หัวใจอเวจี บทที่ 5 : บ้านหนองกระทิง

หัวใจอเวจี บทที่ 5 : บ้านหนองกระทิง

โดย : แสงสูรย์

Loading

หัวใจอเวจี หนึ่งในนวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 2 โดย แสงสูรย์ กับการต่อสู้ของ ‘ตองนวล’ หญิงสาวที่ลุกขึ้นสู้กับอิทธิพลมืดเพื่อชุมชนที่เธอรัก โดยมีเขาคนนั้นเคียงข้าง ตองนวลก็จะฝ่าฟันอุปสรรคทั้งหลายไปได้ไหม มาลุ้นกันในนวนิยายออนไลน์เรื่องนี้ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้เพลิดเพลินในเรื่องราวผ่านทุกตัวอักษร

“ผู้ใหญ่มีความเห็นว่ายังไงครับ ถ้าเราจะเริ่มต้นแบบนี้” กรวิกถามความคิดเห็นชายชราวัย 70 ที่คนในหมู่บ้านหนองกระทิงเรียกว่าผู้ใหญ่เด่น ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่กลางวงคนหลายวัยที่มาประชุมกันกลางนอกชานบ้านของแกเอง

ชายชราผมยังคงดกหนาแม้จะเป็นสีดอกเลาไปทั้งศีรษะ คิ้วเข้ม โหนกแก้มสูงกรามใหญ่ ดวงตาสีเหล็กอ่อนโยนด้วยความเมตตาผู้นี้เป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านที่เกษียณอายุมาสิบกว่าปี แต่ก็ยังเป็นผู้ใหญ่เด่นที่ทุกคนให้ความเคารพ รวมทั้งผู้ใหญ่ชัย ผู้ใหญ่บ้านวัยหนุ่มคนใหม่ซึ่งเป็นหลานห่างๆ

“ก็ต้องลองดูนะ มันคาดเดายาก” ผู้อาวุโสตอบ “เริ่มจากปัญหาเร่งด่วนที่สุดก็น่าจะดี”

“พี่เกริกช่วยลำดับปัญหาที่รวบรวมมาอีกทีได้ไหมครับ” ชายหนุ่มวัย 30 หน้าตามีละม้ายผู้ใหญ่เด่นหันไปทางเกริกเกียรติ เดชาเป็นลูกชายคนเล็กในจำนวนสามคนของผู้ใหญ่เด่น จบวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำงานบริษัทน้ำมันอยู่ที่กรุงเทพฯ หลายปี การลงพื้นที่เก็บข้อมูลของ

เกริกเกียรติทำให้รู้จักกับเดชา เมื่อได้พูดคุยกันเดชาแสดงความสนใจในโครงการต้นกล้าแม่ยม ด้วยความรักในบ้านเกิด และมีความมุ่งมั่นที่แฝงเร้นอยู่ในใจตั้งแต่วัยเด็กที่ได้เห็นพ่อของตนทำหน้าที่ผู้ใหญ่บ้านดูแลทุกข์สุขให้คนในชุมชน เดชาจึงตัดสินใจมาเข้าร่วมโครงการต้นกล้าแม่ยม

กลุ่มคนที่นั่งล้อมวงอยู่สิบกว่าคนนอกจากกรวิกและเกริกเกียรติก็คือแกนนำในหมู่บ้านที่ผู้ใหญ่ชัยชวนมาร่วมพูดคุย มีป้าบุญช่วย หัวหน้าอาสาสมัครสาธารณสุขหรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า อสม.กับป้าลำไย สมาชิก อสม. ปู่ทองเจ้าของวงปี่พาทย์ ครูสอนดนตรีไทยในหมู่บ้านวัย 80 ญาติผู้พี่ของผู้ใหญ่เด่น ลุงโก๋ มัคนายกวัดหนองกระทิง และบรรดาแกนนำของคุ้มบ้านในชุมชนอีกหลายคน

อากาศยามค่ำเย็นสบาย แสงนีออนรอบชานบ้านช่วยขับความมืดในคืนเดือนแรม ก่อนการพูดคุยเจ้าบ้านตั้งสำรับอาหารง่ายๆ ให้ทุกคนกินด้วยกัน มีน้ำพริกปลาร้าสารพัดผักพื้นบ้านลวกมากะละมังใหญ่ แกงจืดฟักกับไก่ ปลานิลทอดที่ได้จากบ่อเลี้ยงในบ้าน ป้าบุญช่วยแกงป่าไก่มาสมทบหม้อใหญ่ ปู่ทองเอาผัดเผ็ดกระท้อนกับกบฝีมือย่าสายเมียรักมาร่วมสำรับ ทำให้อาหารมื้อนั้นเอร็ดอร่อยทั้งรสอาหารและการพูดคุยหยอกเย้ากันอย่างสนิทสนม

วงสนทนาอย่างเป็นทางการเริ่มขึ้นเมื่อสำรับกับข้าวจัดเก็บไปเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เกริกเกียรติจะตอบคำถาม สาวงาม 2 คนก็ช่วยกันยกถาดขนาดใหญ่ที่มีขนมถ้วยเล็กๆ รายเรียงเข้ามา

“กระท้อนลอยแก้วจ้ะ ล้างคาวปาก” เสียงหวานของสาวผิวผ่อง ใบหน้าหวานละมุน ซึ่งเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่เดชาอยากกลับมาพัฒนาบ้านเกิดเพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคง ครูประภากรหรือครูปุ้มลูกหลานบ้านหนองกระทิงที่เติบโตมาด้วยกัน

ความรักของหนุ่มสาวสองคู่เริ่มที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอ รุ่นพี่มอสามสองคนคือเดชากับเชิดศักดิ์เพื่อนรัก ตามเฝ้ารุ่นน้องสาวน้อยน่ารักที่เป็นเพื่อนคู่หู ชั้นมอหนึ่ง เดชากับประภากร เชิดศักดิ์กับงามตา แม้เป็นรักที่เริ่มต้นในวัยเรียน แต่ทั้งสองคู่ก็ไม่ได้ทำอะไรที่เกินเลย นอกจากคอยช่วยเหลือ ดูแลซึ่งกันและกัน ตามประสาคนบ้านเดียวกัน เมื่อต้องแยกย้ายกันไปเรียนต่างที่สถาบันตามเส้นทางของแต่ละคน ความสัมพันธ์ยังคงแนบแน่น ประภากรไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลย์สงคราม จังหวัดพิษณุโลก กลับมาสอบบรรจุเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนบ้านหนองกระทิง เป็นครูปุ้มขวัญใจของนักเรียนและพ่อแม่ผู้ปกครอง ไม่ใช่แค่ความเป็นครูสาวสวยแต่เพราะความมีน้ำใจงาม ความเอาใส่ใจต่อนักเรียนทั้งการสอนและการดูแลทุกข์สุข

งามตาเพื่อนรักของครูปุ้มจบคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร กลับมาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่อนามัยของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ส่วนเชิดศักดิ์ไปเรียนสายอาชีพเพราะฐานะทางบ้านไม่ดีนัก จบ ปวส.ด้านไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ที่วิทยาลัยเทคนิคพิษณุโลก ด้วยความเป็นคนขยัน รักการเรียนรู้จึงได้ทำงานในบริษัทใหญ่สัญชาติญี่ปุ่นในกรุงเทพฯ มีตำแหน่งเป็นหัวหน้างาน ได้เงินเดือนดี เมื่อเดชาเล่าถึงโครงการต้นกล้าแม่ยม และการตัดสินใจลาออกจากงานมาพัฒนาบ้านเกิด เชิดศักดิ์ก็ลาออกจากงานมาล่มหัวจมท้ายกับเพื่อนรักอย่างไม่ลังเลเช่นกัน

ครูประภากรและงามตาช่วยกันยกกระท้อนลอยแก้วแจกจ่ายไปทั่ววง

“เชิดมันจะกลับมาวันไหนล่ะตา” เดชาถามถึงเพื่อนรัก แฟนหนุ่มของงามตา

“เห็นว่าอาทิตย์หน้าจ้ะ ต้องเคลียร์งานก่อน” งามตาหันไปตอบ

นอกจากนั้นเชิดศักดิ์ เดชายังชักชวนจันทร์งาม เพื่อนสาวรุ่นเดียวกันด้วย ทำให้แกนหลักของกลุ่มต้นกล้าแม่ยม มี 3 คนด้วยกัน อีกคนหนึ่งคือณรงค์ หลานชายปู่ทองซึ่งขอเพียงเป็นตัวช่วยอยู่ภายนอก เพราะยังรักงานที่ทำอยู่ในกรุงเทพฯ ส่วนจันทร์งามอยู่ระหว่างการเคลียร์งานก่อนลาออกมาเช่นกัน จึงไม่ได้มาร่วมประชุมวันนี้

“ครูปุ้มกับน้องตามานั่งคุยกันเถอะครับ จะได้ช่วยให้ความคิดเห็นด้วย” กรวิกชวนสองสาว

ก่อนหน้าที่จะลงพื้นที่ เกริกเกียรติเคยวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บจากพื้นที่ให้กรวิกฟังว่า

“ที่หมู่บ้านหนองกระทิง มีกลุ่มหนุ่มสาวลูกหลานคนในชุมชนมีโอกาสทางการศึกษาค่อนข้างดี แม้ว่าจะเป็นส่วนน้อย แต่ก็เป็นลูกหลานของผู้อาวุโสซึ่งเป็นที่นับถือ คนกลุ่มนี้แหละที่จะเป็นต้นแบบของกลุ่มต้นกล้าของเรา”

กรวิกมีโอกาสพูดคุยกับเดชาและเชิดศักดิ์ ทำให้เขามีความหวังกับพลังคนรุ่นใหม่ของบ้านหนองกระทิงเต็มหัวใจ เห็นความมุ่งมั่นของสองหนุ่มที่ยอมละทิ้งความก้าวหน้าลงมาพัฒนาบ้านเกิด รวมทั้งจันทร์งาม ที่แม้ยังไม่ได้พบกัน แต่เขาก็นับถือความเด็ดเดี่ยวของเธอที่ตัดสินใจมาทำงานนี้

เกริกเกียรติเริ่มการประชุมด้วยการตอบคำถามของเดชาให้ที่ประชุมฟัง “ปัญหาใหญ่ๆ ที่ผมรวบรวมมาทั้งหมดมีสี่เรื่องครับ” ชายหนุ่มอธิบายช้าๆ

“เรื่องที่หนึ่งคือการลักขโมย สอง ยาเสพติดซึ่งน่าจะเชื่อมโยงกับเรื่องแรก สาม ปัญหาหนี้สินเป็นเรื่องที่น่าตกใจว่าหนี้สินของคนในหมู่บ้านนี้รวมกันเกือบ 20 ล้าน นี่ผมสำรวจอย่างไม่ละเอียดเท่าไหร่นะครับ เพราะว่าส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ข้อมูลทั้งหมด ปัญหาสุดท้ายคือความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ลุ่มน้ำยมเริ่มแห้งขอดในหน้าแล้งมากขึ้น ถ้าไม่มีการบริหารจัดการที่ดีจะไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตรอย่างทั่วถึง และน้ำก็เริ่มสกปรกมากขึ้นด้วย”

“ผมเห็นด้วยกับพี่เวกนะครับว่าเราจะเริ่มที่สองปัญหาแรกก่อน” เดชาพูดกับที่ประชุม “ก่อนหน้าที่ผมจะกลับมา ผมกับเชิดได้พูดคุยเรื่องการพัฒนาหมู่บ้านเรามาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว พี่เวกและพี่เกริกพาผมกับเชิดไปคุยกับผู้ใหญ่บ้านท่านหนึ่งที่สามร้อยยอด จังหวัดประจวบ ท่านก็เจอปัญหาคล้ายกับเรา แล้วท่านก็แก้ปัญหาได้ตั้งแต่เรื่องลักขโมย ยาเสพติด ภูเขาหัวโล้นบริเวณหมู่บ้านก็คืนสภาพเป็นป่าสมบูรณ์ แก้ปัญหาหนี้สินได้ มีกลุ่มออมทรัพย์เงินทุนหมุนเวียนเป็นสิบล้าน มีสวัสดิการให้สมาชิก ผมอยากเห็นบ้านหนองกระทิงของเราเป็นอย่างนั้น”

เสียงฮือฮาดังขึ้นในที่ประชุมทันทีที่เดชาพูดจบ

“อาก็อยากเห็น จะทำยังไงว่ามาเลย อาเต็มที่” ผู้ใหญ่ชัยสบตาเดชา “เดชกับเพื่อนนำหน้าเลย พวกเราจะหนุนหลังเต็มที่”

“ไม่ใช่ครับ อากับลุงป้าทุกท่านในที่นี้นั่นแหละนำหน้า พวกผมเป็นทัพหลัง เพราะเป็นเด็ก ไม่มีใครเชื่อฟัง ทุกท่านมีแต่คนนับถือกราบไหว้จะต้องเป็นผู้นำทำให้หมู่บ้านของเราร่มเย็นเป็นสุขเหมือนครั้งที่ปู่ย่าตายายของเราอยู่กันมา” เดชาทำความเข้าใจกับผู้อาวุโส แล้วกล่าวต่อไปว่า

“พวกผมที่กลับมาก็อยากมาดูแลพ่อแม่ และทำให้ลูกหลานของเรามีงานมีอาชีพอยู่ในบ้านเรา ไม่ต้องไปทำงานไกลบ้าน ทิ้งพ่อแม่แม่เฒ่าอยู่กันตามลำพังอย่างทุกวันนี้” เสียงฮือฮาพยักพเยิดอย่างเห็นด้วยดังขึ้นรอบวงกลางลานบ้านอีกครั้ง

“ผมเห็นด้วยที่เรื่องจัดการยาเสพติดกับบ่อนการพนันก่อน” ผู้ใหญ่ชัยพูดขึ้น “สารวัตรประกิต เพื่อนผมเคยพูดเรื่องนี้ว่าถ้าปล่อยไปก็เหมือนไฟลามทุ่ง ลูกหลานของเราจะเสียคนหมด ถ้าเราช่วยกัน เขาก็เต็มที่”

“ดีเลยครับอาชัย ที่สามร้อยยอดก็ได้ความร่วมมือของตำรวจนี่แหละครับ จึงจัดการได้เด็ดขาด” เดชายิ้มอย่างยินดี

บ่ายวันอาทิตย์ เดชาไปนั่งเล่นที่แคร่ไม้ไผ่ใต้ร่มไม้หน้าบ้านคนรักอย่างเคย ชายหนุ่มมองดูหญิงสาวบรรจงแกะส้มโอ ใช้มีดแซะเยื่อหุ้มผิวส้มอย่างเบามือจนได้กลีบส้มอิ่มน้ำเรียบงามไม่เว้าแหว่ง วางซ้อนทีละกลีบลงไปในเปลือกส้มที่ผ่าซีกซึ่งขูดเยื่อสีขาวจนหมดจด

พอเขาเอื้อมมือจะหยิบส้มมากิน ก็ถูกตีมือเพียะทันที

“ลูกนี้จะฝากไปให้ลุงเด่นกับป้าที่บ้าน ห้ามหยิบ โน่นกินที่กลีบมันแตกสิ” หญิงสาวแกล้งทำหน้าดุ

“โห ลำเอียงจัง พ่อกับแม่ปลื้มว่าที่ลูกสะใภ้แย่แล้ว ชมไม่ขาดปาก” ชายหนุ่มแหย่ หญิงสาวมองค้อน ผิวผ่องนวลแดงเรื่อ ขวยเขิน

“เป็นยังไงบ้างพี่เดช ที่ตามอาชัยไปพูดคุยกันตามกลุ่มย่อย ไปคุยกันครบ 4 หมู่หรือยัง เขายินดีร่วมมือไหม”

หญิงสาวเปลี่ยนเรื่อง ถามถึงงานแรกที่กลุ่มต้นกล้าและผู้นำจะเริ่มกัน นั่นคือการแก้ปัญหาลักขโมยและยาเสพติด

“ก็โอเคนะ พี่ว่าฟังเสียงดูก็เห็นด้วย เพราะทุกคนก็ไม่อยากอยู่ในสภาพแบบนี้ ที่สำคัญวิธีการ ‘ตาข่ายสังคม’ ของเรา ไม่ได้ให้เขาเสี่ยง แค่สอดส่องว่าลูกหลานบ้านไหนเสพยา หรือมีการซื้อขายกันที่ไหน บอกมา เราจะไปจัดการเอง โชคดีที่อาชัยมีเพื่อนเป็นสารวัตรพื้นที่ของเรา แกรับปากจะช่วยเต็มที่”

เดชาตอบคำถามคนรัก แล้วกล่าวว่า “สำหรับเด็กวัยรุ่นที่ติดยา เราขอร้องไม่ให้ใครไปซ้ำเติม ดุด่าเขา แต่เราจะค่อยๆ ดึงมาทำกิจกรรมดีๆ ว่าจะเริ่มจากปรับปรุงสนามบอลข้างโรงเรียนปุ้มให้เขาออกกำลังกัน เชิดมันจะหาโคชเก่งๆ มาสอนเลย”

“ดีจัง” หญิงสาวยิ้มแย้ม “ส่วนใหญ่เด็กพวกนี้เขาไปหายาเสพติดเพราะไม่มีทางออก ปุ้มเคยอ่านเจอหลายคนพอกลับมาได้แล้ว เป็นคนเก่งมากเลย”

“พี่ก็เชื่ออย่างนั้น เราจะสร้างให้พวกเขาเป็นกลุ่มต้นกล้ารุ่นต่อไป” แววตาสีเหล็กของชายหนุ่มฉายความเชื่อมั่น

“ที่ดินตรงนั้นพ่อเจรจาขอซื้อจากป้าลำดวลแล้ว มีทั้งหมด 5 ไร่ พอรู้ว่าจะเอาไปทำสนามบอลให้

เด็ก ป้าแกขายให้ถูกๆ เลย เพราะที่ดินแกเยอะ พอพ่อบอกว่าจะติดป้ายประกาศให้แกว่าเป็นผู้บริจาคที่ดินด้วย แกยกให้ฟรีเลย” ชายหนุ่มหัวเราะ ขำผู้เป็นป้าของเขา ซึ่งชอบการมีหน้ามีตาในสังคม

เนื่องจากรุ่นทวดเป็นกลุ่มที่มาบุกเบิกทำกินแถวนี้ จึงมีที่ดินผืนใหญ่ คนในหมู่บ้านสืบสาวไปก็

ล้วนมีสายสัมพันธ์เป็นเครือญาติกัน นอกจากนั้นก็มีกลุ่มอพยพเข้ามาใหม่เมื่อสามสิบปีที่ผ่านมา ซึ่งจะมีที่ดินน้อยมาก และกลายเป็นผู้เช่าที่ดิน นางลำดวนเป็นพี่สาวคนโตของผู้ใหญ่เด่นนอกจากมรดกที่ได้แบ่งกันไปในระหว่างสี่พี่น้องท้องเดียวกัน ยังไปได้สามีที่เป็นคนขยัน กว้านซื้อที่ดินทีละแปลงสองแปลงเก็บไว้ จนมีที่ดินหลายแปลงในครอบครอง

ชายหนุ่มเล่าให้คนรักฟังต่อไปว่า “ต่อไปเราจะขอบริจาคเงินตามกำลังมาทำเป็นสนามบอลแบบมาตรฐาน เด็กๆ จะได้รู้สึกอยากมาเล่น จะทำห้องน้ำสัก 5 ห้อง พี่เวกบอกว่าให้เขียนโครงการนำเสนอขอใช้งบได้ด้วย”

“จริงๆ แล้วเราก็รู้อยู่เนอะพี่เดชว่าใครขายยาในบ้านเรา แต่ไม่มีใครจัดการ” ครูสาวรำพึง

“ใช่ เรามักจะคิดว่าไม่ใช่เรื่องของเรา จนในที่สุดปัญหาบานปลาย ปัญหายาเสพติดมีทุกหัวระแหงในประเทศนี้แหละ ถ้าแต่ละบ้านช่วยกันจัดการไปทีละจุดเล็กๆ พี่เชื่อนะว่ามันจะดีขึ้น อย่าไปหวังการแก้ปัญหาระดับประเทศเลย หรือระดับจังหวัดก็ยังแก้ยาก ถ้าเราอยากอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ก็ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ” ชายหนุ่มเล่าสิ่งที่เขาคิด รวบมือเรียวงามมากุมไว้ “พี่อยากให้ลูกของเราเติบโตมาในสังคมที่ดี”

หญิงสาวแกล้งหยิกมือชายหนุ่ม พลางค้อนคม แล้วเปลี่ยนเรื่องถามว่า“คุณตองนวลกับลูกน้อง เจ้าหน้าที่สถาบันจะมาถึงวันมะรืนใช่ไหม ปุ้มจัดห้องไว้ให้แล้ว” หญิงสาวบอกคนรัก

บ้านของหญิงสาวจัดได้ว่าเป็นคนมีฐานะของหมู่บ้าน ปลูกเป็นเรือนไม้สักทั้งหลังแบบทางเหนือเพราะพ่อเป็นหนุ่มเมืองแพร่มาเป็นเกษตรอำเภอ พบรักกับสาวบ้านหนองกระทิง ครูประภากรจึงมีผิวขาวนวลแบบสาวเหนือ บ้านครูประภากรเป็นเรือนแฝดติดกัน 2 หลัง ตัวเรือนยกใต้ถุนสูง หลังคาทรงจั่ว แต่ละเรือนแบ่งเป็นสองห้องนอน ครูประภากรนอนอยู่เรือนเดียวกับพ่อแม่ เรือนอีกหลังเป็นของน้องชายซึ่งทำงานอยู่กรุงเทพฯ ซึ่งปิดไว้ไม่ได้ใช้งาน มีครัวแยกออกต่างหากอีกหลังหนึ่งมีขนาดเล็กกว่าเรือนนอน ทำห้องน้ำและห้องอาบน้ำไว้ข้างห้องครัว เชื่อมเรือนทุกหลังด้วยชานบ้าน เป็นส่วนที่กึ่งเปิดโล่ง ใช้เป็นที่นั่งเล่น รับแขก พักผ่อน ระเบียงนี้ยาวเลยไปถึงหน้าห้องครัว จึงใช้เป็นที่รับประทานอาหารร่วมกันด้วย

ครูประภากรจัดห้องที่ว่างอยู่ในเรือนของน้องชายไว้ให้ตองนวลกับลูกน้อง กรวิกกับเกริกเกียรติพักอยู่บ้านผู้ใหญ่เด่น ซึ่งเป็นเรือนไทยหลังใหญ่ที่มีเรือนหมู่เชื่อมกันถึงสี่หลัง เพราะมีลูก 3 คน แต่กลับไม่มีใครอยู่ที่บ้านเลย พี่ชายคนโตของเดชาก็ทำงานป่าไม้ที่จังหวัดในภาคอีสาน และมีครอบครัวอยู่ที่นั่น พี่สาวเป็นพยาบาลอยู่ในจังหวัดพิจิตรแต่งงานกับแพทย์ในโรงพยาบาลเดียวกัน ลงหลักปักฐานในจังหวัดพิจิตรไปแล้ว การที่เดชาตัดสินใจกลับมาอยู่บ้านก็ทำให้พ่อแม่ซึ่งแก่เฒ่าลงไปทุกวันอุ่นใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเสียดายตำแหน่งงานดีๆ ของลูกชาย

“หวังว่าคงอยู่ได้นะ” ครูสาวรำพึง

“ไม่ต้องห่วงหรอก เขาทำงานแบบนี้ต้องอยู่ง่าย กินง่ายอยู่แล้ว พี่เวกกับเกริก แม่ทำอะไรก็อร่อยไปหมด ตอนแรกเขาจะจ่ายค่าที่พัก ค่าอาหารให้นะ แต่พ่อไม่ยอมเอา ห้องก็ว่างอยู่ ข้าวปลาก็ต้องหุงหากินกันอยู่แล้ว” เดชาอธิบายให้คนรักสบายใจ

“ปุ้มก็ไม่เอาหรอกค่าที่พัก ค่าอาหารอะไรนั่น รับมาแล้วลำบากใจเปล่าๆ เพราะเราก็ทำได้เท่าที่มี ถ้ารับเงินมาก็ต้องทำให้ดีคุ้มค่าเงินของเขา เหนื่อยแย่” ครูสาวเห็นด้วย

“แล้วยังไงต่อหลังจากที่จัดการสองปัญหาแรกนี่ได้แล้ว” หญิงสาวถามอย่างสนใจ

“จัดการหนี้สิน” เดชาตอบหนักแน่น “กลุ่มออมทรัพย์เรามีอยู่แล้ว แต่สมาชิกน้อยมาก ที่ผ่านมาการจัดการไม่ดีเท่าไหร่ คนไม่ค่อยมาออม เงินหมุนเวียนน้อย เอาไปทำอะไรก็ไม่ได้” เดชาอธิบายต่อ

“จันทร์จะมารับผิดชอบงานนี้” เดชาเล่าถึงจันทร์งาม ซึ่งมีประสบการณ์ทำงานด้านการตลาดมาก่อน

“ดีจัง พี่จันทร์เป็นผู้หญิงเก่ง” ครูปุ้มฟังอย่างยินดี แล้วกล่าวต่อไปว่า “กลุ่มออมทรัพย์ตอนก่อตั้งก็คึกคักดี พอพัฒนากรถอนตัว ก็ฝ่อไปเลย เพราะยังบริหารกันไม่เป็น”

“ไอ้รงค์ก็รับปากจะกลับมาช่วยเร็วๆ นี้” เดชาหมายถึงณรงค์ หลานชายปู่ทอง ซึ่งอายุรุ่นเดียวกัน พ่อของณรงค์เป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเช่นเดียวกับแม่ จึงส่งเสียลูกชายสอง ลูกสาวหนึ่งให้เรียนอย่างเต็มที่ ทุกคนจบปริญญาตรี ทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ ณรงค์เองเรียนจบด้านการบริหารธุรกิจ ทำงานบริษัทนำเข้า ส่งออกรายใหญ่ในประเทศ เงินเดือนสูง คล่องแคล่วเฉลียวฉลาด

“กลับมาเลยเหรอจ๊ะ” ครูสาวแปลกใจ “พี่รงค์เนี่ยะนะจะกลับมาอยู่บ้านได้ ติดหรูซะขนาดนั้น” หญิงสาวนึกถึงเพื่อนรุ่นพี่ที่กลายเป็นคนกรุงเทพฯ เต็มร้อย

“ไม่หรอกแค่มาเดือนละหน มาช่วยจันทร์บริหารอีกแรง กลุ่มออมทรัพย์ต้องทำให้เป็นระบบ ทั้งสองคนมีประสบการณ์บริหารงานคงช่วยกันดูได้ จันทร์จะได้ไม่หนัก” เดชาอธิบาย แล้วเล่าให้คนรักฟังต่อไปว่า

“แต่รงค์มันจะลาพักร้อนมาวางแผนด้วยกันก่อน นอกจากจะฟื้นกลุ่มออมทรัพย์แก้หนี้สินแล้ว พี่กับเชิดจะทดลองทำการเกษตรแผนใหม่ที่เรียกว่าสมาร์ตฟาร์มด้วย จะวางระบบโซลาร์เซลแทนไฟฟ้า ปูพื้นฐานไปสู่การทำธุรกิจการเกษตรให้ชุมชน เด็กๆ ของเราจะได้มีอาชีพ ไม่ต้องไปดิ้นรนหางานในกรุงเทพ” เดชาวาดฝัน

“ตาบอกว่าพี่เชิดมีโครงการในหัวเยอะแยะไปหมด” ครูสาวสวยยิ้มเมื่อนึกถึงแฟนหนุ่มของเพื่อนรัก

“ใช่ จริงๆ แล้วเชิดเป็นเกษตรกรตัวจริงเลยนะ มันบอกว่าเสียดายพันธุ์ผลไม้พื้นบ้านที่หายไป มีแต่สายพันธ์ที่ขายอยู่ในตลาดไม่กี่สายพันธุ์ กลับมาจะรวบรวมสายพันธุ์พวกนี้อนุรักษ์ไว้ แล้วเอามาเพาะชำ ทำการตลาดแบบมีเรื่องราว น่าสนใจนะ” เดชาเล่าถึงเพื่อนรัก

“ใช่จ้ะ ตอนเด็กๆ เรามีชมพู่หลายพันธุ์มาก” หญิงสาวรำลึกความหลัง “ชมพู่นาค ชมพู่น้ำดอกไม้ ไม่เห็นอีกเลย” แล้วเปลี่ยนเรื่องถามว่า

“เห็นตาบอกว่าพี่จันทร์จะกลับมาเดือนหน้าเหมือนกัน” จันทร์งามเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับเดชา เรียนมาด้วยกัน แต่เมื่อจบการศึกษาชั้นมัธยมต้น ก็ออกจากหมู่บ้านไปหางานทำในกรุงเทพฯ เพราะฐานะทางบ้านยากจน ไม่มีที่ดินทำกิน มีน้องอีก 4 คน พ่อของจันทร์งามเป็นช่างไม้ฝีมือดี แต่ติดเหล้า จึงไม่ค่อยคนว่าจ้างเพราะมักทิ้งงาน ส่วนแม่รับจ้างทำไร่ทำสวน เก็บผักริมทางขายบ้าง รายได้จึงไม่ค่อยพอเลี้ยงดูลูก จันทร์งามเป็นเด็กเรียนดี เฉลียวฉลาด ไปทำงานโรงงานเย็บผ้าได้ไม่นานก็ได้เป็นหัวหน้างาน ความขยัน ทะเยอทะยานจึงเรียนต่อในหลักสูตรการศึกษานอกโรงเรียนจนได้ประกาศนียบัตรมัธยมปลาย สามารถเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัยเปิดจนจบปริญญาตรี

“ใช่ จันทร์ทำงานด้านการตลาด นอกจากกลุ่มออมทรัพย์ จะให้ทำธุรกิจชุมชนด้วย จันทร์เขาอยากทำธุรกิจของตัวเองนานแล้ว” เดชาเล่าให้คนรักฟัง

“พี่เค้าใจเด็ดมาเลยนะ ทิ้งเงินเดือนในกรุงเทพมา” ครูสาวพูดอย่างยกย่อง เพราะรู้ว่าฐานะที่บ้านจันทร์งามไม่ดีนัก

“ช่วงปีแรก เรามีเงินเดือนให้แกนนำที่มาช่วยทำโครงการทุกคน และถ้าสามารถทำกิจกรรมที่สร้างรายได้ ก็จะมีเปอร์เซ็นต์ให้อีก น่าจะพออยู่ได้ เงินเดือนอาจไม่มากเท่าเดิม แต่รายจ่ายน้อยลง” ชายหนุ่มอธิบายและกล่าวต่อไปว่า “พี่จะทำให้บ้านหนองกระทิงเป็นตัวอย่างชุมชนเข้มแข็งให้ได้ พี่เวกกับเกริกรับปากว่าจะเต็มที่กับเรา”

แล้วชายหนุ่มรวบมือหญิงสาวมากุมไว้ “พองานเป็นรูปเป็นร่าง แต่งงานกันซะทีนะ”

“อุ๊ย มาต่อเรื่องนี้ได้ไง งงเลย” หญิงสาวแซว หัวเราะชื่นบาน

 



Don`t copy text!