เงาไม้ใต้เงารัก บทที่ 3 : กาเหว่า
โดย : กนก ณจันทร์
เงาไม้ใต้เงารัก นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ 2 โดย กนก ณจันทร์ เมื่อ ‘บ้าน’ สถานที่ที่ควรจะอบอุ่นกลับร้อนยิ่งกว่าไฟ และความรักของนนทรีที่เคยมอบให้เธอ…ยังเหมือนเดิมไหม หรือความรักทั้งหมดไปอยู่ที่เข็มขาวเสียแล้ว มารู้คำตอบในนวนิยายออนไลน์เรื่องนี้ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้เพลิดเพลินในเรื่องราวผ่านทุกตัวอักษร
นนทรีหันมองโมกอย่างไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อน ไม่ใช่ความผิดของโมกที่รู้จักหรือมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคนพาลพวกนั้น หากจะตัดสินว่าใครเป็นคนผิดควรจะเป็นเขาที่เปิดด้วยหมัดนั้นมากกว่า
“ไม่ใช่โมกครับ ผมเป็นคนเปิดเข้าไปต่อยเองครับ” เด็กชายสารภาพ
“ผมก็เข้าไปต่อยกับเขาด้วยครับ” สนฉัตรสารภาพตามมา
“แต่พวกเราไม่ผิดนะ พวกมันเริ่มก่อน” ระย้าแก้วรีบพูดแทรก จากนั้นเด็กหญิงก็เล่าเหตุการณ์ชกต่อยอีกรอบอย่างละเอียดยิบ เน้นเรื่องที่ฝ่ายตรงข้ามเป็นเด็กอันธพาลประจำโรงเรียนให้มากๆ ตัวก็โตกว่าแล้วยังมาดึงผมเด็กตัวเล็กนิดเดียวอย่างหล่อนอีก แต่ระย้าแก้วก็ฉลาดพอที่จะเว้นเรื่องที่หล่อนกัดหูอีกฝ่ายไว้เรื่องหนึ่ง
“แล้วสรุปใครแพ้” พรรษาถามอย่างสงสัยจนปิยะต้องหันมามองเป็นเชิงปราม “ก็มันสงสัยนี่ ครูเข้ามาห้ามก่อนหรือไง”
“ครับ ครูมาห้ามก่อนแล้วก็รอผู้ปกครองมาคุย ผู้ปกครองเด็กปอหกว่าพวกเราด้วย” นนทรีเล่าต่อ เขารู้สึกไม่ชอบแม่ของเลอศักดิ์เท่าไร
“ว่ายังไง ไหนบอกน้ามาซิ” พรรษาซักต่อ
“เขาว่า…” นนทรีมองหน้าคนอื่นๆ เป็นเชิงปรึกษา เพราะเรื่องที่หญิงผู้นั้นว่าพาดพิงไปถึงพ่อแม่ของแต่ละคน หากระย้าแก้วรำคาญในความชักช้าของพี่ชายทั้งสามคน จึงชิงเล่าเสียเอง
“แก้วบอกว่าลูกยัยป้านั่นมาว่าพ่อแม่พวกเราก่อน ยัยป้าเลยบอกว่าลูกเขาพูดถูกแล้ว พ่อแม่พวกเราเป็นแบบนั้นจริงๆ” เด็กหญิงเล่าเสียงชัดแจ๋วดังกลบเสียงโทรทัศน์ที่เปิดไว้ตั้งแต่ทีแรกเสียอีก
“เขาพูดว่าอะไร” พรรษายังคงอยากรู้
“กินข้าวกันก่อนดีกว่า” ปิยะพยายามหลีกเลี่ยงตัดบทสนทนา เขาไม่ต้องการให้คำพูดบาดหูนั้นทำร้ายให้ใครไม่สบายใจ
“อย่าเพิ่งมาเบรกสิพี่ ขอฟังหลานก่อน” พรรษารู้สึกขาดตอน
ระย้าแก้วเลยฉายหนังซ้ำอีกรอบจากที่เคยเล่าให้ฟังต่อหน้าคุณครูมาแล้ว หนังสั้นของระย้าแก้วทำให้ทั้งพรรษา อีกทั้งนันทวรรณต่างตกอกตกใจเมื่อได้ยินคำพูดร้ายที่กลั่นมาจากความคิดของเด็กน้อยวัยไม่ประสา ซึ่งอาจจะรับถ่ายทอดมาจากผู้ใหญ่ผู้ดูแลอีกต่อหนึ่ง
“งั้นก็ถูกแล้ว” พรรษาตบมือฉาดใหญ่เสียงดังลั่น “อย่าไปยอมมัน ใครมันทำร้ายรังแกเรา เราต้องสู้ ไม่อย่างนั้นมันจะได้ใจแล้วเอาเปรียบเราไปเรื่อยๆ แต่เราอย่าไปรังแกใครก่อนแล้วกัน แล้วถ้าเห็นใครถูกรังแก เราก็ต้องช่วย”
“อ้าว ไม่ห้าม แต่ดันไปสนับสนุนซะอีก” ปิยะท้วงหญิงสาวข้างบ้าน “จัดการเองไม่ได้นะลูก มีเรื่องอะไรต้องไปบอกครูสิ” เขาหันมาอบรมเด็กๆ
“กว่าครูจะมาตลาดวาย” ระย้าแก้วโอดครวญ
“นี่แน่ะ ตลาดวาย” ผู้เป็นพ่อหงายหลังมือมะเหงกที่กลางกระหม่อมของเด็กหญิง “ตัวเท่าลูกแมวยังมีหน้าไปตีกับเขา”
“ก็พวกมันว่าเราก่อน” ระย้าแก้วจับศีรษะแล้วมองผู้เป็นพ่อ ที่เขาหงายหลังมือนั้นไม่เจ็บนักหรอกแต่หล่อนก็แอบเคืองไม่ได้ “ว่าทุกคน มันมาว่าแก้วเป็นลูกไม่มีแม่ด้วย พ่อ…พ่อบอกว่าแก้วมีแม่ แต่แก้วยังไม่เคยเห็นหน้าแม่เลย แม่แก้วหน้าตาเป็นยังไงเหรอ” เด็กหญิงถามแววตาใสซื่อ ดวงตากลมโตที่โดดเด่นบนใบหน้าเรียวรูปไข่ผิวแก้มฝาดแดงระเรื่อนั้นเหมือนกับจะร่ำไห้อยู่ในใจ
บนโต๊ะอาหารมีแต่บทสนทนาของผู้ใหญ่ ส่วนเด็กๆ นั้นนั่งรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ ไม่ใช่เพราะรักษามารยาท แต่เป็นเพราะเหนื่อยจนหิวมากกว่า ถึงจะหิวมากแต่ระย้าแก้วไม่ยอมแตะผัดผักที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ร้อนๆ หนำซ้ำยังเขี่ยผักที่ปนมากับกับข้าวชนิดอื่นออกจากจานของตนแล้วเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยที่ขอบจานเสียด้วย
เด็กหญิงไม่ชอบรับประทานผักตั้งแต่เด็ก ปิยะก็ตามใจเรื่อยมา แต่เมื่อเข้าโรงเรียนก็เริ่มมีปัญหา เขาจึงเริ่มกวดขันให้หล่อนรับประทานผักตั้งแต่นั้น แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไร ระย้าแก้วก็ไม่อาจทำใจให้รับประทานผักได้สักที หากตอนนี้ระย้าแก้วมีทางออกแล้วคือหาจังหวะตอนที่ไม่มีใครเห็นแล้วค่อยตักผักนั้นให้นนทรีรับประทานก็สิ้นเรื่อง
วันนี้เป็นเวรล้างจานของระย้าแก้ว แต่หล่อนไม่ต้องทำเพราะพรรษาอาสาล้างจานให้ก่อนจะกลับบ้านของตนเอง เวรล้างจานนั้นผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนสลับกันคนละวัน แต่สลับกันอย่างไรก็ไม่ทราบ เพราะแทบไม่เคยเห็นระย้าแก้วล้างจานเลย เว้นแต่ถูกปิยะเรียกตัวให้ไปทำ อย่างวันนี้ก็ถือว่าเป็นโชคดีของเด็กหญิงที่มีคนช่วยอาสาทำแทนให้
เมื่อบ้านหลังนี้มีสมาชิกเพิ่มขึ้น งานบ้านจึงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนช่วยกันทำ ระย้าแก้วจะรับหน้าที่กวาดบ้าน นนทรี สนฉัตร กับโมกนั้นจะถูบ้าน รดน้ำต้นไม้ ดูแลสวน และเป็นลูกมือช่วยนันทวรรณทำกับข้าว โดยที่สนฉัตรนั้นจะเก้ๆ กังๆ กว่าใคร เพราะบ้านเดิมของเขามีแม่บ้านมาทำงานบ้านแบบไปกลับทำงานบ้านให้ แต่เด็กชายก็พยายามปรับตัวเพื่อไม่ให้เอาเปรียบนนทรีและโมก ส่วนงานบ้านที่เหลือนั้นปิยะ และนันทวรรณเป็นคนจัดการทั้งหมด
สายลมรำเพยยามค่ำพัดมาทำให้อากาศเย็นลง ท้องฟ้าเบื้องบนเป็นสีดำนุ่มนวลราวกับกำมะหยี่ ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับพริบพราวราวกับกำลังเริงระบำ เสียงโทรทัศน์จากบ้านหลายหลังดังแว่วๆ พัดพามาตามสายลมฟังไม่เป็นเสียง ส่วนบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนหลังนี้ก็มีทั้งเสียงโทรทัศน์และเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กที่พูดคุยไม่ยอมหยุด
“อานัน ลูกนกบนต้นไม้มันบินไปรึยัง แก้วไม่ได้ยินเสียงมันหลายวันแล้ว” ระย้าแก้วเอียงคอออเซาะฉอเลาะหญิงสาวไม่เกรงใจลูกชาย
“เอ อาก็ไม่รู้สิ ไม่ได้สังเกตเลย เดี๋ยวพรุ่งนี้อาจะมองๆ ให้” นันทวรรณตอบพร้อมกับหวีผมให้เด็กหญิง
“ให้แก้วปีนไปดูได้ไหม” ระย้าแก้วหันหน้าไปสบตากับหญิงสาวด้วยแววตาเว้าวอน
“ไม่ได้ลูก เดี๋ยวแก้วตกต้นไม้” เสียงทุ้มห้าวของบิดาดังมาอีกส่วนหนึ่งของบ้าน เขากำลังนั่งดูรายการข่าวจากโทรทัศน์ แต่อีกหูก็ฟังเสียงพูดคุยของลูกสาวไปด้วย “คราวก่อนพี่นนเขาก็ตกต้นไม้เพราะไปช่วยหนู แล้วอานันก็เจ็บหนักไปอีกคน จำไม่ได้หรือ”
ปิยะเท้าความหลังย้ำเตือนความทรงจำของเด็กหญิง เหตุการณ์นี้เกิดตอนที่นันทวรรณและนนทรีย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้ช่วงแรกๆ ตอนนั้นมีนกมาทำรังจนไข่ฟักเป็นตัว ลูกนกส่งเสียงร้องเรียกหาอาหารจากแม่นกทั้งวัน วันนั้นนนทรีขออนุญาตปีนต้นไม้ขึ้นไปดู ปิยะไม่อยากให้เด็กชายปีนต้นไม้นักหรอกเกรงว่าแข้งขาจะหักไป แต่นนทรียืนยันว่าเขาปีนต้นไม้บ่อยตั้งแต่อยู่บ้านเก่า ปิยะจึงตกลงโดยเขาจะคอยดูแลอีกที
นนทรีเตรียมกระดาษดินสอสีชุดใหญ่ไปวาดรูปลูกนกในครั้งนี้ด้วย เขาชอบวาดรูประบายสีคงจะมีนิสัยศิลปินเหมือนกับแม่นั่นเอง เด็กชายปีนขึ้นไปโดยมีปิยะคอยเฝ้าระแวดระวังความปลอดภัยให้ พอดูเรียบร้อยเด็กชายก็ปีนลงมาแล้วนั่งวาดรูปของตนตามลำพังใต้ต้นไม้ โดยไม่รู้เลยว่ามีอีกสายตาหนึ่งจับจ้องมองอยู่
ระย้าแก้วแอบตามเขามา หล่อนก็อยากขึ้นไปดูลูกนกเหมือนกัน แต่ไม่มีใครอนุญาต พอเหลือแค่นนทรีที่นั่งวาดรูปใต้ต้นไม้ หล่อนก็เดินมาแล้วนั่งยองๆ ดวงตาใสของหล่อนจ้องมองหน้าเขาเหมือนกับอ้อนวอนทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่ค่อยลงรอยกัน
‘แก้วอยากปีนต้นไม้ขึ้นไปดูลูกนก’ เด็กหญิงพูดขึ้นไม่มีปี่มีขลุ่ย
เด็กชายหันมามองแล้วร้องห้ามทันที เพราะเกรงว่าหล่อนจะตกต้นไม้ หากเด็กหญิงที่ถูกสบประมาทกลับมีแรงฮึด อะไรที่เขาทำได้ หล่อนก็ต้องทำได้
ขาสั้นๆ ของหล่อนพยายามปีนกิ่งไม้ที่ต่ำที่สุด ทว่าปีนอย่างไรก็ไม่ถึง บางครั้งถึงกับล้มหงายหลังก้นจ้ำเบ้าให้นนทรีหัวเราะเยาะอีกต่างหาก เมื่อเห็นว่าหล่อนไม่มีทางปีนต้นไม้ได้แน่ๆ นนทรีก็เลิกสนใจ กลับมานั่งระบายสีต่อไปตามเดิม หากระย้าแก้วก็ยังไม่ละความพยายาม ในที่สุดมือเล็กๆ นั้นก็เหนี่ยวกิ่งไม้หนึ่งที่เตี้ยที่สุดไว้ได้ หล่อนดึงกิ่งไม้นั้นไว้แล้วยึดเป็นหลักก่อนจะเหวี่ยงโยนตัวเองให้สูงขึ้นแล้วใช้ขาเกี่ยวกับกิ่งไม้จนได้
‘เย้ ขึ้นได้แล้ว’ น้ำเสียงดีใจนั้นดังอยู่ข้างหลังนนทรี
เด็กชายลุกพรวดขึ้นทันทีก่อนจะร้องเรียกให้หล่อนลงมา หากเด็กหญิงกลับแลบลิ้นปลิ้นตาล้อเลียนแล้วปีนไปยังกิ่งไม้ที่อยู่สูงขึ้นไปอีก เด็กชายไม่รู้จะทำอย่างไร จะวิ่งไปบอกปิยะก็เกรงว่าระย้าแก้วจะตกลงมาเสียก่อนจึงจำต้องปีนตามไปดูแล อยู่เป็นเพื่อนให้หล่อนชมนกเป็นเวลาพอสมควรจึงค่อยชักชวนลงจากต้นไม้
‘ยังไม่อยากลง พี่นนน่ะดูจนเบื่อแล้วน่ะสิ ขี้งก’ เสียงแจ่มแจ๋วของเด็กหญิงว่า
‘ไม่ได้งก ก็แก้วปีนต้นไม้ไม่เก่ง เดี๋ยวตก’ เขาพูดเรื่อยๆ ไม่ได้ตั้งใจสบประมาท
‘แล้วพี่นนปีนเก่งหรือไง เป็นลิงเรอะ ไอ้ลิงขี้งก ไอ้ลิงขี้ตืด’ หล่อนโต้กลับทันควันพร้อมกับทำหน้าทำตาเหมือนลิงล้อเลียนไปมา
นนทรีชักเริ่มหงุดหงิดปนรำคาญกับเด็กดื้อปากร้ายจึงพูดว่าเข้าบ้าง ‘ก็ดีกว่าพวกนกแก้วที่ทำเป็นแต่พูดแจ้วๆ ก็แล้วกัน’
หากว่าอยู่กับพื้นระย้าแก้วคงกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความโกรธที่ถูกล้อเลียนว่าเป็นนกแก้ว แต่ขณะนี้อยู่บนต้นไม้หล่อนจึงทำเช่นนั้นไม่ได้ จึงหาวิธีอื่นโต้ตอบแทน
‘เชอะ ถ้าเป็นลิงก็อย่าตกต้นไม้ง่ายๆ แล้วกัน’ มือขาวๆ จับกิ่งไม้ด้านบนให้แน่นขึ้นก่อนจะขย่มกิ่งไม้ไปมาหวังให้อีกฝ่ายตกลงไป
นนทรีร้องเสียงหลงด้วยไม่ทันระวังตัว ร่างของเขาโคลงเคลงไปตามแรงสั่นไหวของกิ่งไม้ พร้อมกันนั้นสายตาคมสีน้ำตาลเข้มก็ปราดมองไปยังใบหน้าเด็กหญิงที่เป็นต้นเหตุทันที มือแข็งแรงพยายามจับหลักยึดให้มั่นคงกว่าเดิม ไขว่คว้า แต่ก็พลาดไป ไม่ทันเสียแล้ว
ฝูงนกที่ยืนเกาะเกี่ยวตามสายไฟฟ้าบินขึ้นพรึ่บพรั่บในวินาทีเดียวกันกับที่เสียงร้องดังลั่นไปทั่วทั้งบริเวณพร้อมๆ กันกับที่ร่างๆ หนึ่งร่วงหล่นลงมาจากกิ่งไม้
“แก้ว!” เสียงร้องตกใจสุดขีดของนันทวรรณที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้หมายจะมาตามเด็กชายหญิงให้กลับบ้านร้องขึ้น หล่อนเห็นร่างหนึ่งร่วงลงมาก่อนจะติดตามมาอีกร่างหนึ่ง “นนลูก!”
หล่อนเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่เด็กหญิงกำลังโหนโยกต้นไม้ นันทวรรณพยายามร้องเรียกให้เด็กหญิงหยุด แต่คนข้างบนคงไม่ได้ยินเพราะกำลังตะโกนโต้คารมกันอยู่พร้อมกับโยกกิ่งไม้ให้โคลงเคลง
เพียงพริบตาเท่านั้นเองระย้าแก้วก็ร่วงหล่นลงมาก่อน หญิงสาวรีบเข้าไปรองรับก่อนที่จะล้มกลิ้งลงไปด้วยกัน ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก็เห็นเด็กชายหล่นตามมา ทว่าเขาไม่ได้ตกต้นไม้เพราะการแกล้งของเด็กหญิงหรอก เกิดจากเขาปล่อยมือข้างหนึ่งพยายามเหวี่ยงตัวเองเพื่อจะไปคว้าตัวระย้าแก้วที่พลัดร่วงต่างหาก หากพลาด เด็กชายจึงพลอยตกลงมาด้วย
ร่างสองร่างของนันทวรรณและระย้าแก้วล้มกลิ้งไปด้วยกันก่อนที่จะหยุดเมื่อกระแทกชนเข้ากับต้นไม้ใกล้ๆ สองมือของหล่อนตระกองโอบกอดเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขนคุ้มครองให้ปลอดภัย นันทวรรณจึงเป็นผู้รับแรงกระแทกนั้นเข้าไปเต็มๆ เพียงผู้เดียว
“ตอนนั้นแก้วทำให้อานันเขาแขนหัก เข้าเฝือกไปเป็นเดือนๆ จำได้ไหม” ปิยะย้ำทวนความทรงจำ
ระย้าแก้วฟังอย่างนั้นก็โอบกอดนันทวรรณราวกับลูกลิงคล้ายกับจะอ้อนและขอโทษ นนทรีที่นั่งทำการบ้านอยู่ข้างๆ ก็เกิดหมั่นไส้ จึงกอดนันทวรรณเข้าอีกข้างหนึ่ง ส่งผลทำให้เด็กหญิงขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่พอใจเกิดความหวงนันทวรรณที่ถูกลูกชายแท้ๆ กอด หล่อนจึงพยายามยื่นมือผลักไสนนทรีออกไปเสีย หากแต่ผลักเท่าไร มือของนนทรีกลับยิ่งเหนียวราวกับตุ๊กแก เขาไม่ยอมปล่อยมารดาของตนออกไปโดยง่าย
“โอ๊ะๆๆ” นันทวรรณหัวเราะลั่นขำกับกิริยาของเด็กทั้งสอง “กอดอาเสียแน่นเชียว” นันทวรรณพูดคลอเสียงหัวเราะเพราะบ้าจี้เมื่อเด็กหญิงเกาะเอวหล่อน
แต่ก่อนระย้าแก้วไม่ใคร่ชอบหน้านันทวรรณเท่าไรหรอก เพราะเกรงว่าจะมาแย่งความรัก ความสนใจของปิยะจากหล่อนไป ความรู้สึกมาเปลี่ยนไปเมื่อนันทวรรณเข้าช่วยหล่อนในตอนตกต้นไม้นั่นเอง เจ้าหล่อนมีความรู้สึกผิดที่ทำให้นันทวรรณเจ็บตัว และเริ่มมองนันทวรรณด้วยสายตาที่มีความขอบคุณ และความรักเมื่อนันทวรรณช่วยดูแลพยาบาลทาแผลและคอยกล่อมและปลอบเด็กหญิงตลอดเวลาที่นอนฝันร้ายว่าตกต้นไม้ หากยังคงไม่เปิดรับนนทรี ลูกชายของนันทวรรณและวางเขาไว้เป็นคู่อริเช่นเดิม
“ก็แก้วรักอานันนี่” เด็กหญิงฉอเลาะ “แก้วรักอานันเหมือนแม่ พ่อน่ะไม่ยอมบอกแก้วสักทีว่าแม่แก้วเป็นใคร อานันก็เป็นแม่แก้วแล้วกัน”
คำพูดเรื่อยๆ เจื้อยแจ้วนั้นคนพูดไม่ได้คิดอะไรหรอก ทว่าคนที่ชะงักคิดตามนั้นคือชายหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบิดานั่นเอง
พูดจบเด็กหญิงก็ซบกับอกของนันทวรรณแต่แล้วก็ยกศีรษะขึ้นมาอีกเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้
“แต่แก้วไม่เอาพี่นนเป็นพี่นะ”
“พี่ก็ไม่อยากได้แก้วเป็นน้องสาวเหมือนกันแหละ” นนทรีสวนกลับอย่างหมั่นไส้ เด็กทั้งสองคนจ้องหน้ากันตาเขม็งราวกับโกรธกันมานาน
ในขณะที่เด็กทั้งสองต่างแย่งกันกอดนันทวรรณ สายตาของหญิงสาวก็เหลือบไปเห็นเด็กชายอีกสองคนที่นั่งทำการบ้านอ่านหนังสืออยู่ใกล้ๆ โมกเหลือบมองมาชั่วครู่ก่อนจะรีบก้มหน้าทำการบ้านต่อ ในขณะที่สนฉัตรนั้นนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือไม่สบตา ไม่สนใจใคร
จะเป็นเพราะสายลมที่พัดผ่านม่านที่หน้าต่างหรือจะเป็นเพราะความรู้สึกอ่อนไหวของหล่อนก็ไม่อาจรู้ได้ หญิงสาวรู้สึกผิดและสะท้อนเข้าถึงหัวใจเมื่อเหลียวไปมองเด็กชายอีกสองคน อีกทั้งเมื่อสบตาเข้ากับดวงตาคมเข้มของปิยะ หญิงสาวก็รู้สึกว่าเขาคิดไม่ต่างกันกับหล่อนเท่าไรหรอก
ความรัก ความอบอุ่นที่ขาดหายไป…ควรได้รับการเติมเต็ม
“อ้าว จะมากอดกันแค่สองคนได้ยังไง มาเร้ว สน โมก กอดกันทั้งทีก็ต้องกอดกันทั้งครอบครัว”
อ้อมกอดนั้นเป็นอ้อมกอดที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน ทว่ากลับทำให้หัวใจที่เคยเหน็บหนาวและบอบช้ำของเด็กหญิงและเด็กชายทั้งสี่คนรู้สึกอบอุ่นถึงขั้วของหัวใจ พวกเขารู้สึกเชื่อใจ ไว้วางใจ และปลอดภัยในอ้อมแขนของกันและกัน
“กาเหว่าเอย
ไข่ไว้ให้แม่กาฟัก
แม่กาก็หลงรัก
คิดว่าลูกในอุทร
คาบเอาข้าวมาเผื่อ
ไปคาบเอาเหยื่อมาป้อน
ถนอมไว้ในรังนอน
ซ่อนเหยื่อมาให้กิน… ” (1)
เสียงใสๆ ของนันทวรรณกำลังร้องเพลงกล่อมเด็ก แต่ไม่ได้กล่อมให้พวกเขานอนหลับหรอกเพราะแต่ละคนไม่ใช่เด็กเล็กแบเบาะกันแล้ว หากกำลังช่วยบุตรชายทำการบ้านวิชาภาษาไทยอยู่ต่างหาก โรงเรียนให้นักเรียนไปถามผู้ปกครองแล้วกลับมาเขียนบทเพลงกล่อมเด็กหรืออาขยานของไทย นันทวรรณก็เลือกบทนี้ให้ เพราะหล่อนจำได้ไม่กี่บทเท่านั้น
‘ทำไมแม่กาเหว่าไม่เลี้ยงลูกเองล่ะ’ เสียงใสๆ ของระย้าแก้วถามไม่ขาดตอน
‘แล้วแม่กาเหว่าจะจำลูกตัวเองได้ไหม’ นนทรีฟังไปเขียนไปก็หันมาพูดคุยด้วย
‘แม่การู้ไหมครับว่าไม่ใช่ลูก’ โมกถาม
‘นายพรานใจร้ายจังครับ’ สนฉัตรพูดขึ้นบ้าง
นันทวรรณและปิยะต้องช่วยสลับกันพูดคุย สลับกันตอบ คำถามไหนไม่รู้ก็มองหน้ากันแล้วคิดคำตอบเอาเองไม่สนใจว่าคนแต่งจะมีความคิดเหมือนตนเองหรือไม่ ให้มีคำตอบที่ว่า ‘พ่อคิดว่า…’ หรือ ‘อาคิดว่า…’ ถือว่าเป็นอันใช้ได้
นันทวรรณช่วยบุตรชายทำการบ้านเสร็จไปแล้ว ทว่าระย้าแก้วเกิดติดใจ นันทวรรณจึงต้องร้องเพลงกล่อมเด็กนี้ซ้ำอีกรอบ บทเพลงกล่อมเด็กนกกาเหว่านั้นคงจะทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ทันไรก็ทำให้บรรดาเด็กชายหญิงที่นอนเล่นหน้าโทรทัศน์นอนหลับสลบไสลกันไปจนหมด
“หลับกันไปหมดแล้วนัน” ปิยะหันมามองเมื่อไม่ได้ยินเสียงทุ่มเถียงของเด็กๆ มาได้สักพักหนึ่งแล้ว
“สงสัยต้องร้องกล่อมกันทุกวันแล้ว ปกติไม่ค่อยจะยอมหลับยอมนอนกัน เล่นกันจนกว่าจะเหนื่อย หรือไม่ก็ตีกันจนงอนกันไปข้าง” นันทวรรณกล่าวอย่างขบขันก่อนจะค่อยๆ พยุงตัวลุกขึ้นนั่ง
“ก็มีแต่ระย้าแก้วที่เป็นฝ่ายงอน” เขาว่าก่อนจะมองมาแล้วยิ้ม “เห็นไหมล่ะ ผมบอกแล้วว่าต่อไปแก้วจะต้องชอบนัน” ปิยะกล่าวเมื่อมองมายังระย้าแก้วที่นอนหลับอุตุอยู่ตรงกลางกลุ่มเด็กชายราวกับเป็นไข่แดง “แต่กับนน…ก็เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายตามประสา คงอีกสักพักแหละ นี่ก็ดีขึ้นมากจากที่เจอกันครั้งแรก” เขากล่าวแล้วก็หัวเราะขบขันแก้เก้อ
วันที่นันทวรรณและนนทรีย้ายเข้ามาและพบเจอกับระย้าแก้วเป็นวันแรกนั้น ปิยะต้องบอกลูกสาวอยู่หลายครั้งว่าผู้มาใหม่นั้นคือใคร หากเด็กหญิงดูเหมือนจะได้ยินชัดเจนก็ตรงประโยคท้ายๆ
‘อานัน เขาเป็นเพื่อนพ่อจะมาอยู่ที่นี่กับเรา ส่วนพี่นนทรีเขาจะมาเป็นพี่ชายแล้วก็เพื่อนเล่นของแก้ว ดีไหมลูก’ ปิยะกระตุกมือน้อยๆ ของเด็กหญิงเบาๆ เพื่อให้แสดงความเคารพผู้อาวุโส หากเด็กหญิงกลับยืนนิ่งมองสองแม่ลูกด้วยสายตางุนงงก่อนจะแสดงความไม่พอใจ หล่อนรู้มากเกินวัย เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ระย้าแก้วก็พอจะจินตนาการออกว่าทั้งสองจะเข้ามาอยู่ในฐานะอะไร
แม้สตรีแปลกหน้าส่งสายตาเป็นมิตรและรอยยิ้มที่หวานจับใจพร้อมกับทักทายระย้าแก้ว ทว่าเด็กหญิงก็ยังยืนนิ่งเป็นหุ่น ความรู้สึกไม่ชอบเกิดขึ้นในทันที และรู้สึกขุ่นใจอย่างชัดเจนก็ตอนที่เหลือบไปเห็นบ้านจำลองของเล่นจากกระดาษที่ประกอบเรียบร้อยวางบนโต๊ะด้านหน้าเด็กชาย
‘นั่นมันบ้านแก้วนะ’ ระย้าแก้วส่งเสียงร้องลั่นพร้อมกับชี้ไปยังบ้านขนาดย่อส่วนนั้น
‘ขอโทษ เห็นว่ามันทิ้งอยู่ในถุงนี่’ สีหน้าของนนทรีเจื่อนไปทันที ก่อนจะชี้ไปที่ถุงพลาสติกที่เคยวางเกะกะราวกับถุงขยะอยู่บนพื้น ‘ถ้าเป็นของแก้ว งั้น…พี่คืน’ เขาลุกขึ้นแล้วหยิบยื่นบ้านของเล่นนั้นคืนให้แก่หล่อน
‘ไม่เอาแล้ว’ ไม่พูดเปล่า มือเล็กบอบบางนั้นปัดบ้านหลังน้อยในมือของเด็กชายจนหล่นร่วงลงไปทันที น้ำหนักของฝ่ามือที่ฟาดลงไปยังกระดาษที่อ่อนบางนั้นทำให้บ้านบุบสลายโดยง่าย บางส่วนของบ้านกระดาษจึงไม่เป็นรูปทรงเสียแล้ว
ปิยะตรงรี่เข้ามาหาบุตรสาว เก็บบ้านจำลองนั้นขึ้นมาแล้วอบรมหล่อนยกใหญ่จนเด็กหญิงทำหน้ามุ่ยไม่พอใจกว่าเดิม แววตานั้นเหมือนจะประท้วง แต่ก่อนที่หล่อนจะพูดอะไรเพื่อเป็นการโต้เถียง มารดาของนนทรีก็กล่าวขึ้นมาเสียก่อน
‘อย่าไปดุแกเลย นนก็ผิดที่ไปเล่นของเล่นระย้าแก้วก่อน’ นันทวรรณกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเจือไปด้วยความรู้สึกผิด ‘พี่นนทรีเขาก็ขอโทษไปแล้ว ยังไงก็คืนดีกันนะ’
นนทรีฉีกยิ้มรอด้วยรอยยิ้มที่สว่างสดใสดูท่าทางใจดี ดวงตาสีน้ำตาลแก่คู่นั้นมีสายตาเป็นมิตรเหมือนกับผู้เป็นแม่ทว่ามีความซุกซนขี้เล่นมากกว่า แต่รอยยิ้มจริงใจนั้นก็ไม่อาจทำให้ใจที่กำลังขุ่นมัวของระย้าแก้วดีขึ้นมาได้ หล่อนแลบลิ้นใส่แล้ววิ่งหนีขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเอง
นั่นเป็นการพบกันครั้งแรกของเขากับหล่อน
ระย้าแก้วไม่ได้เป็นมิตรกับนันทวรรณและนนทรีนักหรอก เพราะถือว่าตัวเป็นเจ้าของบ้าน เป็นเจ้าถิ่น และเป็น ‘คนสำคัญ’ ของพ่อ หล่อนรักและหวงแหนพ่อของตนเป็นที่สุด ดังนั้นเมื่อเห็นปิยะเอาใจใส่นันทวรรณ และนนทรีก็ทำให้ระย้าแก้วแอบรู้สึกอิจฉา หวาดระแวงว่านนทรีและนันทวรรณจะมาแทนที่ตัวเธอ จึงแสดงฤทธิ์เดชเอาแต่ใจเพื่อเรียกร้องให้บิดาหันมาสนใจหล่อนบ้าง แต่นันทวรรณกลับเฉยๆ
‘แกยังเด็ก’ นันทวรรณพูดเช่นนี้ทุกครั้งเมื่อระย้าแก้วแผลงฤทธิ์เป็นเจ้าตัวดีที่ก่อเรื่องราวชวนปวดศีรษะน่าหนักใจ นันทวรรณก็ไม่เคยนำความร้ายกาจของระย้าแก้วมาเป็นอารมณ์ หากแต่ค่อยๆ สอนบอกกล่าวเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เมื่อเจอไม้อ่อนเช่นนี้เจ้าตัวดีที่อยากพยศก็พยศไม่ถนัดนัก ทำได้เพียงดื้อดึงในบางเรื่องแล้วหันไปเล่นงานกับนนทรีแทน
ในตอนแรกถึงแม้นนทรีจะค่อนข้างเอ็นดูเด็กหญิงอยู่มาก แต่เมื่อถูกแกล้ง ถูกพูดจากระทบจิตใจ หรือเอาเปรียบมากเข้าก็ชักไม่ชอบใจ แต่ระย้าแก้วนั้นเหมือนลมเพลมพัด เอาแน่เอานอนไม่ได้ บางครั้งก็ดี บางทีก็ร้าย ขึ้นอยู่กับความพอใจและอารมณ์ของเจ้าตัวเป็นหลัก เวลาเจ้าหล่อนแผลงฤทธิ์ก็น่าตีสักทีสองที ยามเอาแต่ใจก็ช่างน่าหงุดหงิด แต่เมื่อฉอเลาะช่างเจรจา ก็น่ารัก น่าเอ็นดูจนนนทรีมักจะใจอ่อนอยู่บ่อยๆ
‘แม่ ระย้าแก้วไม่ชอบนน ขี้อิจฉา ชอบหาเรื่องนนด้วย’ นนทรีเคยโอดครวญบอกกับนันทวรรณด้วยความน้อยใจและท้อใจ เขากับระย้าแก้วช่วยปิยะทาสีบ้านต้นไม้ หากเด็กชายได้รับคำชมจากปิยะเพียงผู้เดียว เพราะทาสีอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วยังช่วยตอกตะปูซ่อมแซมบ้านอีกด้วย
เมื่ออีกฝ่ายได้รับคำชมระย้าแก้วก็ไม่พอใจ หล่อนเตะกระป๋องสีใส่เขาจนเปรอะเปื้อน ระย้าแก้วไม่ชอบให้นนทรีเด่นเกินหน้า พอนนทรีจะเอาเรื่องบ้าง เขาวิ่งไล่เด็กหญิง ระย้าแก้ววิ่งหนีแล้วสะดุดล้มแล้วร้องไห้ เขารู้สึกผิดที่เป็นตัวต้นเหตุจึงปลอบเด็กหญิงทั้งยังเป่าแผลให้ด้วย เด็กหญิงร้องไห้จ้ากล่าวหาว่าเขาแกล้ง แล้วไล่เขาออกจากบ้านไป แต่พอทำแผลเสร็จ เหลียวซ้ายแลขวาไม่มีคนเล่นด้วย หล่อนก็ชักชวนให้เขากินขนมด้วยกัน เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน นันทวรรณได้แต่บอกบุตรชายของตัวเองว่า
‘น้องยังเด็ก นนอย่าถือสาน้องนะลูก แต่ไม่ได้หมายถึงให้นนยอมน้องเพราะนนเป็นพี่ หรือเพราะเป็นผู้ชาย แต่นนโตกว่าระย้าแก้ว นนต้องสอนน้องให้รู้ว่าสิ่งไหนควรทำ สิ่งไหนไม่ควรทำ แต่แก้วเป็นเด็กดื้อ นนต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ หาวิธีสอนนะลูก’
เด็กชายทำตามที่แม่บอก พยายามไม่ถือสาหาความกับเด็กหญิง โอนอ่อนตามใจระย้าแก้วน้องน้อยผู้เอาแต่ใจเพราะความเอ็นดูบ้าง หากเมื่อใดที่หล่อนทำผิด หรือเอาแต่ใจมากเกินไป เขาก็ไม่ยอมจึงมีเรื่องขัดใจเจ้าหล่อนบ้าง ทว่าน้องนุชนั้นยังเดียงสาเกินกว่าที่เข้าใจเหตุผลทั้งสองด้าน เด็กหญิงจึงจดจำแต่เรื่องที่เขาขัดใจ แล้วทำดีกับเขาเป็นครั้งคราวตามอารมณ์เท่านั้น
เชิงอรรถ :
(1) เพลงกล่อมเด็ก กาเหว่า