้พี่ตองประดับโต๊ะบ้างก็แล้วกัน’

‘เออ แบ่งๆ กันไป ใครชอบก็เอาไป’ กรวิกมักจะตอบแก้ขวยทำนองนี้

ท่าทีของตองนวลเองนั้นก็ชื่นชม นับถือการทำงานของกรวิกมากเช่นกัน เธอมักจะขอความคิดเห็นในการเขียนบทความลงสื่อของเธอบ่อยๆ เขาชอบประกายตาสุกใสที่จ้องมองมาเมื่อฟังเขาอธิบายเรื่องงาน

ตองนวลเป็นหญิงสาวสมัยใหม่ มั่นใจในตนเองมากพอที่จะไม่ปิดกั้นความรู้สึกใดๆ เธอมีฝีมือในการทำสื่อหลายประเภท มีประเด็นที่ดีในการนำเสนอข่าว มีเครือข่ายสื่อมวลชนทั้งที่เรียนมาด้วยกันและพบปะกันในงาน

ตองนวลเรียนจบจากคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยแถวท่าพระจันทร์ เป็นนักกิจกรรมตัวยงเช่นเดียวกับกรวิก เธอเป็นคนหนึ่งที่มีความศรัทธาในงานที่เธอทำ และนั่นเองที่กรวิกรู้สึกได้ว่าทั้งเธอและเขามีหัวใจเดียวกัน

บ่อยครั้งที่ตองนวลขอติดตามลงพื้นที่ แม้ว่าจะเป็นวันเสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพราะงานพัฒนาโครงการของกรวิกต้องพบปะกับคนในชุมชน เวลาทำงานของกรวิกก็ต้องเป็นเวลาที่พวกเขาว่างจากงานพอที่จะมีเวลาพูดคุยกันได้ ตองนวลพาเอาความมีชีวิตชีวา ความเอาใจใส่ต่อปัญหาของคนในชุมชนช่วยสร้างความสนิทสนม ไว้วางใจให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

แม้จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกันบ่อยครั้งทั้งในที่ทำงาน และในพื้นที่ ชายหนุ่มก็ยังไม่กล้าที่จะก้าวไปอีกขั้นอย่างที่ใจต้องการ เพราะเขาคิดว่าผู้ชายรูปร่างหน้าตาธรรมดา ฐานะไม่ได้ร่ำรวยอย่างเขา แถมยังไม่ช่างพูดช่างคุย ไม่น่าจะอยู่ในสายตาของผู้หญิงสวย เฉลียวฉลาด เพียบพร้อมอย่างตองนวล

กรวิกไม่รู้เลยว่าเขาสร้างความรำคาญให้กองเชียร์อย่างละอองดาวกับแก๊งเพื่อนสนิทอย่างมากมาย

‘กูโคตรรำคาญพระเอกของเราจังเลยว่ะ ประเภทคุณชายกลางบ้านทรายทองจริงจริ๊ง ป่านนี้แล้วยังเดินวนอยู่ได้ จะพูดอะไรก็ไม่พูด’ ละอองดาวบ่นกับรัศมีหรือมีมี่เมื่อนั่งกินส้มตำกันสองคน

‘มึงคิดดูนะอีมี่ พี่ตองขึ้นไปคุยออกจะบ่อย ตามไปลงพื้นที่วันหยุดอีก ถึงจะเป็นเรื่องงานก็เหอะ เป็นผู้ชายอื่นเค้าคงคุกเข่าขอแต่งงานเรียบร้อยแล้ว นี่อาไร้ พูดแต่เรื่องงาน บางทีนะพี่เค้าขึ้นไปคุยตอนก่อนเที่ยง ถ้ากูไปด้วย พี่แกก็ชวนไปเลี้ยงข้าว แต่ถ้ากูไม่ไป คุณชายก็ไม่เคยเอ่ยปากชวนนางเอกไปกินข้าวด้วยสักหน ตลกมั้ยล่ะ’

‘แล้วพี่มึงเค้าชอบพระเอกของมึงมั้ยอะ’” มีมี่ตั้งคำถาม

‘กูว่าถ้าพี่เวกเค้ากล้าก้าวเข้ามาอีกนิด พี่เค้าก็โอเคนะ ดูเค้าออกจะชื่นชมพระเอกของเราอยู่หรอก’ ละอองดาวคาดคะเน

‘แล้วตอนที่มึงเอากล้วยไม้ไปให้พี่เค้า มึงช่วยทำคะแนนให้พี่เวกเค้ามั่งปะ’ มีมี่สงสัย

‘แหมกูจะไปกล้าออกตัวแรงได้ไง เจ้าตัวเค้ายังหุบปากเป็นหอยกาบอยู่อะ’ ละอองดาวทำท่าเซ็งสุดขีด

 



Don`t copy text!